“แบลคมันเดย์” เพิ่งเริ่มต้นและยังต้องมาอีกหลายระลอก

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
tum_H
Verified User
โพสต์: 1857
ผู้ติดตาม: 0

“แบลคมันเดย์” เพิ่งเริ่มต้นและยังต้องมาอีกหลายระลอก

โพสต์ที่ 1

โพสต์

“แบลคมันเดย์” เพิ่งเริ่มต้นและยังต้องมาอีกหลายระลอก vote [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน

ณ บ้านพระอาทิตย์
โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

ปรากฏการณ์เมื่อวันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554 ที่ตลาดหุ้น ทองคำ น้ำมัน และค่าเงิน ทั่วโลกลดมูลค่าพร้อมๆกันและหลังจากนั้นเกิดการช้อนซื้อครั้งใหญ่ เป็นสัญญาณเริ่มต้นของวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังจะต้องมาถึงอย่างแน่นอนแล้ว จนเรียกกันว่าเป็น “วันจันทร์สีดำ”หรือ “แบล็คมันเดย์”

และสิ่งที่เกิดขึ้นวันจันทร์ที่ผ่านมาเกิดจากปัจจัย 2 ประการคือ

ประการแรก ธนาคารหลายแห่งทั้งในยุโรปและอเมริกา ทยอยถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ ทำให้เกิดความหวั่นวิตกว่า กรีซ อาจจะพักชำระหนี้หรือ “ชักดาบ” ลดหนี้อันมหาศาลของตัวเองและจะส่งผลเสียหายต่อธนาคารในยุโรป อันเป็นแหล่งเงินทุนของเฮดจ์ฟันด์ไปด้วย

เมื่อธนาคารในยุโรปและสหรัฐอเมริกาถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ จึงเกิดการสั่นคลอนอย่างหนัก และทำให้ธนาคารพาณิชย์ซึ่งปล่อยกู้ให้กับ เฮดจ์ฟันด์ ซึ่งได้ไปเข้าไปปั่นราคาในตลาด หุ้น น้ำมัน ทองคำ และค่าเงินแต่ละประเทศ จำเป็นต้องเรียกเงินคืนอย่างเร่งด่วน เพื่อสำรองเงินสดเอาไว้ในมือทั้งเตรียมความพร้อมให้กับผู้ที่ถอนเงินออกจากธนาคาร และเตรียมความพร้อมสำหรับการที่ต้องเพิ่มทุนอย่างเร่งด่วน

ประการที่สอง เฮดจ์ฟันด์เมื่อถูกธนาคาร “เริ่ม” ทวงหนี้ระลอกแรก นอกจากจะต้องเทขายสินทรัพย์ที่มีอยู่ในมือเพื่อคืนหนี้ธนาคารแล้ว ยังถือโอกาสทำกำไรด้วยการผสมโรงเทขายมากกว่าเงินที่ต้องคืนให้กับธนาคารในยุโรป ด้านหนึ่งเพื่อทำกำไรสูบความมั่งคั่งในแต่ละประเทศ อีกด้านหนึ่งทุบเพื่อกดราคาสินทรัพย์ทั่วโลกให้ต่ำ ทั้งหุ้น น้ำมัน ทองคำ และค่าเงิน และเข้าช้อนซื้อเตรียมทำกำไรแบบนี้อีกหลายระลอก

ที่ว่าปรากฏการณ์แบบ “แบลคมันเดย์” ยังจะต้องเกิดขึ้นอีกหลายระลอกนั้น ก็เพราะเหตุว่าการถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในยุโรป “จะต้องเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง” เพราะในขณะนี้แม้ยังไม่มีใครชักดาบจริงๆ แต่ก็เล็งเห็นได้แล้วว่าจะต้องเกิดการ "ลดหนี้” และ “ยืดหนี้” เกิดขึ้นอย่างแน่นอนในยุโรปหลายแห่ง

4.6 แสนล้านเหรียญสหรัฐ คือตัวเลขเบื้องต้นที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ เรียกร้องให้ธนาคารพาณิชย์ในยุโรปต้องเร่งเพิ่มทุนด้วยเม็ดเงินดังกล่าว ซึ่งถือว่าไม่ใช่ตัวเลขน้อยๆ ในภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอทั้งในยุโรป และสหรัฐอเมริกา

ปัญหาหลักสำคัญในเวลานี้ก็คือยุโรปและอเมริกากลายเป็นประเทศสูญเสียความสามารถการแข่งขันด้านการผลิตให้กับภูมิภาคเอเชีย จึงล้วนแล้วแต่เสียดุลการค้า และดุลบัญชีเดินสะพัดทุกปีให้กับภูมิภาคเอเชีย จนเงินตราในทุนสำรองระหว่างประเทศได้หดหาย จึงแก้ปัญหาด้วยการที่รัฐบาลแต่ละประเทศออกพันธบัตรกู้เงินต่างประเทศจนกระทั่งหนี้สินล้นพ้นตัว

บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือทั้ง แสดนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส (แปลว่า:บริษัทมาตรฐานและยากจน) และ มูดีส์ (แปลว่า:บริษัทขี้หงุดหงิด) ต่างเป็นตัวการสำคัญที่ปรนเปรอตราสารในยุโรปและอเมริกาจัดอันดับว่าน่าเชื่อถือมาก ทำให้กู้ได้อย่างไร้ขีดจำกัด และเมื่อโลกตื่นขึ้นมาพร้อมๆกันจึงทำให้ยุโรปและสหรัฐอเมริกาต้องเผชิญหน้ากับชีวิตจริงว่ามีหนี้สินล้นพ้นตัวที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้แล้ว บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือเหล่านนี้จึงหนีไม่พ้นต้องมาปรับอันดับความน่าเชื่อถือให้ลดลงในภายหลัง

แต่วิกฤติของโลกครั้งนี้ยิ่งใหญ่กว่า วิกฤติต้มยำกุ้ง เมื่อปี พ.ศ. 2540 หลายเท่าตัวนัก และตัวเลขหนึ่งที่เห็นสัญญาณนี้ก็คือ ตัวเลขสัดส่วนระหว่าง “หนี้ต่างประเทศ” กับ “ทุนสำรองระหว่างประเทศ”

ประเทศไทยที่ระบุว่าเป็นต้นเหตุของวิกฤตต้มยำกุ้งลามไปทั้งภูมิภาคเอเชียในปี 2540 นั้น ก่อนหน้านั้น 1 ปี (พ.ศ.2539) ไทยมีหนี้ต่างประเทศทั้งของรัฐและเอกชนรวม 108,742 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่มีทุนสำรองระหว่างประเทศ 38,724 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีหนี้ต่างประเทศสูงกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศถึง 2.8 เท่า จึงถูกโจมตีค่าเงินถอนหนี้ระยะสั้นอย่างเร่งด่วน จนแทบหมดทุนสำรองระหว่างประเทศ ยอมลอยค่าเงินบาท แก้ไขกฎหมายเอื้อประโยชน์ต่างชาติมาสูบและปล้นสินทรัพย์ในประเทศไทย

ขนาดประเทศไทยมีหนี้ต่างประเทศ 1 แสนกว่าล้านเหรียญ และมีหนี้มากกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศสูงกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศ 2.8 เท่าตัว ยังเกิดวิกฤติลามไปทั่วภูมิภาคได้ แต่คราวนี้ปัญหาใหญ่กว่าและเลวร้ายกว่าปี 2540 หลายสิบเท่าตัว

เมื่อเทียบตัวเลขสัดส่วนหนี้ต่างประเทศกับทุนสำรองระหว่างประเทศของแต่ละประเทศในยุโรปรอบนี้ ก็จะพบตัวเลขที่น่าสนใจดังนี้ กรีซมีหนี้ต่างประเทศสูงกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศ 77 เท่าตัว, อังกฤษมีหนี้ต่างประเทศสูงกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศ 79 เท่าตัว, สเปน มีหนี้ต่างประเทศสูงกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศ 55 เท่าตัว, ไอร์แลนด์ มีหนี้ต่างประเทศสูงกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศ 54 เท่าตัว, ฝรั่งเศส มีหนี้ต่างประเทศสูงกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศ 26 เท่าตัว, โปรตุเกส มีหนี้ต่างประเทศสูงกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศ 22 เท่าตัว, เยอรมนี มีหนี้ต่างประเทศสูงกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศ 20 เท่าตัว, อิตาลี มีหนี้ต่างประเทศสูงกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศ 13 เท่าตัว

หนี้ต่างประเทศของ 8 ประเทศข้างต้นนั้นรวมกันแล้วสูงถึง 23 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ!

8 ประเทศนี้มีอาการเหมือนกันคือ มีหนี้ต่างประเทศมากกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศนับหลายสิบเท่าตัว และขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างหนักทุกปี (ยกเว้นเยอรมนี) เปรียบเสมือนคนมีหนี้สินต่างประเทศล้นพ้นตัวแต่ไม่มีความสามารถในการค้าขายต่างประเทศที่จะไปชำระหนี้สินอันมหาศาลได้ทุกปี

ซ้ำร้ายกว่านั้นรัฐบาลในประเทศเหล่านี้ก็มีภาระค่าสวัสดิการที่ต้องดูแลประชาชนจำนวนมหาศาลขาดดุลงบประมาณและต้องกู้หนี้ยืมสินจนก่อให้เกิดหนี้สาธารณะอยู่ในระดับสูง และยังมีอัตราการว่างงานในประเทศอยู่ในระดับสูง ได้แก่ กรีซ มีหนี้สาธารณะคิดเป็น 143% เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) แต่มีการว่างงานสูงถึง 16.30% , อิตาลี มีหนี้สาธารณะคิดเป็น 119% ของ GDP มีอัตราการว่างงาน 8%, ไอร์แลนด์มีหนี้สาธารณะ 96.7% ของ GDP มีอัตราการว่างงาน 14.3% , โปรตุเกสมีหนี้สาธารณะ 93% ของGDP มีอัตราการว่างงาน 12.10%, เยอรมนีมีหนี้สาธารณะ 83% ของ GDP มีอัตราการว่างงาน 7%, ฝรั่งเศสมีหนี้สาธารณะ 82% ของ GDP มีอัตราการว่างงาน 9.60%, อังกฤษมีหนี้สาธารณะ 76% ของ GDP มีอัตราการว่างงาน 7.90%, สเปนมีหนี้สาธารณะ 60%ของ GDP มีอัตราการว่างงาน 20.89%

ปัจจัยชี้ขาดว่าจะพังวันไหนก็คือ “หนี้ระยะสั้น” ของแต่ละประเทศว่าจะถูกทวงคืนเร็วแค่ไหน และสามารถกู้หนี้ใหม่มาคืนหนี้เก่าได้ทันหรือไม่เท่านั้น และหากยังแก้ไขปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดไม่ได้ การปล่อยกู้ก้อนใหม่ก็เสมือนการสร้าง “แชร์ลูกโซ่”ให้ขยายใหญ่โตมากขึ้นรอวันระเบิดข้างหน้า

ยุโรปมีเงินทุนสำรองสำหรับรองรับระบบเงินยูโรโดยมีประเทศต่างๆได้ลงขันเป็นสมาชิกมีอยู่ทั้งสิ้น 8.86 แสนล้านเหรียญสหรัฐ แต่เป็นเงินที่อยู่เป็นสินทรัพย์ของธนาคารกลางของยุโรปเพียง 7.914 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อรวมกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศที่มีเงินที่จะรับวิกฤตของโลกได้เพียงแค่ 4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งไม่น่าจะมีเงินเพียงพอที่จะไปรับมือกับวิกฤติหนี้ของยุโรปในเวลานี้

ทั่วโลกจึงประเมินและทำใจแล้วว่าจะต้องเกิดการ “ลดหนี้” และ “ยืดหนี้” ทั้งในกรีซและอีกหลายแห่งในยุโรป เพียงแต่ว่าจะหาทางอย่างไรให้ธนาคารในยุโรปไม่ล้ม เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้เกิดปรากฏการณ์ที่ธุรกิจจะทยอยล้มไปด้วย (โดยหวังเอาเงินของประเทศและประชาชนในยุโรปไปอุ้ม)

การรีดภาษีจากประชาชน, ขายรัฐวิสาหกิจและทรัพย์สินของรัฐ, ลดตัดค่าใช้จ่ายและสวัสดิการของประชาชนและตัดงบประมาณภาครัฐ คือสูตรที่เจ้าหนี้จะต้องบังคับต่อไปเพื่อหาเงินมาคืนหนี้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมากโดยเฉพาะในยุโรปและสหรัฐอเมริกาที่ใช้ชีวิตสบายและมีสวัสดิการในชีวิตมาอย่างยาวนาน ต่างจากคนในภูมิภาคเอเชียที่ปากกัดตีนถีบและมีความอดทนมากกว่า

และสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นก็คือ ธนาคารในยุโรปและอเมริกาจะต้องเรียกเงินคืนจากเฮดจ์ฟันด์อีกหลายระลอก และทำให้เหล่ากองทุนเฮดจ์ฟันด์นั้นต้องเทขายสินทรัพย์ต่างประเทศแล้วช้อนซื้อเป็นวัฏจักรอีกไม่กี่รอบก่อนวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้จะระเบิดขึ้น เพียงแต่ช่วงเวลานี้สายชนวนระเบิดได้ถูกจุดและสั้นลงทุกที ทำให้เหล่ากองทุนเฮดจ์ฟันด์ต้องเร่งทำงานเข้าออกหลายระลอกวันต่อวัน นานทีต่อนาที เพื่อเร่งทำกำไร สร้างความผันผวนในราคา หุ้น น้ำมัน ทองคำ และค่าเงินไปทั่วโลก โดยมองแมลงเม่าทั่วโลกเป็นเหยื่อในการสูบความมั่งคั่งให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

และที่แน่ๆ ก็คือค่าเงินยูโรจะต้องอ่อนค่าหนัก ธนาคารกลางในแต่ละประเทศก็คงไว้ใจถือพันธบัตรและทรัพย์สินดอลลาร์สหรัฐและยูโรไม่ได้ เพียงแต่ใครจะไวเปลี่ยนทรัพย์สินที่มีอยู่ในมือได้เร็วและมากกว่ากัน

เอเชียในวันนี้มีความมั่งคั่งยิ่งกว่าสหรัฐอเมริกาและยุโรป เราอาจได้เห็นโอกาสกลับด้านที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียบางประเทศเข้าไปซื้อสินทรัพย์ ในยุโรปราคาถูกๆ (อย่างมียุทธศาสตร์) หลังเศรษฐกิจฟองสบู่แตกแล้ว

สำหรับประเทศไทยปัจจุบันมีหนี้สินต่างประเทศประมาณ 82,500 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีทุนสำรองระหว่างประเทศ 1.85 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (มีหนี้ต่างประเทศคิดเป็น 44% ของทุนสำรองระหว่างประเทศ) เกินดุลบัญชีเดินสะพัดปีที่แล้วถึง 12,290 ล้านเหรียญสหรัฐ มีหนี้สาธารณะประมาณ 43% และมีอัตราการว่างงานเพียงแค่ 0.44% โดยภาพรวมยังถือว่าประเทศไทยยังอยู่ในสถานภาพที่ดีกว่าอีกหลายประเทศในโลก

แต่การล่มสลายของทุนนิยมสุดขั้วของอเมริกาและยุโรปย่อมกระทบต่อภาคธุรกิจในประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (โดยเฉพาะภาคการส่งออกและภาคธนาคาร) รัฐบาลควรต้องพิจารณาบริหารจัดการกับ “ทุนเฮดจ์ฟันด์”ที่ฉวยโอกาสปั่นแล้วทุบ-ทุบแล้วปั่น ทำกำไรระยะสั้นเพื่อสูบความมั่งคั่งจากคนในชาติอย่างเร่งด่วน อีกทั้งรัฐบาลก็ถือว่ามาถูกทางแล้วในการให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจภายในประเทศมากกว่าภายนอกประเทศ แต่การกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นพึงต้องคำนึงในการกระตุ้นให้คนมีเงินและเศรษฐีต้องใช้จ่ายและลงทุนเพื่อสร้างให้มาก และกระตุ้นให้คนจนให้รู้จักการออม ประหยัดใช้จ่ายอย่างมีเหตุผลและระมัดระวังไม่ก่อหนี้เกินตัว เพื่อรองรับกับสถานการณ์กับภาวะวิกฤติของโลกที่กำลังจะมาในอีกไม่นานนี้

และสำคัญที่สุดก็คือกระตุ้นเตือนจิตสำนึกในปรัชญาพระราชทาน “เศรษฐกิจพอเพียง” ให้คนไทยได้รู้จัก เข้าใจ และนำไปปฏิบัติ อันจะเป็นภูมิคุ้มกันที่จะทำให้ประเทศไทยได้รอดพ้นจากวิกฤติครั้งนี้ได้



อ่านแล้วน่าสนใจดีครับ
:roll:
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
blueplanet
Verified User
โพสต์: 1155
ผู้ติดตาม: 0

Re: “แบลคมันเดย์” เพิ่งเริ่มต้นและยังต้องมาอีกหลายระลอก

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ผมเชื่อว่าปีหน้าทุกประเทศในโลก
มีการเติบโตลดลงอย่างแน่นอน
สำหรับผม ก็คงต้องถือหุ้นอยู่ดี
เพราะในขณะนี้ อัตราปันผลของหุ้นที่ผมถือ
ยังมากกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก
สิ่งที่ผมรู้คือผมไม่รู้ว่าหุ้นจะลงหรือไม่ลง
ถ้าลงจะลงอีกเท่าไหร่
อีกอย่างที่ผมรู้คือ ถ้าผมขายหุ้นทั้งหมด
ผมรู้แล้วว่าผมขาดทุนเท่าไหร่
Blueplanet
ภาพประจำตัวสมาชิก
tum_H
Verified User
โพสต์: 1857
ผู้ติดตาม: 0

Re: “แบลคมันเดย์” เพิ่งเริ่มต้นและยังต้องมาอีกหลายระลอก

โพสต์ที่ 3

โพสต์

"กันยาฯ" วิปโยค..หุ้น-ค่าเงิน-ทองร่วงหนัก

Posted on Friday, September 30, 2011
สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า แม้ในวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ตลาดหุ้นเอเชียก็ยังร่วงลงต่อ ซึ่งในเดือนนี้ถือเป็นสถานการณ์ในตลาดที่ย่ำแย่ที่สุด นับตั้งแต่เกิดดวิกฤตการเงินโลกในเดือนตุลาคม 2551

โดยดัชนี MSCI ตลาดหุ้นเอเชีย แปซิฟิก ยกเว้นญี่ปุ่น ร่วงลง 1.05% ในวันนี้ หลังจากปรับตัวขึ้น 3 วันติดต่อกัน และในเดือนนี้หุ้นทรุดตัวลงมากกว่า 13% ซึ่งเป็นการทรุดตัวรายเดือนมากที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตแฮมเอร์เกอร์

ความวิตกเกี่ยวกับการลุกลามของวิกฤตหนี้และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะส่งผลต่อภาคส่งออกของเอเชีย ทำให้นักลงทุนปรับลดการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงในไตรมาส 3 ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-กันยายน

นอกจากตลาดหุ้น ปัญหาเศรษฐกิจโลกยังกดให้สกุลเงินเอเชียอ่อนค่าลงมากที่สุดในเดือนกันยายน หรือปรับตัวลดลงภายในเดือนเดียวมากที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้ง

โดยเงินวอนเกาหลีใต้มาแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนนกุมภาพันธ์ 2552 ขณะที่ดอลลาร์ไต้หวันก็อ่อนค่าลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2540

บลูมเบิร์กระบุว่าในเดือนกันยายน ดัชนีดอลลาร์เอเชียของ บลูมเบิร์ก-เจพีมอร์แกนร่วงลง 3.9% หรือปรับลงมากที่สุดนับตั้งแต่ธันวาคม 2540 ขณะที่เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ พบว่า เงินวอนเกาหลีใต้อ่อนค่าลง 9.4% ดอลลาร์ไต้หวันร่วงลง 4.9% ขณะที่ริกกิตมาเลเซียอ่อนค่าลง 6.8% และเงินบาทไทยอ่อนลง 3.8% มาอยู่ที่ระดับ 31.08 บาทต่อดอลลาร์ หรืออ่อนค่าที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2544

ทั้งนี้ ในรอบ1 เดือน นับถึงวันที่ 29 กันยายน กองทุนต่างชาติถอนเงินออกจากตลาดหุ้นไต้หวันประมาณ 2,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และลดการลงทุนในตลาดหุ้นเกาหลีใต้ลง 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และกองทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยประมาณ 612 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

นอกจากนี้ เดือนกันยายนยังเป็นเดือนที่ราคาทองคำร่วงแรงถึง 11% ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2551 ซึ่งตอนนั้นราคาทองคำดิ่งลง 17% หลังเลห์แมน บราเธอร์ส ล้มละลาย

การอ่อนค่าของสกุลเงินเอเชียเดือนกันยายน

วอนเกาหลีใต้ -9.4%

ดอลลาร์ไต้หวัน -4.9%

ริงกิตมาเลเซีย -6.8%

บาท -3.8%

ที่มา-บลูมเบิร์ก




:roll:
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
ภาพประจำตัวสมาชิก
tum_H
Verified User
โพสต์: 1857
ผู้ติดตาม: 0

Re: “แบลคมันเดย์” เพิ่งเริ่มต้นและยังต้องมาอีกหลายระลอก

โพสต์ที่ 4

โพสต์

blueplanet เขียน: สิ่งที่ผมรู้คือผมไม่รู้ว่าหุ้นจะลงหรือไม่ลง
ถ้าลงจะลงอีกเท่าไหร่
นี่แหล่ะครับที่เรียกว่าความเสี่ยง ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
จะควบคุมมันได้ดีแค่ไหน

หากหุ้นที่เราถือมี MOS สูงมาก อย่างวิกฤตรอบที่ผ่านมาก็เป็นตัว
อย่างที่ดี ที่ทำให้เราได้เห็นว่า พื้นฐานของกิจการสำคัญที่สุด

แต่อีกมุมหนึ่งเราทุกคนก็ได้เห็น"ความกลัว" ซึ่งทำให้การขาดสติ
เกิดขึ้น อยู่บ่อยๆ

หากเกิดวิกฤตแล้วจะเป็นอย่างไร?
ไม่เกิด แล้วจะเป็นอย่างไร?

สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือ ข้อมูลการวิเคาระห์ของเราเอง เพื่อลดความเสี่ยง
ที่อาจเกิดขึ้นให้น้อยที่สุดครับ

โอกาสมีเสมอทุกวัน ทั้งวันที่มีวิกฤตและไม่มีวิกฤตครับ ขึ้นอยู่กับว่า เราจะหา
มันเจอเมื่อไหร่?

:idea:
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
ภาพประจำตัวสมาชิก
tum_H
Verified User
โพสต์: 1857
ผู้ติดตาม: 0

Re: “แบลคมันเดย์” เพิ่งเริ่มต้นและยังต้องมาอีกหลายระลอก

โพสต์ที่ 5

โพสต์

เป็นข้อมูล PE และ %Div ย้อนหลังของช่วงวิกฤตครับ


รูปภาพ


รูปภาพ



:!:
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11444
ผู้ติดตาม: 1

Re: “แบลคมันเดย์” เพิ่งเริ่มต้นและยังต้องมาอีกหลายระลอก

โพสต์ที่ 6

โพสต์

จากข้อมูลที่ได้รับ ก็น่าแปลกที่ประเทศเยอรมันที่มีดุลการค้าที่บวกมาโดยตลอด ทำไมถึงมีหนี้ต่างประเทศมากกว่าจีดีพีมากนัก

บางครั้ง ความรู้ของเราค่อนข้างจำกัด อย่างบัญชีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ

อย่างที่เรารู้กันว่า รัฐบาลของประเทศสิงคโปร์มีการนำเงินมาลงทุนมากมาย คือ เทมาเซก เงินลงทุนจำนวนนี้ไม่ได้ถูกรวมอยู่ในตัวเลขเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ

ฐานะของประเทศก็จะมีภาพที่ไม่ชัดเจน เมื่อเราดูแต่ตัวเลขเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเท่านั้น

โลกทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ฐานะทางการเงินของรัฐบาลสหรัฐอาจจะดูย่ำแย่ แต่ฐานะทางการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทเอกชนก็ยังมีฐานะที่แข็งแกร่ง บริษัทต่างๆไม่ได้มีแต่ตลาดในประเทศสหรัฐเท่านั้น แต่มีรายได้และโรงงานอยู่กระจายทั่วโลก

เราลองดูซิว่า ดัชนีหุ้นของสหรัฐตกลงจากจุดต่ำสุดเท่าไร แล้วดัชนีหุ้นไทยตกจากจุดต่ำสุดเท่าไร
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
aonzzung
Verified User
โพสต์: 611
ผู้ติดตาม: 0

Re: “แบลคมันเดย์” เพิ่งเริ่มต้นและยังต้องมาอีกหลายระลอก

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ผมก็เคยโพสไว้ละครับว่า วิกฤติรอบนี้รอดยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=49914

ถ้าถามว่าจริงๆแล้วเยอรมันอยากช่วยกรีซหรอ?
ผมว่าไม่หรอก เยอรมันกลัวตัวเองกับฝรั่งเศส ในฐานะเจ้าหนี้ จะเจ็บหนักมากกว่าถ้ากรีซ(รวมถึงลูกหนี้ชาติอื่นๆเช่น อิตาลี) เกิด default ขึ้นมา.

ถ้าเยอรมันมีวิธีที่ทำให้กรีซล้มแบบค่อยเป็นค่อยไป(Orderly Default) คงจะอยากให้ล้มเต็มแก่ เพราะการให้กู้เงินเพิ่มโดยที่แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ลูกหนี้แบบกรีซจะหาเงินมาใช้หนี้ได้

สมมตินะ ถ้าผมเป็นกรีซ ผมมีรายได้ 100 บาทต่อปี เป็นหนี้ 140% สรุปถือถ้าหาเงินมาได้ทั้งปีไม่กินไม่ใช้เลย ผมยังเหลือหนี้อีก 40 บาท(ทบต้นไปปีต่อไปด้วย)
นอกจากนี้ผมยัง
- ขี้เกียจ สันหลังยาว แถมยังไปดูถูกเจ้าหนี้ว่าทำไมทำงานหนักจัง เค้าทำแปปเด๊วก็เกษียณละ กินบำนาญ สบ๊ายสบาย
- เกษียณอายุเร็ว(60 ต้นๆมั้งถ้าจำไม่ผิด)
- ได้ pension สูงมาก
- รายได้หลักจากมาจากการรอชาวบ้านมาเที่ยวที่บ้านผม
อยากรู้จักผมมากกว่านี้ลองดูได้ที่นี่
http://www.businessinsider.com/greece-g ... rmany-45-1
ปล. เก่าละนะแต่คิดว่ายังมีประโยชน์

คำถาม
คุณละ...อยากจะให้ผมกู้เพิ่มมั้ย???
คุณอยากบังคับให้ผมขายบ้าน ขายรถมาใช้หนี้ หรือให้ผมกูเพิ่มมากกว่ากัน???
ถ้าเจ้าหนี้แบบคุณหาวิธีที่จะปล่อยให้ผมล้มได้ โดยที่คุณไม่เจ็บมาก(ยอมเจ็บนิดหน่อย) ก็น่าสนใจนะ จริงมั้ย???
aonzzung
Verified User
โพสต์: 611
ผู้ติดตาม: 0

Re: “แบลคมันเดย์” เพิ่งเริ่มต้นและยังต้องมาอีกหลายระลอก

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ทำไมคนกรีซถึงขี้เกียจ
http://www.topix.com/forum/world/greece ... FAELO0OFDH
ปล google มา เก่าละหละ แต่น่าจะบอกอะไรหลายๆอย่างได้
ภาพประจำตัวสมาชิก
Rocker
Verified User
โพสต์: 4886
ผู้ติดตาม: 0

Re: “แบลคมันเดย์” เพิ่งเริ่มต้นและยังต้องมาอีกหลายระลอก

โพสต์ที่ 9

โพสต์

tum_H เขียน:เป็นข้อมูล PE และ %Div ย้อนหลังของช่วงวิกฤตครับ


รูปภาพ


รูปภาพ



:!:

EPS ของตลาดที่ SET ใช้มาคํานวณ PE เป็น EPS ของปีที่แล้วทั้งปี หรือ EPS แบบ 12 เดือนล่าสุด

ใคร ทราบช่วยบอกทีครับ :?:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Financeseed
Verified User
โพสต์: 1304
ผู้ติดตาม: 0

Re: “แบลคมันเดย์” เพิ่งเริ่มต้นและยังต้องมาอีกหลายระลอก

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ขอบคุณครับ
มองวิกฤต หาโอกาส
http://link-seed.blogspot.com/
ภาพประจำตัวสมาชิก
harlembeats
Verified User
โพสต์: 96
ผู้ติดตาม: 0

Re: “แบลคมันเดย์” เพิ่งเริ่มต้นและยังต้องมาอีกหลายระลอก

โพสต์ที่ 11

โพสต์

หรือประเทศไทยจะมี black monday ทุกสัปดาห์??? :vm:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Mactavish
Verified User
โพสต์: 87
ผู้ติดตาม: 0

Re: “แบลคมันเดย์” เพิ่งเริ่มต้นและยังต้องมาอีกหลายระลอก

โพสต์ที่ 12

โพสต์

ขอบคุณเจ้าของกระทู้มากครับสำหรับบทความดีดี
โพสต์โพสต์