"ยิ่งลักษณ์" ชี้ พื้นฐานศก.ไทยดี-หุ้นร่วงตามตปท.แค่ระยะสั้น

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
วรันศ์ บัฟเฟต
Verified User
โพสต์: 1679
ผู้ติดตาม: 0

"ยิ่งลักษณ์" ชี้ พื้นฐานศก.ไทยดี-หุ้นร่วงตามตปท.แค่ระยะสั้น

โพสต์ที่ 1

โพสต์

นี่ผมรอหมอลักษณ์ออกมาฟันธงนะเนี่ย มาเมื่อไหร่ผมว่าเตรียมทำตรงข้ามได้เลย

:rofl:
SETสัปดาห์นี้รีบาวน์ได้ แต่ไม่มาก

กูรู ประสานเสียงSETสัปดาห์นี้รีบาวน์ คาดดัชนีฯขยับในกรอบ 940 - 1,000 จุด ชี้ วิกฤต ศก.โลกยังกดดันดัชนีฯผันผวนมาก สั่งเกาะติดปัจจัยภายนอกเป็นหลัก แนะwait & see ฟาก ดีบีเอสวิคเคอร์ส ชูหุ้นกลุ่มแบงก์ -อาหาร สื่อสาร-บันเทิง ปลอดภัยสุดช่วงวิตกเศรษฐกิจโลกกดดันตลาดฯ ด้าน "ยิ่งลักษณ์" ระบุหุ้นร่วงแค่ผลระยะสั้น 'กิตติรัตน์' ยัน SETสัปดาห์นี้ไม่ร่วงแรง

หลังจากการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ เมื่อวันที่ 20-21 ก.ย.นี้ ไม่สามารถเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนให้กลับคืนมาได้ ส่งผลให้ให้ภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งลงอย่างรุนแรง เนื่องจากกังวลต่อแนวโน้มการถดถอยของเศรษฐกิจโลก โดยตลาดหุ้นไทยปิดตลาดฯเมื่อวันที่ 23 ก.ย.54 ปิดลบ 32.43 จุด มาที่ 958.16 ซึ่งนับเป็นดัชนีที่ต่ำสุดในรอบ กว่า 7 เดือน นับจาก 11 ก.พ.54 ซึ่งดัชนีปิดที่ 949.57 จุด โดยดัชนีฯทำจุดสูงสุดของวันที่ 972.53 และต่ำสุดอยู่ที่ 940.42 โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 50,108.85 ล้านบาท ดังนั้น สัปดาห์นี้หุ้นไทยจะมีทิศทางอย่างไร

*กูรู ลุ้น SETสัปดาห์นี้รีบาวน์ คาดดัชนีฯขยับในกรอบ 940 - 1,000 จุด แนะนักลงทุนทยอยสะสมหุ้นลงแรง

นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยสัปดาห์นี้ คาดว่าจะทรงตัวในลักษณะรีบาวน์ได้ หลังจากท้ายสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นปรับลดลงมาแรงและเร็ว ทั้งนี้ นักลงทุนต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ทยอยออกมา และกรีซจะได้รับเงินช่วยเหลืองวดต่อไปหรือไม่ รวมทั้งจับตาการประชุม G20 ในวันที่ 23 ก.ย.นี้ ด้านปัจจัยในประเทศไม่ส่งผลต่อลบรรยากาศในการลงทุนมากนัก
" แม้นโยบายคืนภาษีรถยนต์คันแรก คันละไม่เกิน 1ล้านบาท และนโยบายบ้านหลังแรกของรัฐบาลออกมา ก็ไม่อาจต้านทานความกังวลของตลาดฯ ได้ ส่งผลให้หุ้นกลุ่มยานยนต์วันนี้ปรับลดลงแรง รวมทั้งกลุ่มอสังหาฯ ปรับลดลงเช่นกัน เป็นไปในทิศทางเดียวกับดัชนีฯ " นายสมชาย กล่าว
กลยุทธ์การลงทุน เนื่องจากดัชนีฯ ปรับลดลงแรง แนะนำนักลงทุนทยอยสะสมหุ้นที่ลงแรงตามตลาด และรอจังหวะทำกำไรหากราคาหุ้นรีบาวน์ได้ อาทิ SCC, QH และ BAY โดยประเมินแนวรับดัชนีฯ อยู่ที่ 950 - 940 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 980 - 1,000 จุด

* โบรกฯ ฟันธง หุ้นไทยสัปดาห์นี้ รีบาวน์ได้ไม่มาก เหตุวิกฤต ศก.โลกยังกดดัน

นายเกียรติก้อง เดโช นักกลยุทธ์ บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ ดัชนีฯ มีโอกาสรีบาวด์ หลังวันทำการสุดท้ายของสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีฯ ปรับตัวลงมาเร็วและแรงมาก อย่างไรก็ตามเชื่อว่าคงจะขึ้นได้ไม่มาก เพราะวิกฤตเศรษฐกิจ โลกยังกดดันตลาด
"ตลาดยังลงต่อ เหมือนกับตลาดหุ้นในต่างประเทศ เพราะนักลงทุนกังวลว่าเศรษฐกิจ โลกจะชะลอตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้"นายเกียรติก้องกล่าว

* เซียนหุ้น ชี้ อนาคตดัชนีฯสัปดาห์นี้ อยู่ที่ปัจจัยภายนอก คาดแนวรับอยู่ที่ 950 จุดแต่หากหลุดเจอกันที่ 930 จุด

นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยสัปดาห์นี้ ถือว่าคาดการณ์ได้ยาก แต่มีโอกาสรีบาวน์ขึ้นตามสัญญาณเทคนิค ทั้งนี้การเคลื่อนไหวของดัชนียังคงขึ้นอยู่กับปัจจัยข่าวทางเศรษฐกิจและปัญหาการแก้ไขหนี้สาธารณะในแต่ละประเทศเป็นสำคัญ ซึ่งหากสถานการณ์เบาบางลงในช่วงวันเสาร์และอาทิตย์นี้ก็มีโอกาสทำให้ดัชนีรีบาวน์ขึ้นในระดับหนึ่ง แต่หากยังไม่มีความคืบหน้าก็จำเป็นต้องติดตามทิศทางการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ รวมทั้งโอกาสในการเกิดปรากฎการณ์ window dressing และต้องติดตามการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 3/54 ซึ่งหากออกมาดีจะยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าพื้นฐานหุ้นของตลาดหุ้นไทยยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี ดังนั้นการที่ราคาหุ้นและดัชนีปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง จึงไม่ได้เกิดขึ้นจากปัจจัยพื้นฐานของหุ้นแต่ละตัว
สำหรับคำแนะนำในการลงทุน หากนักลงทุนท่านใดที่กำลังเผชิญปัญหาการถือครองหุ้นในราคาที่สูง แนะนำให้ติดตามสถานการณ์อย่างสงบ ขณะเดียวกันนักลงทุนที่มีหุ้นอยู่ในมือสามารถตั้งรับเพื่อหาจังหวะขายออกในช่วงที่ราคาหุ้นดีดตัวขึ้นไปได้ ขณะที่นักลงทุนที่ไม่มีหุ้นในมือแนะนำว่าสามารถเก็งกำไรและเล่นสั้นตามจังหวะของการดีดตัวของดัชนีได้ ทั้งนี้ประเมินแนวรับไว้ที่ 950 จุด และหากหลุดต่ำกว่าแนวรับดังกล่าวจะมีแนวรับถัดไปอยู่ที่ 930 จุด

* นักวิเคราะห์ ชี้ หุ้นไทยสัปดาห์นี้ร่วง ดัชนีฯ จะผันผวนมาก เหตุนักลงทุนหลังผวาศก.โลกทรุด แนะ wait & see ให้แนวรับ 937 จุด

นางสาวธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้จะปรับลดลง การเคลื่อนไหวของดัชนีฯ จะมีความผันผวน เพราะเชื่อว่านักลงทุนยังไม่มีความมั่นใจกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังย่ำแย่ ทั้งนี้ได้ประเมินแนวรับแรกที่ 937 จุด แต่หากดัชนีฯ ปรับตัวลดลงต่อเนื่องจนหลุด 900 จุด ก็มีความเป็นไปได้ที่จะปรับลดลงแตะแนวรับถัดไปที่ 850 จุด ซึ่งถือว่าเป็นระดับแนวรับสำคัญ
อย่างไรก็ดีในเบื้องต้นคงต้องติดตามความคืบหน้าของการชำระหนี้ประเทศกรีซในรอบต่อไป ว่าจะมีความสามารถเพียงพอต่อการชำระหนี้ได้หรือไม่ และการประชุมของผู้นำในแต่ละประเทศว่าจะมีมาตรการเพิ่มเติมเข้ามาช่วยเหลือการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างไร ซึ่งหากมีมาตรการใหม่ๆ ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจก็จะเป็นส่วนช่วยให้ดัชนีฯ สามารถรีบาวน์ได้ในช่วงสั้นๆ โดยมีกรอบจำกัด เพราะในภาพรวมตลาดฯ ยังเป็นทิศทางขาลงทำให้การปรับตัวลดลงจะเป็นไปในลักษณะซึมลง
ด้านกลยุทธ์การลงทุน นักลงทุนระยะสั้นควร wait & see ไปก่อน เพราะมีความเสี่ยงอยู่มากจากตลาดฯ ที่ปรับตัวลดลง ส่วนระยะยาวหาจังหวะซื้อหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากปัจจัยในประเทศสนับสนุน อาทิ กลุ่มสื่อสาร กลุ่มธนาคาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ประเมินแนวรับที่ 937 จุด และแนวรับถัดไปที่ 850 จุด แนวต้านที่ 990 -1000 จุด
ด้านนายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้จะมีความผันผวนมาก แต่เชื่อว่าดัชนีฯ จะสามารถยืนทรงตัวได้ที่ระดับแนวรับสำคัญ 950 จุด เพราะเบื้องต้นเชื่อว่าหากดัชนีฯ ปรับลดลงหลุดระดับแนวรับดังกล่าวก็สามารถดีดกลับขึ้นมาได้ในระยะเวลาอันสั้น หลังจากประเมินว่าตลาดหุ้นไทยยังมีพื้นฐานที่ดีสะท้อนจากค่า P/E ที่อยู่ประมาณ 10 เท่า เทียบกับผลประกอบการบริษัทในตลาดฯ ทั้งปี 55 ทั้งนี้ คงต้องติดตามความคืบหน้าจากปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจโลกต่อไป
โดยกลยุทธ์การลงทุน แนะนำ wait & see เพราะหากเทรดดิ้งก็ยังมีความเสี่ยงที่สูงมาก โดยแนะนำซื้อระยะยาว เน้นหุ้นปันผลที่ได้อานิสงส์จากปัจจัยในประเทศ เช่น สื่อสาร วัสดุก่อสร้างประเมินแนวรับ 950 จุด และแนวต้าน 980 จุด

* ดีบีเอสวิคเคอร์ส ชี้ หุ้นกลุ่มแบงก์ -อาหาร สื่อสาร-บันเทิง ปลอดภัยสุดช่วงวิตกเศรษฐกิจโลกกดดันตลาดฯ

บทวิเคราะห์ บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส ระบุว่า วิตกเศรษฐกิจโลกถดถอยกดดันตลาด หลังตลาดฯประเมินว่ามาตรการ Operation Twist ของเฟดอาจไม่มีกำลังมากพอที่จะช่วยฟื้นเศรษฐกิจสหรัฐที่ซบเซามาก ประกอบกับมองว่าวิกฤติหนี้สินยูโรโซนอาจฉุดเศรษฐกิจโลกให้ถดถอยอีกรอบ เพราะ IMF ประเมินล่าสุดเมื่อ 21 ก.ย.54 ว่าภาคการเงินของยุโรปอาจถูกกระทบสูงขึ้นเป็น 3 แสนล้านยูโรและต้องเพิ่มทุนจำนวนมาก (ซึ่งตัวเลขดังกล่าวสูงมากเมื่อเทียบกับผลการทำ Stress test ภาคการเงินยุโรปที่ระบุว่าภาคการเงินเต้องเพิ่มทุนเพียง 2.5 พันล้านยูโร) ทำให้วิตกว่าปัญหาหนี้สินของสหภาพยุโรปอาจจะลุกลามและใหญ่กว่าที่เคยประเมินกันไว้ ส่วนในประเทศ มองว่าขณะนี้ภาครัฐและหลายฝ่ายกำลังเร่งกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศเพื่อมาชดเชยกับการชะลอตัวของรายได้ในภาคส่งออกที่จะถูกกระทบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวมากและอาจถึงขั้นถดถอย และทางธปท.ก็ออกมาแสดงความกังวลกับสถานการณ์ภายนอกที่แย่ลงอย่างรวดเร็ว ทำให้การพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในรอบต่อไปอาจต้องหารือกันเข้มข้นมากขึ้น ซึ่งเรามองว่าความร่วมมือกันสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจภายในเพื่อต่อสู้กับความอ่อนแอภายนอกเป็นสิ่งที่ดี และจะนำพาเศรษฐกิจไทยให้ฝ่าวิกฤติรอบนี้ไปได้ โดยรวมเรายังชอบกลุ่มอุตสาหกรรมและหุ้นที่อิงกับอุปสงค์ในประเทศ ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์, อาหาร, พาณิชย์, สื่อสาร, สื่อ & บันเทิง กลยุทธ์การลงทุน : ซื้อหุ้นพื้นฐานดีจังหวะอ่อนตัว

* "ยิ่งลักษณ์" ชี้ โครงสร้างพื้นฐานศก.ไทยดี-หุ้นร่วงตามตปท.แค่ผลระยะสั้น

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึง ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลงแรงในวันเมื่อวันที่ 23 ก.ย.54 ว่า มาจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลก แต่เชื่อว่ามีผลกระทบต่อไทยไม่มาก เพราะประเทศไทยมีการเตรียมพื้นฐานของเศรษฐกิจในประเทศ พร้อมเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน นอกจากนี้ นายกฯ กล่าวย้ำว่าโครงการประชานิยม จะเน้นการสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจ ลดภาระหนี้สิน และเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน ส่วนระยะยาวจะเน้นโครงการรถไฟและโครงการลงทุนขนาดใหญ่ โดยจะพยายามทำให้ประชาชนรับรู้ข่าวสารเพิ่มมากขึ้น และยืนยันว่าการลงทุนในประเทศยังเปิดกว้างสำหรับนักลงทุน

* 'กิตติรัตน์' ชี้ สัปดาห์นี้ไม่ร่วงหนัก เชื่อทุนนอกยังไหลเข้า เหตุภาพรวมศก.เอเชียยังดี

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึง หุ้นไทยที่ร่วงลงแรง(23ก.ย. 54) ว่า เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลกที่เกิดความตกใจว่าภาวะเศรษฐกิจโลกอาจเกิดภาวะถดถอย และความผิดหวังของนักลงทุนจากการที่สหรัฐไม่ได้ใช้มาตรการ QE3 ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจอีกรอบ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะกระทบตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นเท่านั้น
" สถานการณ์ดังกล่าวจะกระทบกับตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น เพราะเป็นเรื่องเก่าที่ตลาดรับรู้มาแล้ว และพอจะคาดการณ์ได้บ้าง ดังนั้น ในสัปดาห์นี้ เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยคงไม่ตกลงอย่างหนักอีก รวมถึงภาพรวมเศรษฐกิจเอเชียยังดีอยู่ จึงเชื่อว่าไม่น่าจะมีการแห่เทขายหุ้นออกมาแล้ว และจะมีการนำเงินกลับเข้ามาลงทุนในเอเชีย" รองนายกฯและรมว.พาณิชย์กล่าว

* "จรัมพร" ย้ำ หุ้นไทย-หุ้นโลกร่วงแรง เพราะไม่มั่นใจศก.สหรัฐ-ยุโรป ชี้แค่ผลกระทบระยะสั้น แนะเป็นโอกาสซื้อลงทุนยาว

นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เปิดเผยว่า ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยและหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง เนื่องจากนักลงทุนไม่มั่นใจเศรษฐกิจสหรัฐฯ กรณีที่สหรัฐยังไม่มีรายได้ใหม่เข้ามา และยังมีปัญหาการเงินยืดเยื้อ
ขณะเดียวกันสถานการณ์เศรษฐกิจการเงินและหนี้สาธารณะในยุโรปยังไม่แน่นอนและมีโอกาสบานปลาย ส่งผลให้ในระยะสั้นนักลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียขายทำกำไรเพื่อนำเงินไปชดเชยปัญหาการเงินในสหรัฐฯและยุโรป ส่วนระยะยาวคาดว่าหุ้นไทยจะเป็นไปตามพื้นฐานของบริษัท
นายจรัมพร กล่าวด้วยว่า การปรับตัวลดลงแรงของตลาดหุ้นในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสของนักลงทุนไทยที่จะเข้าซื้อ โดยระยะสั้นแนะนำให้ลงทุนอย่างระมัดระวัง เพราะภาพรวมตลาดหุ้นมีความผันผวน ส่วนระยะยาวแนะนำให้ลงทุนโดยพิจารณาจากพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียน อย่างไรก็ตาม คาดว่าเม็ดเงินในตลาดหุ้นเอเชียช่วงนี้ยังไหลออกเพื่อนำเงินไปชดเชยการขาดทุนในฝั่งสหรัฐฯ และยุโรป

*บิ๊ก PTT มั่นใจปัญหาศก.โลก ไม่แรงเหมือนวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ชี้ เป็นจังหวะดีสำหรับการเข้าซื้อกิจการ เพื่อต่อยอดธุรกิจ

ดร.โชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่นโยบายและเศรษฐกิจพลังงาน บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) หรือ PTT กล่าวว่า ในภาวะเศรษฐกิจโลกและปัญหาหนี้ยุโรปทำให้เศรษฐกิจถดถอย ส่งผลให้ตลาดหุ้นต่ำลง เอเชียและยุโรป ต่างชาติก็ถอนทุนออก เกิดการ Panic sale แต่เหตุการณ์น่าจะเป็นระยะสั้นๆ โดยเฉพาะตลาดเอเชียและอาเซียน ไม่รุนแรงเหมือนวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ และวิกฤตที่เกิดขึ้นนี้เป็นผลดีต่อ PTT ที่จะมีโอกาสเข้าไปร่วมทุนในกลุ่มขุดเจาะ สำรวจปิโตรเคมีและไบโอฯ เพราะบริษัทเหล่านี้ประสบปัญหาในภาวะเศรษฐกิจโลก จึงมีพอมีโอกาสเข้าไปร่วมทุนได้ง่ายขึ้น

*ยูไนเต็ด ยังคงเป้าหมายง SET ปี 54 ที่ 1,200-1,250 จุด แต่แนะระมัดระวังในการเข้าลงทุน

บทวิเคราะห์ บล.ยูไนเต็ด ระบุว่า สำหรับปี 54 เรายังคงมีมุมมอง “เชิงบวก” ต่อการลงทุนในตลาดหุ้น จากประเด็นต่อไปนี้ คือ เศรษฐกิจผ่านจุดต่ำสุดของวัฏจักรแล้วตั้งแต่ปี 52 และกำลังฟื้นตัวตามรูปแบบตัว “U” ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา+ยุโรป ทำให้เม็ดเงินไม่ไหลออกจากเอเชีย การแบ่งขั้วที่ลดลง+การจัดการเลือกตั้งใหม่ ทำให้ไม่เกิดหตุการณ์จลาจลอย่างปี 53-54
อย่างไรก็ตาม ตลาดฯ ก็มี “ปัจจัยเสี่ยง” ที่มีผลกระทบกดดันอยู่หลายๆ ประเด็นเช่นกัน คือ แรงกดดันภาวะเงินเฟ้อทำให้ธนาคารกลางประเทศต่างๆ มีท่าทีที่ระมัดระวังมากขึ้น สถานการณ์ที่ผันผวนสูงทำให้นักลงทุนอยู่ในภาวะ “กลัวความเสี่ยง” (risk aversion) ราคาน้ำมันผันผวนตามสถานการณ์ในตะวันออกกลางและความเสี่ยงการก่อการร้าย และการคาดการณ์เกี่ยวกับทิศทางของนโยบายการเงินหลังหมดมาตรการ QE2
เรายังคงเป้าหมาย SETI ที่ 1,200-1,250 จุด แต่ก็ต้องระมัดระวังในการเข้าลงทุน เพราะยังต้องเน้นที่การ “เลือกกลุ่ม/เลือกหุ้น” สูง เพราะ SETI เข้าใกล้เป้าหมายค่อนข้างมาก
value trap
รูปภาพ
โพสต์โพสต์