หุ้นตกทำไงดี
- นายมานะ
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1167
- ผู้ติดตาม: 1
หุ้นตกทำไงดี
โพสต์ที่ 1
บทความ Value Way ฉบับวันที่ 23 กันยายน 2556
โดย วิบูลย์ พึงประเสริฐ
ตลาดหุ้นในช่วงนี้ถือว่าผันผวนอย่างรุนแรง หุ้นตกจาก 1,600 จุดลงมาเหลือ 1,300 จุดในช่วงที่นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยอออกมาอย่างมากเนื่องจากกลัวว่าธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกาหรือเฟดจะลดวงเงินในการซื้อคืนพันธบัตรหรือคิวอีลงซึ่งจะทำให้เงินไหลกลับไปยังสหรัฐ ตลาดหุ้นเกิดใหม่จึงเกิดภาวะตกต่ำกันทั่วโลก หลังจากนั้นเมื่อผู้ว่าการเฟดออกมาบอกว่ายังไม่เลิกคิวอีในระยะอันสั้นเพราะเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ได้ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งทำให้นักลงทุนหวนหลับมาซื้อหุ้นตลาดเกิดใหม่อีกครั้ง ซึ่งส่งผลให้หุ้นไทยเพิ่มขึ้นจากจุดต่ำสุดขึ้นไปถึง 1,500 จุด จากนั้นในช่วงเวลาไม่นานตลาดหุ้นไทยกลับปรับตัวลดลงเหลือ 1,200 จุดตามแรงขายของกองทุนในประเทศและต่างชาติ หลังจากนั้นเพียงไม่กี่สัปดาห์ตลาดหุ้นไทยกลับมีแรงซื้อเข้ามามากจนดัชนีเพิ่มขึ้นไปถึงกว่า 1,400 จุด
ถึงแม้ตลาดหุ้นไทยจะผันผวนเป็นอย่างมาก แต่สำหรับนักลงทุนรายย่อยแล้วส่วนใหญ่จะประสบภาวะขาดทุนในปีนี้เนื่องจากมีจังหวะเข้าซื้อขายหุ้นในช่วงซื้อตอนดัชนีสูงแต่มาขายออกในช่วงดัชนีลดลงต่ำหรือไม่ก็ยังคงถือหุ้นไว้แต่ราคาปัจจุบันต่ำกว่าต้นทุนที่ซื้อมา บางคนพอร์ตการลงทุนลดลงถึงครึ่งหนึ่งหรือ 50 เปอร์เซนต์เลยทีเดียวโดยเฉพาะการถือหุ้นที่มีราคาสูงและเป็นที่นิยมในช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นหุ้นค้าปลีก หุ้นอสังหาริมทรัพย์หรือหุ้นในกลุ่มอื่นๆก็ตาม ในช่วงเวลาเช่นนี้นักลงทุนควรทำอย่างไร ตามหลักการการลงทุนแบบเน้นคุณค่ามีหลักในการปรับพอร์ตเพื่อรับมือกับวิกฤติอยู่สองสามข้อดังนี้
หนึ่ง ถามตนเองว่าเราซื้อหุ้นนั้นมาด้วยเหตุผลอะไร
หลายคนซื้อหุ้นบริษัทหนึ่งๆเข้าพอร์ตเพียงเพราะมีคนบอกว่าหุ้นนั้นเป็นหุ้นที่ดี ราคาจะวิ่งไปเท่านั้นเท่านี้ แต่เหมือนคำกล่าวที่ว่า “ค่าที่ปรึกษาที่แพงที่สุดคือค่าคำปรึกษาที่ได้มาฟรีๆ” นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่จะซื้อหุ้นตามๆที่เพื่อนบอกหรือไม่ก็มาร์เกตติ้งแนะนำ หรือหลายคนซื้อหุ้นเพราะได้ยินข่าวว่าบริษัทนี้จะมีรายได้หรือกำไรเติบโตอย่างมากเนื่องจากมีออเดอร์หรือรายรับเข้ามามากในช่วงเวลานั้นซึ่งในความเป็นจริงบริษัทอาจทำกำไรได้มากในไตรมาศหนึ่งแต่พอไตรมาศถัดไปกลับมีรายได้ที่ลดลง ดังนั้นนักลงทุนควรถามว่าเราซื้อหุ้นนั้นด้วยเหตุผลอะไรและเราควรขายหุ้นนั้นด้วยเหตุผลเดียวกัน
สอง ถามตนเองว่าเราเข้าใจหุ้นบริษัทนั้นดีแค่ไหน
นักลงทุนจำนวนมากไม่เข้าใจในธุรกิจที่ลงทุนดีพอ ดังนั้นเมื่อภาวะเศรษฐกิจมีผลกระทบกับบริษัทจึงทำให้ราคาหุ้นลดลงอย่างมาก แต่นักลงทุนยังไม่มั่นใจมากพอถึงเหตุผลที่ทำให้หุ้นราคาลดลง แต่เมื่อสุดท้ายราคาลดลงมากจนทำใจขายไม่ลงเสียแล้วเป็นต้น ถ้านักลงทุนเข้าใจธุรกิจนั้นอย่างดีและมั่นใจว่าธุรกิจยังไปได้จะเป็นโอกาสดีที่จะซื้อหุ้นพื้นฐานดีในราคาที่ถูกในช่วงตลาดตกต่ำ
สาม ถามตนเองว่าเราตั้งใจถือหุ้นบริษัทนั้นนานแค่ไหน
หลายคนซื้อหุ้นมาเพียงเพื่อรอให้มีราคาสูงกว่าที่ซื้อมาเพื่อขายออกไป ในช่วงสามสี่ปีที่ผ่านมากลยุทธเช่นนี้มักจะได้ผล แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ตลาดหุ้นผันผวนอย่างมากและราคาหุ้นไม่ได้กลับไปที่จุดสูงสุดเช่นเดิมทำให้นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากขาดทุน บางคนตั้งใจถือหุ้นไว้เพียงหนึ่งหรือสองสัปดาห์แต่ตลาดหุ้นที่ตกต่ำทำให้ต้องทนถือหุ้นที่ขาดทุนไว้นานกว่าที่คิด การซื้อหุ้นมาเพื่อถือไว้ระยะเวลาสั้นๆนั้นน่าจะเป็นการ”เก็งกำไร”มากกว่าการลงทุน ระยะเวลาในการถือหุ้นเพื่อที่จะผ่านวิกฤติไปได้และมากพอที่จะให้บริษัทแสดงศักยภาพออกมาน่าจะเป็นเวลาไม่ต่ำกว่าสามปีหรือยิ่งมากกว่ายิ่งดี เพราะจะช่วยลดความผันผวนของราคาในช่วงสั้นๆลงไปได้มาก
ถ้านักลงทุนตอบคำถามทั้งสามข้อนี้และปฏิบัติตามได้ ถึงแม้ตลาดหุ้นจะผันผวนแค่ไหน คงไม่สะทกสะท้านมากนักโดยเฉพาะการถือหุ้นที่พื้นฐานดีและสามารถฝ่าวิกฤติที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน
ที่มา https://www.facebook.com/notes/713112562036764/
โดย วิบูลย์ พึงประเสริฐ
ตลาดหุ้นในช่วงนี้ถือว่าผันผวนอย่างรุนแรง หุ้นตกจาก 1,600 จุดลงมาเหลือ 1,300 จุดในช่วงที่นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยอออกมาอย่างมากเนื่องจากกลัวว่าธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกาหรือเฟดจะลดวงเงินในการซื้อคืนพันธบัตรหรือคิวอีลงซึ่งจะทำให้เงินไหลกลับไปยังสหรัฐ ตลาดหุ้นเกิดใหม่จึงเกิดภาวะตกต่ำกันทั่วโลก หลังจากนั้นเมื่อผู้ว่าการเฟดออกมาบอกว่ายังไม่เลิกคิวอีในระยะอันสั้นเพราะเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ได้ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งทำให้นักลงทุนหวนหลับมาซื้อหุ้นตลาดเกิดใหม่อีกครั้ง ซึ่งส่งผลให้หุ้นไทยเพิ่มขึ้นจากจุดต่ำสุดขึ้นไปถึง 1,500 จุด จากนั้นในช่วงเวลาไม่นานตลาดหุ้นไทยกลับปรับตัวลดลงเหลือ 1,200 จุดตามแรงขายของกองทุนในประเทศและต่างชาติ หลังจากนั้นเพียงไม่กี่สัปดาห์ตลาดหุ้นไทยกลับมีแรงซื้อเข้ามามากจนดัชนีเพิ่มขึ้นไปถึงกว่า 1,400 จุด
ถึงแม้ตลาดหุ้นไทยจะผันผวนเป็นอย่างมาก แต่สำหรับนักลงทุนรายย่อยแล้วส่วนใหญ่จะประสบภาวะขาดทุนในปีนี้เนื่องจากมีจังหวะเข้าซื้อขายหุ้นในช่วงซื้อตอนดัชนีสูงแต่มาขายออกในช่วงดัชนีลดลงต่ำหรือไม่ก็ยังคงถือหุ้นไว้แต่ราคาปัจจุบันต่ำกว่าต้นทุนที่ซื้อมา บางคนพอร์ตการลงทุนลดลงถึงครึ่งหนึ่งหรือ 50 เปอร์เซนต์เลยทีเดียวโดยเฉพาะการถือหุ้นที่มีราคาสูงและเป็นที่นิยมในช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นหุ้นค้าปลีก หุ้นอสังหาริมทรัพย์หรือหุ้นในกลุ่มอื่นๆก็ตาม ในช่วงเวลาเช่นนี้นักลงทุนควรทำอย่างไร ตามหลักการการลงทุนแบบเน้นคุณค่ามีหลักในการปรับพอร์ตเพื่อรับมือกับวิกฤติอยู่สองสามข้อดังนี้
หนึ่ง ถามตนเองว่าเราซื้อหุ้นนั้นมาด้วยเหตุผลอะไร
หลายคนซื้อหุ้นบริษัทหนึ่งๆเข้าพอร์ตเพียงเพราะมีคนบอกว่าหุ้นนั้นเป็นหุ้นที่ดี ราคาจะวิ่งไปเท่านั้นเท่านี้ แต่เหมือนคำกล่าวที่ว่า “ค่าที่ปรึกษาที่แพงที่สุดคือค่าคำปรึกษาที่ได้มาฟรีๆ” นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่จะซื้อหุ้นตามๆที่เพื่อนบอกหรือไม่ก็มาร์เกตติ้งแนะนำ หรือหลายคนซื้อหุ้นเพราะได้ยินข่าวว่าบริษัทนี้จะมีรายได้หรือกำไรเติบโตอย่างมากเนื่องจากมีออเดอร์หรือรายรับเข้ามามากในช่วงเวลานั้นซึ่งในความเป็นจริงบริษัทอาจทำกำไรได้มากในไตรมาศหนึ่งแต่พอไตรมาศถัดไปกลับมีรายได้ที่ลดลง ดังนั้นนักลงทุนควรถามว่าเราซื้อหุ้นนั้นด้วยเหตุผลอะไรและเราควรขายหุ้นนั้นด้วยเหตุผลเดียวกัน
สอง ถามตนเองว่าเราเข้าใจหุ้นบริษัทนั้นดีแค่ไหน
นักลงทุนจำนวนมากไม่เข้าใจในธุรกิจที่ลงทุนดีพอ ดังนั้นเมื่อภาวะเศรษฐกิจมีผลกระทบกับบริษัทจึงทำให้ราคาหุ้นลดลงอย่างมาก แต่นักลงทุนยังไม่มั่นใจมากพอถึงเหตุผลที่ทำให้หุ้นราคาลดลง แต่เมื่อสุดท้ายราคาลดลงมากจนทำใจขายไม่ลงเสียแล้วเป็นต้น ถ้านักลงทุนเข้าใจธุรกิจนั้นอย่างดีและมั่นใจว่าธุรกิจยังไปได้จะเป็นโอกาสดีที่จะซื้อหุ้นพื้นฐานดีในราคาที่ถูกในช่วงตลาดตกต่ำ
สาม ถามตนเองว่าเราตั้งใจถือหุ้นบริษัทนั้นนานแค่ไหน
หลายคนซื้อหุ้นมาเพียงเพื่อรอให้มีราคาสูงกว่าที่ซื้อมาเพื่อขายออกไป ในช่วงสามสี่ปีที่ผ่านมากลยุทธเช่นนี้มักจะได้ผล แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ตลาดหุ้นผันผวนอย่างมากและราคาหุ้นไม่ได้กลับไปที่จุดสูงสุดเช่นเดิมทำให้นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากขาดทุน บางคนตั้งใจถือหุ้นไว้เพียงหนึ่งหรือสองสัปดาห์แต่ตลาดหุ้นที่ตกต่ำทำให้ต้องทนถือหุ้นที่ขาดทุนไว้นานกว่าที่คิด การซื้อหุ้นมาเพื่อถือไว้ระยะเวลาสั้นๆนั้นน่าจะเป็นการ”เก็งกำไร”มากกว่าการลงทุน ระยะเวลาในการถือหุ้นเพื่อที่จะผ่านวิกฤติไปได้และมากพอที่จะให้บริษัทแสดงศักยภาพออกมาน่าจะเป็นเวลาไม่ต่ำกว่าสามปีหรือยิ่งมากกว่ายิ่งดี เพราะจะช่วยลดความผันผวนของราคาในช่วงสั้นๆลงไปได้มาก
ถ้านักลงทุนตอบคำถามทั้งสามข้อนี้และปฏิบัติตามได้ ถึงแม้ตลาดหุ้นจะผันผวนแค่ไหน คงไม่สะทกสะท้านมากนักโดยเฉพาะการถือหุ้นที่พื้นฐานดีและสามารถฝ่าวิกฤติที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน
ที่มา https://www.facebook.com/notes/713112562036764/
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นตกทำไงดี
โพสต์ที่ 2
เมื่อคืนได้ดูใน Fb money talk ดีมากๆ
แขกรับเชิญคือ "คุณโจ" ที่พวกเราเคารพนับถือนั่นเองค่ะ
ชื่อตอน "จิตวิทยาการลงทุนยามหุ้นผันผวน"
ขออนุญาตนำมาใส่ไว้ตรงนี้ด้วยนะคะ....เข้ากับชื่อกระทู้ดีค่ะ
http://www.youtube.com/embed/K1IjN8CEojY
จะอ่านกี่ครั้ง ฟังกี่ครั้งก็เห็นด้วยว่าแนว VI เป็นแนวทางที่สมเหตุสมผล
โดยส่วนตัวก็ลงทุนแนว VI
และศึกษาแนวคิดของครูบาอาจารย์แนว VI
รวมทั้งอาจารย์วิบูลย์ และยึดถือเป็นแนวทาง
ในการลงทุนมาโดยตลอดเช่นกัน
พบว่าส่งผลให้เส้นทางการลงทุนประสพความสำเร็จ
เกินความคาดหวังของตนเองและครอบครัว
นอกจากนี้การลงทุนแนว VI ยังทำให้สามารถลงทุน
ควบคู่ไปกับการทำงานประจำ และการใช้ชีวิตได้อย่างสมดุลด้วยค่ะ
แขกรับเชิญคือ "คุณโจ" ที่พวกเราเคารพนับถือนั่นเองค่ะ
ชื่อตอน "จิตวิทยาการลงทุนยามหุ้นผันผวน"
ขออนุญาตนำมาใส่ไว้ตรงนี้ด้วยนะคะ....เข้ากับชื่อกระทู้ดีค่ะ
http://www.youtube.com/embed/K1IjN8CEojY
จะอ่านกี่ครั้ง ฟังกี่ครั้งก็เห็นด้วยว่าแนว VI เป็นแนวทางที่สมเหตุสมผล
โดยส่วนตัวก็ลงทุนแนว VI
และศึกษาแนวคิดของครูบาอาจารย์แนว VI
รวมทั้งอาจารย์วิบูลย์ และยึดถือเป็นแนวทาง
ในการลงทุนมาโดยตลอดเช่นกัน
พบว่าส่งผลให้เส้นทางการลงทุนประสพความสำเร็จ
เกินความคาดหวังของตนเองและครอบครัว
นอกจากนี้การลงทุนแนว VI ยังทำให้สามารถลงทุน
ควบคู่ไปกับการทำงานประจำ และการใช้ชีวิตได้อย่างสมดุลด้วยค่ะ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1523
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นตกทำไงดี
โพสต์ที่ 4
ตลาดหุ้นขาลงไม่ได้ฆ่าใคร แต่กลับเป็นโอกาสในการซื้อหุ้นถ้าผู้คนเริ่มวิ่งหนีออกจากหุ้นดี ๆ
จงเตรียมพร้อมที่จะลุยไปกับหุ้นจงมองหาบริษัทที่มีคุณภาพที่กำลัง “ลดราคา”สำหรับคุณภาพ
นั่นหมายถึง พื้นฐานที่รองรับธุรกิจและคุณภาพของทีมบริหาร บัฟเฟตต์พูดว่า “นักลงทุนจะไม่
ขาดทุนเมื่อตลาดปรับตัวลงจะมีก็เพียงนักเก็งกำไรเท่านั้นที่ขาดทุน”
ขอบคุณพี่โจครับ ผมว่าหลายๆคนอย่าให้อารมณ์มาเหนือเหตุผล คนส่วนมากที่พลาดมักจะ
เอาอารมณ์มาก่อน เช่น ขับรถปาดกันนิดเดียวก้เอาปืนไปยิงกัน ทั้งที่บางที ซ่อมก้หายแล้ว
ตลาดหุ้นก้เหมือนกัน ถ้าคุณไปยืนตาม Mr market คุณไม่มีทางรวย เพราะ Mr marketคือ
คนส่วนใหญ่ในตลาด ซึ่งคนส่วนใหญ่จะขาดทุน
กิจการก้เหมือนต้นไม้ คือ มันค่อยๆโตค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่ต้นถั่วของแจ๊คที่วันเดียวโตได้
เพราะหุ้นไม่ใช่ เฟอรารี่ และความสำเร็จก้ไม่เคยมี ทางลัด
จงเตรียมพร้อมที่จะลุยไปกับหุ้นจงมองหาบริษัทที่มีคุณภาพที่กำลัง “ลดราคา”สำหรับคุณภาพ
นั่นหมายถึง พื้นฐานที่รองรับธุรกิจและคุณภาพของทีมบริหาร บัฟเฟตต์พูดว่า “นักลงทุนจะไม่
ขาดทุนเมื่อตลาดปรับตัวลงจะมีก็เพียงนักเก็งกำไรเท่านั้นที่ขาดทุน”
ขอบคุณพี่โจครับ ผมว่าหลายๆคนอย่าให้อารมณ์มาเหนือเหตุผล คนส่วนมากที่พลาดมักจะ
เอาอารมณ์มาก่อน เช่น ขับรถปาดกันนิดเดียวก้เอาปืนไปยิงกัน ทั้งที่บางที ซ่อมก้หายแล้ว
ตลาดหุ้นก้เหมือนกัน ถ้าคุณไปยืนตาม Mr market คุณไม่มีทางรวย เพราะ Mr marketคือ
คนส่วนใหญ่ในตลาด ซึ่งคนส่วนใหญ่จะขาดทุน
กิจการก้เหมือนต้นไม้ คือ มันค่อยๆโตค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่ต้นถั่วของแจ๊คที่วันเดียวโตได้
เพราะหุ้นไม่ใช่ เฟอรารี่ และความสำเร็จก้ไม่เคยมี ทางลัด