Shale oil, gas ‘abundant’ in the world, EIA says
June 10, 2013, 11:46 AM
By Claudia Assis
Shale oil and gas are “abundant” around the globe, and the world has 10% more shale gas resources than the Energy Information Administration estimated just two years ago.
The new report, released Monday, took advantage of new geological research and well drilling results to paint a more complete picture of shale oil and gas outside the U.S. and Canada, the two only two countries that have been able to produce commercial quantities of both.
The new report also focused on oil as well as shale gas, and broadened its research to 95 basins in 41 countries from 48 basins in 32 countries in the 2011 report, the EIA said.
Of those, Russia sits on the most “technically recoverable” shale oil reserves — 75 billion barrels. The U.S. comes in second, with 58 billion. China, Argentina, and Libya round out the top five, the EIA said.
China has the most in technically recoverable shale gas, with 1.1 trillion cubic feet. Argentina, with 802 tcf, is No. 2. The U.S. is fourth, with 665 tcf, just below Algeria, with 707 tcf. Canada is No. 5, with 573 tcf.
All told, the EIA estimated resources of 345 billion barrels of shale oil worldwide, and 7.3 tcf of shale gas.
Of course, the words are “technically recoverable.” Technological advances in horizontal drilling and hydraulic fracturing unlocked vast shale reserves in the U.S. and Canada, but the estimates are still rough.
Or, as the EIA put it, they are “highly uncertain and will remain so until they are extensively tested with production wells.” The report estimated reserves based on the geology and resource recovery rates of similar shale formations in the U.S.
Even if the resource estimates prove to be in the ballpark, there’s no telling whether it will make economic sense to go after them in every country.
“The market impact of shale resources outside the United States will depend on their own production costs and volumes,” the EIA said. “A potential shale well that costs twice as much and produces half the output of a typical U.S. well would be unlikely to back out current supply sources of oil or natural gas.”
In other words — the difference between being labeled “game changer,” an expression that gets tossed around a lot in talking about shale, and being relegated to the dustbin of the oil patch is not that great and depends on the economics of the place and global market prices.
Several nations have been trying to play catch-up with the U.S. and Canada. Poland has leased prospective shale acreage and drilled 43 test wells as of April 2013, the EIA said, although it has encountered political problems along the way. Argentina, Australia, China, England, Mexico, Russia, Saudi Arabia, and Turkey have begun exploration or expressed interest in their shale formations, the EIA added.
Shale oil provided 29% of total U.S. crude-oil production and 40% of total natural-gas production last year, the EIA said.
Follow Claudia Assis on Twitter @ClaudiaAssisMW
Follow Energy Ticker on Twitter @EnergyTicker
http://blogs.marketwatch.com/energy-tic ... -eia-says/
Shale oil, gas ‘abundant’ in the world, EIA says
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4254
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Shale oil, gas ‘abundant’ in the world, EIA says
โพสต์ที่ 2
อีไอเอเผยรายงานประเมินครั้งแรก ชี้หินดินดานเพิ่มแหล่งพลังงานสำรองโลก เหตุจากเทคโนโลยีขุดเจาะใหม่ แต่ไม่รับประกันใช้จริงได้หมด เหตุขุดเจาะยาก ไม่คุ้มเงิน
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า รายงานของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่เปิดเผยเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ประเมินว่าปริมาณน้ำมันสำรองของโลกในรูปของแร่เชื้อเพลิงที่อยู่ในหินดินดานหรือหินน้ำมัน จะทำให้แหล่งทรัพยากรน้ำมันดิบทั้งหมดของโลกเพิ่มขึ้น 11 เปอร์เซ็นต์ และก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น 47 เปอร์เซ็นต์ นับเป็นการมองภาพในเบื้องต้นของทรัพยากรหินน้ำมันที่ยังคงไม่ถูกนำมาใช้ประโยชน์ทั่วโลก
ในรายงานผลการศึกษาเรื่องดังกล่าวนี้เป็นชิ้นแรกของรัฐบาลสหรัฐ องค์การบริหารข้อมูลพลังงานสหรัฐ (อีไอเอ) ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระด้านสถิติในสังกัดกระทรวงพลังงานประเมินว่า มีน้ำมันสำรองจากชั้นหินดินดานที่สามารถนำขึ้นมาใช้ได้ในทางเทคนิคใน 41 ประเทศ อยู่ที่ 345,000 ล้านบาร์เรล โดยรายงานก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาของอีไอเอรวบรวมไว้เพียงแค่ทรัพยากรหินน้ำมันในสหรัฐ ซึ่งเมื่อปี 2554 ประเมินไว้ที่ 32,000 ล้านบาร์เรล ปัจจุบันอีไอเอประเมินแหล่งพลังงานสำรองจากหินน้ำมันของสหรัฐไว้ที่ 58,000 ล้านบาร์เรล
ขณะที่ปริมาณก๊าซธรรมชาติสำรองจากหินดินดานเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 7,299 ล้านล้านคิวบิกฟุต เพิ่มขึ้นจาก 6,622 ล้านล้านคิวบิกฟุต ที่ประเมินไว้เมื่อปี 2554
เชื้อเพลิงสำรองที่สามารถนำมาใช้ได้ในทางเทคนิค เป็นการประเมินจากปริมาณของน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติที่สามารถนำออกมาได้โดยใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบัน
จากการประเมินของบริษัทพลังงาน แอดวานซ์ รีซอร์เซส อินเตอร์เนชั่นแนล (เออาร์ไอ) ที่จัดทำให้อีไอเอพบว่ารัสเซียเป็นประเทศที่นำหน้าในแง่ของปริมาณน้ำมันสำรองอยู่ที่ 75,000 ล้านบาร์เรล ตามด้วยสหรัฐที่ 48,000 ล้านบาร์เรล ขณะที่จีนมีอยู่ที่ 32,000 ล้านบาร์เรล และอาร์เจนตินา 27,000 ล้านบาร์เรล ซึ่งเออาร์ไอประเมินปริมาณน้ำมันสำรองของสหรัฐ น้อยกว่าที่ทางอีไอเอประเมินเอง 10,000 ล้านบาร์เรล
ขณะที่เออาร์ไอประเมินว่า สหรัฐมีปริมาณก๊าซธรรมชาติสูงสุดที่ 1,161 ล้านล้านคิวบิกฟุต ตามมาด้วยจีนที่ 1,115 ล้านล้านคิวบิกฟุต อาร์เจนตินาที่ 802 ล้านล้านคิวบิกฟุต และแอลจีเรียที่ 707 ล้านล้านคิวบิกฟุต ซึ่งมากกว่าปริมาณที่ประเมินไว้เมื่อปี 2554 ที่ 231 ล้านล้านคิวบิกฟุต ถึง 3 เท่า
การผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในสหรัฐเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จากการเกิดขึ้นของเทคนิคการเจาะน้ำมันในแนวราบและไฮดรอลิกส์ แฟร็กเจอริง หรือ "แฟร็กกิ้ง" ที่ทำให้สามารถนำเชื้อเพลิงสำรองจากการทับถมของชั้นหินดินดานที่แพร่กระจายอยู่ทั่วประเทศเป็นเวลาหลายทศวรรษมาใช้งานได้
แต่ในขณะที่รายงานของอีไอเอให้ภาพรวมในเบื้องต้นของหินน้ำมันทั่วโลกที่แฝงอยู่ แต่ปริมาณที่นำมาใช้ได้ทางเทคนิค ไม่ได้รับประกันว่าจะนำมาใช้ได้จริงทั้งหมด และยังไม่ชัดเจนว่าปริมาณเชื้อเพลิงสำรองที่มีอยู่นอกสหรัฐซึ่งอยู่ในภูมิประเทศที่แตกต่างกันไป จะถูกนำมาใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้จริงหรือไม่ แม้กระทั่งในสหรัฐเอง บางพื้นที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นเรื่องยากและไม่คุ้มค่ากับเงินที่ใช้ในการนำเชื้อเพลิงสำรองดังกล่าวขึ้นมา
ตัวอย่างชัดเจนที่สุดคือโปแลนด์ ที่มีปริมาณก๊าซธรรมชาติจากหินดินดานมาเป็นอันดับ 12 และดึงดูดผู้ที่สนใจในศักยภาพตรงนี้เข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทว่าจากการขุดเจาะขั้นแรกพิสูจน์แล้วว่าเป็นการยาก และบริษัทอย่างเอ็กซอนโมบิล ทาลิสแมน เอนเนอร์จี และมาราธอน ต่างถอนตัวออกมาหมดแล้ว
ที่มา : นสพ.มติชน
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... catid=0000
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า รายงานของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่เปิดเผยเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ประเมินว่าปริมาณน้ำมันสำรองของโลกในรูปของแร่เชื้อเพลิงที่อยู่ในหินดินดานหรือหินน้ำมัน จะทำให้แหล่งทรัพยากรน้ำมันดิบทั้งหมดของโลกเพิ่มขึ้น 11 เปอร์เซ็นต์ และก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น 47 เปอร์เซ็นต์ นับเป็นการมองภาพในเบื้องต้นของทรัพยากรหินน้ำมันที่ยังคงไม่ถูกนำมาใช้ประโยชน์ทั่วโลก
ในรายงานผลการศึกษาเรื่องดังกล่าวนี้เป็นชิ้นแรกของรัฐบาลสหรัฐ องค์การบริหารข้อมูลพลังงานสหรัฐ (อีไอเอ) ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระด้านสถิติในสังกัดกระทรวงพลังงานประเมินว่า มีน้ำมันสำรองจากชั้นหินดินดานที่สามารถนำขึ้นมาใช้ได้ในทางเทคนิคใน 41 ประเทศ อยู่ที่ 345,000 ล้านบาร์เรล โดยรายงานก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาของอีไอเอรวบรวมไว้เพียงแค่ทรัพยากรหินน้ำมันในสหรัฐ ซึ่งเมื่อปี 2554 ประเมินไว้ที่ 32,000 ล้านบาร์เรล ปัจจุบันอีไอเอประเมินแหล่งพลังงานสำรองจากหินน้ำมันของสหรัฐไว้ที่ 58,000 ล้านบาร์เรล
ขณะที่ปริมาณก๊าซธรรมชาติสำรองจากหินดินดานเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 7,299 ล้านล้านคิวบิกฟุต เพิ่มขึ้นจาก 6,622 ล้านล้านคิวบิกฟุต ที่ประเมินไว้เมื่อปี 2554
เชื้อเพลิงสำรองที่สามารถนำมาใช้ได้ในทางเทคนิค เป็นการประเมินจากปริมาณของน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติที่สามารถนำออกมาได้โดยใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบัน
จากการประเมินของบริษัทพลังงาน แอดวานซ์ รีซอร์เซส อินเตอร์เนชั่นแนล (เออาร์ไอ) ที่จัดทำให้อีไอเอพบว่ารัสเซียเป็นประเทศที่นำหน้าในแง่ของปริมาณน้ำมันสำรองอยู่ที่ 75,000 ล้านบาร์เรล ตามด้วยสหรัฐที่ 48,000 ล้านบาร์เรล ขณะที่จีนมีอยู่ที่ 32,000 ล้านบาร์เรล และอาร์เจนตินา 27,000 ล้านบาร์เรล ซึ่งเออาร์ไอประเมินปริมาณน้ำมันสำรองของสหรัฐ น้อยกว่าที่ทางอีไอเอประเมินเอง 10,000 ล้านบาร์เรล
ขณะที่เออาร์ไอประเมินว่า สหรัฐมีปริมาณก๊าซธรรมชาติสูงสุดที่ 1,161 ล้านล้านคิวบิกฟุต ตามมาด้วยจีนที่ 1,115 ล้านล้านคิวบิกฟุต อาร์เจนตินาที่ 802 ล้านล้านคิวบิกฟุต และแอลจีเรียที่ 707 ล้านล้านคิวบิกฟุต ซึ่งมากกว่าปริมาณที่ประเมินไว้เมื่อปี 2554 ที่ 231 ล้านล้านคิวบิกฟุต ถึง 3 เท่า
การผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในสหรัฐเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จากการเกิดขึ้นของเทคนิคการเจาะน้ำมันในแนวราบและไฮดรอลิกส์ แฟร็กเจอริง หรือ "แฟร็กกิ้ง" ที่ทำให้สามารถนำเชื้อเพลิงสำรองจากการทับถมของชั้นหินดินดานที่แพร่กระจายอยู่ทั่วประเทศเป็นเวลาหลายทศวรรษมาใช้งานได้
แต่ในขณะที่รายงานของอีไอเอให้ภาพรวมในเบื้องต้นของหินน้ำมันทั่วโลกที่แฝงอยู่ แต่ปริมาณที่นำมาใช้ได้ทางเทคนิค ไม่ได้รับประกันว่าจะนำมาใช้ได้จริงทั้งหมด และยังไม่ชัดเจนว่าปริมาณเชื้อเพลิงสำรองที่มีอยู่นอกสหรัฐซึ่งอยู่ในภูมิประเทศที่แตกต่างกันไป จะถูกนำมาใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้จริงหรือไม่ แม้กระทั่งในสหรัฐเอง บางพื้นที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นเรื่องยากและไม่คุ้มค่ากับเงินที่ใช้ในการนำเชื้อเพลิงสำรองดังกล่าวขึ้นมา
ตัวอย่างชัดเจนที่สุดคือโปแลนด์ ที่มีปริมาณก๊าซธรรมชาติจากหินดินดานมาเป็นอันดับ 12 และดึงดูดผู้ที่สนใจในศักยภาพตรงนี้เข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทว่าจากการขุดเจาะขั้นแรกพิสูจน์แล้วว่าเป็นการยาก และบริษัทอย่างเอ็กซอนโมบิล ทาลิสแมน เอนเนอร์จี และมาราธอน ต่างถอนตัวออกมาหมดแล้ว
ที่มา : นสพ.มติชน
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... catid=0000
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.