[เสนอแนะ] ผมอยากขอให้เปิด "ห้องใหม่" อีกซักห้องครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
[เสนอแนะ] ผมอยากขอให้เปิด "ห้องใหม่" อีกซักห้องครับ
โพสต์ที่ 1
ผมเสนอขอให้เปิดห้องใหม่ครับ ผมตั้งชื่อเบื้องต้นไว้ว่า "ทำเนียบ CEO"
เป็นห้องที่ไม่ได้พูดเรื่องหุ้นโดยตรง แต่เน้นข้อมูลผู้บริหารระดับ CEO เท่านั้น
ถ้ามันเกิดขึ้นได้จริง
เราจะมี Database ขนาดใหญ่มากๆ สำหรับเก็บข้อมูลผู้บริหารระดับสูงในประเทศไทย น่าสนใจมากๆๆๆ
ใช้ประโยชน์ได้ทั้งหุ้น และการเรียนการสอนด้าน Business
เราอาจจะเก็บข้อมูลต่างๆ เช่น
- ประวัติ
- แนวคิด และหลักการในการใช้ชีวิต
- กลยุทธ์ หรือ Strategic Thinking
- ความใฝ่ฝันในอนาคต
- ประสบการณ์ต่างๆที่ผ่านมา ก่อนจะมาประสบความสำเร็จ ได้ก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ 1
เราอาจจะมีประวัติคนสำคัญมากมาย เช่น คุณธนินท์ เจียรวนนท์ , คุณประเสริฐ บุญสัมพันธ์ , คุณตัน ภาสกรนที ,
คุณเจริญ สิริวัฒนภักดี , คุณทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ , คุณโอภาส ศรีพยัคฆ์ ฯลฯ
หรือแม้แต่ข้อมูลสุดยอดนักลงทุน เช่น ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร และ ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา
ถ้าตั้งห้องใหม่นี้ขึ้นจริง
ผมจะเริ่มต้นด้วยการตั้งกระทู้ที่ชื่อ "วิน วิริยประไพกิจ"
ไม่รู้ว่า mod จะ Buy Idea ผมไหมนะครับ
ลองแชร์มุมมองกันดูครับ
เป็นห้องที่ไม่ได้พูดเรื่องหุ้นโดยตรง แต่เน้นข้อมูลผู้บริหารระดับ CEO เท่านั้น
ถ้ามันเกิดขึ้นได้จริง
เราจะมี Database ขนาดใหญ่มากๆ สำหรับเก็บข้อมูลผู้บริหารระดับสูงในประเทศไทย น่าสนใจมากๆๆๆ
ใช้ประโยชน์ได้ทั้งหุ้น และการเรียนการสอนด้าน Business
เราอาจจะเก็บข้อมูลต่างๆ เช่น
- ประวัติ
- แนวคิด และหลักการในการใช้ชีวิต
- กลยุทธ์ หรือ Strategic Thinking
- ความใฝ่ฝันในอนาคต
- ประสบการณ์ต่างๆที่ผ่านมา ก่อนจะมาประสบความสำเร็จ ได้ก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ 1
เราอาจจะมีประวัติคนสำคัญมากมาย เช่น คุณธนินท์ เจียรวนนท์ , คุณประเสริฐ บุญสัมพันธ์ , คุณตัน ภาสกรนที ,
คุณเจริญ สิริวัฒนภักดี , คุณทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ , คุณโอภาส ศรีพยัคฆ์ ฯลฯ
หรือแม้แต่ข้อมูลสุดยอดนักลงทุน เช่น ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร และ ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา
ถ้าตั้งห้องใหม่นี้ขึ้นจริง
ผมจะเริ่มต้นด้วยการตั้งกระทู้ที่ชื่อ "วิน วิริยประไพกิจ"
ไม่รู้ว่า mod จะ Buy Idea ผมไหมนะครับ
ลองแชร์มุมมองกันดูครับ
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 1155
- ผู้ติดตาม: 0
Re: [เสนอแนะ] ผมอยากขอให้เปิด "ห้องใหม่" อีกซักห้องครับ
โพสต์ที่ 2
ดีมากครับ
Blueplanet
-
- Verified User
- โพสต์: 987
- ผู้ติดตาม: 0
Re: [เสนอแนะ] ผมอยากขอให้เปิด "ห้องใหม่" อีกซักห้องครับ
โพสต์ที่ 3
มีบทสัมภาษณ์ First Hand โดยตรงเกี่ยวกับ CEOบริษัทต่างๆอยู่จำนวนหนึ่ง
ทั้งหมดเคยลงพิมพ์ในคอลัมน์ Executive Briefcase ของ Bangkok Post
เป็นภาษาอังกฤษ
คิดว่าเจ้าของคอลัมน์คงยินดีที่จะให้เผยแพร่
เคยเอามาลงไว้บ้างแล้วในห้องร้อยหุ้น
ถ้ามีห้องนี้เกิดจริง จะขออนุญาตเอามาโพสให้
ทั้งหมดเคยลงพิมพ์ในคอลัมน์ Executive Briefcase ของ Bangkok Post
เป็นภาษาอังกฤษ
คิดว่าเจ้าของคอลัมน์คงยินดีที่จะให้เผยแพร่
เคยเอามาลงไว้บ้างแล้วในห้องร้อยหุ้น
ถ้ามีห้องนี้เกิดจริง จะขออนุญาตเอามาโพสให้
ชีวิตเกิดและตายเพียงอย่างละหน ส่วนที่เหลือตรงกลางต้องค้นพบเอง
-
- Verified User
- โพสต์: 78
- ผู้ติดตาม: 0
Re: [เสนอแนะ] ผมอยากขอให้เปิด "ห้องใหม่" อีกซักห้องครับ
โพสต์ที่ 4
สนับสนุนครับ
แค่เรารู้ว่า ผู้บริหารคนนี้ เคยผ่านงานอะไรมาบ้างนี่ ผมว่าก็สำคัญแล้วนะ
และน่าจะช่วยให้นักลงทุนหน้าใหม่ (แบบผม) ได้รู้จักผู้บริหารหน้าเก่าที่ฝีมือดี
แต่อาจจะมีปัญหากับผู้บริหารสีเทา ที่โดนพาดพิงถึงรีเปล่าครับ
แค่เรารู้ว่า ผู้บริหารคนนี้ เคยผ่านงานอะไรมาบ้างนี่ ผมว่าก็สำคัญแล้วนะ
และน่าจะช่วยให้นักลงทุนหน้าใหม่ (แบบผม) ได้รู้จักผู้บริหารหน้าเก่าที่ฝีมือดี
แต่อาจจะมีปัญหากับผู้บริหารสีเทา ที่โดนพาดพิงถึงรีเปล่าครับ
ฟังให้มากกว่าพูด
-
- Verified User
- โพสต์: 40
- ผู้ติดตาม: 0
Re: [เสนอแนะ] ผมอยากขอให้เปิด "ห้องใหม่" อีกซักห้องครับ
โพสต์ที่ 5
เห็นด้วยครับ เป็นประโยชน์มากๆ
แต่ mod อาจจะต้องทำงานหนักขึ้นอีกมาก เพราะเสี่ยงที่จะมีข้อมูลที่อาจหมิ่นประมาทหรือเป็นเท็จปะปนเข้ามา
อาจจะต้องตั้งกฎให้รัดกุม เช่น ลงได้เฉพาะที่เคยเผยแพร่ที่อื่นมาแล้วเท่านั้น โดยต้องอ้างอิงให้ชัดเจน ,ห้ามเขียนความคิดเห็นอื่นๆ เพิ่มเติม
แต่ mod อาจจะต้องทำงานหนักขึ้นอีกมาก เพราะเสี่ยงที่จะมีข้อมูลที่อาจหมิ่นประมาทหรือเป็นเท็จปะปนเข้ามา
อาจจะต้องตั้งกฎให้รัดกุม เช่น ลงได้เฉพาะที่เคยเผยแพร่ที่อื่นมาแล้วเท่านั้น โดยต้องอ้างอิงให้ชัดเจน ,ห้ามเขียนความคิดเห็นอื่นๆ เพิ่มเติม
- jack5515566
- Verified User
- โพสต์: 119
- ผู้ติดตาม: 0
Re: [เสนอแนะ] ผมอยากขอให้เปิด "ห้องใหม่" อีกซักห้องครับ
โพสต์ที่ 9
+1เสียง
-
- Verified User
- โพสต์: 883
- ผู้ติดตาม: 0
Re: [เสนอแนะ] ผมอยากขอให้เปิด "ห้องใหม่" อีกซักห้องครับ
โพสต์ที่ 11
ขอเพิ่มอีกห้องได้ไหม คือ"ห้องซื้อขายหุ้น"
แบบว่าเพื่อให้ใครต้ิองการซื้อ หรือ ขาย หุ้นที่สภาพคล่องน้อยมาก [อย่างผมในตอนเนี่ย] ได้เข้ามาตกลงราคาซื้อขาย กัน
แต่สำหรับไอเดีย คุณ pak ก็ดีครับ สนับสนุน 1เสียงครับ
แบบว่าเพื่อให้ใครต้ิองการซื้อ หรือ ขาย หุ้นที่สภาพคล่องน้อยมาก [อย่างผมในตอนเนี่ย] ได้เข้ามาตกลงราคาซื้อขาย กัน
แต่สำหรับไอเดีย คุณ pak ก็ดีครับ สนับสนุน 1เสียงครับ
- murder_doll
- Verified User
- โพสต์: 1644
- ผู้ติดตาม: 1
Re: [เสนอแนะ] ผมอยากขอให้เปิด "ห้องใหม่" อีกซักห้องครับ
โพสต์ที่ 14
ถ้าเปิดจริงก็คงดีครับ +1
เงินทองเป็นของมายา
ข้าวปลาคือของจริง
ข้าวปลาคือของจริง
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: [เสนอแนะ] ผมอยากขอให้เปิด "ห้องใหม่" อีกซักห้องครับ
โพสต์ที่ 18
ผมนั่งคิดไปคิดมา...
กำลังคิดว่า อาจมีฝรั่งมาด้วยหรือเปล่าหนอ
ขอบเขต...มันจะกว้างขนาดไหน? ไทยหรือเทศ?
แล้วคนนี้จะมาด้วยไหม???
v
v
======================================================
Stay Hungry Stay Foolish?
Stanford Report, June 14, 2005
โดย : สตีฟ จ็อบส์ (CEO Apple Computer และ Pixar Animation Studio)
ถอดความโดย : กิตติ สิงหาปัด
เป็นการปาฐกถาพิเศษที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเมื่อเดือนมิถุนายน ผมไปอ่านพบบทความนี้ในนิตยสาร Fortune ฉบับ September 5, 2005 ฟอร์จูนได้เขียนในข้อความโปรยก่อนบทความว่า ปกติการปาฐกถาพิเศษในวันรับปริญญามักจะเป็นอะไรที่ฟังสบายๆแล้วก็ผ่านไป แต่ปาฐกถาพิเศษของ Jobs ที่ Stanford ครั้งนี้ถือว่าไม่ธรรมดาเพราะหลังจากวันนั้นก็คนพูดถึงอย่างมากมาย ไม่เฉพาะในหมู่บัณฑิต ของสแตนด์ฟอร์ดเท่านั้น แต่มีการโพสต์เข้าไปในเวบไซด์ต่างๆ ส่งอีเมล์ให้คนรู้จักอ่าน ถกเถียงในเวบล็อก คนที่ไม่ได้อ่านก็ถามหากันมาก จนฟอร์จูนต้องเอามาตีพิมพ์แม้จะผ่านมาแล้วถึง 4 เดือนก็ตาม
"ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาร่วมในพิธีรับปริญญาของมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลกกับพวกท่านในวันนี้ ความจริงที่คนรู้กันทั่วไปก็คือผมไม่จบปริญญาครับ จะว่าไปแล้วการมาที่นี่ในวันนี้ถือว่าทำให้ผมได้อยู่ใกล้กับคำว่าได้ปริญญามากที่สุด วันนี้ผมอยากจะบอกเล่าเรื่องราวในชีวิตผมให้ฟังสามเรื่อง เป็นแค่เรื่องของชีวิตผมเองเท่านั้นจริงๆนะครับ ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร
เรื่องแรก... เป็นเรื่องของการมองเส้นทางเดินของชีวิตที่ผ่านมา ซึ่งมันเป็นคล้ายๆ การต่อเชื่อมจุดให้เป็นรูปร่าง ผมดรอปจากมหาวิทยาลัย Reed หลังจากเข้าเรียนได้เพียง 6 เดือน แต่ก็ยังเตร็ดเตร่อยู่ในมหาวิทยาลัยอีก 18 เดือน ก่อนที่จะออกมาจริงๆ ถามว่าทำไมผมถึงดรอป บางทีเรื่องนี้อาจจะเริ่มมาตั้งแต่ผมยังไม่เกิดด้วยซ้ำไป แม่ของผมเป็นสาวรุ่นที่เพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยและไม่ได้แต่งงาน เธอตั้งใจว่าจะยกผมให้คนที่ต้องการเด็กรับไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม เธอมีเงื่อนไขในใจที่ค่อนข้างแรงกล้าว่า จะยกผมให้กับคู่สามีภรรยาที่ต้องจบมหาวิทยาลัยเท่านั้น ตอนแรกผู้ที่จะรับผมไปอุปการะนั้นเป็นคู่ของทนายความกับภรรยา แต่ปรากฏว่าตอนผมคลอดนั้น ทั้งสองก็เกิดเปลี่ยนใจกะทันหันว่าอยากได้เด็กผู้หญิง ผมก็เลยมาเป็นลูกของพ่อแม่ผมในขณะนี้ ตอนนั้นท่านทั้งสองอยู่ในรายชื่อถัดไปที่ต้องการรับเด็กไปเลี้ยง พอคู่ของทนายปฏิเสธ ก็เลยมาถึงคิวของท่าน แต่ปัญหาก็คือ..พ่อแม่ผมไม่ได้จบมหาวิทยาลัยในหนแรก แม่ผมจึงไม่ยอม แต่สุดท้ายก็ยอมเพราะพ่อแม่ผมให้สัญญาว่าจะส่งผมเข้ามหาวิทยาลัยเมื่อผมโตขึ้นอย่างแน่นอน
17 ปีต่อมาผมก็ได้เข้ามหาวิทยาลัยจริงๆ แต่ผมดันไปเลือกมหาวิทยาลัยที่ค่าเทอมแพงพอๆ กับที่นี่ ด้วยเงินเก็บของพ่อแม่ผมซึ่งท่านก็เป็นคนระดับทำงานธรรมดาหมดไปกับค่าเทอมของผม หกเดือนในมหาวิทยาลัยผมมองไม่เห็นว่า มันจะคุ้มกับค่าเล่าเรียนยังไง ผมไม่รู้ว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี และมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้ให้ทางออกกับผม ผมใช้เงินที่พ่อแม่สะสมมาทั้งชีวิตหมดไปในหกเดือนที่ Reed ในที่สุดผมตัดสินใจดรอปโดยมั่นใจว่าทุกอย่างจะดีขึ้น จริงๆตอนนั้นผมก็ค่อนข้างกลัว แต่เมื่อมองกลับไป การตัดสินใจดรอปเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต การดรอปทำให้ผมไม่ต้องเรียนวิชาบังคับที่ผมไม่ชอบ แต่ในขณะเดียวกันกลับทำให้ผมได้เข้าเรียนวิชาที่ผมสนใจ
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องดีทั้งหมดนะครับ ผมไม่มีหอพัก ต้องสิงในห้องของเพื่อน ผมต้องเก็บกระป๋องโค้กไปคืนที่ร้านเพื่อเอาเงินมัดจำกระป๋องละ 5 เซ็นต์ ไปซื้อข้าวประทังชีวิต และทุกๆ วันอาทิตย์ผมต้องเดินข้ามเมืองถึง 7 ไมล์ เพื่อที่จะได้กินอาหารดีๆ ซักมื้อที่โบสถ์พราหมณ์ และมีหลายอย่างที่ผมอาจจะก้าวพลาดไปโดยบังเอิญเพราะความอยากรู้อยากเห็น หรือโดยสัญชาตญาณ ได้ให้บทเรียนที่มิอาจประเมินค่าได้กับผม ผมอยากจะยกตัวอย่างให้ฟังซักเรื่อง
มหาวิทยาลัย Reed ในตอนนั้นอาจจะเรียกได้ว่ามีคอร์สสอนการออกแบบตัวอักษร (calligraphy) ที่ดีที่สุดในอเมริกาก็ว่าได้ ป้ายหรือโปสเตอร์ต่างๆ ในมหาวิทยาลัยจะถูกออกแบบอย่างสวยงาม ผมตัดสินใจเข้าเรียนวิชานี้ เนื่องจากไม่ต้องลงเรียนวิชาปกติ หลังจากดรอปไว้ ผมได้เรียนรู้ตัวอักษร serif และ sans serif ได้รู้เรื่องการจัดวางช่องไฟ การผสมผสานตัวอักษรขนาดต่างๆกัน ให้งานออกมาดูดีที่สุด มันเป็นอะไรที่บ่งบอกถึงความสวยงาม มีที่มาที่ไป และมีศิลปะแบบที่วิทยาศาสตร์ก็สอนเราไม่ได้ มันสุดยอดจริงๆ
แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไรในชีวิตผมเลย จนกระทั่งสิบปีต่อมาเมื่อเราออกแบบคอมพิวเตอร์ แมคอินทอชเครื่องแรก นั่นแหละวิชาที่เรียนตอนดรอปถึงช่วยได้จริงๆ ทุกท่านคงเห็นเครื่องแมคฯ ที่มีตัวฟอนท์ที่สวยงาม นี่ถ้าผมไม่ได้ลงเรียนวิชาการออกแบบตัวอักษร (Calligraphy) ในตอนนั้นแล้ว เราก็คงไม่มีเครื่องแมคอย่างที่เราเห็นในวันนี้ และความจริงก็คือถ้าวินโดวส์ไม่ลอกเราในวันนั้น พีซีในยุคปัจจุบันก็จะไม่มีตัวฟอนท์อย่างนี้ก็ได้ ทั้งหมดเกิดขึ้นได้เพราะผมลงเรียนวิชาคัดลายมือครั้งนั้นทีเดียวจริงๆ แน่นอนครับว่าเราคงไม่สามารถต่อเชื่อมจุดเป็นรูปร่างได้เมื่อผมอยู่ที่ Reed แต่เมื่อตอนสิบปีผ่านไปทุกอย่างก็เห็นได้ชัด
ผมขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า เราไม่สามารถต่อจุดให้เป็นรูปร่างได้โดยการมองไปข้างหน้า เราจะทำได้ก็ต่อเมื่อเรามองย้อนหลังไป (ถ้านึกไม่ออกให้นึกถึงเวลาเราเชื่อมจุดเป็นรูปต่างๆ ถ้าเราเอากระดาษปิดจุดที่เราต่อมาแล้วเราจะต่อไปข้างหน้าไม่ถูก) ฉะนั้นขอให้เชื่อว่าจุดต่างๆ ที่ผ่านมานั้นอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราในวันข้างหน้า เราต้องเชื่อในอะไรซักอย่างไม่ว่าจะเป็นความมุ่งมั่นตั้งใจ ชะตาชีวิตหรือกรรมอะไรก็ได้ วิธีคิดแบบนี้ไม่ทำให้ผมผิดหวังท้อแท้ แต่กลับสร้างสิ่งต่างๆให้เกิดขึ้นกับชีวิตผมมากมาย
เรื่องที่สอง... ที่จะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับความรักและการสูญเสียครับ ผมโชคดีที่ได้พบกับสิ่งที่ผมรักที่จะทำตั้งแต่วัยหนุ่ม วอซ (Stephen Wozniak ผู้ร่วมก่อตั้ง Apple) กับผมเริ่มทำคอมพิวเตอร์แอปเปิลกันที่โรงรถของพ่อแม่ผมตอนผมอายุ 20 เราทำงานกันอย่างหนัก ภายในระยะเวลา 10 ปี แอปเปิลที่เริ่มจากเราสองคนในโรงรถเติบโตขึ้น มีสินทรัพย์ถึง 2,000 ล้านเหรียญ มีพนักงานกว่า 4,000 คน เราเพิ่งสร้างคอมพิวเตอร์ที่ดีที่สุดคือ แมคอินทอช ตอนผมเพิ่งย่างสามสิบ แต่ผมกลับถูกไล่ออก หลายคนอาจสงสัยว่าผมถูกไล่ออกจากบริษัทที่ตัวเองก่อตั้งมาได้ยังไง คือเมื่อแอปเปิลเริ่มเข้าที่และเติบโต เราก็หาคนที่เราคิดว่าเก่งมาร่วมบริหาร แรกก็ไปได้ดี แต่พอซักพัก วิสัยทัศน์เราก็เริ่มไม่ตรงกันหนักเข้าก็กลายเป็นความขัดแย้ง และในที่สุดคณะกรรมการบริหารก็เลือกข้างเขา และผมก็เป็นฝ่ายต้องออกมา เป็นการออกที่คนรู้กันทั่วไปใหญ่โต สิ่งที่เป็นหัวใจในชีวิตของผมมลายหายไป ชีวิตผมเหมือนไม่เหลืออะไรเลย
ช่วงนั้นผมไม่รู้ว่าจะทำอะไรอยู่หลายเดือน ผมรู้สึกว่าผมได้ปล่อยให้ความเป็นเจ้าของกิจการหลุดลอยไป ทั้งๆ มีโอกาส ช่วงหลังผมได้พบกับ David Packard (หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง HP) และ Bob Noyce (หนึ่งใน ผู้ร่วมก่อตั้ง Intel) เพื่อขอโทษในสิ่งที่เกิดขึ้น คนทั่วไปมองว่านี่เป็นวามล้มเหลวของผม จนผมคิดจะออกจากธุรกิจไอทีนี่แล้ว แต่แล้วผมก็รู้สึกว่าเริ่มคิดอะไรบางอย่างได้ ผมยังรักในสิ่งที่ผมทำ สิ่งที่เกิดขึ้นที่แอปเปิลไม่ได้ทำให้ความรักของผมกับคอมพิวเตอร์ลดลงแม้แต่น้อย ถึงผมจะถูกปฏิเสธ แต่ผมก็ยังรักมัน ผมจึงตัดสินใจเริ่มต้นอีกครั้งหนึ่ง
ตอนนั้นผมอาจจะยังไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ถ้ามามองตอนนี้ การออกจากแอปเปิลกลับถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิตของผม ความรู้สึกหนักอึ้งที่แบกรับไว้ว่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ กลับถูกแทนที่ด้วยการที่ไม่มีอะไรต้องเสียจากการที่เป็นผู้ที่เริ่มต้นใหม่ ผมกลายเป็นคนที่จะไม่มั่นใจกับอะไรมากจนเกินไป และที่สำคัญ มันเป็นการปลดปล่อยตัวเองให้เข้าสู่ช่วงที่ถือว่ามีพลังสร้างสรรค์มากที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิต
ในช่วง 5 ปีหลังจากนั้นผมเริ่มทำบริษัทใหม่ชื่อ NeXT และอีกบริษัทหนึ่งคือ Pixar และพบรักกับหญิงสาวคนที่เป็นภรรยาผมตอนนี้ Pixar ได้ผลิตหนังการ์ตูนแอนนิเมชั่นด้วยคอมพิวเตอร์เรื่องแรกของโลก คือ Toy Story และปัจจุบันนี้ Pixar ก็เป็นสตูดิโอที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก และเหตุการณ์ซึ่งถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญอีกจุดหนึ่งก็มาถึง แอปเปิลซื้อกิจการ NeXT และผมก็กลับแอปเปิล และสิ่งที่ผมสร้างไว้ที่ NeXT ก็กลายมาเป็นหัวใจของแอปเปิลในยุคฟื้นฟู และผมก็ได้แต่งงานกับ Laurene
"ผมค่อนข้างมั่นใจว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นถ้าผมไม่ถูกไล่ออกจากแอปเปิล ถือว่าเป็นการให้ยาที่แรงสุดๆ แต่ก็ถือว่าถูกกับคนไข้ บางทีชีวิตก็เล่นกับเราแรง แต่ขออย่าเสียความเชื่อมั่นศรัทธา ผมเชื่อว่าสิ่งที่ทำให้ผมก้าวหน้ามาถึงวันนี้ได้ ก็เพราะผมรักในสิ่งที่ผมทำ พวกคุณต้องค้นหาว่าคุณรักอะไร ความจริงมันก็คล้าย ๆ กับการหาแฟนซักคนนั่นแหละ จะว่าไปแล้วการทำงานนี่ถือเป็นครึ่งหนึ่งของชีวิตของเรา ทางเดียวที่จะทำให้เรามีความพึงพอใจสูงสุดก็คือ การได้ทำในสิ่งที่เราเชื่อว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ มีความหมาย และการที่จะทำให้การทำงานที่ยิ่งใหญ่ให้ประสบความสำเร็จก็คือ การรักในสิ่งที่ทำ ...ถ้าตอนนี้ยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ก็จงค้นหาต่อไป อย่าเพิ่งหยุด คุณจะรู้ได้ด้วยใจคุณเองเมื่อคุณค้นพบมัน และมันจะทำให้เราดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นจงค้นหาต่อไป"
Apple CEO Steve Jobs walks out of Stanford Stadium
after delivering the commencement speech to the 2005
graduating class. (photo courtesy Standford University)
เรื่องที่สาม... ที่จะเล่าให้ฟังวันนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความตาย เมื่อตอนอายุ 17 ผมอ่านเจอคำพูดของคนๆหนึ่งพูดไว้ว่า “ถ้าคุณใช้ชีวิตในแต่ละวันเหมือนกับเป็นวันสุดท้ายในชีวิตของคุณ สักวันคุณจะดีขึ้นแน่นอน” ผมประทับใจมาก และตลอด 30 ปีตั้งแต่นั้นมา ผมจะมองกระจกและถามตัวเองทุกเช้าว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของผม ผมอยากทำอะไร และวันนี้จะทำอะไรบ้าง ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่คำตอบออกมาว่า ไม่รู้จะทำอะไรติดต่อกันหลายๆวัน ผมรู้ว่าผมต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างแล้ว
การระลึกอยู่เสมอว่าเราต้องตายเร็วๆนี้เป็นอาวุธที่สำคัญที่สุด ที่ผมใช้ในยามต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญๆในชีวิต เพราะเกือบจะทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังต่างๆ จากคนภายนอก ความภาคภูมิใจ การกลัว การเสียหน้า หรือล้มเหลว ล้วนแต่ไม่เป็นสาระทั้งสิ้น เมื่อเราต้องเผชิญกับความตาย มันทำให้เรานึกถึงแต่สิ่งที่เป็นแก่น เป็นความสำคัญที่สุดเท่านั้น การระลึกว่า คุณกำลังจะตายเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะหลุดพ้นจากความคิดที่กลัวการสูญเสียอะไรบางอย่าง ชีวิตคุณมีแต่ตัวนี่ เพราะฉะนั้นก็ไม่มีเหตุอะไรที่ไม่เดินตามความฝันของตัวเอง
เมื่อปีที่แล้วผมไปตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง หมอทำสแกนผมราวเจ็ดโมงครึ่ง และเห็นชัดว่ามีก้อนเนื้อที่ ตับอ่อน ผมเองไม่รู้แม้กระทั่งว่าตับอ่อนคืออะไร หมอบอกว่าเท่าที่ดูแล้วค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นมะเร็งชนิดที่ไม่มีทางรักษา และบอกว่าผมน่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกิน 3-6 เดือน หมอแนะนำว่าให้กลับบ้านและจัดการอะไรต่างๆให้เรียบร้อย พูดแบบชาวบ้านก็คือ หมอบอกให้ไปเตรียมตัวตายนั่นเอง มันหมายความว่าคุณต้องรีบคุยกับลูกในสิ่งที่คุณคิดว่าจะคุยในอีกสิบปีข้างหน้า หมายความว่าต้องเตรียมสิ่งต่างๆไว้ให้ครอบครัวเมื่อคุณต้องจากไป และหมายความความว่าคุณต้องลาโลกนี้ไปแล้ว
ผมอยู่กับความรู้สึกว่าเป็นมะเร็งและต้องตายเร็วๆนี้ทั้งวัน จนกระทั่งตอนเย็นหมอต้องตัดเอาเนื้อเยื่อเพื่อวิเคราะห์อีกครั้ง หมอใช้กล้องส่องภายในสอดผ่านลำคอ ผ่านกระเพาะลงลำไส้เล็ก และใช้เข็มเล็กๆเจาะก้อนเนื้อเล็กๆในตับอ่อนออกมาตรวจ ตอนนั้นผมถูกวางยางสลบอยู่ แต่ภรรยาผมบอกภายหลังว่า เมื่อหมอตรวจเนื้อเยื่อผ่านกล้องจุลทรรศน์อีกครั้งหนึ่งก็พบว่า ผมเป็นมะเร็งแบบที่พบได้น้อยมากคือ เป็นชนิดที่รักษาได้ด้วยการผ่าตัด และผมก็เข้ารับการผ่าตัดรักษาจนหายดีแล้วในตอนนี้
นี่ถือว่าเป็นการเข้าใกล้ความตายมากที่สุดของผม และผมก็หวังว่ามันจะรักษาสถิติที่ใกล้ที่สุดไปอีกหลายสิบปีข้างหน้าด้วย การที่ผมผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ก็ทำให้ผมเล่าให้พวกคุณฟังได้อย่างเต็มที่ไม่ใช่เพียงแค่ความคิดเชิงหลักการอย่างเดียว ไม่มีใครอยากตายหรอกครับ แม้แต่คนที่อยากไปสวรรค์ก็ไม่ต้องการตายเพื่อที่จะไปถึงที่นั่น แต่ทุกคนต้องตายครับ ไม่มีใครหลีกพ้นความตายได้ และมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นเพราะผมถือว่า ความตายน่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ดีที่สุดของชีวิต ความตายทำให้ชีวิตเกิดการเปลี่ยนแปลง มันเป็นการกำจัดคนเก่าเพื่อเปิดทางให้คนใหม่ ตอนนี้คนใหม่คือพวกคุณทั้งหลาย และจะค่อยๆแก่ไปในที่สุดและจะถูกกำจัดไป ขอโทษที่ผมอาจจะพูดอะไรที่เป็นนิยายไปหน่อย แต่ก็เป็นความจริงนะครับ
ชีวิตของพวกคุณมีจำกัดครับ จงอย่าเสียเวลาใช้ชีวิตอยู่บนชีวิตของคนอื่น อย่าตกอยู่ในหลุมพรางของความเชื่ออะไรบางอย่าง ซึ่งทำให้เราดำรงชีวิตอยู่บนความคิดของคนอื่น อย่าให้ความคิดของคนอื่นมากดความต้องการที่แท้จริงภายในใจของเรา สิ่งที่สำคัญนะครับ จงมีความกล้าหาญที่จะก้าวเดินตามสิ่งที่หัวใจเราเรียกร้อง ซึ่งตอนนี้อาจจะรู้แล้วว่าคุณต้องการเป็นอะไร อย่างอื่นเป็นเรื่องรองทั้งสิ้น
ตอนผมหนุ่มๆ มีสิ่งพิมพ์ที่เรียกว่า The Whole Earth Catalog ซึ่งได้รับความนิยมมากในยุคนั้น คนที่ทำมันขึ้นมาชื่อ Stewart Brand ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากนี่เท่าไหร่ คือที่ Menlo Park ใน Whole Earth Catalog มีบทกวีดีๆเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตเยอะ ตอนนั้นเป็นช่วงปลายทศวรรษ 1960 ก่อนที่จะมีพีซี เพราะฉะนั้นนิตยสารนี้จึงทำขึ้นด้วยพิมพ์ดีดมือ กรรไกร และกล้องโพลารอยด์ มันก็คล้ายๆกับ Google ฉบับหนังสือนั่นแหละ คือเกิดก่อน Google 35 ปี มันเป็นอะไรที่อุดมคติ มีคำสอน ข้อคิดเตือนใจดีๆมากมาย
Stewart ออก Catalog หลายฉบับแต่ทุกอย่างก็ย่อมมีจุดสิ้นสุด มาถึงฉบับสุดท้ายเมื่อราวกลาง ทศวรรษ 1970 ซึ่งตอนนั้นผมก็อายุเท่า ๆกับพวกคุณนี่แหละ ในปกหลังของฉบับสุดท้ายนี่เป็นรูปถ่ายถนน ในชนบทยามเช้า เป็นภาพที่หลายคนคงเคยสัมผัส ถ้าเผื่อเป็นคนที่ชอบเดินทางท่องเที่ยว ด้านล่างของภาพเขียนว่า “Stay Hungry. Stay Foolish” มันเป็นเหมือนการกล่าวอำลาของพวกเขาด้วย “จงเป็นคนที่หิวอยู่เสมอ จงเป็นคนที่โง่อยู่เสมอ” เป็นสิ่งที่ผมใช้เตือนตัวเองตลอดเวลา และในโอกาสที่พวกคุณจะจบการศึกษาออกไปเผชิญโลกกว้าง ผมขอให้พวกคุณจงเป็นคนที่ Stay Hungry และ Stay Foolish .."
ขอบคุณครับ
ที่มา : จาก FW Mail ดีๆฉบับหนึ่ง
กำลังคิดว่า อาจมีฝรั่งมาด้วยหรือเปล่าหนอ
ขอบเขต...มันจะกว้างขนาดไหน? ไทยหรือเทศ?
แล้วคนนี้จะมาด้วยไหม???
v
v
======================================================
Stay Hungry Stay Foolish?
Stanford Report, June 14, 2005
โดย : สตีฟ จ็อบส์ (CEO Apple Computer และ Pixar Animation Studio)
ถอดความโดย : กิตติ สิงหาปัด
เป็นการปาฐกถาพิเศษที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเมื่อเดือนมิถุนายน ผมไปอ่านพบบทความนี้ในนิตยสาร Fortune ฉบับ September 5, 2005 ฟอร์จูนได้เขียนในข้อความโปรยก่อนบทความว่า ปกติการปาฐกถาพิเศษในวันรับปริญญามักจะเป็นอะไรที่ฟังสบายๆแล้วก็ผ่านไป แต่ปาฐกถาพิเศษของ Jobs ที่ Stanford ครั้งนี้ถือว่าไม่ธรรมดาเพราะหลังจากวันนั้นก็คนพูดถึงอย่างมากมาย ไม่เฉพาะในหมู่บัณฑิต ของสแตนด์ฟอร์ดเท่านั้น แต่มีการโพสต์เข้าไปในเวบไซด์ต่างๆ ส่งอีเมล์ให้คนรู้จักอ่าน ถกเถียงในเวบล็อก คนที่ไม่ได้อ่านก็ถามหากันมาก จนฟอร์จูนต้องเอามาตีพิมพ์แม้จะผ่านมาแล้วถึง 4 เดือนก็ตาม
"ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาร่วมในพิธีรับปริญญาของมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลกกับพวกท่านในวันนี้ ความจริงที่คนรู้กันทั่วไปก็คือผมไม่จบปริญญาครับ จะว่าไปแล้วการมาที่นี่ในวันนี้ถือว่าทำให้ผมได้อยู่ใกล้กับคำว่าได้ปริญญามากที่สุด วันนี้ผมอยากจะบอกเล่าเรื่องราวในชีวิตผมให้ฟังสามเรื่อง เป็นแค่เรื่องของชีวิตผมเองเท่านั้นจริงๆนะครับ ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร
เรื่องแรก... เป็นเรื่องของการมองเส้นทางเดินของชีวิตที่ผ่านมา ซึ่งมันเป็นคล้ายๆ การต่อเชื่อมจุดให้เป็นรูปร่าง ผมดรอปจากมหาวิทยาลัย Reed หลังจากเข้าเรียนได้เพียง 6 เดือน แต่ก็ยังเตร็ดเตร่อยู่ในมหาวิทยาลัยอีก 18 เดือน ก่อนที่จะออกมาจริงๆ ถามว่าทำไมผมถึงดรอป บางทีเรื่องนี้อาจจะเริ่มมาตั้งแต่ผมยังไม่เกิดด้วยซ้ำไป แม่ของผมเป็นสาวรุ่นที่เพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยและไม่ได้แต่งงาน เธอตั้งใจว่าจะยกผมให้คนที่ต้องการเด็กรับไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม เธอมีเงื่อนไขในใจที่ค่อนข้างแรงกล้าว่า จะยกผมให้กับคู่สามีภรรยาที่ต้องจบมหาวิทยาลัยเท่านั้น ตอนแรกผู้ที่จะรับผมไปอุปการะนั้นเป็นคู่ของทนายความกับภรรยา แต่ปรากฏว่าตอนผมคลอดนั้น ทั้งสองก็เกิดเปลี่ยนใจกะทันหันว่าอยากได้เด็กผู้หญิง ผมก็เลยมาเป็นลูกของพ่อแม่ผมในขณะนี้ ตอนนั้นท่านทั้งสองอยู่ในรายชื่อถัดไปที่ต้องการรับเด็กไปเลี้ยง พอคู่ของทนายปฏิเสธ ก็เลยมาถึงคิวของท่าน แต่ปัญหาก็คือ..พ่อแม่ผมไม่ได้จบมหาวิทยาลัยในหนแรก แม่ผมจึงไม่ยอม แต่สุดท้ายก็ยอมเพราะพ่อแม่ผมให้สัญญาว่าจะส่งผมเข้ามหาวิทยาลัยเมื่อผมโตขึ้นอย่างแน่นอน
17 ปีต่อมาผมก็ได้เข้ามหาวิทยาลัยจริงๆ แต่ผมดันไปเลือกมหาวิทยาลัยที่ค่าเทอมแพงพอๆ กับที่นี่ ด้วยเงินเก็บของพ่อแม่ผมซึ่งท่านก็เป็นคนระดับทำงานธรรมดาหมดไปกับค่าเทอมของผม หกเดือนในมหาวิทยาลัยผมมองไม่เห็นว่า มันจะคุ้มกับค่าเล่าเรียนยังไง ผมไม่รู้ว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี และมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้ให้ทางออกกับผม ผมใช้เงินที่พ่อแม่สะสมมาทั้งชีวิตหมดไปในหกเดือนที่ Reed ในที่สุดผมตัดสินใจดรอปโดยมั่นใจว่าทุกอย่างจะดีขึ้น จริงๆตอนนั้นผมก็ค่อนข้างกลัว แต่เมื่อมองกลับไป การตัดสินใจดรอปเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต การดรอปทำให้ผมไม่ต้องเรียนวิชาบังคับที่ผมไม่ชอบ แต่ในขณะเดียวกันกลับทำให้ผมได้เข้าเรียนวิชาที่ผมสนใจ
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องดีทั้งหมดนะครับ ผมไม่มีหอพัก ต้องสิงในห้องของเพื่อน ผมต้องเก็บกระป๋องโค้กไปคืนที่ร้านเพื่อเอาเงินมัดจำกระป๋องละ 5 เซ็นต์ ไปซื้อข้าวประทังชีวิต และทุกๆ วันอาทิตย์ผมต้องเดินข้ามเมืองถึง 7 ไมล์ เพื่อที่จะได้กินอาหารดีๆ ซักมื้อที่โบสถ์พราหมณ์ และมีหลายอย่างที่ผมอาจจะก้าวพลาดไปโดยบังเอิญเพราะความอยากรู้อยากเห็น หรือโดยสัญชาตญาณ ได้ให้บทเรียนที่มิอาจประเมินค่าได้กับผม ผมอยากจะยกตัวอย่างให้ฟังซักเรื่อง
มหาวิทยาลัย Reed ในตอนนั้นอาจจะเรียกได้ว่ามีคอร์สสอนการออกแบบตัวอักษร (calligraphy) ที่ดีที่สุดในอเมริกาก็ว่าได้ ป้ายหรือโปสเตอร์ต่างๆ ในมหาวิทยาลัยจะถูกออกแบบอย่างสวยงาม ผมตัดสินใจเข้าเรียนวิชานี้ เนื่องจากไม่ต้องลงเรียนวิชาปกติ หลังจากดรอปไว้ ผมได้เรียนรู้ตัวอักษร serif และ sans serif ได้รู้เรื่องการจัดวางช่องไฟ การผสมผสานตัวอักษรขนาดต่างๆกัน ให้งานออกมาดูดีที่สุด มันเป็นอะไรที่บ่งบอกถึงความสวยงาม มีที่มาที่ไป และมีศิลปะแบบที่วิทยาศาสตร์ก็สอนเราไม่ได้ มันสุดยอดจริงๆ
แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไรในชีวิตผมเลย จนกระทั่งสิบปีต่อมาเมื่อเราออกแบบคอมพิวเตอร์ แมคอินทอชเครื่องแรก นั่นแหละวิชาที่เรียนตอนดรอปถึงช่วยได้จริงๆ ทุกท่านคงเห็นเครื่องแมคฯ ที่มีตัวฟอนท์ที่สวยงาม นี่ถ้าผมไม่ได้ลงเรียนวิชาการออกแบบตัวอักษร (Calligraphy) ในตอนนั้นแล้ว เราก็คงไม่มีเครื่องแมคอย่างที่เราเห็นในวันนี้ และความจริงก็คือถ้าวินโดวส์ไม่ลอกเราในวันนั้น พีซีในยุคปัจจุบันก็จะไม่มีตัวฟอนท์อย่างนี้ก็ได้ ทั้งหมดเกิดขึ้นได้เพราะผมลงเรียนวิชาคัดลายมือครั้งนั้นทีเดียวจริงๆ แน่นอนครับว่าเราคงไม่สามารถต่อเชื่อมจุดเป็นรูปร่างได้เมื่อผมอยู่ที่ Reed แต่เมื่อตอนสิบปีผ่านไปทุกอย่างก็เห็นได้ชัด
ผมขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า เราไม่สามารถต่อจุดให้เป็นรูปร่างได้โดยการมองไปข้างหน้า เราจะทำได้ก็ต่อเมื่อเรามองย้อนหลังไป (ถ้านึกไม่ออกให้นึกถึงเวลาเราเชื่อมจุดเป็นรูปต่างๆ ถ้าเราเอากระดาษปิดจุดที่เราต่อมาแล้วเราจะต่อไปข้างหน้าไม่ถูก) ฉะนั้นขอให้เชื่อว่าจุดต่างๆ ที่ผ่านมานั้นอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราในวันข้างหน้า เราต้องเชื่อในอะไรซักอย่างไม่ว่าจะเป็นความมุ่งมั่นตั้งใจ ชะตาชีวิตหรือกรรมอะไรก็ได้ วิธีคิดแบบนี้ไม่ทำให้ผมผิดหวังท้อแท้ แต่กลับสร้างสิ่งต่างๆให้เกิดขึ้นกับชีวิตผมมากมาย
เรื่องที่สอง... ที่จะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับความรักและการสูญเสียครับ ผมโชคดีที่ได้พบกับสิ่งที่ผมรักที่จะทำตั้งแต่วัยหนุ่ม วอซ (Stephen Wozniak ผู้ร่วมก่อตั้ง Apple) กับผมเริ่มทำคอมพิวเตอร์แอปเปิลกันที่โรงรถของพ่อแม่ผมตอนผมอายุ 20 เราทำงานกันอย่างหนัก ภายในระยะเวลา 10 ปี แอปเปิลที่เริ่มจากเราสองคนในโรงรถเติบโตขึ้น มีสินทรัพย์ถึง 2,000 ล้านเหรียญ มีพนักงานกว่า 4,000 คน เราเพิ่งสร้างคอมพิวเตอร์ที่ดีที่สุดคือ แมคอินทอช ตอนผมเพิ่งย่างสามสิบ แต่ผมกลับถูกไล่ออก หลายคนอาจสงสัยว่าผมถูกไล่ออกจากบริษัทที่ตัวเองก่อตั้งมาได้ยังไง คือเมื่อแอปเปิลเริ่มเข้าที่และเติบโต เราก็หาคนที่เราคิดว่าเก่งมาร่วมบริหาร แรกก็ไปได้ดี แต่พอซักพัก วิสัยทัศน์เราก็เริ่มไม่ตรงกันหนักเข้าก็กลายเป็นความขัดแย้ง และในที่สุดคณะกรรมการบริหารก็เลือกข้างเขา และผมก็เป็นฝ่ายต้องออกมา เป็นการออกที่คนรู้กันทั่วไปใหญ่โต สิ่งที่เป็นหัวใจในชีวิตของผมมลายหายไป ชีวิตผมเหมือนไม่เหลืออะไรเลย
ช่วงนั้นผมไม่รู้ว่าจะทำอะไรอยู่หลายเดือน ผมรู้สึกว่าผมได้ปล่อยให้ความเป็นเจ้าของกิจการหลุดลอยไป ทั้งๆ มีโอกาส ช่วงหลังผมได้พบกับ David Packard (หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง HP) และ Bob Noyce (หนึ่งใน ผู้ร่วมก่อตั้ง Intel) เพื่อขอโทษในสิ่งที่เกิดขึ้น คนทั่วไปมองว่านี่เป็นวามล้มเหลวของผม จนผมคิดจะออกจากธุรกิจไอทีนี่แล้ว แต่แล้วผมก็รู้สึกว่าเริ่มคิดอะไรบางอย่างได้ ผมยังรักในสิ่งที่ผมทำ สิ่งที่เกิดขึ้นที่แอปเปิลไม่ได้ทำให้ความรักของผมกับคอมพิวเตอร์ลดลงแม้แต่น้อย ถึงผมจะถูกปฏิเสธ แต่ผมก็ยังรักมัน ผมจึงตัดสินใจเริ่มต้นอีกครั้งหนึ่ง
ตอนนั้นผมอาจจะยังไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ถ้ามามองตอนนี้ การออกจากแอปเปิลกลับถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิตของผม ความรู้สึกหนักอึ้งที่แบกรับไว้ว่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ กลับถูกแทนที่ด้วยการที่ไม่มีอะไรต้องเสียจากการที่เป็นผู้ที่เริ่มต้นใหม่ ผมกลายเป็นคนที่จะไม่มั่นใจกับอะไรมากจนเกินไป และที่สำคัญ มันเป็นการปลดปล่อยตัวเองให้เข้าสู่ช่วงที่ถือว่ามีพลังสร้างสรรค์มากที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิต
ในช่วง 5 ปีหลังจากนั้นผมเริ่มทำบริษัทใหม่ชื่อ NeXT และอีกบริษัทหนึ่งคือ Pixar และพบรักกับหญิงสาวคนที่เป็นภรรยาผมตอนนี้ Pixar ได้ผลิตหนังการ์ตูนแอนนิเมชั่นด้วยคอมพิวเตอร์เรื่องแรกของโลก คือ Toy Story และปัจจุบันนี้ Pixar ก็เป็นสตูดิโอที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก และเหตุการณ์ซึ่งถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญอีกจุดหนึ่งก็มาถึง แอปเปิลซื้อกิจการ NeXT และผมก็กลับแอปเปิล และสิ่งที่ผมสร้างไว้ที่ NeXT ก็กลายมาเป็นหัวใจของแอปเปิลในยุคฟื้นฟู และผมก็ได้แต่งงานกับ Laurene
"ผมค่อนข้างมั่นใจว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นถ้าผมไม่ถูกไล่ออกจากแอปเปิล ถือว่าเป็นการให้ยาที่แรงสุดๆ แต่ก็ถือว่าถูกกับคนไข้ บางทีชีวิตก็เล่นกับเราแรง แต่ขออย่าเสียความเชื่อมั่นศรัทธา ผมเชื่อว่าสิ่งที่ทำให้ผมก้าวหน้ามาถึงวันนี้ได้ ก็เพราะผมรักในสิ่งที่ผมทำ พวกคุณต้องค้นหาว่าคุณรักอะไร ความจริงมันก็คล้าย ๆ กับการหาแฟนซักคนนั่นแหละ จะว่าไปแล้วการทำงานนี่ถือเป็นครึ่งหนึ่งของชีวิตของเรา ทางเดียวที่จะทำให้เรามีความพึงพอใจสูงสุดก็คือ การได้ทำในสิ่งที่เราเชื่อว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ มีความหมาย และการที่จะทำให้การทำงานที่ยิ่งใหญ่ให้ประสบความสำเร็จก็คือ การรักในสิ่งที่ทำ ...ถ้าตอนนี้ยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ก็จงค้นหาต่อไป อย่าเพิ่งหยุด คุณจะรู้ได้ด้วยใจคุณเองเมื่อคุณค้นพบมัน และมันจะทำให้เราดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นจงค้นหาต่อไป"
Apple CEO Steve Jobs walks out of Stanford Stadium
after delivering the commencement speech to the 2005
graduating class. (photo courtesy Standford University)
เรื่องที่สาม... ที่จะเล่าให้ฟังวันนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความตาย เมื่อตอนอายุ 17 ผมอ่านเจอคำพูดของคนๆหนึ่งพูดไว้ว่า “ถ้าคุณใช้ชีวิตในแต่ละวันเหมือนกับเป็นวันสุดท้ายในชีวิตของคุณ สักวันคุณจะดีขึ้นแน่นอน” ผมประทับใจมาก และตลอด 30 ปีตั้งแต่นั้นมา ผมจะมองกระจกและถามตัวเองทุกเช้าว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของผม ผมอยากทำอะไร และวันนี้จะทำอะไรบ้าง ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่คำตอบออกมาว่า ไม่รู้จะทำอะไรติดต่อกันหลายๆวัน ผมรู้ว่าผมต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างแล้ว
การระลึกอยู่เสมอว่าเราต้องตายเร็วๆนี้เป็นอาวุธที่สำคัญที่สุด ที่ผมใช้ในยามต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญๆในชีวิต เพราะเกือบจะทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังต่างๆ จากคนภายนอก ความภาคภูมิใจ การกลัว การเสียหน้า หรือล้มเหลว ล้วนแต่ไม่เป็นสาระทั้งสิ้น เมื่อเราต้องเผชิญกับความตาย มันทำให้เรานึกถึงแต่สิ่งที่เป็นแก่น เป็นความสำคัญที่สุดเท่านั้น การระลึกว่า คุณกำลังจะตายเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะหลุดพ้นจากความคิดที่กลัวการสูญเสียอะไรบางอย่าง ชีวิตคุณมีแต่ตัวนี่ เพราะฉะนั้นก็ไม่มีเหตุอะไรที่ไม่เดินตามความฝันของตัวเอง
เมื่อปีที่แล้วผมไปตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง หมอทำสแกนผมราวเจ็ดโมงครึ่ง และเห็นชัดว่ามีก้อนเนื้อที่ ตับอ่อน ผมเองไม่รู้แม้กระทั่งว่าตับอ่อนคืออะไร หมอบอกว่าเท่าที่ดูแล้วค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นมะเร็งชนิดที่ไม่มีทางรักษา และบอกว่าผมน่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกิน 3-6 เดือน หมอแนะนำว่าให้กลับบ้านและจัดการอะไรต่างๆให้เรียบร้อย พูดแบบชาวบ้านก็คือ หมอบอกให้ไปเตรียมตัวตายนั่นเอง มันหมายความว่าคุณต้องรีบคุยกับลูกในสิ่งที่คุณคิดว่าจะคุยในอีกสิบปีข้างหน้า หมายความว่าต้องเตรียมสิ่งต่างๆไว้ให้ครอบครัวเมื่อคุณต้องจากไป และหมายความความว่าคุณต้องลาโลกนี้ไปแล้ว
ผมอยู่กับความรู้สึกว่าเป็นมะเร็งและต้องตายเร็วๆนี้ทั้งวัน จนกระทั่งตอนเย็นหมอต้องตัดเอาเนื้อเยื่อเพื่อวิเคราะห์อีกครั้ง หมอใช้กล้องส่องภายในสอดผ่านลำคอ ผ่านกระเพาะลงลำไส้เล็ก และใช้เข็มเล็กๆเจาะก้อนเนื้อเล็กๆในตับอ่อนออกมาตรวจ ตอนนั้นผมถูกวางยางสลบอยู่ แต่ภรรยาผมบอกภายหลังว่า เมื่อหมอตรวจเนื้อเยื่อผ่านกล้องจุลทรรศน์อีกครั้งหนึ่งก็พบว่า ผมเป็นมะเร็งแบบที่พบได้น้อยมากคือ เป็นชนิดที่รักษาได้ด้วยการผ่าตัด และผมก็เข้ารับการผ่าตัดรักษาจนหายดีแล้วในตอนนี้
นี่ถือว่าเป็นการเข้าใกล้ความตายมากที่สุดของผม และผมก็หวังว่ามันจะรักษาสถิติที่ใกล้ที่สุดไปอีกหลายสิบปีข้างหน้าด้วย การที่ผมผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ก็ทำให้ผมเล่าให้พวกคุณฟังได้อย่างเต็มที่ไม่ใช่เพียงแค่ความคิดเชิงหลักการอย่างเดียว ไม่มีใครอยากตายหรอกครับ แม้แต่คนที่อยากไปสวรรค์ก็ไม่ต้องการตายเพื่อที่จะไปถึงที่นั่น แต่ทุกคนต้องตายครับ ไม่มีใครหลีกพ้นความตายได้ และมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นเพราะผมถือว่า ความตายน่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ดีที่สุดของชีวิต ความตายทำให้ชีวิตเกิดการเปลี่ยนแปลง มันเป็นการกำจัดคนเก่าเพื่อเปิดทางให้คนใหม่ ตอนนี้คนใหม่คือพวกคุณทั้งหลาย และจะค่อยๆแก่ไปในที่สุดและจะถูกกำจัดไป ขอโทษที่ผมอาจจะพูดอะไรที่เป็นนิยายไปหน่อย แต่ก็เป็นความจริงนะครับ
ชีวิตของพวกคุณมีจำกัดครับ จงอย่าเสียเวลาใช้ชีวิตอยู่บนชีวิตของคนอื่น อย่าตกอยู่ในหลุมพรางของความเชื่ออะไรบางอย่าง ซึ่งทำให้เราดำรงชีวิตอยู่บนความคิดของคนอื่น อย่าให้ความคิดของคนอื่นมากดความต้องการที่แท้จริงภายในใจของเรา สิ่งที่สำคัญนะครับ จงมีความกล้าหาญที่จะก้าวเดินตามสิ่งที่หัวใจเราเรียกร้อง ซึ่งตอนนี้อาจจะรู้แล้วว่าคุณต้องการเป็นอะไร อย่างอื่นเป็นเรื่องรองทั้งสิ้น
ตอนผมหนุ่มๆ มีสิ่งพิมพ์ที่เรียกว่า The Whole Earth Catalog ซึ่งได้รับความนิยมมากในยุคนั้น คนที่ทำมันขึ้นมาชื่อ Stewart Brand ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากนี่เท่าไหร่ คือที่ Menlo Park ใน Whole Earth Catalog มีบทกวีดีๆเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตเยอะ ตอนนั้นเป็นช่วงปลายทศวรรษ 1960 ก่อนที่จะมีพีซี เพราะฉะนั้นนิตยสารนี้จึงทำขึ้นด้วยพิมพ์ดีดมือ กรรไกร และกล้องโพลารอยด์ มันก็คล้ายๆกับ Google ฉบับหนังสือนั่นแหละ คือเกิดก่อน Google 35 ปี มันเป็นอะไรที่อุดมคติ มีคำสอน ข้อคิดเตือนใจดีๆมากมาย
Stewart ออก Catalog หลายฉบับแต่ทุกอย่างก็ย่อมมีจุดสิ้นสุด มาถึงฉบับสุดท้ายเมื่อราวกลาง ทศวรรษ 1970 ซึ่งตอนนั้นผมก็อายุเท่า ๆกับพวกคุณนี่แหละ ในปกหลังของฉบับสุดท้ายนี่เป็นรูปถ่ายถนน ในชนบทยามเช้า เป็นภาพที่หลายคนคงเคยสัมผัส ถ้าเผื่อเป็นคนที่ชอบเดินทางท่องเที่ยว ด้านล่างของภาพเขียนว่า “Stay Hungry. Stay Foolish” มันเป็นเหมือนการกล่าวอำลาของพวกเขาด้วย “จงเป็นคนที่หิวอยู่เสมอ จงเป็นคนที่โง่อยู่เสมอ” เป็นสิ่งที่ผมใช้เตือนตัวเองตลอดเวลา และในโอกาสที่พวกคุณจะจบการศึกษาออกไปเผชิญโลกกว้าง ผมขอให้พวกคุณจงเป็นคนที่ Stay Hungry และ Stay Foolish .."
ขอบคุณครับ
ที่มา : จาก FW Mail ดีๆฉบับหนึ่ง
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: [เสนอแนะ] ผมอยากขอให้เปิด "ห้องใหม่" อีกซักห้องครับ
โพสต์ที่ 19
^won71 เขียน:เห็นด้วยครับ เป็นประโยชน์มากๆ
แต่ mod อาจจะต้องทำงานหนักขึ้นอีกมาก เพราะเสี่ยงที่จะมีข้อมูลที่อาจหมิ่นประมาทหรือเป็นเท็จปะปนเข้ามา
อาจจะต้องตั้งกฎให้รัดกุม เช่น ลงได้เฉพาะที่เคยเผยแพร่ที่อื่นมาแล้วเท่านั้น โดยต้องอ้างอิงให้ชัดเจน ,ห้ามเขียนความคิดเห็นอื่นๆ เพิ่มเติม
^
ประเด็นนี้ ต้องขบคิดให้หนักกันทีเดียวครับ!!!
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 475
- ผู้ติดตาม: 1
Re: [เสนอแนะ] ผมอยากขอให้เปิด "ห้องใหม่" อีกซักห้องครับ
โพสต์ที่ 20
เห็นด้วยนะคะ
แต่ก็กลัวมีคนมาโพสมั่วซั่ว เพราะ คำพูดของ CEO หรือ inside อะไรบางอย่างมันไม่มี reference เหมือนข่าวหรือผลประกอบการ รบกวน mod ตั้งขอบเขต และกฏกติกาให้ด้วยค่ะ ^^
แต่ก็กลัวมีคนมาโพสมั่วซั่ว เพราะ คำพูดของ CEO หรือ inside อะไรบางอย่างมันไม่มี reference เหมือนข่าวหรือผลประกอบการ รบกวน mod ตั้งขอบเขต และกฏกติกาให้ด้วยค่ะ ^^
HOPE FAITH LOVE
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
Re: [เสนอแนะ] ผมอยากขอให้เปิด "ห้องใหม่" อีกซักห้องครับ
โพสต์ที่ 22
อ้าว......แปลว่ารู้ว่าเป็นมะเร็งตอนเช้า แล้วตอนเย็นรู้ว่าผ่าตัดหายผมอยู่กับความรู้สึกว่าเป็นมะเร็งและต้องตายเร็วๆนี้ทั้งวัน จนกระทั่งตอนเย็นหมอต้องตัดเอาเนื้อเยื่อเพื่อวิเคราะห์อีกครั้ง
ตอนแรก ผมเข้าใจผิดว่าสตีฟตกอยู่ในความเศร้าหลายเดือนเพราะเข้าใจว่าตัวเองจะตาย แล้วมารอดตายทีหลังเนื่องจากหมอวินิจฉัยผิดหรืออะไรนี่แหละ
คือเข้าใจว่าเขามีเวลาอยู่ใน "มรณานุสติ" เป็นเดือนๆ
ถ้าเป็นอย่างนี้แปลว่าเขาเก็ตอะไรๆเร็วมากเลยนะครับ สมกับเป็นอัฉริยะ
มรณานุสตินี้ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สำคัญมากๆและน่าจะเป็นปัจฉิมโอวาทด้วยมั้งครับ
ถ้าตีความไม่ผิด เพราะเรื่องมรณานุสติก็ส่งผลให้ไม่ประมาทอีกทางหนึ่ง
มรณานุสตินี้เป็นจุดเริ่มต้นของหลายๆคนที่จะพลิกชีวิตไปสู่สิ่งที่ดีๆกว่าเดิม
หลายคนเคยพูดว่า ที่สุดของมนุษย์ก็คือความตาย
เมื่อระลึกถึงความตายแล้ว โดยเฉพาะความตายของตัวเอง
ความอื่นๆก็กลายเป็นเรื่องเล็กกว่าโดยอัตโนมัติ
เมื่อเล็กลงๆ อะไรๆก็ง่ายขึ้น
ตัด(สิน)ใจได้ง่ายขึ้น
ที่จริงเขาใช้มรณานุสติมาตั้งแต่อายุ 17 ปีโน่นแน่ะ
จากคำพูดนี้
“ถ้าคุณใช้ชีวิตในแต่ละวันเหมือนกับเป็นวันสุดท้ายในชีวิตของคุณ สักวันคุณจะดีขึ้นแน่นอน "
นี่คืออานุภาพของ มรณานุสติ
ท่านสอนให้คิดถึงความตายทุกลมหายใจ
ไม่ได้สอนว่าเป็นเรื่องอวมงคลและห้ามพูดถึง
เพราะพูดถึงหรือระลึกถึงบ่อยๆแล้ว มีคุณอนันต์
เป็นสัจจธรรมที่ไม่เลือกกาลเวลา
และใช้ได้ผลโดยไม่เลือกเชื้อชาติศาสนาจริงๆ
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
Re: [เสนอแนะ] ผมอยากขอให้เปิด "ห้องใหม่" อีกซักห้องครับ
โพสต์ที่ 23
“Stay Hungry. Stay Foolish”
อ่านตอนแรกก็ไม่รู้สึกว่าดีอะไร
“Stay Hungry." หิวบ่อยๆ
อ้าว.....หิวบ่อยๆก็ต้องกินบ่อยๆไม่อ้วนแย่หรือ คนอะไรเห็นแก่กินขนาดนี้ยังกะชูชก
“Stay Foolish” โง่อยู่เสมอ ทำตัวโง่ๆไว้
อ้าว......อุตส่าห์ร่ำเรียนจนมีความรู้ ยังจะทำอะไรโง่ๆอีก
อ่านต่อไปจึงเข้าใจว่า หิวบ่อยๆคือ
เป็นคนก็ต้องแสวงหาตลอดเวลา คือรู้สึกหิวเข้าไว้
จะอิ่มแล้วนอน อิ่มแล้วนอน ไม่ได้
จะต้องมีแรงขับอยู่ตลอดเวลาเพราะวันนี้อาจจะเป็นวันสุดท้ายในชีวิตของเขาก็ได้
และรู้สึกโง่เข้าไว้ เพื่อหาสิ่งที่ฉลาดกว่าตลอดเวลา
จะทำตัวฉลาดแล้วไม่เรียนรู้เพิ่มเติม ไม่ได้
แปลว่าการเรียนรู้นี้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด(อันหลังนี้รู้สึกคุ้นๆว่าคล้ายๆลายเซ็นต์ของใครคนหนึ่ง)
อย่างไรก็ตามคำพูดคมๆสั้นๆเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีค่ามาก
เพราะเป็นการตกผลึกประสบการณ์ทั้งชีวิตทีเดียว
อย่างของดร.นิเวศน์ก็ต้อง " stay calm. stay invest)
เย็นไว้(สงบไว้) ลงทุนเข้าไว้
ของผมก็มีกะเขาด้วยนะ ( stay know) รู้เข้าไว้
อ่านตอนแรกก็ไม่รู้สึกว่าดีอะไร
“Stay Hungry." หิวบ่อยๆ
อ้าว.....หิวบ่อยๆก็ต้องกินบ่อยๆไม่อ้วนแย่หรือ คนอะไรเห็นแก่กินขนาดนี้ยังกะชูชก
“Stay Foolish” โง่อยู่เสมอ ทำตัวโง่ๆไว้
อ้าว......อุตส่าห์ร่ำเรียนจนมีความรู้ ยังจะทำอะไรโง่ๆอีก
อ่านต่อไปจึงเข้าใจว่า หิวบ่อยๆคือ
เป็นคนก็ต้องแสวงหาตลอดเวลา คือรู้สึกหิวเข้าไว้
จะอิ่มแล้วนอน อิ่มแล้วนอน ไม่ได้
จะต้องมีแรงขับอยู่ตลอดเวลาเพราะวันนี้อาจจะเป็นวันสุดท้ายในชีวิตของเขาก็ได้
และรู้สึกโง่เข้าไว้ เพื่อหาสิ่งที่ฉลาดกว่าตลอดเวลา
จะทำตัวฉลาดแล้วไม่เรียนรู้เพิ่มเติม ไม่ได้
แปลว่าการเรียนรู้นี้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด(อันหลังนี้รู้สึกคุ้นๆว่าคล้ายๆลายเซ็นต์ของใครคนหนึ่ง)
อย่างไรก็ตามคำพูดคมๆสั้นๆเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีค่ามาก
เพราะเป็นการตกผลึกประสบการณ์ทั้งชีวิตทีเดียว
อย่างของดร.นิเวศน์ก็ต้อง " stay calm. stay invest)
เย็นไว้(สงบไว้) ลงทุนเข้าไว้
ของผมก็มีกะเขาด้วยนะ ( stay know) รู้เข้าไว้
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: [เสนอแนะ] ผมอยากขอให้เปิด "ห้องใหม่" อีกซักห้องครับ
โพสต์ที่ 24
ดูวีดีโอที่นี่ครับ
http://www.youtube.com/watch?v=UF8uR6Z6KLc
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว
อีกคนหนึ่งที่เรียนไม่จบ แต่สุดท้ายก้ไปรับปริญญาที่มหาลัยดังระดับโลกอีกแห่ง
คู่รัก คู่แค้น แห่งโลก IT
http://www.youtube.com/watch?v=AP5VIhbJwFs
http://www.youtube.com/watch?v=UF8uR6Z6KLc
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว
อีกคนหนึ่งที่เรียนไม่จบ แต่สุดท้ายก้ไปรับปริญญาที่มหาลัยดังระดับโลกอีกแห่ง
คู่รัก คู่แค้น แห่งโลก IT
http://www.youtube.com/watch?v=AP5VIhbJwFs
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: [เสนอแนะ] ผมอยากขอให้เปิด "ห้องใหม่" อีกซักห้องครับ
โพสต์ที่ 25
วิจารณ์ MS ไร้รสนิยม
http://www.youtube.com/watch?v=upzKj-1H ... re=related
ต่อหน้าสาธารณชน ยอกันซะงั้น
http://www.youtube.com/watch?v=_5Z7eal4uXI
http://www.youtube.com/watch?v=lK_HThS8DZo
http://www.youtube.com/watch?v=upzKj-1H ... re=related
ต่อหน้าสาธารณชน ยอกันซะงั้น
http://www.youtube.com/watch?v=_5Z7eal4uXI
http://www.youtube.com/watch?v=lK_HThS8DZo
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: [เสนอแนะ] ผมอยากขอให้เปิด "ห้องใหม่" อีกซักห้องครับ
โพสต์ที่ 26
Jobs หนุ่มหล่อ กับการเปิดตัวอันลือลั่น และโฆษณาอันลือลั่น
http://www.youtube.com/watch?v=lSiQA6KKyJo
http://www.youtube.com/watch?v=lSiQA6KKyJo
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: [เสนอแนะ] ผมอยากขอให้เปิด "ห้องใหม่" อีกซักห้องครับ
โพสต์ที่ 27
อยากรู้ว่้าหนังเรื่องนี้ พูดถึงอะไร ดูกันเอาเอง
Pirates of silicon valley
เปิดเรื่องด้วยการถ่ายทำโฆษณาข้างบน
http://www.youtube.com/watch?v=xflXMZL2stU
Pirates of silicon valley
เปิดเรื่องด้วยการถ่ายทำโฆษณาข้างบน
http://www.youtube.com/watch?v=xflXMZL2stU
- KGYF
- Verified User
- โพสต์: 399
- ผู้ติดตาม: 0
Re: [เสนอแนะ] ผมอยากขอให้เปิด "ห้องใหม่" อีกซักห้องครับ
โพสต์ที่ 28
โอ้พี่หมอสามัญชน
ดึงเข้าธรรมะได้ด้วย
ลึกซึ้งครับ
ผมสนับสนุนคุณ pak อีกหนึ่งเสียงครับ
ดึงเข้าธรรมะได้ด้วย
ลึกซึ้งครับ
ผมสนับสนุนคุณ pak อีกหนึ่งเสียงครับ
" สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ = การให้ธรรมะเป็นทาน ย่อมชนะการให้ทั้งปวง "
" ทุกข์มี เพราะยึด ทุกข์ยืด เพราะอยาก ทุกข์มาก เพราะพลอย ทุกข์น้อย เพราะหยุด ทุกข์หลุด เพราะปล่อย"
" ทุกข์มี เพราะยึด ทุกข์ยืด เพราะอยาก ทุกข์มาก เพราะพลอย ทุกข์น้อย เพราะหยุด ทุกข์หลุด เพราะปล่อย"
- jo7393
- Verified User
- โพสต์: 2486
- ผู้ติดตาม: 0
Re: [เสนอแนะ] ผมอยากขอให้เปิด "ห้องใหม่" อีกซักห้องครับ
โพสต์ที่ 29
เอาเฉพาะที่ดีๆถึงได้เข้ามาอยู่ในทำเนียบนี้ละกันครับ
ที่ไม่ดีโพสทางเสียหาย เราไม่พูดถึง จะได้ไม่เสี่ยงหมิ่นประมาท พูดแค่ บ.ทำอย่างนี้ให้เสียหายก็พอแต่ระบุช่วงเวลาที่ บ.ทำไม่ดีจะได้รู้ว่ามีใครเป็นทีม ผบห
แต่เวลาดีโพสระบุตัว CEO ไปเลยครับ
ดีไหมครับ
ที่ไม่ดีโพสทางเสียหาย เราไม่พูดถึง จะได้ไม่เสี่ยงหมิ่นประมาท พูดแค่ บ.ทำอย่างนี้ให้เสียหายก็พอแต่ระบุช่วงเวลาที่ บ.ทำไม่ดีจะได้รู้ว่ามีใครเป็นทีม ผบห
แต่เวลาดีโพสระบุตัว CEO ไปเลยครับ
ดีไหมครับ
“ถ้าราคาหุ้นแยกออกไปจากเส้นกำไร ไม่ช้าก็เร็วมันจะวิ่งกลับไปหาเส้นกำไรเสมอ”
เลือกบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่
อย่าอายที่จะถาม ไม่มีใครรู้ลึกทุก บ. ถ้าไม่รู้แล้วไม่ถามก็จะยิ่งไม่ฉลาด
เลือกบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่
อย่าอายที่จะถาม ไม่มีใครรู้ลึกทุก บ. ถ้าไม่รู้แล้วไม่ถามก็จะยิ่งไม่ฉลาด
-
- Verified User
- โพสต์: 1024
- ผู้ติดตาม: 0
Re: [เสนอแนะ] ผมอยากขอให้เปิด "ห้องใหม่" อีกซักห้องครับ
โพสต์ที่ 30
แบบเอาเฉพาะที่ดีๆเข้ามาก็ดีครับjo7393 เขียน:เอาเฉพาะที่ดีๆถึงได้เข้ามาอยู่ในทำเนียบนี้ละกันครับ
ที่ไม่ดีโพสทางเสียหาย เราไม่พูดถึง จะได้ไม่เสี่ยงหมิ่นประมาท พูดแค่ บ.ทำอย่างนี้ให้เสียหายก็พอแต่ระบุช่วงเวลาที่ บ.ทำไม่ดีจะได้รู้ว่ามีใครเป็นทีม ผบห
แต่เวลาดีโพสระบุตัว CEO ไปเลยครับ
ดีไหมครับ
แต่ประโยคสีน้ำเงินนี่ผมงงๆ มันหมายความว่าไงอ่ะครับ
"เพราะเรียบง่าย จึงชนะ"