14.8.55: อิสระของฟรีแลนซ์
ยังจำได้ สมัยทำงานออฟฟิศ เป็นพนักงานประจำก็จะบ่นเบื่อชีวิตซ้ำๆ เดิมๆ ที่ต้องเข้างานเวลาเดิม เลิกงานเวลาเดิม นั่งที่เดิม เจอเพื่อนเดิมๆ เจ้านายเดิมๆ ทุกวัน ความฝันคืออยากมีชีวิตอิสระ
เมื่อความอยากสุกงอม ก็ได้เวลาถอนตัวออกมาเป็นฟรีแลนซ์ ซึ่งในคำว่า "Freelance" มันก็มีคำว่า "Free" อยู่ในนั้น ฟังดูก็น่าจะอิสระดี
ครั้นพอลองเป็นฟรีแลนซ์มาเกือบครบปี ก็พบว่า ชีวิตช่วงแรกของการ...เป็นฟรีแลนซ์เต็มไปด้วยความปั่นป่วนวุ่นวาย ทำงานนู่นนี่เต็มไปหมด ทั้งงานเขียนและงานไม่เขียน ทั้งบนหน้ากระดาษและหน้าจอโทรทัศน์ (ซึ่งอาจไม่ค่อยมีคนเห็น) ทั้งงานเล็กงานน้อย งานราษฎร์งานหลวง
พี่ชายคนหนึ่งเคยเปรียบเปรยให้ฟังว่า ช่วงแรกของการออกจากงานประจำนั้นอาจให้ความรู้สึกไม่มั่นคง เหมือนกระโดดลงมาจากหน้าผา เจออะไรก็คว้าจับมายึดไว้ซะหมด กลัวตาย เอาตัวรอด ทั้งในแง่ของรายได้และในแง่ของความรู้สึกว่ายังมีงานทำนะ ก็จริงของพี่เขา คนที่เคยตื่นเช้าไปเข้างานแบบไม่ต้องคิด พอหลุดออกมาจากระบบนั้น มันก็งงๆ หวิวๆ เหมือนกัน เอ๊ะ พรุ่งนี้ตูจะทำอะไร?
จึงคิดว่า ทำงานเยอะๆ เป็นเรื่องดี วุ่นๆ เข้าไว้ปลอดภัยกว่า--นั่นน่าจะเป็นค่านิยมร่วมสมัย เวลาตอบใครว่า "ช่วงนี้วุ่นๆ" มันดูดีกว่า "ช่วงนี้ว่างๆ"
ครั้นพอทำงานไปก็รู้สึกว่า "ความอิสระ" ที่เคยเฝ้าฝันถึงนั้นหาได้หอมหวนชวนดมดังที่เคยจินตนาการไว้ไม่ มันไม่ได้สวยงามขนาดน้ัน
ความอิสระมาพร้อมกับความรับผิดชอบ
ยิ่งอิสระมากเท่าไหร่ ยิ่งต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเองมากเท่านั้น
เมื่อต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเองก็มีหลายอย่างตามมาเป็นพรวน เมื่อไม่มีเพื่อนร่วมงานหรือเจ้านายมาทวงงาน ก็ต้องไล่จิกตัวเองให้ทำงานตามกำหนด วินัยเป็นสิ่งสำคัญยิ่งของฟรีแลนซ์ เพราะชีวิตอนุญาตให้เหลวไหลได้มากกว่าพนักงานออฟฟิศ นอกจากนั้นยังต้องจัดสรรชีวิตตัวเอง จะทำงานกี่ชิ้น กี่จ๊อบ ต้องจัดตารางชีวิตและตารางการใช้สอยให้ลงตัว
ข้อหลังนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนที่อยู่ใน "ตาราง" มาตลอด เหมือนกระรอกที่ถูกเลี้ยงในกรงแล้วถูกปล่อยให้เป็นอิสระ ไม่มีผลไม้มาให้กินทุกเช้าเย็น ต้องออกหากินเอง จึงไม่รู้ว่าจะเก็บผลไม้ตอนไหน แค่ไหน เก็บมาตุนไว้ดีไหม แล้วผลไม้จะมีฤดูที่ไม่ออกผลหรือเปล่า
ตารางชีวิตก็ไม่ง่าย ชีวิตในฝันที่แต่ละวันไม่ซ้ำกันเลย มันไม่ได้มีแต่ด้านที่สวยงาม มีสีสัน และน่าตื่นเต้น อีกด้านของมันคือความปั่นป่วน คาดเดาไม่ได้ และชวนวิงเวียนศีรษะอย่างยิ่ง
สมองที่เคยเป็นระบบ ตื่นมาไปทำงานก็คิดแต่เรื่องเดิมๆ เหมือนกันทุกวัน ไม่ต้องออกแรงเริ่มต้นใหม่ เซ็ตระบบใหม่ ก็กลายเป็นสมองที่สับสนรวนเร วันนี้ต้องเขียน พรุ่งนี้ต้องอ่าน มะรืนต้องพูด วันต่อไปต้องเดินทาง เช้าอย่าง บ่ายอย่าง เย็นอย่าง คนเก่งๆ และชำนาญแล้วคงเห็นเป็นเรื่องสนุก แต่สำหรับฟรีแลนซ์มือใหม่ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่จะรับมือได้ง่ายๆ เลย
ชีวิตที่ไม่มีวันทำงานประจำ จันทร์ถึงศุกร์ ก็ทำให้คนใกล้ตัวคิดว่าเราว่างตลอดเวลา มักชวนไปนู่นนี่ เรียกหาให้ทำธุระปะปังให้ อันที่จริงก็ยินดี แต่เวลางานล้นมือนี่บางทีก็ทำไม่ทัน
นั่นแหละ คือความอิสระที่เคยคิดฝัน
นี่แหละ รสชาติของความอิสระ
กระทั่งมีพี่สาวคนหนึ่งพูดคำหนึ่งให้ได้ยิน "Beauty of Routine" --ความงามของความเดิมๆ
"ความเดิมๆ" ที่เรารังเกียจมันนักหนานี่แหละมีความงามซ่อนอยู่ เราจะรู้เมื่อได้เสียมันไป เสียความเป็นระบบ เสียความสม่ำเสมอ ความคาดเดาได้ ความซ้ำ!
ชีวิตที่มีอะไรใหม่ๆ ทุกวันอาจดูน่าตื่นเต้น แต่มันก็ชวนให้เหนื่อยล้าในบางจังหวะ
ผ่านชีวิตฟรีแลนซ์มาได้ครึ่งปี จึงตัดสินใจเขย่าชีวิตตัวเองใหม่ อยากให้มีรสชาติกลมกล่อมกว่าเดิม และมีระบบมากขึ้น อิสระที่เคยมีรสหวาน พอมันมากไปก็กลายเป็นขม ความเข้มข้นของการงานต้องถูกชงใหม่ โดยเทน้ำเปล่าของเวลาว่างใส่ลงไปในนั้นบ้าง
ชีวิตฟรีแลนซ์ไม่มีวันเสาร์-อาทิตย์นะครับ เวลาที่พนักงานประจำหยุดกันยาวๆ ฟรีแลนซ์บางคนนั่งชดใช้กรรมที่คั่งค้างไว้หลังขดหลังแข็ง (หุหุ ก็ใช่ครับ มึงมันไม่รับผิดชอบเองนี่!)
จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเผื่อเวลาว่างให้ตัวเองบ้าง ลงตารางวันหยุดไว้ในตารางงาน ความสำคัญเทียบเท่ากับงานเลยทีเดียว หากใครให้ทำงานในวันนั้นจะต้องปฏิเสธ และบอกตัวเองในใจว่า "ไม่ว่าง วันนี้ต้องพักผ่อน"
นอกจากนั้น ชีวิตของใครไม่ว่าจะฟรีแลนซ์หรือไม่ฟรีแลนซ์ก็ล้วนต้องเผื่อเวลาว่างเพื่อดูแลคนใกล้ตัวเอาไว้ด้วย พี่ชายที่แสนดีสอนว่า "อย่ารับงานเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ให้รับสักแปดสิบเปอร์เซ็นต์ มีที่ว่างไว้สำหรับอุบัติเหตุในชีวิต เผื่อต้องดูแลคนใกล้ตัว และเผื่อมีงานดีๆ โอกาสดีๆ ที่เข้ามา จะได้มีเวลาทำ"
การจัดการชีวิตไม่เคยง่าย และยิ่งไม่ง่ายสำหรับคนใจอ่อน งานที่น่าสนใจช่างยั่วยวน อยากพักก็อยาก แต่บางทีก็อยากทำเสียจนลืมสัญญาที่เคยให้ไว้กับตัวเอง
การปฏิเสธเป็นทักษะที่ฟรีแลนซ์ต้องฝึกให้ชำนาญ หักห้ามใจตัวเองให้เหลือเวลาว่างเพื่อทำสิ่งที่ไม่ใช่งานและไม่ได้เงินบ้าง นั่นคือดอกไม้ของชีวิต เพราะชีวิตไม่ได้อยู่รอดได้เพียงเพราะกินข้าว
ข้าวทำให้อิ่มกาย ดอกไม้ทำให้อิ่มใจ
ชีวิตที่ไม่มีเวลาให้ดอกไม้คงไม่น่าหายใจสักเท่าไหร่
และที่ไม่ควรลืมก็คือ บางครั้ง "ดอกไม้" นั้นไม่ต้องใช้เงินซื้อ แต่ต้องการเวลามานั่งชื่นชมมัน--ความงามของชีวิต
ความงามของชีวิตไม่ใช่อะไรเลอเลิศ มันคือเสียงหัวเราะบนโต๊ะอาหาร รอยยิ้มของพ่อแม่หรือของลูก หนังสือดีๆ สักเล่ม หนังดีๆ สักเรื่อง บทสนทนาเฮฮากับเพื่อนเก่า และช่วงเวลาต่างๆ ที่ได้ทำสิ่งที่อยากทำ ขี่จักรยาน เตะบอล วิ่งกับนิชคุณ โขกหมากรุก เรียนภาษาเปรู หรือนั่งเช็ดรูสะดือให้เกลี้ยงเกลา...มีเวลาให้กับตัวเอง ครื้นเครงกับคนรัก
ทั้งหมดนั้นคือการจัดระบบให้กับความอิสระ
ทุกวันนี้ก็ยังเขย่าชีวิตฟรีแลนซ์ของตัวเองไม่ลงตัวดีนัก แต่มีสติมากขึ้นมาก รู้จักปฏิเสธด้วยความเกรงใจ ให้เวลาว่างเป็นรางวัลกับตัวเอง พบว่าช่วงสองเดือนมานี้ชีวิตมีความสุขมากขึ้น ทำงานน้อยลง และทำสิ่งที่ไม่ใช่งานบ้าง (อย่างการเขียนบันทึกลงเฟซบุ๊กแบบนี้)
การมีอิสระนั้นไม่ได้นำมาซึ่งชีวิตที่ดีเสมอไป การบริหารความอิสระเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง จากประสบการณ์ชีวิตฟรีแลนซ์เกือบหนึ่งปี (ซึ่งยังอ่อนด้อยนัก) ผมได้เรียนรู้ว่า "อิสระที่สวยงาม ต้องเป็นอิสระที่มีระบบ แต่มันต่างจากการทำงานในระบบก็ตรงที่ ระบบที่ว่านั้น เราเป็นคนเซ็ตมันขึ้นมาด้วยตัวเอง"
ซึ่งการที่จะทำเช่นนั้นได้ เราต้องเป็นอิสระจากสิ่งๆ หนึ่ง
อิสระจากความต้องการที่มากเกินไป.ดูเพิ่มเติม
CR . นิ้วกลม https://www.facebook.com/#!/Roundfinger.BOOK