http://stupidstocktrader.blogspot.com/2 ... st_23.html
สมมุติว่าคุณเปิดร้านขายของกับหุ้นส่วนอีกหนึ่งคน โดยที่คุณสองคนมีหุ้นกันคนละครึ่ง สิ่งที่คุณจะคิดถึงทุกเช้าที่คุณตื่นขึ้นมาทำธุรกิจก็คงจะเกี่ยวกับว่า ยอดขายตอนนี้เป็นยังไง ช่วงนี้กำไรเท่าไหร่ขายดีไหม คุณคงจะไม่ได้ตื่นขึ้นมาทุกเช้าแล้วคิดว่า “ถ้าเราขายร้านเราวันนี้เราจะได้ราคาเท่าไหร่นะ” แต่ในทางกลับกันถ้าคุณลงทุนในหุ้น หลายๆคนจะตื่นขึ้นมาทุกวันแล้วก็มีความคิดจดจ้องอยู่กับว่าวันนี้ราคาหุ้นของตัวเองอยู่ที่เท่าไหร่ และแน่นอนถ้าราคาหุ้นที่ซื้อขายกันอยู่ตอนนี้ต่ำกว่าราคาที่ตัวเองซื้อมาก็จะเกิดความเครียดขึ้น “รู้หยั่งงี้รอมาซื้อตอนนี้ดีกว่าถูกว่าตั้งเยอะ” หรือ “โอพระเจ้าตอนนี้ขาดทุนไปตั้ง…แล้ว”
แต่ถ้าเราลองเปลี่ยนความคิดดูว่าเราไม่ได้มี “หุ้น” แต่เราเป็นเจ้าของบริษัทแล้วล่ะก็ การคิดอย่างนี้อาจจะช่วยลดความเครียดที่เกิดขึ้นจากการขึ้นลงของราคาหุ้นได้เยอะเลยทีเดียว เพราะสมมุติว่าเรามีหุ้นอยู่ในบริษัทหนึ่ง 1% หรือพูดง่ายๆว่าเราเป็นเจ้าของบริษัทนั้นอยู่ 1% ถึงราคาหุ้นที่ซื้อขายกันอยู่จะเพิ่มขึ้น 2 เท่า หรือลดลงครึ่งนึงเราก็ยังเป็นเจ้าของบริษัทนั้นอยู่ 1% เหมือนเดิมเราเอาเวลาไปสนใจผลการดำเนินงานของบริษัทเราดีกว่า ไม่ต้องไปสนใจว่าคนอื่นเขาจะอยากได้บริษัทของเราในราคาเท่าไหร่ เพราะอย่างในกรณีที่คุณมีร้านขายของกับหุ้นส่วน สมมุติว่าคุณลงทุนไปคนละหนึ่งแสนบาท(ทั้งหมดสองแสนบาท)แล้วร้านคุณขายได้กำไรเดือนละหนึ่งแสนบาท แล้วอยู่ดีๆมีคนเดินเข้ามาแล้วจะขอซื้อร้านของคุณทั้งหมดในราคาสองหมื่นบาท คุณคงจะไม่เครียดแล้วคิดว่า “โอไม่ ราคาร้านเราลดลงไปสิบเท่าจากตอนที่ลงทุนไป” แต่คุณคงจะคิดว่า “ฝันไปเถอะ ไม่ต้องมาหลอกซื้อกันให้ยากหรอก” ก่อนที่จะไล่คนๆนั้นออกจากร้านของคุณไป เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปเครียดมากกับราคาหุ้นที่ขึ้นๆลงๆของเราหรอกครับ เอาเวลาไปคอยดูผลดำเนินงานของกิจการเราดีกว่า
ป.ล. แต่ถ้าผลดำเนินงานออกมาแล้วยอดขายกับผลกำไรลดลงไปสิบเท่าก็ตัวใครตัวมันครับ