สิ่งที่ต้องกลัวคือวิกฤติของบริษัทเรา ไม่ใช่วิกฤติระดับโลก

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
blueplanet
Verified User
โพสต์: 1155
ผู้ติดตาม: 0

สิ่งที่ต้องกลัวคือวิกฤติของบริษัทเรา ไม่ใช่วิกฤติระดับโลก

โพสต์ที่ 1

โพสต์

วิกฤตระดับโลก หรือวิกฤติระดับทวีป หรือวิกฤตระดับประเทศ น่ากลัวน้อยกว่า
วิกฤตของบริษัทที่เราถือหุ้น สงครามอ่าว รสช วิกฤตต้มยำกุ้ง วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์
ทำความเสียหายให้เราน้อยกว่า บริษัทที่เราถือหุ้นเจ้งไปต่อหน้าต่อตาแล้วเราไม่ทำ
อะไรกับหุ้นบริษัทนั้น ทนถือทั้งที่ พื้นฐานบริษัทนั้นเปลี่ยนไปไกลแล้ว
วิธีปล้องกัน เท่าที่ผมนึกออก
1.คิดให้ดีก่อนซื้อ (แต่อย่าคิดนานมากละเดี๋ยวจะตกรถ)
2.เมื่อซื้อแล้วก็ดูแล้วดูอีก หาจุดอ่อนให้เจอ มีอะไรที่เราเข้าใจผิด เช่น
มีจำนวนหุ้นมากกว่าที่เราเข้าใจ มีวอแรนท์จำนวนมาก มีคดีความค้างอยูฯลฯ
ดูงบการเงินอย่างระเอียด ดู 56-1 ให้ระเอียด (จริงๆเราควรดูก่อนจะซื้อ)
เมื่อซื้อแล้ว ก็ดูไปเรื่อยๆ เผื่อจะเจออะไรที่เราไม่อยากเจอ
3.ทุกครั้งที่ผลประกอบการออกต้องดูว่ามีอะไรผิดปกติไม๊ (สำหรับผมถ้ากำไรลดลงผมขายทิ้งทันที)
ลองนึกดู ถ้าเราถือหุ้น โกดัก,black burry,nokia ตอนราคาสูงๆ
แล้วปัจจุบันเราก็ยังถืออยู่ หายนะชัดๆที่เราจะได้รับ ผมไม่ยกตัวอย่างหุ้นไทยแล้วกัน
ดังนั้นถ้าคิดให้ดีแล้ว เราก็ไม่ต้องไปกลัวว่า สเปน อิตาลี จะตามกรีซไปไม๊
ดูหุ้นที่เราถือระวังหุ้นที่เราถือก็พอแล้ว ไม่ใช่มีความรู้ เรื่อง ศก ยุโรปดีมาก
แต่ไม่สนใจบริษัทที่ตนเองถือเลย
Blueplanet
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4641
ผู้ติดตาม: 0

Re: สิ่งที่ต้องกลัวคือวิกฤติของบริษัทเรา ไม่ใช่วิกฤติระดับโล

โพสต์ที่ 2

โพสต์

blueplanet เขียน:วิกฤตระดับโลก หรือวิกฤติระดับทวีป หรือวิกฤตระดับประเทศ น่ากลัวน้อยกว่าวิกฤตของบริษัทที่เราถือหุ้น
ขอบคุณสำหรับแนวคิดนี้ครับ ผมเห็นด้วยมาก ๆ

ส่วนประโยคนี้
blueplanet เขียน:สำหรับผมถ้ากำไรลดลงผมขายทิ้งทันที
ผมอาจไม่เห็นด้วยทั้งหมดครับเพราะกำไรไม่ใช่ทั้งหมดของธุรกิจ
Source of Profit ต่างหากที่ทำให้เกิดกำไร
มีหลายธุรกิจให้เห็นกันที่กำไรเพิ่มขึ้นแต่ความสามารถในการทำกำไรดิ่งเหวพร้อม ๆ กับราคาหุ้น

เท่าที่ผมนึกออก ดังนี้

1) หุ้นวัฎจักรขาขึ้นสุดตัว (ซึ่งในอนาคตไม่เกิดขึ้นอีกง่าย ๆ) กำไรอาจจะขึ้น ในทางตรงข้าม หุ้นวัฏจักรขาลงสุดตัว (ซึ่งในอนาคตไม่น่าจะลงอีกแล้ว )อันนี้กำไรลด แต่ ความสามารถในการทำกำไรเพิ่ม ดังนั้น กำไรลดลงอาจไม่ควรขายแต่ควรซื้อเพิ่ม ตรงข้ามกันเลย

2) มี คชจ. ที่เกิดขึ้นครั้งเดียว ตัวอย่างเช่น บริษัท ABC ไปควบรวม บริษัท XYZ ที่ ตปท. มีหนี้สกุล ตปท. ที่ต้องชำระเพราะ ควบรวมมาในราคาถูกแต่มีหนี้ติดมาด้วย ผบห. เลยตัดสินใจปรับโครงสร้างหนี้และชำระครั้งเดียวก่อให้กำไรในไตรมาสนั้นลดลง ครั้งเดียว อันนี้กำไรลดลง แต่หนี้ลดลงด้วย ซึ่งก็น่าจะทำให้บริษัทสบายตัวขึ้น ตัวอย่างของ คชจ. ครั้งเดียวมีอีกเช่น คชจ. ที่เกิดขึ้นครั้งเดียว เช่น ค่าการตลาด โปรโมชัน ห้างเปิดใหม่ คชจ. R&D ผลิตภัณฑ์ใหม่ วิศวะบินกลับมาจากอเมริกา คุยกับลูกค้าพึ่งเสร็จวางไลน์กันใหม่

3) บริษัทประสบวิกฤตชั่วคราว ซึ่งเรามั่นใจว่ายากที่จะเกิดขึ้นอีก ยกตัวอย่าง ง่าย ๆ เช่น น้ำท่วมปีที่แล้ว (แต่อันนี้ก็ไม่แน่ใจนะว่าจะเอาอยู่หรือไม่) ก็ยกตัวอย่างนะครับ

4) มีการปรับโครงสร้างทางบัญชี เช่น ปรับนโยบายบัญชีมีการคิดค่าเสื่อมใหม่ตามหลักของ IFRS ปรับค่าเสื่อมราคาสะสมตามสัดส่วนการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าตามบัญชี มีผลกับกำไรขาดทุน เป็นต้น

5) การปรับมูลค่าต้นทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาดทุนสต๊อกในหุ้นวัฏจักร เช่น สต๊อก น้ำมัน

ตัวอย่างนะครับ ส่วนตัวมองว่าถ้าบริษัทประสบปัญหากำไรลดลงในระดับไตรมาส และบริษัทยังมีความสามารถในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นชั่วคราวเพื่อเติบโตระยะยาวได้ก็ยังน่าลงทุนอยู่ครับ - ส่วนตัวครับเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองกับคุณบลู
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4641
ผู้ติดตาม: 0

Re: สิ่งที่ต้องกลัวคือวิกฤติของบริษัทเรา ไม่ใช่วิกฤติระดับโล

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ถ้า Source of Profit ถูกทำลาย อันนี้ผมขายทันทีครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
nut776
Verified User
โพสต์: 3350
ผู้ติดตาม: 0

Re: สิ่งที่ต้องกลัวคือวิกฤติของบริษัทเรา ไม่ใช่วิกฤติระดับโล

โพสต์ที่ 4

โพสต์

เหอๆ ลงทะเบียนแฟนคลับพี่บลู

เป็นผม ถ้าผมรู้ว่าจะวิกฤตใหญ่
ต่อให้ไม่เกี่ยวผมก็ขายคับ
แต่ประเด็น คือ ไม่เคยรู้ก่อนซะที

ผมเชื่อว่าสองเรื่อง
1 กฏ 3 ใน4 ถ้าวิกฤตหุ้น เพียงไม่เกิน1ส่วนเท่านั้นที่ไม่ลง
ซึ่งผมไม่เชื่อการเลือกตัวเองเท่าไหร่

2 ราคามันมาจาก พื้นฐาน+discount or premium
ถ้ามีวิกฤต ทุกคนย่อมดึงเงินกลับ
ถ้าเรา ignore ตลาด
ก็ต้องทำใจ ยอมรับเรื่อง ค่าเสียโอกาส

แต่............
ไม่เคยจะได้รู้ก่อนสักที
รอพี่บลูมาใบ้ นะคับว่าวิกฤตหรือยัง


ปล แม้จะเข้าใจสิ่งที่กระทู้จะสื่อ แต่มันก็อยากจะขอ...ซะหน่อย
show me money.
blueplanet
Verified User
โพสต์: 1155
ผู้ติดตาม: 0

Re: สิ่งที่ต้องกลัวคือวิกฤติของบริษัทเรา ไม่ใช่วิกฤติระดับโล

โพสต์ที่ 5

โพสต์

3.ทุกครั้งที่ผลประกอบการออกต้องดูว่ามีอะไรผิดปกติไม๊ (สำหรับผมถ้ากำไรลดลงผมขายทิ้งทันที)
กฏนี้ผมจะทำตามตลอด แม้บางทีกำไรดีกว่าเก่าผมยังอยากขายเลย ถ้าบริษัทอื่นกำไรมหาศาล
เหตุผลเพราะ หุ้นมีอยู่ 500กว่าตัว ถ้าขยันดูขยันหาบางทีเรายังรู้สึกเลย เราทำไมมัวงม
โข่งถือหุ้นที่เราถืออยู่ทำไม แต่ก็ไม่ควรเปลี่ยน จนกว่าผลประกอบการออก
เพราะถ้าผลประกอบการออกมา กำไรมหาศาล จะขายหมูซะเปล่าๆ ใครขาย TMW
ก่อนประกาศผล ตอนนี้ก็คงยังไม่หายเมา บางคนอาจจะบ้าไปแล้วก็ได้ถ้าถือเยอะๆ
จริงๆแล้ว Source of Profitตามที่คุณNevercry.boy บอกสำคัญกว่า
และเราอาจจะไม่ต้องรอผลประกอบการ เราก็พอคลาดการได้ ถ้าเราฉลาดพอ
เราก็จะประเมินผลประกอบการออก อาจจะซื้อ หรือขายก่อนที่ผลประกอยการออกจริง
ก็จะได้เปรียบถ้าประเมินถูกนะ ปรกติผมจะไม่ประเมิน เพราะประเมินผิดทุกที
ผมจะรอผลประกอบการออกมา ถ้ามันแย่ เช่นกำไรลดลงครึ่งนึง แม้จะมีเหตุผลอธิบาย
ผมว่าใครขายก่อนได้เปรียบ และยิ่งถ้าขาดทุนขายอย่างเดียว ขายแล้วศึกษาดูว่า เรายัง
จะชอบหุ้นตัวเดิมไม๊ มีตัวอื่นมาแทนไม๊ (ปกติผมจะหาหุ้นใหม่)
ลองนึกดูหุ้น sta ผลประกอบการที่แย่ลงครั้งแรก ถ้าใครขายตอนนั้น
จะขายได้ในราคาประมาณ 33 บาท ไม่ต้องหวังผลประการไตรมาสถัดๆมาหรอก
Blueplanet
multipleceilings
Verified User
โพสต์: 2141
ผู้ติดตาม: 0

Re: สิ่งที่ต้องกลัวคือวิกฤติของบริษัทเรา ไม่ใช่วิกฤติระดับโล

โพสต์ที่ 6

โพสต์

อีกสิ่งที่น่ากลัวกว่า
คือวิกฤติของจิตใจเรา
M aterial catalyst
A ttitude & Perception
D isclipine
dragonrider
Verified User
โพสต์: 571
ผู้ติดตาม: 0

Re: สิ่งที่ต้องกลัวคือวิกฤติของบริษัทเรา ไม่ใช่วิกฤติระดับโล

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ผมก็คล้ายๆ คุณ blueplanet ชอบหุ้น Growth กับ Turnaround ลูกศิษย์
สาย ปรมาจารย์ Lynch ถ้า Earning มีแนวโน้มลดลง แม้ว่าราคาหุ้นอาจจะ
ลงแรงกว่า ผมก็ไม่เข้าลงทุน อดีตจะดีแค่ไหน ไม่สำคัญ
" ต้องมองกระจกหน้า อย่ามองกระจกหลัง "
คำสั่งสอนของปรมาจารย์ต้องจำให้ขึ้นใจ
โพสต์โพสต์