ถ้า PE ของหุ้นส่วนใหญ่ในตลาด เกิน 60 เท่า VI จะเลือกถือเงินส
-
- Verified User
- โพสต์: 57
- ผู้ติดตาม: 0
ถ้า PE ของหุ้นส่วนใหญ่ในตลาด เกิน 60 เท่า VI จะเลือกถือเงินส
โพสต์ที่ 1
ถ้าเกิดสภาวะกระทิงที่ PE ของหุ้นส่วนใหญ่ในตลาด เกิน 60 เท่า VI จะเลือกถือเงินสดหรือหุ้นครับ ทั้งที่พื้นฐานธุรกิจไม่เปลี่ยนและยังโตต่อเนื่อง โดยสมมุติว่าคนคาดหวังการขยายธุรกิจไปยังอาเซียน เนื่องจากการเปิด AEC ทีประชากรประมาณ 600 ล้านกว่าคน มากกว่าประเทศไทย 10 เท่า
- romee
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ถ้า PE ของหุ้นส่วนใหญ่ในตลาด เกิน 60 เท่า VI จะเลือกถือเ
โพสต์ที่ 2
ถ้าขึ้น 60จริงๆ และ pe set ขึ้นไปถึง60 ผมก็คงขายเอาเงินสด+กำไร ออกมาบ้าง...ทิ้งไว้แต่เงินส่วนนึง วิ่งเล่นในนั้นละครับ
แต่ในความเป็นจริง ตลาดมักจะพังก่อนที่เราจะคาดหวังเสมอ อย่างรอบที่ผ่านมา ผมกะจะเอาต้นทุนออกมาส่วนนึง ตอนset1700
แต่แล้วมันก็ทิ้งดิ่งแถว 1650
แต่ในความเป็นจริง ตลาดมักจะพังก่อนที่เราจะคาดหวังเสมอ อย่างรอบที่ผ่านมา ผมกะจะเอาต้นทุนออกมาส่วนนึง ตอนset1700
แต่แล้วมันก็ทิ้งดิ่งแถว 1650
การลงทุนแนวvi ไม่ได้แปลว่า นักลงทุนคนนั้นดีกว่า หรือมีวรรณะสูงกว่าคนที่ลงทุนแนวอื่นๆหรอก
-
- Verified User
- โพสต์: 1679
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถ้า PE ของหุ้นส่วนใหญ่ในตลาด เกิน 60 เท่า VI จะเลือกถือเ
โพสต์ที่ 3
ถ้ากิจการโตส่วนใหญ่โตได้ประมาณ 60% ต่อปีด้วย ผมก็เอาหุ้นครับnuttagan เขียน:ถ้าเกิดสภาวะกระทิงที่ PE ของหุ้นส่วนใหญ่ในตลาด เกิน 60 เท่า VI จะเลือกถือเงินสดหรือหุ้นครับ ทั้งที่พื้นฐานธุรกิจไม่เปลี่ยนและยังโตต่อเนื่อง โดยสมมุติว่าคนคาดหวังการขยายธุรกิจไปยังอาเซียน เนื่องจากการเปิด AEC ทีประชากรประมาณ 600 ล้านกว่าคน มากกว่าประเทศไทย 10 เท่า
แต่คงเป็นไปไม่ได้ ถึงจะมี aec ก็เถอะ
ก้อน cake ใหญ่ขึ้น ไม่ได้มีแต่ด้านได้ การแข่งขันก็มากขึ้นครับ และลองไปดูรายละเอียดอื่นๆด้วย มันไม่ได้โต 10 เท่าแบบ linear, มันมีเงื่อนไขข้อจำกัดและความแตกต่างอยู่ดี อาจจะเข้าถึงผู้บริโภคจำนวนมากขึ้นได้จริงแต่ degree แต่ละกรณีก็ต่างกัน , reach และ วิธีการทำตลาด ต่อคนประเทศอื่น คงไม่เหมือนประเทศไทย , flow of goods/services, etc etc etc, components & variables เยอะแยะมากมายผมคงพูดไม่หมดแน่นอน แต่คงไม่ใช่ว่าคนมากขึ้น 10 เท่า PE จะวิ่งตามง่ายๆแบบนั้น
value trap
- kongkiti
- Verified User
- โพสต์: 5830
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถ้า PE ของหุ้นส่วนใหญ่ในตลาด เกิน 60 เท่า VI จะเลือกถือเ
โพสต์ที่ 4
ไม่ตรงกับคำถามของ จขกท. แต่อยาก Share ให้อ่านกันครับ
ปล. หาก PE ตลาด 60 เท่าจริง ผมขอเอาเงินใส่ตุ่มฝังดินไว้ดีกว่าครับ ธนาคารคงคิดดอกเบี้ยเงินฝากประชาชนกล้าๆกลัวๆ
Posted by พิชัย จาวลา on วันเสาร์, 29 มิถุนายน 2013 in พิชัย จาวลา
บริเวณบวกลบที่ 1400 จุดนี้ เป็นช่วงราคาที่ยังมีข่าวร้ายอยู่มาก แต่ก็เป็นจุดแนวรับที่สำคัญ เมื่อดูจาก pattern ของ graph set ในอดีต 2-3 ปีที่ผ่านมา ใจหนึ่งก็กลัวข่าวร้ายตั้งแต่การยุติ QE เศรษฐกิจจีนชะลอตัว เศรษฐกิจไทยชะลอตัว แต่ใจหนึ่งก็อยากซื้อ เนื่องจาก set ตกลงมาในระดับที่ถึงแนวรับสำคัญ และเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานแล้ว และเมื่อย้อนไปในอดีตปลายปี 54 ที่ set ตกแรงๆจาก 1150 มา 900 และปีที่แล้วที่ตกจาก 1250 มา 1100 ช่วงนั้นก็มีข่าวร้ายมากเช่นกัน เรื่องน้ำท่วมใหญ่ กทม. และวิกฤตเศรษฐกิจยุโรป คนส่วนใหญ่ ไม่กล้าซื้อเต็มพอร์ท ได้แต่ซื้อๆขายๆ และ Focus ที่ข่าวภัย และราคาหุ้นอยู่สูง ทำให้พลาดโอกาศที่จะทำกำไรเต็มๆ มาถึงรอบนี้ แม้มีข่าวภัยมากมายแต่เมื่อเปรียบเทียบกับประสบการณ์ในอดีต ตราวนี้จึงกล้าซื้อ กลัวพลาดโอกาศไม่ได้ซื้อของถูก
ความกล้าๆกลัวๆเช่นนี้ จะทำให้หุ้นน่าจะอยู่ในกรอบ 1300-1600 จุดได้นานหลายๆเดือน แต่เมื่อ set สลับขึ้นสลับลง และตั้งหลักตั้งลำได้ และมีแนวโน้มที่จะขึ้นผ่าน 1500 จุดขึ้นไปหรือผ่านขึ้นไปแล้ว GRAPH และ TECHNIQUE ก็จะ confirm ให้ซื้อ เมื่อรวมกับ PE ตลาดหุ้นไทยที่เหมาะสม และกำไรบริษัทจดทะเบียนยังอยู่ดี คนส่วนใหญ่ก็จะกล้าซื้อกันมาก ระบบผลประโยชน์ก็จะทำงานและทำการขายได้มาก ราคาก็จะปรับตัวลง โดยไม่คำนึงถึงข่าว-สถาณการณ์-ปัจจัยพื้นฐาน ค่า PE ที่เหมาะสมต่างๆ และราคาหุ้นที่ตกลงไป ก็จะไปปรับเปลี่ยนเหตุผล ข้อเท็จจริง ตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ ให้สอดคล้องกับราคาได้เอง กลยุทธ์จึงยังคงเดิมคือ เกิน 1550 จุด น่าขายทุกราคา ถามว่าถ้าเราต้องขายในเวลาที่เหตุผลข้อเท็จจริงต่างดูดี คนส่วนใหญ่ซื้อกันมาก เพียงเพราะเราจะเป็นคนส่วนน้อยที่แตกต่าง การเป็นคนส่วนน้อยที่มีคุณค่ามากกว่าเหตุผลข้อเท็จจริง ปัจจัยพื้นฐานต่างๆที่ดูดีหรือ? คำตอบก็คือใช่เพราะ
1. การตัดสินใจถูกตามเหตุผล มีคุณค่า เมื่อการตัดสินใจของผู้คนกระจัดกระจาย แต่เมื่อใดเราตัดสินใจถูกตามเหตุผลแต่เราทำเหมือนกันหมดเกินกว่า 90% คุณค่าของเหตุผลข้อเท็จจริงเหล่านั้นได้หายไปหมดแล้ว และย้ายข้างไปอยู่ที่สิ่งนั้น over bought over sold หรือ over supply ยกตัวอย่าง เราสอบได้เกรด 4 แต่ได้เกรด 4 กันทั้งห้อง คุณค่าย่อมหายไป หรือเราตัดสินใจทำ service apartment แต่เมืองนั้นมีนักธุรกิจเก่งๆ และสร้างกันทั้งเมือง คุณค่าย่อมหายไป และย้ายข้างไปอยู่ที่ over supply เป็นต้น
2. ในตลาดที่มีสัดส่วนของการเก็งกำไรที่สูงมากเช่น ตลาดหุ้น ย่อมมีกองทุน หรือคนที่เก่งกว่าเรามากๆ ที่จะทำกำไรจากพวกเราคนส่วนใหญ่ ดังนั้นเป้าหมายของระบบผลประโยชน์จึงคือ ขายในเวลาที่คนซื้อมากที่สุด และซื้อในเวลาที่มีคนขายมากที่สุด เนื่องจากระบบจะได้ประโยชน์สูงสุด และราคาดีที่สุด แต่การทำเช่นนั้น ระบบย่อมอยู่ตรงข้ามกับเหตุผลและข้อเท็จจริง เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว เนื่องจากเวลาที่คนขายมากที่สุด เหตุผลทุกข้อย่อมดูไม่ดี และชี้ว่าจะแย่ลงอีก ไม่เช่นนั้น คนส่วนใหญ่ จะขายหรือ ? แต่ระบบจะไม่ให้ราคากับเหตุผลและข้อเท็จจริง เพราะระบบผลประโยชน์อยู่ในระดับ "ผู้กำหนดเหตุผล" ราคาที่เคลื่อนไปในทิศทางที่ตรงข้ามกับเหตุผลข้อเท็จจริงในขณะนั้น ในทิศทางที่ระบบได้ประโยชน์สูงสุด ก็จะไปปรับเปลี่ยนเหตุผลข้อเท็จจริงใหม่ๆ ปรับเปลี่ยนเป็นตัวเลขทางเศรษฐกิจ ให้สอดคล้องกับทิศทางราคาที่เคลื่อนไปได้
ให้ลองสังเกตุดูจะเป็นเช่นนั้นทุกครั้ง เรื่องราวล่าสุดก็เช่น คนส่วนใหญ่ซื้อทองกันมากที่สุดที่ 1700-1900 เหรียญ เหตุผลดูดีน่าซื้อที่สุด หลังจากนั้นก็ปรับตัวลง หรือ set ตอน1650 จุดก็เช่นกัน แต่ set ไม่เหมือนทองตรงที่ทอง over bought มากๆ จนเป็น bubble ไปเลย ทองจึงจะเป็นขาลงยาวนาน เป็น 10-20 ปี ราคาจะเคลื่อนไหวเฉลี่ยอยู่ระดับ 1000 กว่าเหรียญเท่านั้น ไม่พ้น 2000 แม้อีกเป็นสิบปี แต่ราคาหุ้น over bought ในระดับหนึ่งแม้ซื้อกันมากที่สุดของคนที่เล่นหุ้น แต่ไม่กล้าและมากสุดๆเหมือนทอง เนื่องจากเคยมีบทเรียนที่เคยขาดทุนหุ้นที่ 1700จุด เมื่อปี40มาแล้ว และยังจำได้ ดังนั้นเมื่อตลาดหุ้นปรับตัวปรับฐาน และมีข่าวร้ายมากขึ้นเรื่อยๆในปีหน้าคนส่วนใหญ่ก็จะขายออกมา และความกลัวของคนส่วนใหญ่ที่อยู่บนพื้นฐานของเหตุผลที่ดูไม่ดี ก็จะขับเคลื่อนหุ้นไทยให้ขึ้นต่อข้ามระดับ 2000 จุดได้ภายในประมาณ 5-10 ปี สอดคล้องกับเศรษฐกิจเอเซียที่มี potential สูงมากหลังเปิด AEC
เหตุผลอะไร ที่จะทำให้คนส่วนใหญ่กลัวและขายหุ้นออกมาในระดับต่ำกว่า 1300 จุดในอนาคต อาจจะเป็น 1-2 ปีข้างหน้า ก็คือเรื่องของค่าเงินบาท และเงินสกุลเอเซียที่จะอ่อนค่าไปมาก ถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าจะเกิดขึ้น คำตอบคือ อ่านจากระบบผลประโยชน์ ที่คนส่วนน้อยกำลังซื้อ US Dollar ที่คนส่วนใหญ่แทบทั้งหมดกลัว และลดพอร์ท หรือขาย US Dollar กันอยู่ ในเม็ดเงินที่เท่ากัน เพราะซื้อย่อมเท่ากับขายเสมอ เรามองแต่ด้านเดียว ว่าใครๆก็ลดพอร์ท US Dollar แต่แท้จริงมีคนส่วนน้อยซื้อหมดอยู่ด้วย โดยไม่คำนึงถึงเหตุผลและข้อเท็จจริง ราคาจึงเกิดขึ้นได้ เรายึดติดกับเหตุผลเฉพาะหน้า และเหตุผลด้านเดียว จากทองคำที่เหตุผลทุกข้อชี้ให้ซื้อที่ 1800เหรียญ แล้วขาดทุนมาขนาดนี้แล้ว วันนี้จะพลาดโอกาศทำกำไรใน US Dollar ที่จะแข็งค่าขึ้นโดยเชื่อเหตุผลเฉพาะหน้าและเหตุผลด้านเดียวที่ชี้ให้ขาย US Dollar กันอีกหรือ ? ผมตีความว่าอีกไม่นานเกิน 1-2 ปีนี้หรอกครับ ที่ระบบผลประโยชน์จะทำงานใน US Dollar โดยไม่ผิดพลาด
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
-
- Verified User
- โพสต์: 1217
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถ้า PE ของหุ้นส่วนใหญ่ในตลาด เกิน 60 เท่า VI จะเลือกถือเ
โพสต์ที่ 5
ต้องขอดูดอกเบี้ยพันธบัตรประกอบครับ ถ้าดอกเบี้ยติดลบมากๆและบริษัทโตมากๆก็ถือครับ แต่ถ้าไม่ใช่แบบนั้นก็คงขายนะครับ (ญี่ปุ่นดอกเบี้ยเคยติดลบนะครับ แต่ไม่มาก คือฝากเงินแล้วยังต้องเสียค่าฝากนะครับ)
- Sumotin
- Verified User
- โพสต์: 1141
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถ้า PE ของหุ้นส่วนใหญ่ในตลาด เกิน 60 เท่า VI จะเลือกถือเ
โพสต์ที่ 6
ผมว่านะครับ ถ้า PE ตลาดขึ้นไปซัก 40x ก็ขายได้แล้วครับ ไม่ต้องรอถึง 60x หรอกครับ
อย่างแรกคือ PE 40 เท่า คือ E/P ประมาณ 2.5% เท่านั้น ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่ไม่คุ้มค่าต่อความเสี่ยงที่จะได้รับเป็นแน่
อย่างที่สองคือ การรักษา growth ในระดับที่สูงขนาดนี้เป็นไปไม่ได้ในระยะยาว อย่างมาก 1-2 ปีก็เยอะแล้วครับ เพราะ ถ้าไม่ใช่บริษัทใน growth stage การเติบโตจะมีส่วน assets เติมตลาดเดิมที่ค่อนข้าง mature แล้ว ทำให้การ growth ในแนวทางใหม่ไม่สามารถทำได้สูง หรือถ้าจะทำได้อาจต้องมีการเพิ่มทุนที่ค่อนข้างสูงก็จะไม่ได้ส่งผลดีในระยะสั้นแน่ๆครับ
ผมค่อนข้าง conservative ไม่ค่อยถือหุ้น PE ที่สูงเกินไป ยกเว้น time period ในอีก 2-3 ปีข้างหน้าจะมี growth ที่สูงจริงๆ ถึงจะยอมถือครับ
อย่างแรกคือ PE 40 เท่า คือ E/P ประมาณ 2.5% เท่านั้น ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่ไม่คุ้มค่าต่อความเสี่ยงที่จะได้รับเป็นแน่
อย่างที่สองคือ การรักษา growth ในระดับที่สูงขนาดนี้เป็นไปไม่ได้ในระยะยาว อย่างมาก 1-2 ปีก็เยอะแล้วครับ เพราะ ถ้าไม่ใช่บริษัทใน growth stage การเติบโตจะมีส่วน assets เติมตลาดเดิมที่ค่อนข้าง mature แล้ว ทำให้การ growth ในแนวทางใหม่ไม่สามารถทำได้สูง หรือถ้าจะทำได้อาจต้องมีการเพิ่มทุนที่ค่อนข้างสูงก็จะไม่ได้ส่งผลดีในระยะสั้นแน่ๆครับ
ผมค่อนข้าง conservative ไม่ค่อยถือหุ้น PE ที่สูงเกินไป ยกเว้น time period ในอีก 2-3 ปีข้างหน้าจะมี growth ที่สูงจริงๆ ถึงจะยอมถือครับ
Timing is everything, no matter what you do.
CAGR of 34% in the past 15 years of investment
CAGR of 34% in the past 15 years of investment
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1223
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถ้า PE ของหุ้นส่วนใหญ่ในตลาด เกิน 60 เท่า VI จะเลือกถือเ
โพสต์ที่ 8
หลักในการลงทุนของผม ผมจะมองอนาคตPE ของหุ้นที่ผมถืออย่างเดียวครับnuttagan เขียน:ถ้าเกิดสภาวะกระทิงที่ PE ของหุ้นส่วนใหญ่ในตลาด เกิน 60 เท่า VI จะเลือกถือเงินสดหรือหุ้นครับ ทั้งที่พื้นฐานธุรกิจไม่เปลี่ยนและยังโตต่อเนื่อง โดยสมมุติว่าคนคาดหวังการขยายธุรกิจไปยังอาเซียน เนื่องจากการเปิด AEC ทีประชากรประมาณ 600 ล้านกว่าคน มากกว่าประเทศไทย 10 เท่า
ถ้าหุ้นในพอร์ตผมวันนี้PE60เท่า แต่2-3ปีข้างหน้ากำไรโตจนทำให้ PEเหลือ 4-5 เท่า
แบบนี้ไม่ว่าตลาดจะเป็นยังไงผมก็ยังคงถือหุ้นของผมต่อไปครับ
แต่ถ้าวันนี้แม้หุ้นในพอร์ทPEจะต่ำมาก แต่ถ้าผมประเมินแล้วว่าอนาคต กำไรจะลดจนทำให้PEเป็น 60 เท่า
ผมจะขายมาถือเงินสดหรือหุ้นตัวอื่นหรือการลงทุนอื่น ที่น่าสนใจกว่าแทนครับ
ซื้อหุ้นตัวที่เมื่อมองไปในอนาคตแล้ว ที่ปัจจุบันราคายัง undervalue ที่สุด
-
- Verified User
- โพสต์: 332
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถ้า PE ของหุ้นส่วนใหญ่ในตลาด เกิน 60 เท่า VI จะเลือกถือเ
โพสต์ที่ 9
มองตามในแง่เหตุผล ยังไงผมก็ขายครับ
อาจจะขายออกไปตั้งแต่ pe 30 ซะด้วยครับ
ผมถือหลักที่ว่า ไม่กลัวตกรถครับ
อาจจะขายออกไปตั้งแต่ pe 30 ซะด้วยครับ
ผมถือหลักที่ว่า ไม่กลัวตกรถครับ
- Unstablemind
- Verified User
- โพสต์: 405
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถ้า PE ของหุ้นส่วนใหญ่ในตลาด เกิน 60 เท่า VI จะเลือกถือเ
โพสต์ที่ 10
ถ้าPEแถว60นี้มันTulip Mania
Its all about getting alpha.
-
- Verified User
- โพสต์: 57
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถ้า PE ของหุ้นส่วนใหญ่ในตลาด เกิน 60 เท่า VI จะเลือกถือเ
โพสต์ที่ 11
เป็นเรื่องปกตินะเพราะผมเห็นหุ้นในตลาดตอนนี้ที่ pe 30กว่า มีหลายตัวที่มีเซียนหุ้น VI ถือเป็นผู้ถือหุ่นรายใหญ่ด้วยpullmeunder เขียน:มองตามในแง่เหตุผล ยังไงผมก็ขายครับ
อาจจะขายออกไปตั้งแต่ pe 30 ซะด้วยครับ
ผมถือหลักที่ว่า ไม่กลัวตกรถครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 332
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถ้า PE ของหุ้นส่วนใหญ่ในตลาด เกิน 60 เท่า VI จะเลือกถือเ
โพสต์ที่ 12
ด้วยเหตุผลส่วนตัว และขนาดของพอร์ตครับnuttagan เขียน:เป็นเรื่องปกตินะเพราะผมเห็นหุ้นในตลาดตอนนี้ที่ pe 30กว่า มีหลายตัวที่มีเซียนหุ้น VI ถือเป็นผู้ถือหุ่นรายใหญ่ด้วยpullmeunder เขียน:มองตามในแง่เหตุผล ยังไงผมก็ขายครับ
อาจจะขายออกไปตั้งแต่ pe 30 ซะด้วยครับ
ผมถือหลักที่ว่า ไม่กลัวตกรถครับ
การที่จะหวังให้ pe 30 คงที่ตลอดนั้นแปลว่าบริษัทจะต้องเติบโตอย่างน้อย 30% ต่อปี
ผมไม่สามารถถือหุ้นที่บริษัทยังดำเนินการปกติแล้วมี pe สูง 30เท่าหรือมากกว่า ได้ครับ
การที่บางท่านสามารถถือในช่วง pe 60 เท่าได้แปลว่า ต้นทุนของเขาจะต้องต่ำมาก
และเข้าใจถึงมูลค่ามัน
ที่เขายังไม่ขายเพราะมันอาจจะเป็นเรื่องยากในการซื้อคืน,ด้วยขนาดของพอร์ต หรือไม่ก็ยังหาตัวอื่นที่ดีกว่าไม่ได้
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 152
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถ้า PE ของหุ้นส่วนใหญ่ในตลาด เกิน 60 เท่า VI จะเลือกถือเ
โพสต์ที่ 13
ถ้าธุรกิจยังคงเติบโต ก็ถือต่อ (กลัวว่าขายไปแล้วจะไม่มีโอกาสซื้อคืน)
แต่ถ้าประเมินแล้วเป็นธุรกิจเริ่มจะอิ่มตัวไม่โตต่อไปแล้ว ก็ขายครับ
หรือว่าเจอตัวอื่นที่มั่นใจมากๆ ว่าเป็นธุรกิจที่ดีกว่า ก็สลับตัวเล่นครับ
แต่ถ้าประเมินแล้วเป็นธุรกิจเริ่มจะอิ่มตัวไม่โตต่อไปแล้ว ก็ขายครับ
หรือว่าเจอตัวอื่นที่มั่นใจมากๆ ว่าเป็นธุรกิจที่ดีกว่า ก็สลับตัวเล่นครับ
มีเหตุผล, พอประมาณ, มีภูมิคุ้มกัน
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 152
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถ้า PE ของหุ้นส่วนใหญ่ในตลาด เกิน 60 เท่า VI จะเลือกถือเ
โพสต์ที่ 14
แต่ถ้ามีเงินสดในมือ แล้วเจอแต่หุ้น PE 60 เท่าเต็มตลาด ก็ยินดี ถือเงินสด และ อดทนรอครับnz เขียน:ถ้าธุรกิจยังคงเติบโต ก็ถือต่อ (กลัวว่าขายไปแล้วจะไม่มีโอกาสซื้อคืน)
มีเหตุผล, พอประมาณ, มีภูมิคุ้มกัน
-
- Verified User
- โพสต์: 2690
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถ้า PE ของหุ้นส่วนใหญ่ในตลาด เกิน 60 เท่า VI จะเลือกถือเ
โพสต์ที่ 18
ผมคิดแบบนี้.,,
หลังจากติดตามลุงบัฟมาก....
สมมติว่า วันหนึ่ง มีบุญสามารถเก็บ หุ้นที่ดีที่สุดในโลก
เช่น Coca Cola ได้ซัก 7% ของ บ. แบบลุงบัฟ ละก็
คงทำพินัยกรรม สั่งลูกหลาน ไว้ว่า ห้ามขาย
เด็ดขาด ให้ ถือไปอีก จนถึง เหลนของเหลน
.....
1. opportunity cost
2. transcation cost
3. time-pass w no return cost
ตอนนี้ winner great company ใน port มีแต่ซื้อเพิ่ม
ถือหุ้น 100% ตลอดเวลา
หลังจากติดตามลุงบัฟมาก....
สมมติว่า วันหนึ่ง มีบุญสามารถเก็บ หุ้นที่ดีที่สุดในโลก
เช่น Coca Cola ได้ซัก 7% ของ บ. แบบลุงบัฟ ละก็
คงทำพินัยกรรม สั่งลูกหลาน ไว้ว่า ห้ามขาย
เด็ดขาด ให้ ถือไปอีก จนถึง เหลนของเหลน
.....
1. opportunity cost
2. transcation cost
3. time-pass w no return cost
ตอนนี้ winner great company ใน port มีแต่ซื้อเพิ่ม
ถือหุ้น 100% ตลอดเวลา
-
- Verified User
- โพสต์: 2690
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถ้า PE ของหุ้นส่วนใหญ่ในตลาด เกิน 60 เท่า VI จะเลือกถือเ
โพสต์ที่ 19
Why,then, should we need a quote on our 7% interest in Coke?
Quote fr Book Warren Buffett Way
http://books.google.co.th/books?id=Rndl ... 22&f=false
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 506
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถ้า PE ของหุ้นส่วนใหญ่ในตลาด เกิน 60 เท่า VI จะเลือกถือเ
โพสต์ที่ 20
ถ้าเป็นผม อาจจะต้องต่อท้ายพินัยกรรมไว้ว่า ห้ามขาย ตราบใดที่ Coke พื้นฐานไม่เปลี่ยนimerlot เขียน:ผมคิดแบบนี้.,,
หลังจากติดตามลุงบัฟมาก....
สมมติว่า วันหนึ่ง มีบุญสามารถเก็บ หุ้นที่ดีที่สุดในโลก
เช่น Coca Cola ได้ซัก 7% ของ บ. แบบลุงบัฟ ละก็
คงทำพินัยกรรม สั่งลูกหลาน ไว้ว่า ห้ามขาย
เด็ดขาด ให้ ถือไปอีก จนถึง เหลนของเหลน