เปิดใจ "จรัมพร" หลังศึกหุ้นแดงเดือด ชำแหละปัจจัยเสี่ยง-อนาคตหุ้นไทย
updated: 27 มี.ค. 2556 เวลา 15:30:55 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
หลังจากตลาดหุ้นไทยผ่านศึกวันแดงเดือดสัปดาห์ที่ผ่านมา(18-22 มี.ค.) เรียกได้ว่าเป็น 5 วันแห่งความผันผวนที่ดัชนีดิ่งลงอย่างรุนแรง จากระดับ 1,591.65 จุด มาปิดที่ 1,478.97 จุด หรือลดลงถึง 112.68 จุด ทั้งยังทำให้มาร์เก็ตแคปหายไปเกือบ 1 ล้านล้านบาท "ประชาชาติธุรกิจ" ได้สัมภาษณ์พิเศษ "จรัมพร โชติกเสถียร" กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นและอนาคตตลาดหุ้นไทย
- ประเมินภาพรวมตลาดหุ้นไทยอย่างไร
ภาพรวมตลาดหุ้นของเรายังคงมีปัจจัยพื้นฐานที่ค่อนข้างดีสังเกตได้จากอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิปี"55 ที่สูงเป็นประวัติการณ์กว่า 7.26 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.67% และระดับราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (พีอี) ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ก็น่าพึงพอใจ อยู่ที่ประมาณ 14.2 เท่า ซึ่งใกล้เคียงกับสิงคโปร์ มาเลเซีย สิงคโปร์ ไต้หวัน อินโดนีเซีย ต่างจากสมัยก่อนที่ไทยจะแพ้ประเทศเพื่อนบ้านประมาณ 2 จุด ดังนั้นตอนนี้ต้องเรียกได้ว่าเรากับเพื่อนบ้านมีความสำคัญเท่ากันแล้ว
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าการปรับตัวขึ้นของดัชนีก็ทำให้อัตราเงินปันผลของตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงเหลือ 2.6% จากก่อนหน้านี้เป็นผู้นำจ่ายปันผลเฉลี่ยสูงถึง 3.6-3.7% แต่ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่าเวลาหุ้นโตแรง ๆ การจ่ายเงินปันผลคงไม่ใช่ปัจจัยหลัก
นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยยังมีความโดดเด่นในแง่มุมอื่นคือ ด้านปริมาณซื้อขายในปีก่อนก็ชนะตลาดหุ้นสิงคโปร์เป็นที่ 1 ในภูมิภาคแล้ว ขณะที่ปีนี้เรามีวอลุ่มเฉลี่ยสูงกว่าถึง 20% และวอลุ่มการซื้อขายเกิน 10 ล้านเหรียญต่อวัน อีกทั้งมีหุ้นคุณภาพที่มีมาร์เก็ตแคปเกิน 1 พันล้านเหรียญ เหมาะสำหรับกองทุนและนักลงทุนขนาดใหญ่ทั่วโลก ถึง 33 บริษัท เรียกได้ว่ามากสุดในภูมิภาค สูงกว่าสิงคโปร์ที่มี 25 บริษัท ดังนั้นตลาดเราจึงมีทั้งสภาพคล่องสูงและมีหุ้นคุณภาพด้วย
- ตลาดหุ้นตกรุนแรงในสัปดาห์ที่ผ่านมาน่ากังวลหรือไม่
สถานการณ์หุ้นตกมากในสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมว่าเพราะเป็นช่วงใกล้เทศกาลวันหยุดของทั้งฮ่องกง ญี่ปุ่น และไทยกำลังจะมีวันหยุดสงกรานต์ ขณะที่ตลาดที่กำไรสูงมาก เช่นตลาดไทยปีนี้ปีเดียวขึ้นไป 15% คนที่ถือไว้ก็ต้องหาจังหวะขาย ใครถือตั้งแต่ปีก่อนก็น่าจะได้กำไรสูงถึง 55% เพราะฉะนั้นก็เป็นการหาจังหวะทำกำไรอยู่แล้ว อีกทั้งรอบที่ผ่านมามีข่าวลือผสมกันหลายข่าว นักลงทุนก็เลยบอกว่าขายเถอะ จึงเกิดแรงเทขายออกมาและไม่เกี่ยวกับการที่ตลาดจะปรับหลักเกณฑ์ในการวางหลักประกันในบัญชีเงินสด (Cash Account) จากปัจจุบันอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 15% เป็นไม่ต่ำกว่า 20% เพราะยังไม่ได้มีผลบังคับใช้ ต้องเปิดรับฟังความเห็นก่อน และถ้าใช้จริงก็ต้องประกาศล่วงหน้าให้โบรกฯเตรียมตัว
ทั้งหมดนี้ถือเป็นเรื่องปกติของตลาดหุ้น ที่มีขึ้นแล้วก็ต้องมีตกลงบ้าง มันขึ้นตลอดเวลาไม่ได้ และจังหวะนี้ก็เป็นโอกาสดีของนักลงทุนที่ถือหุ้นอยู่ให้ปรับพอร์ต ขณะที่นักลงทุนหน้าใหม่ก็ต้องดูว่าช่วงนี้น่าลงทุนหรือไม่ รวมทั้งใครที่ยังไม่ลงทุนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ก็เป็นโอกาสที่ดี ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานยังไม่เปลี่ยน
- ประเมินการปรับตัวของตลาดหุ้นในรอบนี้อย่างไร
ผมไม่เชื่อว่าตลาดจะลงนาน ผมเชื่อว่ามันเป็นเรื่องของการปรับพอร์ต พอปรับพอร์ตเสร็จแล้วก็ต้องมีคนที่ยังไม่ได้ลงทุนพร้อมจะเข้ามาซื้อ เพราะในที่สุดแล้วตลาดหุ้นต้องเข้าสู่พื้นฐาน ในเมื่อมันตกลงมาแรงกว่า 120 จุด ภายในเวลา 2-3 วัน ถ้าดูจากปัจจัยพื้นฐานของเรา ต้องถือว่ารองรับสบาย และร่วงมาขนาดนี้ผมเห็นว่าเป็นจังหวะที่ดีด้วย เพราะเมื่อมีคนขายทำกำไร ก็เป็นโอกาสให้คนอื่นได้เข้ามาลงทุนต่อ
- ปัจจัยเสี่ยงที่กังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนหลังจากนี้
คงมีเรื่องนักลงทุนสถาบันต่างประเทศว่าจะมีเงินทุนไหลออกหรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมายังไม่เห็นว่ามีความรุนแรง ผมมองว่านักลงทุนต่างชาติคงยังไม่ออกจากบ้านเรา และถ้าจะออกก็คงทยอยเป็นระยะ ๆ เหมือนที่ผ่านมามีปัญหาไซปรัส ฯลฯ
แต่ในที่สุดผมมองว่ายังไงก็ต้องกลับมาภูมิภาคนี้เพราะเม็ดเงินทั่วโลกเยอะเหลือเกิน
นอกจากนี้สิ่งที่ต้องจับตา ผมเห็นว่าเป็นเรื่องของค่าเงินบาทที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ก็ต้องดูว่าจะมีผลกระทบต่อกลุ่มผู้ส่งออกอย่างไร เพราะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯก็มี
ผู้ประกอบธุรกิจนี้ เพียงแต่จะตีขลุมว่าพอค่าเงินบาทแข็งแล้วจะกระทบกับบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดก็ไม่ใช่ เพราะบางบริษัทก็ได้รับผลดีจากการนำเข้าเครื่องจักร นำเข้าสินค้าด้วย
อย่างไรก็ตาม เราก็ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด โดยได้สำรวจกลุ่มบริษัทที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากค่าเงิน ซึ่งภายในสัปดาห์นี้น่าจะได้ข้อสรุป แต่เราก็คงไม่มีมาตรการอะไรออกมา เพียงแต่เราอยากรู้เพื่อนำไปประกอบข้อมูลสำหรับไปอธิบายนักลงทุนเท่านั้น
- ตลาดจะมีมาตรการสกัดความร้อนแรง หรือยกระดับการดูแลหรือไม่
มาตรการสกัดความร้อนแรงคงไม่ต้องมีไปอีกสักพัก แต่มีบางเรื่องที่ต้องทำเป็นช่วง ๆ แล้วแต่ภาวะตลาด ส่วนหลักเกณฑ์การวางหลักประกันในบัญชีเงินสด (Cash Account) หากประกาศใช้แล้ว เราก็คงไม่มีลดถอยกลับมาอีก เนื่องจากประเด็นนี้ในช่วงเริ่มแรกเราทำหย่อนไปหน่อย เป็นจังหวะที่ต้องปรับมานานแล้ว เพราะประเทศอื่นตั้งไว้ 25%
- แผนโรดโชว์เพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติในช่วงนี้
เวลาออกไปโรดโชว์จะดูบรรยากาศตลาดเราก่อน เช่น ถ้าดัชนีอยู่ในช่วง 1,400 จุดกว่า ๆ ก็คงต้องทำการตลาดแบบ Hard Sell บอกว่าตลาดเรามีหุ้นราคาถูก ถ้าเข้ามาลงทุนระยะสั้นก็กำไรแน่ ๆเพราะทั้งแนวโน้มผลประกอบการ กำไร จ่ายปันผลก็ดีหมด
แต่ถ้าตลาดกลับไป 1,600 จุดก็ต้องวาดภาพให้เขามองการลงทุนในตลาดบ้านเราเป็นแบบระยะยาว เนื่องจากในอนาคตประเทศไทยจะกลายเป็นศูนย์กลางคมนาคมของกลุ่มประเทศในอินโดจีน และกลุ่มประเทศเขตเศรษฐกิจลุ่มแม่น้ำ (Greater Mekong Subregion) โดยจะเห็นได้จากการที่รัฐบาลมีโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมการขนส่ง ดังนั้น บจ.ไทยก็จะได้รับอานิสงส์จากสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย
โดยประเทศที่ตลาดหลักทรัพย์ฯจะเดินทางไปให้ข้อมูลหลังจากนี้ได้แก่ สวีเดน เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ และอังกฤษ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนระยะยาวถือหุ้นเพื่อการลงทุน 3 ปีขึ้นไป
แม้ปัจจุบันกลุ่มนักลงทุนต่างชาติจะมีวอลุ่มเทรดอยู่ประมาณ 17-18% ของมูลค่ารวม แต่ในภาพรวมนักลงทุนต่างชาติยังมีสัดส่วนการถือครองหุ้นไทยอยู่ถึง 37% ตลาดหลักทรัพย์ฯจึงยังคงต้องให้ความสำคัญ
และนี่คือมุมมองของผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่พยายามสื่อสารต่อนักลงทุนให้เชื่อมั่นและลงทุนอย่างมีสติ จะได้ไม่เจ็บปวดกับสิ่งไม่คาดฝัน ซึ่งไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... catid=0900
เปิดใจ "จรัมพร" หลังศึกหุ้นแดงเดือด ชำแหละปัจจัยเสี่ยง-อนาคต
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 232
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เปิดใจ "จรัมพร" หลังศึกหุ้นแดงเดือด ชำแหละปัจจัยเสี่ยง-อ
โพสต์ที่ 3
อันนี้เพิ่งทราบจริงๆว่าต่างชาติเป็นนักลงทุนระยะยาวและTrade น้อย(กว่าที่คิด)syj เขียน:
แม้ปัจจุบันกลุ่มนักลงทุนต่างชาติจะมีวอลุ่มเทรดอยู่ประมาณ 17-18% ของมูลค่ารวม แต่ในภาพรวมนักลงทุนต่างชาติยังมีสัดส่วนการถือครองหุ้นไทยอยู่ถึง 37% ตลาดหลักทรัพย์ฯจึงยังคงต้องให้ความสำคัญ
Things are almost never clear on Wall Street,
or when they are, then it’s too late to profit from them.
or when they are, then it’s too late to profit from them.