มือใหม่ขอหัดลงทุนหุ้นตามสูตร
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 59
- ผู้ติดตาม: 0
มือใหม่ขอหัดลงทุนหุ้นตามสูตร
โพสต์ที่ 1
หนูเป็นมือใหม่หัดลงทุนในหุ้นมาเกือบ 2 ปี ปัจจุบันมีเงินในพอร์ตประมาณ 300,000 กว่าบาท ที่ผ่านมาได้ผลตอบแทนในหุ้นค่อนข้างดี
แต่อยากทดลองแบ่งมาลงทุนในหุ้นตามสูตรปีละ 100,000 บาท เฉลี่ยหุ้นละ 5,000 บาท จะได้ประมาณ 20 ตัว
ขอสอบถามวิธีการลงทุนในหุ้นตามสูตรดังนี้ค่ะ
1. อยากสอบถามว่าคนที่ได้ทดลองลงทุนวิธีนี้ด้วยตัวเองแล้ว (อาจยังไม่ครบปีก็ได้) ได้ผลเป็นอย่างไรบ้างค่ะ มีข้อแนะนำอะไรบ้างคะ
2. ค่าใช้จ่ายในการซื้อหุ้น 1 ตัว ที่ประหยัดสุดคือเท่าไหร่คะ เนื่องจากไม่อยากเสี่ยงมาก ถ้าซื้อเฉลี่ยได้ประมาณ 3,000 บาท x 20 ตัว= 60,000 จะได้มั้ย
3. ทุกคนลงทุนตามสูตรเป๊ะ หรือว่ามีการกรองหุ้นออกก่อนบ้าง?
4. การทำแบบนี้เรียกว่า "ลงทุนในหุ้นตามสูตร" หรือ "เล่นหุ้นตามสูตร" ค่ะ แล้วผิดหลัก VI หรือไม่?
รบกวนเพื่อนๆ พี่ๆ ช่วยชี้แนะด้วยค่ะ
-ขอบคุณค่ะ-
แต่อยากทดลองแบ่งมาลงทุนในหุ้นตามสูตรปีละ 100,000 บาท เฉลี่ยหุ้นละ 5,000 บาท จะได้ประมาณ 20 ตัว
ขอสอบถามวิธีการลงทุนในหุ้นตามสูตรดังนี้ค่ะ
1. อยากสอบถามว่าคนที่ได้ทดลองลงทุนวิธีนี้ด้วยตัวเองแล้ว (อาจยังไม่ครบปีก็ได้) ได้ผลเป็นอย่างไรบ้างค่ะ มีข้อแนะนำอะไรบ้างคะ
2. ค่าใช้จ่ายในการซื้อหุ้น 1 ตัว ที่ประหยัดสุดคือเท่าไหร่คะ เนื่องจากไม่อยากเสี่ยงมาก ถ้าซื้อเฉลี่ยได้ประมาณ 3,000 บาท x 20 ตัว= 60,000 จะได้มั้ย
3. ทุกคนลงทุนตามสูตรเป๊ะ หรือว่ามีการกรองหุ้นออกก่อนบ้าง?
4. การทำแบบนี้เรียกว่า "ลงทุนในหุ้นตามสูตร" หรือ "เล่นหุ้นตามสูตร" ค่ะ แล้วผิดหลัก VI หรือไม่?
รบกวนเพื่อนๆ พี่ๆ ช่วยชี้แนะด้วยค่ะ
-ขอบคุณค่ะ-
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มือใหม่ขอหัดลงทุนหุ้นตามสูตร
โพสต์ที่ 2
รับชมวีดีโอได้ที่นี่ครับ http://blip.tv/sorawut/money-talk-ลงทุน ... ลย-4738598
ลองดูวีดีโอชุดนี่ก่อนเผื่อว่าจะมีประโยนช์มั้งครับ
ลองดูวีดีโอชุดนี่ก่อนเผื่อว่าจะมีประโยนช์มั้งครับ
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 59
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มือใหม่ขอหัดลงทุนหุ้นตามสูตร
โพสต์ที่ 4
-ขอบคุณค่ะ-
หุ้นตามสูตรก็มาจากตามที่คุณบูรพาไม่แพ้ post ไว้ที่แหละ
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... &start=210
คือกรอง หุ้นที่ pe ต่ำกว่า 10 p/bv ต่ำกว่า1 ปันผลมากกว่า 3% roe 15 -----
ที่สนใจก็เพราะเคยดู moneytalk กับ อ่านบทความ ดร.นิเวศน์
เรื่อง เล่นหุ้นตามสูตร
ที่บอกว่า เซอร์ จอห์น เทมเปิลตันได้เกิดความเชื่อมั่นว่าตลาดหุ้น ซึ่งตกต่ำมายาวนานถึงสิบปีแล้ว น่าจะถึงจุดต่ำสุดและทุกอย่างกำลังจะฟื้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หุ้น “ซินเดอเรลลา” ซึ่งก็คือหุ้นที่ไม่มีใครเหลียวแลหรือคิดว่าเหมาะสมสำหรับการลงทุน เพราะว่ามันอาจจะเป็นหุ้นที่ “เน่าสนิท” ดังนั้น ในวันหนึ่งเขาจึงโทรหาโบรกเกอร์และสั่งซื้อหุ้นทุกตัวที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีราคาต่ำกว่า 1 เหรียญ โดยซื้อตัวละ 100 หุ้น เขาได้หุ้นมา 104 ตัวและใช้เงินไปประมาณ 10,000 เหรียญ สี่ปีต่อมา เขาขายหุ้นทั้งหมดทิ้ง ได้เงินมาประมาณ 40,000 เหรียญ หรือถ้าคิดเป็นเงินปัจจุบันก็ประมาณเท่ากับ 1 ล้านเหรียญ คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 41 เปอร์เซ็นต์โดยเฉลี่ย
การเล่นหุ้นตามสูตรนั้น กฎข้อแรกก็คือ การมองหา “ภาพใหญ่” หรือทฤษฎีว่าอะไรจะเกิดขึ้นหรือหุ้นกลุ่มไหนจะให้ผลตอบแทนสูงในช่วงเวลาหนึ่ง กฎข้อสองก็คือ หา “ตัวแทน” หรือข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นที่จะเป็นตัวแทนของหุ้นตามทฤษฎีนั้น พูดให้ง่ายก็คือการหา “สูตร” สำหรับเลือกหุ้นลงทุน กฎข้อสามก็คือ การเลือกหุ้นที่เข้าเกณฑ์หรือเป็นไปตามสูตรนั้น กฎข้อสี่ก็คือ ต้องเลือกซื้อหุ้นทุกตัวที่เข้าเกณฑ์ตามสูตรไม่มีข้อยกเว้น อย่าใช้วิจารณญาณ กฎข้อที่ห้าก็คือ การติดตามดูผลตอบแทนของการลงทุนทุกช่วงเวลาที่กำหนดซึ่งส่วนใหญ่มักจะกำหนดเป็นปี ๆ เป็นเวลาหลายปี และกฎข้อสุดท้ายก็คือ การกำหนดเวลาเลิกลงทุนซึ่งก็คือการดูว่าเราควรเลิกและล้างพอร์ตเมื่อไร
ในกรณีของเทมเปิลตันนั้น ทฤษฎีของเขาก็คือ ในยามที่เกิดสงครามขึ้น ค่าของเงินมักจะเสื่อมลง เงินอาจจะเสื่อมค่าลงมากเนื่องจากอาจจะมีการพิมพ์เงินขึ้นมาเพื่อใช้ในการสงคราม เงินเฟ้อจะสูงขึ้นมาก ตรงกันข้าม สิ่งของต่างๆ จะมีค่ามากขึ้น และสิ่งของนั้นรวมถึงสิ่งของที่มีหุ้นเป็นตัวแทน เช่น สินค้า โรงงาน วัตถุดิบ และอื่นๆ อีกมาก เฉพาะที่ไม่ถูกกระทบโดยผลของสงครามอย่างในอเมริกา ดังนั้น ความเชื่อของเขาก็คือ หุ้นจะฟื้นตัว และในหุ้นที่ฟื้นตัวนั้น หุ้นที่ตกต่ำที่สุดจะฟื้นตัวได้มากที่สุด และตัวแทนของหุ้นที่ตกต่ำลงมากที่สุดสำหรับเขาก็คือหุ้นที่มีราคาต่ำที่สุดซึ่งเขาใช้สูตรหรือเกณฑ์ว่าเป็นหุ้นที่มีราคาต่ำกว่า 1 เหรียญ การซื้อหุ้นของเขานั้นจะไม่มีการใช้วิจารณญาณ ไม่ต้องดูว่าหุ้นตัวไหนอาจจะไปไม่รอด เพราะเขาไม่รู้จริงๆ เหนือสิ่งอื่นใด หุ้นที่มีราคาต่ำกว่า 1 เหรียญทุกตัวก็มีโอกาสล้มละลายทั้งนั้น การเลือกอาจจะทำให้เขาพลาดหุ้นที่อาจจะกลายเป็นหุ้น 10 เด้งหรือกำไร 10 เท่าตัวก็ได้ หลังจากซื้อหุ้นแล้ว เขาคงติดตามดูผลตอบแทนไปเรื่อยๆ และเมื่อเวลาผ่านไปถึง 4 ปี และเขาได้กำไรมามากแล้ว เขาก็อาจพิจารณาว่า การฟื้นตัวนั้นสิ้นสุดลงแล้ว การถือลงทุนต่อไปก็อาจจะไม่ได้ผลตอบแทนที่ดีอีกต่อไป เขาจึงขายหุ้นทั้งหมดทิ้งและเป็นการ “ปิดเกม” การเล่นหุ้นตามสูตรนี้
การเล่นหุ้นตามสูตรที่มีการศึกษาโดยนักวิชาการนั้นมีมากมาย สูตรที่มีการทดลองหรือทดสอบโดยข้อมูลย้อนหลังที่โดดเด่นมากนั้น เป็นสูตรการเล่นหุ้นแบบ Value Investment นั่นก็คือ ทฤษฎีมีอยู่ว่าการลงทุนแบบ VI นั้น เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าการลงทุนตามดัชนีตลาด-โดยเฉลี่ย นี่คือทฤษฎีตามกฎข้อที่หนึ่ง ข้อที่สองที่จะต้องทำก็คือ หา “ตัวแทน” หุ้นที่เรียกว่าหุ้น VI วิธีหาก็มีหลายวิธีแล้วแต่ว่าใครจะเป็นคนคิด แต่ส่วนใหญ่ก็จะวนเวียนอยู่ที่ว่าต้องเป็นหุ้นถูกซึ่งหุ้นถูกที่ว่านี้ก็มักจะวัดกันที่ค่า PE และค่า PB ที่ว่าจะต้องมีค่าต่ำหรือต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับหุ้นอื่นๆ ในตลาด และอัตราเงินปันผลเมื่อเทียบกับราคาหุ้น หรือ Dividend Yield ว่าควรจะต้องสูงหรือต้องมีพอสมควร หลังจากนั้นก็ตั้งเป็นสูตรเพื่อคัดเลือกหุ้นมาลงทุน จากนั้นก็ติดตามผลตอบแทนของพอร์ตที่ลงทุนตามสูตรว่าเป็นอย่างไรในแต่ละปี ทำเช่นนี้ไปหลายๆ ปีก็จะทำให้สามารถเห็นได้ว่าการลงทุนตามสูตรของ VI นั้น โดยเฉลี่ยให้ผลตอบแทนเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับการลงทุนตามดัชนีตลาด
ผมเคยทำการศึกษาเรื่องของการลงทุนตามสูตรแบบ VI ครอบคลุมช่วงเวลา 9 ปีจากปี 2543 ถึง 2551 พบว่าผลออกมานั้นน่าประทับใจอย่างยิ่ง นั่นก็คือ การลงทุนโดยใช้สูตรแบบ VI ให้ผลตอบแทนต่อปีแบบทบต้นสูงถึง 34% ต่อปีในขณะที่ดัชนีตลาดปรับเพิ่มขึ้นเพียงปีละ 4.8% และเมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือนิด้า นำโดย ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา เองก็ได้ทำการศึกษาในแนวการลงทุนแบบใช้สูตร VI ในช่วงเวลา 15 ปี ตั้งแต่ปี 1996 ถึง 2010 โดยใช้ข้อมูลค่า PE PB ปันผล และ ROE หรือกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ก็ได้ผลในแนวเดียวกัน แต่ผลตอบแทนที่ได้ยิ่งสูงกว่ามาก พอร์ตการลงทุนบางแบบให้ผลตอบแทนเฉลี่ยแบบทบต้นสูงถึงปีละ 63% เงินลงทุน 1 ล้านในช่วงต้นกลายเป็นเงินถึง 1,600 ล้านบาทเมื่อสิ้นสุดการลงทุน ในขณะที่ตลาดโดยรวมให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเพียงปีละ 1.2% เท่านั้น
ในชีวิตจริง ผมเองไม่เคยลงทุนหุ้นตามสูตรและก็ไม่แน่ใจว่าถ้าเรายังใช้สูตรเดิมที่เคยให้ผลตอบแทนดีมากจะยังสามารถทำให้เราได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับของเดิมในอดีตหรือไม่ เหนือสิ่งอื่นใด อนาคตอาจจะไม่เหมือนกับอดีต อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าหุ้นราคาถูกในแนว VI นั้นโดยเฉลี่ยก็น่าจะยังให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าดัชนีตลาดอยู่ ข้อมูลจากต่างประเทศที่ได้มีการศึกษามานานและศึกษาซ้ำก็ยังให้ผลตอบแทนที่ดี ดังนั้น ในการเลือกหุ้นลงทุน ผมจึงยึดแนวทางแบบ VI อยู่อย่างมั่นคงแม้ว่าจะไม่ได้ซื้อตามสูตรตายตัว สำหรับคนที่อยากลอง ผมคิดว่าการลงทุนตามสูตรก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจและอาจให้ผลตอบแทนที่มหัศจรรย์ได้
----- แล้วก็ติดตามบทความของคุณบูรพาไม่แพ้อยู่ ที่ http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... &start=210 คือกรอง หุ้นที่ pe ต่ำกว่า 10 p/bv ต่ำกว่า1 ปันผลมากกว่า 3% roe 15 -----
ซึ่งหนูก็คิดว่ามันเป็นเหตุเป็นผลอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าจะให้ซื้อจริงก็คงอยากกรองหุ้นที่ได้กำไรพิเศษที่ไม่ได้มาจากผลประกอบการหลักออกด้วย หรือว่าจริงๆแล้วไม่ควรใช้วิจารณานส่วนตัวเลย ?? เพราะว่าสุดท้ายค่าที่ออกมาเป็นค่าเฉลี่ย
---แต่ก่อนไม่กล้าลองทำเพราะกลัวผิดพลาด แต่ตอนนี้เริ่มอยากทดลองมากขึ้นค่ะ---
มีใครลองทำหลังจากงานวิจัย ดร.ไพบูลย์ ออกแล้วในปีนี้บ้างมั้ยคะ
หุ้นตามสูตรก็มาจากตามที่คุณบูรพาไม่แพ้ post ไว้ที่แหละ
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... &start=210
คือกรอง หุ้นที่ pe ต่ำกว่า 10 p/bv ต่ำกว่า1 ปันผลมากกว่า 3% roe 15 -----
ที่สนใจก็เพราะเคยดู moneytalk กับ อ่านบทความ ดร.นิเวศน์
เรื่อง เล่นหุ้นตามสูตร
ที่บอกว่า เซอร์ จอห์น เทมเปิลตันได้เกิดความเชื่อมั่นว่าตลาดหุ้น ซึ่งตกต่ำมายาวนานถึงสิบปีแล้ว น่าจะถึงจุดต่ำสุดและทุกอย่างกำลังจะฟื้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หุ้น “ซินเดอเรลลา” ซึ่งก็คือหุ้นที่ไม่มีใครเหลียวแลหรือคิดว่าเหมาะสมสำหรับการลงทุน เพราะว่ามันอาจจะเป็นหุ้นที่ “เน่าสนิท” ดังนั้น ในวันหนึ่งเขาจึงโทรหาโบรกเกอร์และสั่งซื้อหุ้นทุกตัวที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีราคาต่ำกว่า 1 เหรียญ โดยซื้อตัวละ 100 หุ้น เขาได้หุ้นมา 104 ตัวและใช้เงินไปประมาณ 10,000 เหรียญ สี่ปีต่อมา เขาขายหุ้นทั้งหมดทิ้ง ได้เงินมาประมาณ 40,000 เหรียญ หรือถ้าคิดเป็นเงินปัจจุบันก็ประมาณเท่ากับ 1 ล้านเหรียญ คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 41 เปอร์เซ็นต์โดยเฉลี่ย
การเล่นหุ้นตามสูตรนั้น กฎข้อแรกก็คือ การมองหา “ภาพใหญ่” หรือทฤษฎีว่าอะไรจะเกิดขึ้นหรือหุ้นกลุ่มไหนจะให้ผลตอบแทนสูงในช่วงเวลาหนึ่ง กฎข้อสองก็คือ หา “ตัวแทน” หรือข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นที่จะเป็นตัวแทนของหุ้นตามทฤษฎีนั้น พูดให้ง่ายก็คือการหา “สูตร” สำหรับเลือกหุ้นลงทุน กฎข้อสามก็คือ การเลือกหุ้นที่เข้าเกณฑ์หรือเป็นไปตามสูตรนั้น กฎข้อสี่ก็คือ ต้องเลือกซื้อหุ้นทุกตัวที่เข้าเกณฑ์ตามสูตรไม่มีข้อยกเว้น อย่าใช้วิจารณญาณ กฎข้อที่ห้าก็คือ การติดตามดูผลตอบแทนของการลงทุนทุกช่วงเวลาที่กำหนดซึ่งส่วนใหญ่มักจะกำหนดเป็นปี ๆ เป็นเวลาหลายปี และกฎข้อสุดท้ายก็คือ การกำหนดเวลาเลิกลงทุนซึ่งก็คือการดูว่าเราควรเลิกและล้างพอร์ตเมื่อไร
ในกรณีของเทมเปิลตันนั้น ทฤษฎีของเขาก็คือ ในยามที่เกิดสงครามขึ้น ค่าของเงินมักจะเสื่อมลง เงินอาจจะเสื่อมค่าลงมากเนื่องจากอาจจะมีการพิมพ์เงินขึ้นมาเพื่อใช้ในการสงคราม เงินเฟ้อจะสูงขึ้นมาก ตรงกันข้าม สิ่งของต่างๆ จะมีค่ามากขึ้น และสิ่งของนั้นรวมถึงสิ่งของที่มีหุ้นเป็นตัวแทน เช่น สินค้า โรงงาน วัตถุดิบ และอื่นๆ อีกมาก เฉพาะที่ไม่ถูกกระทบโดยผลของสงครามอย่างในอเมริกา ดังนั้น ความเชื่อของเขาก็คือ หุ้นจะฟื้นตัว และในหุ้นที่ฟื้นตัวนั้น หุ้นที่ตกต่ำที่สุดจะฟื้นตัวได้มากที่สุด และตัวแทนของหุ้นที่ตกต่ำลงมากที่สุดสำหรับเขาก็คือหุ้นที่มีราคาต่ำที่สุดซึ่งเขาใช้สูตรหรือเกณฑ์ว่าเป็นหุ้นที่มีราคาต่ำกว่า 1 เหรียญ การซื้อหุ้นของเขานั้นจะไม่มีการใช้วิจารณญาณ ไม่ต้องดูว่าหุ้นตัวไหนอาจจะไปไม่รอด เพราะเขาไม่รู้จริงๆ เหนือสิ่งอื่นใด หุ้นที่มีราคาต่ำกว่า 1 เหรียญทุกตัวก็มีโอกาสล้มละลายทั้งนั้น การเลือกอาจจะทำให้เขาพลาดหุ้นที่อาจจะกลายเป็นหุ้น 10 เด้งหรือกำไร 10 เท่าตัวก็ได้ หลังจากซื้อหุ้นแล้ว เขาคงติดตามดูผลตอบแทนไปเรื่อยๆ และเมื่อเวลาผ่านไปถึง 4 ปี และเขาได้กำไรมามากแล้ว เขาก็อาจพิจารณาว่า การฟื้นตัวนั้นสิ้นสุดลงแล้ว การถือลงทุนต่อไปก็อาจจะไม่ได้ผลตอบแทนที่ดีอีกต่อไป เขาจึงขายหุ้นทั้งหมดทิ้งและเป็นการ “ปิดเกม” การเล่นหุ้นตามสูตรนี้
การเล่นหุ้นตามสูตรที่มีการศึกษาโดยนักวิชาการนั้นมีมากมาย สูตรที่มีการทดลองหรือทดสอบโดยข้อมูลย้อนหลังที่โดดเด่นมากนั้น เป็นสูตรการเล่นหุ้นแบบ Value Investment นั่นก็คือ ทฤษฎีมีอยู่ว่าการลงทุนแบบ VI นั้น เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าการลงทุนตามดัชนีตลาด-โดยเฉลี่ย นี่คือทฤษฎีตามกฎข้อที่หนึ่ง ข้อที่สองที่จะต้องทำก็คือ หา “ตัวแทน” หุ้นที่เรียกว่าหุ้น VI วิธีหาก็มีหลายวิธีแล้วแต่ว่าใครจะเป็นคนคิด แต่ส่วนใหญ่ก็จะวนเวียนอยู่ที่ว่าต้องเป็นหุ้นถูกซึ่งหุ้นถูกที่ว่านี้ก็มักจะวัดกันที่ค่า PE และค่า PB ที่ว่าจะต้องมีค่าต่ำหรือต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับหุ้นอื่นๆ ในตลาด และอัตราเงินปันผลเมื่อเทียบกับราคาหุ้น หรือ Dividend Yield ว่าควรจะต้องสูงหรือต้องมีพอสมควร หลังจากนั้นก็ตั้งเป็นสูตรเพื่อคัดเลือกหุ้นมาลงทุน จากนั้นก็ติดตามผลตอบแทนของพอร์ตที่ลงทุนตามสูตรว่าเป็นอย่างไรในแต่ละปี ทำเช่นนี้ไปหลายๆ ปีก็จะทำให้สามารถเห็นได้ว่าการลงทุนตามสูตรของ VI นั้น โดยเฉลี่ยให้ผลตอบแทนเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับการลงทุนตามดัชนีตลาด
ผมเคยทำการศึกษาเรื่องของการลงทุนตามสูตรแบบ VI ครอบคลุมช่วงเวลา 9 ปีจากปี 2543 ถึง 2551 พบว่าผลออกมานั้นน่าประทับใจอย่างยิ่ง นั่นก็คือ การลงทุนโดยใช้สูตรแบบ VI ให้ผลตอบแทนต่อปีแบบทบต้นสูงถึง 34% ต่อปีในขณะที่ดัชนีตลาดปรับเพิ่มขึ้นเพียงปีละ 4.8% และเมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือนิด้า นำโดย ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา เองก็ได้ทำการศึกษาในแนวการลงทุนแบบใช้สูตร VI ในช่วงเวลา 15 ปี ตั้งแต่ปี 1996 ถึง 2010 โดยใช้ข้อมูลค่า PE PB ปันผล และ ROE หรือกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ก็ได้ผลในแนวเดียวกัน แต่ผลตอบแทนที่ได้ยิ่งสูงกว่ามาก พอร์ตการลงทุนบางแบบให้ผลตอบแทนเฉลี่ยแบบทบต้นสูงถึงปีละ 63% เงินลงทุน 1 ล้านในช่วงต้นกลายเป็นเงินถึง 1,600 ล้านบาทเมื่อสิ้นสุดการลงทุน ในขณะที่ตลาดโดยรวมให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเพียงปีละ 1.2% เท่านั้น
ในชีวิตจริง ผมเองไม่เคยลงทุนหุ้นตามสูตรและก็ไม่แน่ใจว่าถ้าเรายังใช้สูตรเดิมที่เคยให้ผลตอบแทนดีมากจะยังสามารถทำให้เราได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับของเดิมในอดีตหรือไม่ เหนือสิ่งอื่นใด อนาคตอาจจะไม่เหมือนกับอดีต อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าหุ้นราคาถูกในแนว VI นั้นโดยเฉลี่ยก็น่าจะยังให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าดัชนีตลาดอยู่ ข้อมูลจากต่างประเทศที่ได้มีการศึกษามานานและศึกษาซ้ำก็ยังให้ผลตอบแทนที่ดี ดังนั้น ในการเลือกหุ้นลงทุน ผมจึงยึดแนวทางแบบ VI อยู่อย่างมั่นคงแม้ว่าจะไม่ได้ซื้อตามสูตรตายตัว สำหรับคนที่อยากลอง ผมคิดว่าการลงทุนตามสูตรก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจและอาจให้ผลตอบแทนที่มหัศจรรย์ได้
----- แล้วก็ติดตามบทความของคุณบูรพาไม่แพ้อยู่ ที่ http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... &start=210 คือกรอง หุ้นที่ pe ต่ำกว่า 10 p/bv ต่ำกว่า1 ปันผลมากกว่า 3% roe 15 -----
ซึ่งหนูก็คิดว่ามันเป็นเหตุเป็นผลอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าจะให้ซื้อจริงก็คงอยากกรองหุ้นที่ได้กำไรพิเศษที่ไม่ได้มาจากผลประกอบการหลักออกด้วย หรือว่าจริงๆแล้วไม่ควรใช้วิจารณานส่วนตัวเลย ?? เพราะว่าสุดท้ายค่าที่ออกมาเป็นค่าเฉลี่ย
---แต่ก่อนไม่กล้าลองทำเพราะกลัวผิดพลาด แต่ตอนนี้เริ่มอยากทดลองมากขึ้นค่ะ---
มีใครลองทำหลังจากงานวิจัย ดร.ไพบูลย์ ออกแล้วในปีนี้บ้างมั้ยคะ