หุ้นแบบไหนน่าสนใจในสภาวะนี้ครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 90
- ผู้ติดตาม: 0
หุ้นแบบไหนน่าสนใจในสภาวะนี้ครับ
โพสต์ที่ 1
- หุ้นแข็งแกร่งที่แทบไม่ได้รับผลกระทบเลยไม่ว่าการเมืองจะเป็นอย่างไร เช่น ค้าปลีก โรงบาลแต่แลกมาด้วยราคา PE 25-30 เท่า
- หุ้นพลังงานก็ไม่น่าจะได้รับผลกระทบเท่าไหร่แต่ราคาลงมามาก แต่เป็นหุ้นคอมโมดิตี้ กำไรไม่แน่นอนเท่ากลุ่มแรก แต่หลายตัว PE ต่ำ 10
- กลุ่มที่เคยดีแต่ช่วงนี้เหนื่อย เช่น หนังสือ IT
- กลุ่มธนาคารดีจนกว่าจะวิกฤติ PE 8-10
- ฝากเงิน
- หุ้นพลังงานก็ไม่น่าจะได้รับผลกระทบเท่าไหร่แต่ราคาลงมามาก แต่เป็นหุ้นคอมโมดิตี้ กำไรไม่แน่นอนเท่ากลุ่มแรก แต่หลายตัว PE ต่ำ 10
- กลุ่มที่เคยดีแต่ช่วงนี้เหนื่อย เช่น หนังสือ IT
- กลุ่มธนาคารดีจนกว่าจะวิกฤติ PE 8-10
- ฝากเงิน
-
- Verified User
- โพสต์: 2547
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นแบบไหนน่าสนใจในสภาวะนี้ครับ
โพสต์ที่ 3
ระยะสั้น ๆ มองไปไปไม่สวยสด
มองไกลขึ้น เมื่อเหตุการณ์ผ่านไป
พื้นฐานระยะยาวของอุตสาหกรรม ไปจนถึงmegatrend aec การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
พื้นฐานของธุรกิจ
ความแข็งแกร่งของ dca
มันคุ้มค่ากับกระแสเงินสดสุทธิระยะยาวที่ได้รับหรือไม่
ก่อนจะไปถึงตรงนั้น ระยะสั้น บริษัทที่เราลงทุนมีภูมิต้านทานทางธุรกิจที่พอจะผ่านพ้นไปได้หรือไม่มีประสบการณ์ในอดีตที่ผ่านวิกฤติมาได้หรือไม่
หรืออาขจมน้ำตายไปเสียก่อน
บางธุรกิจอาจมีโอกาสเกิดขึ้นในวิกฤติก็ได้ ไม่ใช่จะวิกฤติไปเสียหมด
เช่นเดินทางด้วยรถส่วนตัวไม่ได้ แต่ถูกทดแทนโดยรถไฟฟ้า
ท่องเที่ยวกรุงเทพไม่ได้ ก็ไปท่องเที่ยวต่างจังหวัดได้ ขาเข้ากรุงเทพก็มี demand จากคนต่างจังหวัดเข้ามา ขาออกก็มีนักท่องเที่ยวจากยุโรปเข้ามากรังเทพและต่อไปเที่ยวต่างจังหวัดแม้นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศแถบเอเชียจะลดลงแต่ยุโรปยังมาหนีหนาวประเทศเขา
ร้านขายอาหารและของชำ มีคนกลัววิกฤติ ก็ตุนของในบ้านมากขึ้นเพื่อสำรองไว้ใช้หลายวัน
บางธุรกิจ ขายของในประเทศได้น้อยลง แต่มีเครือข่ายยืดหยุ่นเปลี่ยนไปขายของต่างประเทศได้มากขึ้นได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงมาก
หรือขายส่งออกที่มี local content สูง ๆ ก็ยิ่งดี
ลงทุนในประเทศเสี่ยงขึ้น ก็หันมา promote ลงทุนต่างประเทศมากขึ้น
ในวิกฤติมีโอกาสเกิดขึ้นเสมอ อยู่ที่มุมมองของเรา
ปัญหามา ปัญญาเกิดให้ขบคิดเสมอ
เพราะความเสี่ยง กับ ผลตอบแทน มันไปคู่กัน
ระยะสั้น นักลงทุนบางส่วนมองว่าเสี่ยงสูง ขายทุกราคา ไม่สนใจพื้นฐานระยะยาว เพราะราคาหุ้นระยะสั้นผันผวนเสี่ยงสูงที่มีโอกาสราคาลดลงไปอีก
แต่นักลงทุนบางกลุ่ม มองว่าพื้นฐานระยะยาวจะกลับมาได้เมื่อผ่านระยะสั้นตรงนี้หลายคนได้ผลตอบแทนจากตรงนี้ แต่ต้องเลือกกิจการให้ถูกต้องด้วย เพราะเขามองว่าราคาที่ซื้อมันต่ำกว่าพื้นฐานระยะยาวมาก เขาคิดว่าราคาคือต้นทุนที่เขาซื้อกิจการมา กิจการที่ซื้อมาคือคุณค่าของทรัพย์สินที่สร้างกระแสเงินสดที่เขาจะได้รับในระยะยาว irr ของเงินลงทุนก็มีโอกาสได้รับสูงขึ้นด้วย เขาไม่ได้เล่นกับความผันผวนของราคาระยะสั้นของอารมณ์นายตลาดแต่ละวันที่มาเสนอขาย ซึ่งเขาควบคุมไม่ได้้เลย เขาจึงมาดูความคุ้มค่าของกิจการที่เขาลงทุนในระยะยาวดีกว่า
ราคาลงมาทุกครั้งทำให้มีการบ้านให้ศึกษาเพื่อลงทุนในกิจการในราคาเหมาะสมได้ทุกที เพราะสามารถได้ต้นทุนเหมาะสม ลองทบทวนการลงทุนตอนนี้ดู พวก megatrend ยาว ๆ เราอาจเห็นโอกาสอยู่นะ
มองไกลขึ้น เมื่อเหตุการณ์ผ่านไป
พื้นฐานระยะยาวของอุตสาหกรรม ไปจนถึงmegatrend aec การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
พื้นฐานของธุรกิจ
ความแข็งแกร่งของ dca
มันคุ้มค่ากับกระแสเงินสดสุทธิระยะยาวที่ได้รับหรือไม่
ก่อนจะไปถึงตรงนั้น ระยะสั้น บริษัทที่เราลงทุนมีภูมิต้านทานทางธุรกิจที่พอจะผ่านพ้นไปได้หรือไม่มีประสบการณ์ในอดีตที่ผ่านวิกฤติมาได้หรือไม่
หรืออาขจมน้ำตายไปเสียก่อน
บางธุรกิจอาจมีโอกาสเกิดขึ้นในวิกฤติก็ได้ ไม่ใช่จะวิกฤติไปเสียหมด
เช่นเดินทางด้วยรถส่วนตัวไม่ได้ แต่ถูกทดแทนโดยรถไฟฟ้า
ท่องเที่ยวกรุงเทพไม่ได้ ก็ไปท่องเที่ยวต่างจังหวัดได้ ขาเข้ากรุงเทพก็มี demand จากคนต่างจังหวัดเข้ามา ขาออกก็มีนักท่องเที่ยวจากยุโรปเข้ามากรังเทพและต่อไปเที่ยวต่างจังหวัดแม้นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศแถบเอเชียจะลดลงแต่ยุโรปยังมาหนีหนาวประเทศเขา
ร้านขายอาหารและของชำ มีคนกลัววิกฤติ ก็ตุนของในบ้านมากขึ้นเพื่อสำรองไว้ใช้หลายวัน
บางธุรกิจ ขายของในประเทศได้น้อยลง แต่มีเครือข่ายยืดหยุ่นเปลี่ยนไปขายของต่างประเทศได้มากขึ้นได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงมาก
หรือขายส่งออกที่มี local content สูง ๆ ก็ยิ่งดี
ลงทุนในประเทศเสี่ยงขึ้น ก็หันมา promote ลงทุนต่างประเทศมากขึ้น
ในวิกฤติมีโอกาสเกิดขึ้นเสมอ อยู่ที่มุมมองของเรา
ปัญหามา ปัญญาเกิดให้ขบคิดเสมอ
เพราะความเสี่ยง กับ ผลตอบแทน มันไปคู่กัน
ระยะสั้น นักลงทุนบางส่วนมองว่าเสี่ยงสูง ขายทุกราคา ไม่สนใจพื้นฐานระยะยาว เพราะราคาหุ้นระยะสั้นผันผวนเสี่ยงสูงที่มีโอกาสราคาลดลงไปอีก
แต่นักลงทุนบางกลุ่ม มองว่าพื้นฐานระยะยาวจะกลับมาได้เมื่อผ่านระยะสั้นตรงนี้หลายคนได้ผลตอบแทนจากตรงนี้ แต่ต้องเลือกกิจการให้ถูกต้องด้วย เพราะเขามองว่าราคาที่ซื้อมันต่ำกว่าพื้นฐานระยะยาวมาก เขาคิดว่าราคาคือต้นทุนที่เขาซื้อกิจการมา กิจการที่ซื้อมาคือคุณค่าของทรัพย์สินที่สร้างกระแสเงินสดที่เขาจะได้รับในระยะยาว irr ของเงินลงทุนก็มีโอกาสได้รับสูงขึ้นด้วย เขาไม่ได้เล่นกับความผันผวนของราคาระยะสั้นของอารมณ์นายตลาดแต่ละวันที่มาเสนอขาย ซึ่งเขาควบคุมไม่ได้้เลย เขาจึงมาดูความคุ้มค่าของกิจการที่เขาลงทุนในระยะยาวดีกว่า
ราคาลงมาทุกครั้งทำให้มีการบ้านให้ศึกษาเพื่อลงทุนในกิจการในราคาเหมาะสมได้ทุกที เพราะสามารถได้ต้นทุนเหมาะสม ลองทบทวนการลงทุนตอนนี้ดู พวก megatrend ยาว ๆ เราอาจเห็นโอกาสอยู่นะ
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1317
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นแบบไหนน่าสนใจในสภาวะนี้ครับ
โพสต์ที่ 4
ผลจากการเมืองมันกระทบทุกลุ่มแหละครับ ไม่ว่าจะค้าปลีกหรือโรงพยาบาล เพราะศก.มันชะงัก คนใช้จ่ายก็ระมัดระวังมากขึ้น ข่าวล่าสุดเห็นว่าคูเวตให้คนของเขาชะลอการมารักษาที่เมืองไทยด้วยนะครับ เพียงแต่ว่าเราต้องมองให้ออกว่าผลกระทบนั้นชั่วคราวหรือมีผลต่อพื้นฐานแบบถาวร (ผมมองไม่ออก ช่วยแนะนำด้วยนะครับ)
ส่วนถ้าเอาน่าสนใจในภาวะนี้ก็ต้องพวกส่งออกละครับ เงินบาทอ่อน ศก.โลกกำลังพื้นตัว ช่วงนี้คงหนีไม่พ้น อิเลค อาหาร เดินเรือ
ส่วนถ้าเอาน่าสนใจในภาวะนี้ก็ต้องพวกส่งออกละครับ เงินบาทอ่อน ศก.โลกกำลังพื้นตัว ช่วงนี้คงหนีไม่พ้น อิเลค อาหาร เดินเรือ
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3352
- ผู้ติดตาม: 1
Re: หุ้นแบบไหนน่าสนใจในสภาวะนี้ครับ
โพสต์ที่ 6
จริงๆ มันต้องดูราคาเทียบกับมูลค่าที่ประเมินได้ ซึ่งถ้ามันถูกกว่ามากๆ บางกลุ่มอาจจะดีกว่าบางกลุ่ม เช่น Commo ยังเป็นขาขึ้น หรือทรงๆ แต่ลงไปขายที่ P/E 3-5 เท่าWHYDOWEFALL เขียน:- หุ้นแข็งแกร่งที่แทบไม่ได้รับผลกระทบเลยไม่ว่าการเมืองจะเป็นอย่างไร เช่น ค้าปลีก โรงบาลแต่แลกมาด้วยราคา PE 25-30 เท่า
- หุ้นพลังงานก็ไม่น่าจะได้รับผลกระทบเท่าไหร่แต่ราคาลงมามาก แต่เป็นหุ้นคอมโมดิตี้ กำไรไม่แน่นอนเท่ากลุ่มแรก แต่หลายตัว PE ต่ำ 10
- กลุ่มที่เคยดีแต่ช่วงนี้เหนื่อย เช่น หนังสือ IT
- กลุ่มธนาคารดีจนกว่าจะวิกฤติ PE 8-10
- ฝากเงิน
แต่กิจการร้านหนังสือนี่อาจจะไม่ใช่ช่วงนี้แค่เหนื่อยนะครับ Technology รวมไปถึงวิธีการบริโภค Content ของคนเปลี่ยนไปจริงๆ ไม่ใช่แค่ปัญหาชั่วคราวอย่างแน่นอน ส่วน IT นี่ถ้าเป็น IT ที่พึ่งพิงการขาย Computer นี่ก็ถือว่าเปลี่ยนจริงๆ ไม่ใช่แค่ปัญหาชั่วคราว
ผมถ้าให้เลือก ผมเลือกกลุ่มแรกที่ Misprice ลงมา เพราะ ความกลัว ความกังวลต่างๆ ทั้งๆ ที่ธุรกิจในระยะยาวยังแข็งแกร่งอยู่ ยังเติบโตได้อยู่ แต่ขายลงมาที่ P/E ต่ำเกิน Potential ครับ เพราะ ในที่สุดแล้ว ความสบายใจถือเป็นสำคัญ การถือหุ้นที่ Misprice แต่ผลประกอบการออกมาดีขึ้นทุกปี เมื่อเทียบกับหุ้นที่ Misprice แต่กำไรออกมาแกว่งไปแกว่งมา การถือหุ้นแบบแรกภาระทางใจน้อยกว่ามาก แม้ว่าราคาจะลงต่อ
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?