ปีนี้บริษัทจะโตกี่เปอร์เซ็น= อัตรากำไรสุทธิ หรือเปล่าครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1487
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปีนี้บริษัทจะโตกี่เปอร์เซ็น= อัตรากำไรสุทธิ หรือเปล่าครั
โพสต์ที่ 2
ไม่ใช่ครับ เช่นอัตรากำไรสุทธิ 20% หมายถึงขายของ 100 ล้าน จะกำไร 20 ล้าน แต่ปีหน้าจะขายของได้ 100 ล้านเหมือนเดิมหรือเพิ่มขึ้นเป็น 110 ล้านหรือลดลง ต้องอาศัยการทำความเข้าใจตัวบริษัทครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 760
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปีนี้บริษัทจะโตกี่เปอร์เซ็น= อัตรากำไรสุทธิ หรือเปล่าครั
โพสต์ที่ 4
ผมว่าการมองการเติบโตดูจาก EPS (กำไรสุทธฺต่อหุ้น) ดีที่สุดครับ
เพราะ
ยอดขายโต แต่ถ้ากำไรสุทธิน้อยลง ->ก็ไม่ดี
กำไรสุทธิโต แต่โตน้อยกว่าการเพิ่มทุน(ถ้ามี) ->ก็ไม่ดีเพราะโดน dilute
ดังนั้น EPS Growth จึงดีที่สุด
ส่วนอัตรากำไรสุทธิที่คุณ pinakorn ถาม น่าจะหมายถึง net profit margin มันบอกว่ากำไรต่อชิ้นมากหรือน้อย
แต่มันไม่ได้บอกว่าขายของได้ปริมาณสัดส่วนมากขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ จึงไม่ใช่คำตอบสุดท้ายครับ
เพราะ
ยอดขายโต แต่ถ้ากำไรสุทธิน้อยลง ->ก็ไม่ดี
กำไรสุทธิโต แต่โตน้อยกว่าการเพิ่มทุน(ถ้ามี) ->ก็ไม่ดีเพราะโดน dilute
ดังนั้น EPS Growth จึงดีที่สุด
ส่วนอัตรากำไรสุทธิที่คุณ pinakorn ถาม น่าจะหมายถึง net profit margin มันบอกว่ากำไรต่อชิ้นมากหรือน้อย
แต่มันไม่ได้บอกว่าขายของได้ปริมาณสัดส่วนมากขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ จึงไม่ใช่คำตอบสุดท้ายครับ
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 760
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปีนี้บริษัทจะโตกี่เปอร์เซ็น= อัตรากำไรสุทธิ หรือเปล่าครั
โพสต์ที่ 5
พอดีมีเรื่องที่เพิ่งคิดได้แล้วอยากแชร์นะครับ
อ่านจากหนังสือของคุณสุมาอี้(คุณนรินทร์)เกี่ยวกับเรื่อง อัตราการเติบโตของกำไรของบริษัท
โดย สูตร G (growth) = (RR x ROE ) / 100 (หน่วยเป็น %)
ตอนแรกที่อ่านก็คิดว่าบริษัทจะมีการเติบโตจริง เท่ากับค่านี้เลยในแต่ละปี
แต่พออ่านซํ้าไปซํ้ามาเรื่อยๆ+ ลองคำนวณค่า G ตามสูตรแล้วมันได้ไม่เท่ากับ EPS Growth
จึงสรุปเอาเองว่าค่า G ที่คุณสุมาอี้ตั้งใจจะบอกน่าจะหมายถึง
อัตราการเติบโตของกำไรที่สูงที่สุดที่เป็นไปได้(Growth) สูตร G = (RR x ROE ) / 100 (หน่วยเป็น %)
เมื่อ
g = อัตราการเติบโตของกำไร (ที่สูงที่สุดที่บริษัท"ควร หรือ สามารถ"จะทำได้ โดยไม่พึ่งพาเงินทุนจากภายนอก เช่น เพิ่มทุน หรือ กู้หนี้เพิ่ม)
RR = สัดส่วนกำไรสะสมต่อกำไรทั้งหมด (RR คือส่วนที่ไม่ได้จ่ายปันผล, ถ้าบริษัทไม่จ่ายปันผลเลย คือ RR=100%)
ROE = return on equity (หน่วยเป็น%)
ตัวอย่าง เช่น กรณีบริษัทไม่จ่ายปันผลเลย เก็บกำไรเพื่อเอาไว้สร้างการเติบโตอย่างเดียว (อดเปรี้ยวไว้กินหวาน) นั่นคือ RR=100% แทนค่าตามสูตรแล้ว จะได้ growth = ROE
นั่นคือต่อให้ไม่จ่ายปันผลออกมาเลย แล้วเก็บกำไรเอาไว้ลงทุนต่อ ทุกบริษัทจะโตได้มากที่สุดเท่ากับROE ของบริษัทนั่นเองโดยไม่ใช้เงินทุนจากภายนอก
ดังนั้นบริษัทที่ต้องการเติบโตให้มากกว่า ROE ของตัวเอง จึงต้องกู้หนี้เพิ่ม หรือ เพิ่มทุน
ผมว่าประเด็นนี้คงจะมีประโยชน์สำหรับมือใหม่ให้หัดคำนวณและนำค่าG ไปใช้มากขึ้นซักเล็กน้อย อย่างน้อยก็เพื่อดูว่าเรามองการเติบโตของบริษัทมากเกินจริงจากทฤษฎีไปมากๆหรือเปล่า และอีกข้อ ถ้าคำนวณ EPS Growth มาเทียบกับ ค่า G ตามสูตรนี้ มันก็น่าจะช่วยบอกว่าบริษัทเติบโตจริงๆได้ใกล้เคียงกับค่า Limitationของมันเอง หรือไอ้ค่า posible maximum growth อันนี้แค่ไหน (แต่อย่าลืมว่าสูตรนี้ต้องอยู่ใต้เงื่อนไขว่า ไม่กู้หนี้เพิ่ม หรือ เพิ่มทุน ฉะนั้นในทางปฎิบัติอาจจะได้ใช้น้อยหน่อย เพราะ ไม่ค่อยเห็นบริษัทไหนไม่กู้หนี้เพิ่มซักเท่าไหร่)
ไม่ทราบท่านอื่นคิดอย่างไรกันบ้างครับ ไม่แน่ใจว่าผมเข้าใจถูกหรือเปล่า
อ่านจากหนังสือของคุณสุมาอี้(คุณนรินทร์)เกี่ยวกับเรื่อง อัตราการเติบโตของกำไรของบริษัท
โดย สูตร G (growth) = (RR x ROE ) / 100 (หน่วยเป็น %)
ตอนแรกที่อ่านก็คิดว่าบริษัทจะมีการเติบโตจริง เท่ากับค่านี้เลยในแต่ละปี
แต่พออ่านซํ้าไปซํ้ามาเรื่อยๆ+ ลองคำนวณค่า G ตามสูตรแล้วมันได้ไม่เท่ากับ EPS Growth
จึงสรุปเอาเองว่าค่า G ที่คุณสุมาอี้ตั้งใจจะบอกน่าจะหมายถึง
อัตราการเติบโตของกำไรที่สูงที่สุดที่เป็นไปได้(Growth) สูตร G = (RR x ROE ) / 100 (หน่วยเป็น %)
เมื่อ
g = อัตราการเติบโตของกำไร (ที่สูงที่สุดที่บริษัท"ควร หรือ สามารถ"จะทำได้ โดยไม่พึ่งพาเงินทุนจากภายนอก เช่น เพิ่มทุน หรือ กู้หนี้เพิ่ม)
RR = สัดส่วนกำไรสะสมต่อกำไรทั้งหมด (RR คือส่วนที่ไม่ได้จ่ายปันผล, ถ้าบริษัทไม่จ่ายปันผลเลย คือ RR=100%)
ROE = return on equity (หน่วยเป็น%)
ตัวอย่าง เช่น กรณีบริษัทไม่จ่ายปันผลเลย เก็บกำไรเพื่อเอาไว้สร้างการเติบโตอย่างเดียว (อดเปรี้ยวไว้กินหวาน) นั่นคือ RR=100% แทนค่าตามสูตรแล้ว จะได้ growth = ROE
นั่นคือต่อให้ไม่จ่ายปันผลออกมาเลย แล้วเก็บกำไรเอาไว้ลงทุนต่อ ทุกบริษัทจะโตได้มากที่สุดเท่ากับROE ของบริษัทนั่นเองโดยไม่ใช้เงินทุนจากภายนอก
ดังนั้นบริษัทที่ต้องการเติบโตให้มากกว่า ROE ของตัวเอง จึงต้องกู้หนี้เพิ่ม หรือ เพิ่มทุน
ผมว่าประเด็นนี้คงจะมีประโยชน์สำหรับมือใหม่ให้หัดคำนวณและนำค่าG ไปใช้มากขึ้นซักเล็กน้อย อย่างน้อยก็เพื่อดูว่าเรามองการเติบโตของบริษัทมากเกินจริงจากทฤษฎีไปมากๆหรือเปล่า และอีกข้อ ถ้าคำนวณ EPS Growth มาเทียบกับ ค่า G ตามสูตรนี้ มันก็น่าจะช่วยบอกว่าบริษัทเติบโตจริงๆได้ใกล้เคียงกับค่า Limitationของมันเอง หรือไอ้ค่า posible maximum growth อันนี้แค่ไหน (แต่อย่าลืมว่าสูตรนี้ต้องอยู่ใต้เงื่อนไขว่า ไม่กู้หนี้เพิ่ม หรือ เพิ่มทุน ฉะนั้นในทางปฎิบัติอาจจะได้ใช้น้อยหน่อย เพราะ ไม่ค่อยเห็นบริษัทไหนไม่กู้หนี้เพิ่มซักเท่าไหร่)
ไม่ทราบท่านอื่นคิดอย่างไรกันบ้างครับ ไม่แน่ใจว่าผมเข้าใจถูกหรือเปล่า
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- Financeseed
- Verified User
- โพสต์: 1304
- ผู้ติดตาม: 0