เป้าหมายการลงทุนของนักลงทุนต่างก็มีจุดหมายเดียวกันคือ "สร้างกำไร" แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำสำเร็จได้อย่างที่หวังตลอด เพราะระหว่างทางลงทุนมีทั้งกำไรและขาดทุนผสมกันไป บ้างก็สบจังหวะ "ซื้อถูก ขายแพง" บางครั้งก็ "ซื้อแพง ขายถูก" ก็มี แม้แต่นักลงทุนขาใหญ่อย่าง "สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล" เจ้าของฉายา "เสี่ยปู่" ที่มีพอร์ตใหญ่หลักพันล้านบาทขึ้นไปก็ผ่านเส้นทางนี้มาเช่นกัน กว่าจะก้าวมายืนแถวหน้า
ขาใหญ่รายหนึ่งในวันนี้ ที่นักลงทุนรายย่อยต่างจด ๆ จ้อง ๆ ว่าเสี่ยปู่เล่นหุ้นตัวไหนบ้าง เพราะราคามักจะพุ่งทันที เสี่ยปู่ได้เปิดห้องเทรดส่วนตัวที่ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ให้สัมภาษณ์ "ประชาชาติธุรกิจ" ดังนี้
"คนที่ เก่งจริงต้องเห็นโอกาสซื้อก่อนคนอื่น เทคนิคแบบนี้ VI จะคิดเหมือนกันทุกคน โดยจะดูอย่างเดียวคือ แนวโน้มกำไรโตหรือไม่ ราคายังต่ำอยู่ไหม ถ้าใช่ก็ซื้อสะสมแล้วถือยาวไปเลย ซึ่งบางครั้งยอมรับว่า ผมก็ฟลุกเจอหุ้นดี แต่แบบไม่ฟลุกก็คือ ใช้วิธีเข้าไปดูงบการเงิน และคุยกับผู้บริหาร ถ้าพบหุ้นดีที่เจอปัจจัยลบระยะสั้นจนราคาปรับตัวลดลง ผมก็ยังเข้าซื้อต่อ เพราะหากจะลงทุนต้องเน้นมองไปที่อนาคต"
เขาเล่าว่า สไตล์เล่นหุ้นไม่ได้ต่างจากนักลงทุนวีไอ (นักลงทุนหุ้นคุณค่า) ที่มองระยะยาว ซึ่งจะมีทั้งการคัดกรองหุ้นก่อนซื้อ โดยกำหนดคุณสมบัติไว้ดังนี้คือ 1.พิจารณา earning หากอยู่ระดับประมาณ 20% ก็ถือว่าน่าพึงพอใจ 2.งบการเงินมีความแข็งแกร่งมากน้อยแค่ไหน 3.สินค้าของบริษัทโดดเด่นเหนือคู่แข่ง หรือเป็นผู้นำของอุตสาหกรรมหรือไม่ 4.ผู้บริหารมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจแค่ไหน เป็นต้น ซึ่งช่องทางหนึ่งที่จะได้ข้อมูลคือ การเข้าพบผู้บริหารบริษัทเพื่อสอบถามข้อมูล รวมถึงดูจากงบการเงินที่ผ่านมา และพิจารณาถึงโอกาสการเติบโตในอนาคต ฯลฯ หากพบว่า บจ.ใดผ่านคุณสมบัติก็จะทยอยเข้าซื้อ โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาปรับตัวลดลง
เสี่ยปู่หยิบยกตัวอย่างหุ้นที่ชื่นชอบลงทุน คือหุ้นเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ราคาหุ้นร่วงหนักเมื่อปีที่แล้ว จากปัจจัยลบ 2 เรื่องคือ สึนามิที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นและน้ำท่วมในไทย แต่ด้วยความเชื่อว่าปัจจัยเหล่านี้เป็นผลกระทบระยะสั้นจึงทยอยเก็บหุ้นลี สซิ่งเข้ามา อาทิ บมจ.เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง (ASK) หรืออย่างหุ้น บมจ.ฐิติกร (TK) ธุรกิจให้สินเชื่อเช่าซื้อรถมอเตอร์ไซค์ที่เขาเข้าซื้อตั้งแต่ราคาประมาณ 8 บาทต้น ๆ แต่ขณะนี้ปรับขึ้นมาอยู่ที่แถว 14 บาทแล้ว
อีกหุ้นที่ เสี่ยปู่เข้ามาซื้อเก็บคือ บมจ.คาร์มาร์ท (KAMART) ทำธุรกิจขายเครื่องสำอางเป็นหลัก ซึ่งบริษัทนี้เปลี่ยนชื่อมาจาก บมจ.ไดสตาร์ อิเลคทริก คอร์เปอเรชั่น (DISTAR) ทำธุรกิจขายเครื่องใช้ไฟฟ้าและรถยนต์ NGV ที่ประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนักจน "ฉาย บุนนาค" นักเล่นหุ้นหนุ่มชื่อดังตัดสินใจทิ้งหุ้นตัวนี้ออกไปแบบไม่ไยดี แต่สำหรับ "เสี่ยปู่" เล็งเห็นว่าธุรกิจนี้มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก จึงเข้ามาแตะมือ "ฉาย" รับช่วงต่อ ผลคือราคาหุ้น KAMART ดังกล่าวก็ทะยานขึ้นต่อเนื่องจากต้นปีที่อยู่ 4.36 บาท ล่าสุดอยู่ที่ราคาประมาณกว่า 7 บาท
นี่เป็นตัวอย่างหุ้นที่เสี่ยปู่เล่าสู่กันฟัง ซึ่งในพอร์ตยังมีหุ้นและวอร์แรนต์ (ใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้นสามัญ) ถืออยู่อีกมากรวมกว่า 70 บริษัทแล้ว แต่เขาก็ออกตัวว่าไม่ใช่ขาใหญ่
"ผมไม่ใช่ขาใหญ่ประเภทมีกำลังซื้อเยอะ เพราะเงินส่วนใหญ่ของผมไปอยู่ในหุ้นที่ผมเห็นว่ามีโอกาสทางธุรกิจเกือบหมด แล้ว ดังนั้นจึงผิดกับพวกเก็งกำไรที่จะมีกำลังซื้อเยอะ เวลาเข้าลงทุนแต่ละครั้งก็จะเข้าเต็มพอร์ต ต่างจากลักษณะของผมจะเน้นทยอยซื้อช่วงจังหวะตลาดแย่ ๆ มากกว่า ซึ่งวิธีจะไม่เหมือนกัน"
พร้อมทั้งให้มุมมองตลาดหุ้นไทยในครึ่งปี หลังว่า ปัจจัยต่างประเทศเป็นปัจจัยเดิม ๆ ที่วนเวียนเข้ามา จึงไม่ได้ให้น้ำหนักปัจจัยเสี่ยงนี้มาก เพราะเลือกเล่นหุ้นที่ไม่ได้รับผลกระทบจากตรงนี้ จะมีห่วงก็เรื่องปัจจัยการเมืองในประเทศที่เสี่ยงกว่า
และนี่คือ "สูตรไม่ลับ" ของ "เสี่ยปู่" ที่ใช้ลงทุนสร้างกำไรพอกพูนสะสมจากพอร์ตหลักแสนบาทขึ้นมาถึงพันล้านบาทได้
updated: 03 ก.ย. 2555 เวลา 11:07:19 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์