วิธีหาหุ้นดีๆในภาวะวิกฤต (ด้วยสัดส่วนทางการเงินแบบง่ายๆ)

[roadtobillion]

ในทุกวิกฤตมีโอกาส ทุกครั้งที่ตลาดหุ้นปรับตัวแรงๆอาจจะหมายถึงโอกาสในการเฟ้นหาหุ้นดีๆราคาถูกๆ ฉะนั้นผมจึงคิดว่าน่าจะหา “เครื่องมือ” ง่ายๆมาให้ชาว ThaiVI มาใช้ในการ “คัดกรอง” หุ้นดีๆออกจากหุ้นผีๆ กำจัดหุ้นเน่าและหุ้นแมงเม่า เพื่อให้เรามีแนวทางในการลงทุนที่ชัดเจนขึ้น ไม่สะเปะสะปะไปตามอารมณ์ของเรา

(แต่ต้องขอออกตัวไว้ก่อนว่าไม่มีอะไรถูกต้องสมบูรณ์แบบ 100% หรอกนะครับ โปรดใช้วิจารญาณในการอ่านด้วยครับ)

ในการวิเคราะห์สามารถใช้ข้อมูลจาก http://www.set.or.th หรือ eFinanceThai ก็ได้ครับ ดูย้อนหลังอย่างน้อย 5 ปีนะครับ พยายามมองหาหุ้นที่มีตัวเลขที่มีความสม่ำเสมอ ถ้าหุ้นตัวไหนมีตัวเลขที่ดีปีแย่ปี หรือ มีข้อมูลน้อยกว่า 5 ปี พยายามเลี่ยงนะครับ

1. หุ้นที่มี ROE หรืออัตราส่วนของผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น มากกว่า 15%

ตัวเลขนี้จะบอกว่าบริษัทสร้างผลตอบแทนจากเงินลงทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าสามารถทำผลตอบแทนได้สูงกว่าต้นทุนทางการเงิน บริษัทก็จะมีมูลค่ามากขึ้นทุกๆปีครับ แต่ให้ระวังบริษัทที่มีหนี้เยอะๆนะครับ บริษัทพวกนี้อาจจะมี ROE ที่สูงมากเนื่องจากไปกู้เงินคนอื่นมาลงทุน ผลตอบแทนก็เลยดี แต่บริษัทเหล่านี้ก็จะมีความเสี่ยงสูงนะครับ ระวังด้วยนะครับ

2. หุ้นที่มีหนี้สินน้อย

ในข้อนี้ผมใช้หลักของบัฟเฟต์ (ในหนังสือ “ศาสตร์แห่งบัฟเฟต์”) ซึ่งเป็นอะไรที่เข้าใจได้ง่ายดีครับ คือเอาหนี้สินทั้งหมดมาหารด้วยกำไรสุทธิปีล่าสุด (หรือกำไรเฉลี่ยห้าปีย้อนหลัง) ถ้าสมมติว่าตัวเลขนั้นออกมาเป็น 3 เท่า ก็หมายความว่าบริษัทนี้สามารถจ่ายหนี้สินได้ภายในสามปี ธุรกิจแต่ละชนิดอาจจะหนี้ไม่เท่ากัน ฉะนั้นต้องเปรียบเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมนั้นๆด้วยนะครับ แต่ถ้าทุกอย่างเหมือนๆกัน พยายามเลือกบริษัทที่มีหนี้สินน้อยๆหรือไม่มีเลยนะครับ

3. หุ้นที่มี P/E และ P/B อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับช่วงวิกฤตปี 2008 (เมื่อเทียบกับตัวมันเองในอดีต)

ตัวเลขที่ใกล้เคียงกับระดับในปี 2008 แสดงว่าหุ้นมี downside risk ค่อนข้างจำกัด แต่ต้องระวังหน่อยนะครับ หุ้นบางตัวที่มี PE 5 เท่า ไม่ได้แปลว่ามันถูกนะครับ หุ้นตัวนั้นๆอาจจะมีปัญหาทางการเงิน มีสภาพคล่องน้อย หรืออาจจะมีความผันผวนของกำไรค่อนข้างสูง ฉะนั้นทางที่ดีที่สุดคือต้องเอา PE ไปเทียบกับ PE ของหุ้นตัวนั้นๆในอดีตครับ

4. หุ้นที่มี Dividend Yield หรือผลตอบแทบในรูปของเงินปันผลสูงกว่า 5%

อย่างไรก็ตามตัวเลขตัวนี้ต้องระวังหน่อยครับ ส่วนมาก Yield จะคำนวณจากเงินปันผลในอดีตซึ่งอาจจะแตกต่างกับเงินปันผลในอนาคต เพราะกำไรอาจจะผันผวนได้มาก ในส่วนนี้เราต้องศึกษาและทำความเข้าใจธุรกิจนั้นๆว่ามีรายได้มาจากอะไร และวิกฤตทางการเงินจะมีผลต่อรายได้และกำไรของบริษัทอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจส่งออกอุปกรณ์อีเล็กโทรนิคส์แห่งหนึ่ง อาจจะมีสัดส่วนลูกค้าในประเทศยุโรปเยอะ ฉะนั้นวิกฤตทางการเงินในยุโรปอาจจะมีผลต่อยอดขายและกำไรค่อนข้างมาก เนื่องจากลูกค้าชะลอการลงทุน เป็นต้น

5. พยายามหลีกเลี่ยงหุ้นที่เข้าใจยาก

เช่นหุ้นปิโตรเคมี หุ้นโรงกลั่น เนื่องจากความซับซ้อนทางโครงสร้างธุรกิจอาจจะทำให้เรามองไม่ออกว่าผลกระทบที่ได้รับจะเป็นอย่างไร อย่าลืมว่าการไม่รู้ถือว่าเป็นความเสี่ยงนะครับ การเลือกหุ้นที่เข้าใจง่ายๆนอกจากจะปลอดภัยกว่าแล้วยังจะทำให้เราไม่เสียเปรียบนักลงทุนท่านอื่นๆอีกด้วยครับ เพราะถือว่ารู้เท่ากัน มีความเข้าใจพอๆกัน

อย่างไรก็ตามประเด็นเหล่านี้ก็เป็นเพียงแค่ “แนวทาง” นะครับ ยังมีปัจจัยอีกเยอะแยะที่ผมไม่ได้เอามากล่าวถึง แต่อย่างน้อยผมก็เชื่อว่า “เครื่องมือ” ตรงนี้ก็น่าจะพอช่วยให้หากิน และเอาตัวรอดในตลาดที่ผันผวนจนชวนจะเป็นลมแบบนี้ได้ดีระดับนึงนะครับ อย่าลืมนะครับ ยิ่งเราทำการบ้านมากแค่ไหน เรายิ่งได้เปรียบมากเท่านั้นครับ

ด้วยรักและพันล้าน
Road to Billion

เรียนรู้เกี่ยวกับหุ้น การเงินส่วนบุคคล และหลักการในการสร้างความมั่งคั่งได้ที่ http://www.facebook.com/roadtobillion

คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดใช้วิจารณญาณในการลงทุนอย่างรอบคอบ หน้าที่หลักของเจ้าของบทความคือให้เพื่อความรู้และแบ่งปันประสบการณ์ แต่โปรดเข้าใจว่าเจ้าของบทความไม่สามารถให้ความช่วยเหลือ หรือส่งเสียครอบครัวของ “ผู้เสียหายจากตลาดหุ้น” ได้ ฉะนั้นถ้าคิดถึงตัวคุณเองและครอบครัวในอนาคต กรุณาทำการบ้านให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง

[roadtobillion]

ปรกติคนอื่นๆดูตัวเลขอะไรกันบ้างครับ? ใช้แล้วได้ผลยังไงบ้าง? มาแลกเปลี่ยนไอเดียกันครับ ^_^

[yoko]

roe,roa,รายได้>10 ต่อเนื่องอย่างน้อย3ปี
pe<5