นายอิทธิชัย ยศศรี ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า สศอ.ได้ศึกษาความได้เปรียบทางการค้าของสินค้าอุตสาหกรรมของไทย หลังการรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 58 เปรียบเทียบกับ 4 ประเทศ คือ สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย โดยพบว่า ไทยมี 36 อุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบในทางลบ และต้องเร่งปรับตัว ขณะที่มาเลเซีย ปรับตัวเตรียมพร้อมเข้าสู่เออีซี และมีอุตสาหกรรมที่ต้องปรับตัวเพียง 17 กลุ่ม ส่วนสิงคโปร์ มี 42 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องปรับตัว ฟิลิปปินส์ มี 43 กลุ่ม และอินโดนีเซีย มี 61 กลุ่ม
สำหรับอุตสาหกรรมของไทยที่ต้องเร่งปรับตัว เพื่อรับมือกับการแข่งขันในเออีซี แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการแข่งขันในอาเซียนลดลง มี 13 อุตสาหกรรม เช่น เคมีภัณฑ์อินทรีย์ ผลิตภัณฑ์จากยางพารา กระดาษ เซรามิก, กลุ่มอุตสาหกรรมที่เริ่มสูญเสียความได้เปรียบการแข่งขันมี 9 กลุ่ม เช่น เหล็กและเหล็กกล้า เฟอร์นิเจอร์ หนังเฟอร์/เฟอร์เทียม เยื่อไม้หรือเยื่อที่ได้จากเส้นใยอื่น และกลุ่มอุตสาหกรรมที่ถูกระทบหนักคือเสียเปรียบในการแข่งขันมากขึ้น มี 14 อุตสาหกรรม เช่น เชื้อเพลิงจากแร่ ผลิตภัณฑ์เภสัชกรรม เครื่องหนัง รองเท้า ขณะที่อุตสาหกรรมที่ไทยได้เปรียบมากขึ้น หากเข้าสู่เออีซี จากที่ปัจจุบันที่ได้เปรียบคู่แข่งขันในอาเซียนอยู่แล้ว เช่น ยานยนต์และชิ้นส่วน พลาสติกและผลิตภัณฑ์พลาสติก แก้วและเครื่องแก้ว ผลิตภัณฑ์จากเหล็กกล้า ส่วนอุตสาหกรรมที่มีโอกาสแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดในเออีซีเพิ่มขึ้น เช่น เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เหล็ก อัญมณีเครื่องประดับ และอาหารแปรรูป.
โดย: ทีมข่าวเศรษฐกิจ
http://www.thairath.co.th/content/eco/356014