แซวเฮียเล่นนะคร๊าบ
พอดีไปเจอบทความของพี่ Invisible Hand เลยเอามาฝากกันครับ
กะทู้นี้ไม่ได้เน้นข้อสังเกตเป็นวิชาการอะไรนัก เป็นข้อสังเกตเอาไว้อ่านสนุกๆ กันนะครับ
1. เวลาหุ้นลง ก็จะมีข่าวร้ายเต็มตลาด แต่ถ้าหุ้นขึ้นกลับมา นักลงทุนก็พร้อมจะลืมข่าวร้ายนั้นไป
2. นักลงทุนต่างชาติ แม้ว่าจะมี volume ซื้อขาย 30-40% ของตลาด แต่ก็สามารถกำหนดทิศทางตลาดได้ ตัวเลขการซื้อขายต่างชาติครึ่งวัน เป็นตัวเลขที่สำคัญกว่าตัวเลข GDP ตัวเลขเศรษฐกิจ ธปท. ทุกสิ้นเดือนหรือการเพิ่มขึ้นการส่งออกของประเทศในแต่ละเดือนไปเสียแล้ว เพราะอย่างหลังมันไม่เคยทำให้หุ้นขึ้นหรือลงได้แต่อย่างไร การซื้อขายอย่างหนักของนักลงทุนต่างชาติ ก็ทำให้เราซื้อหุ้นบางตัวได้ถูกกว่าที่คิดได้ หรือขายหุ้นบางตัวแพงกว่าที่คิดได้
3. การซื้อหรือขายหุ้นแบบแบ่งไม้หรือหลายๆ order ก็ลดผลกระทบของโชคชะตาได้ เพราะมีบ่อยครั้งที่เราอาจจะพลาดการซื้อหรือขายหุ้นเพราะตั้งซื้อหรือต่ำไป หรือขายสูงไปเพียง 1 step โดยไม่ได้กระจาย order แล้วบอกว่าโชคไม่ดี ผมคิดว่าเราสามารถเอาชนะโชคชะตาในเรื่องนี้ได้ไม่ยากนัก การตั้งซื้อหรือขายที่เลขกลมๆ เช่น 0 5 อาจจะไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก หลายๆ ครั้งที่เสื้อตัวละ 99 บาทจะขายดีกว่าเสื้อตัวละ 100 บาททั้งๆ ที่ราคาต่างกันเพียง 1 บาท
4. การตั้งซื้อหุ้นไว้พอหุ้นใกล้ลงมาถึงแล้วถอน หรือตั้งขายไว้พอหุ้นขึ้นใกล้ถึงแล้วถอน ให้ลองถามตัวเองว่า ตอนนี้เรามีเวลาในชีวิตมากเกินไปที่จะทำเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์เช่นนี้ เชียวหรือ หรือกำลังฝึกทักษะการ key คอมฯ ของเราหรือ marketing ถ้าเราทำเช่นนี้ประจำก็อย่าไปต่อว่าคนดูละครน้ำเน่าตอนกลางคืนว่าไร้สาระ เพราะเรากำลังทำเรื่องไร้สาระยิ่งกว่าเสียอีก
5. การดู bid offer นานเกินไปบางครั้งอาจจะทำให้เราไม่กล้าซื้อหรือขายได้ หุ้นขาลง bid-offer และการเคาะแต่ละไม้ ชวนให้เคาะขายตามอย่างยิ่ง ในทางกลับกัน ในหุ้นขาขึ้นก็เช่นกัน
6. หุ้นบางตัวเมื่อตลาดปรับลงมา เมื่อตลาดขึ้นกลับอาจจะขึ้นได้สูงกว่าเดิม แต่หุ้นบางตัวลงแล้วลงเลยไม่กลับมา การเลือกซื้อหุ้นในตลาดขาลงนอกจากจะพิจารณาหุ้นที่ลงมาเยอะเป็นพิเศษ แต่เราจะต้องเลือกพื้นฐานของหุ้นด้วย ถ้ายังไม่ชำนาญหรือเกรงว่าทำได้ไม่ดี การซื้อ TDEX ก็อาจจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่า
7. บางครั้ง ความคิดที่รอต่างชาติหยุดขายแล้วค่อยซื้อหุ้นนั้น อาจจะไม่ได้ผลทุกครั้งไป หลายๆครั้งหุ้นจะใกล้ๆจุดต่ำสุด เมื่อต่างชาติเพลาการขายลง
8. นักลงทุนในประเทศหลายๆคนที่ขายหุ้นเพราะกลัว subprime จริงๆแล้วไม่ค่อยรู้รายละเอียดหรอกว่า ปัญหา subprime มันเป็นยังไง แต่การบอกคนอื่นๆว่า ขายหุ้นเพราะ subprime นั้น ย่อมดูดีกว่าการขายหุ้นเพราะตกใจกลัวแน่นอน
9. FED มีการลดดอกเบี้ยเป็นพิเศษที่ไม่ต้องรอวาระการประชุมครั้งต่อไป แต่ธนาคารกลางบางประเทศไม่ค่อยมีความคิดจะทำเช่นนั้น ธนาคารกลางสหรัฐสามารถลดแรงกระแทกจากปัจจัยร้ายๆ ได้หลายต่อหลายครั้งแต่ธนาคารกลางบางประเทศหลายๆครั้ง เพิ่มแรงกระแทกให้กับตลาดหุ้นและเศรษฐกิจในประเทศ และนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำไมเงินเดือนผู้ว่าธนาคารกลางสหรัฐและคณะกรรมการ FED สูงกว่าผู้ว่าธนาคารกลางในหลายๆประเทศ
10. อย่าเผลอไปถามใครแม้ว่าจะคิดว่าคนนั้นมีประสบการณ์การลงทุนมากว่า พรุ่งนี้หุ้นจะขึ้นหรือลงต่อ เพราะถ้าคำตอบที่ได้นั้นแม่นยำ หมอดูชื่อดังคงมานั่งห้องค้ากันหมดแล้ว คงจะไม่ต้องเหนื่อยไปทำนายว่า ดาราเค้าจะเลิกกันให้ถูกดาราเหล่านั้นด่ากลับ ออกหน้าหนังสือพิมพ์ และไม่ควรถามว่าทำไมหุ้นตัวนั้นๆ ถึงลงหรือหุ้นที่เค้าแนะนำให้เราลงทุนนั้นจะขึ้นไปถึงเป้าหมายเมื่อไหร่ เว้นเสียว่าเราเชื่อได้ว่าเค้าจะเป็นผู้ทำราคาหรือเราอยากช่วยฝึกความอดทน และการข่มจิตข่มใจของเค้า
11. หมอดูนั้นขายได้ทุกสถานการณ์จริงๆ เพราะผมเคยเห็นรายการ TV ที่เชิญหมอดูมาดูดวงให้สุนัขของดารา
12. การที่เราฟังนักวิเคราะห์ที่บอกว่า ถ้าหลุด 10 บาทจะมีสิทธิลงไป 9.5 บาท ถ้ายืนเหนือ 10 บาทได้ แปลว่าจะไม่ลงแล้ว หรือถ้าทะลุ 5 บาทมีสิทธิไปทดสอบ 5.5 บาทนั้น เป็นคำอธิบายที่ถูกต้องตามหลักความน่าจะเป็นและดูเหมือนจะเป็นสัจธรรมหรือ fact มากกว่าการคาดการณ์
13. นักวิเคราะห์บางคนเริ่มบทวิเคราะห์หุ้นตัวหนึ่งครั้งแรกโดยแนะนำว่า sell เมื่อพื้นฐานดีขึ้นจึงปรับเป็น hold แต่ลืมคิดไปว่าเมื่อนักลงทุนขายหุ้นหมดไปแล้วตามคำแนะนำจะเอาหุ้นที่ไหนมา ถือ ดังนั้นการปรับจาก sell เป็น hold แปลว่าให้หาหุ้นมาถือ ก็คือให้ซื้อนั่นเอง แต่การปรับจาก sell เป็น buy นั้นจะทำให้โดนเจ้านายและลูกค้าด่า ในทางกลับกัน การปรับจาก strong buy เป็น hold ก็มีนัยคล้ายๆกัน
14. การซื้อขายทาง internet เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการความสะดวกและเข้าถึง internet ได้เกือบตลอดเวลา แต่ถ้าจุดประสงค์เพื่อประหยัดค่าคอมฯ บางครั้งการเติม 0 เกินไป 1 ตัวหรือ ซื้อเป็นขาย ขายเป็นซื้อ มันอาจจะมากกว่าค่าคอมฯ ที่ประหยัดได้ทั้งปี คล้ายๆ กับการซื้อบริการอะไรล่วงหน้าได้ส่วนลดเยอะแต่ท้ายสุดแล้วไม่ค่อยได้ไป
15. นักวิเคราะห์ที่วิเคราะห์ถูก 100% ทุกครั้งนั้น ไม่มีแน่นอน ที่เห็นส่วนมากนั้นถูกครึ่งผิดครึ่งซึ่งไม่ช่วยอะไรได้มากนักเหมือนเล่นปั่น แปะ แต่คนที่มี value add ที่สุดคือคนที่ผิดเกือบทุกครั้งเพราะเราเพียงแค่ทำตรงข้ามก็ถูกแล้ว จึงเป็นเหตุให้บางคนจึงมีชื่อเสียง เพราะตลาดรู้ว่าคนนี้ออกมาฟันธงว่าเป็นขาขึ้นเมื่อไหร่ต้องให้ขายหุ้นทุกที ไป
16. บางครั้งผมเคยสงสัยว่าหุ้นเอเชียลงตามดาวโจนส์หรือดาวโจนส์ลงตามเรากันแน่ เพราะครั้งที่ผ่านมาหุ้นบ้านเราลงเยอะกว่าเค้าเสียอีก
17. หุ้นลงมากๆ หรือขึ้นมากๆ ไม่ใช่ว่า VI จะต้องไม่กลัวหรือเสียดายไม่เป็นเพราะเรายังมีชีวิตจิตใจ ทุกครั้งที่ซื้อกลัวลงต่อมั้ยผมคิดว่าคงต้องมีความรู้สึกนี้กันบ้าง หรือหุ้นขึ้นแรงๆ ขายแล้วกลัวขึ้นต่อมั้ย ก็กลัวเพราะมันก็เกิดประจำ การซื้อแล้วลงหรือขายแล้วขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ต้องเกิดแน่ๆ หากเรายังเลือกที่จะลงทุนในตลาดหุ้นเป็นเรื่องที่ต้องทำใจยอมรับ ดังนั้นการซื้อหรือขายแต่ละครั้งต้องคิดให้ถี่ถ้วน และวินัยการลงทุนเป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน
18. pop up “คุณมี 1 งานใหม่ ” ของ greenbull นั้นมันมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ที่แย่อยู่หน่อยคือถ้ากดกากบาทสีแดงก็เป็นการเปิดหน้า web เค้า แต่ปุ่มปิดจริงๆ นั้นเขียนว่า close สีจางๆ อยู่บนกากบาทสีแดง อย่าไปโกรธหรือหงุดหงิดเลยครับหากมันช่วยให้ web นั้นมีรายได้เข้ามาบ้าง แต่มีวิธีให้มันไม่อยู่กลางจอได้ไหมครับ
19. ในตลาดที่ผันผวนช่วง 1-2 ปีนี้ การถือเงินสดในพอร์ตไว้เสียหน่อย หรือ หาหุ้นที่คล้ายๆการถือเงินสดไว้บ้าง ก็น่าจะเป็นความคิดที่ดี การที่หุ้นผันผวนนั้นเรื่องภาวะจิตใจในการลงทุนนั้นมีความสำคัญมากขึ้น ตามบางส่วนของโคลง 4 สุภาพที่ว่าไว้ว่า “ฝูงชนกำเนิด คล้ายคลึงกัน ใหญ่ย่อมเพศผิวพรรณ แผกบ้าง ความรู้อาจเรียนทัน กันหมด ยกแต่ชั่วดีกระด้าง อ่อนแก้ ฤาไหว”
สิ่งที่เราได้เรียนรู้หลังเหตุการณ์หุ้นลง อันเนื่องจากปัญหา subprime และเหตุการณ์การลงทุนอื่นๆ