ครบทุกตอน คลิป ดร.นิเวศน์ "แนวทางการลงทุนแบบวีไอ ปี 2558"

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
doctorwe
Verified User
โพสต์: 152
ผู้ติดตาม: 0

ครบทุกตอน คลิป ดร.นิเวศน์ "แนวทางการลงทุนแบบวีไอ ปี 2558"

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ครบทุกตอน...คลิปวีดีโอ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
กูรูนักลงทุนแนววีไอ (นักลงทุนเน้นคุณค่า)
ในหัวข้อ "แนวทางการลงทุนแบบวีไอ ปี 2558" รวมทั้งหมด 12 ตอน
เราจะได้ไปเรียนรู้...
"แนวทางในการหาหุ้นคุณค่า ในยุคที่มีการแข่งขันสูง
แนวคิดของวีไอ...เปลี่ยนไปหรือไม่? เมื่อบริบทของโลก...เปลี่ยนไป"

ในโครงการ "กลยุทธ์การลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนดีที่สุด" (CSi) รุ่นที่ 7
เมื่อวันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน 2558
โดยวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต

ตอนที่ 1 https://www.facebook.com/DoctorweClub/v ... 010582018/
ตอนที่ 2 https://www.facebook.com/DoctorweClub/v ... 887253997/
ตอนที่ 3 https://www.facebook.com/DoctorweClub/v ... 120582007/
ตอนที่ 4 https://www.facebook.com/DoctorweClub/v ... 183906234/
ตอนที่ 5 https://www.facebook.com/DoctorweClub/v ... 280572891/
ตอนที่ 6 https://www.facebook.com/DoctorweClub/v ... 347239551/
ตอนที่ 7 https://www.facebook.com/DoctorweClub/v ... 380572881/
ตอนที่ 8 https://www.facebook.com/DoctorweClub/v ... 543906198/
ตอนที่ 9 https://www.facebook.com/DoctorweClub/v ... 913903561/
ตอนที่ 10 https://www.facebook.com/DoctorweClub/v ... 060570213/
ตอนที่ 11
https://www.facebook.com/DoctorweClub/v ... 183903534/
ตอนที่ 12 https://www.facebook.com/DoctorweClub/v ... 230570196/
Singthong99
Verified User
โพสต์: 21
ผู้ติดตาม: 0

Re: ครบทุกตอน คลิป ดร.นิเวศน์ "แนวทางการลงทุนแบบวีไอ ปี 2558

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ขอบคุณครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
6666666v
Verified User
โพสต์: 1089
ผู้ติดตาม: 0

Re: ครบทุกตอน คลิป ดร.นิเวศน์ "แนวทางการลงทุนแบบวีไอ ปี 2558

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ช่วงถามตอบดีสุดๆ
I Like To Invest.
ภาพประจำตัวสมาชิก
kongkiti
Verified User
โพสต์: 5830
ผู้ติดตาม: 0

Re: ครบทุกตอน คลิป ดร.นิเวศน์ "แนวทางการลงทุนแบบวีไอ ปี 2558

โพสต์ที่ 4

โพสต์

สรุป clip จาก fanpage พี่ Sehju
Dr Niwet : การลงทุนในหุ้นง่ายนิดเดียว ตอน1
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
CSi Investment Rangsit University
เครดิตถอดความจากคลิปของลิงค์ด้านล่างนี้คับ
Source : แฟนเพจ DoctorweClub Link : https://goo.gl/PdPe37
-ผมลงทุนมานานมากแล้ว ผ่านอะไรมาหลายอย่าง
-แล้ววันก่อนๆหุ้นที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวตกกันระนาว ตัวละ 6-7% ก็ซีดไปเหมือนกัน
-นักลงทุนไทย ยังมีความคิดแนวพื้นฐานน้อย
-หุ้นฟรีโฟลตน้อยๆ ตัวเล็กๆมันไม่ค่อยเกี่ยวกับพื้นฐาน เกี่ยวก็ไม่มาก เกี่ยวกับจิตวิทยาซะมากกว่า คอนโทรลได้
-หุ้นเกี่ยวกับการท่องเที่ยวมีหลายกลุ่ม ผมก็มีถือไว้บ้างเหมือนกัน
-หุ้นสายการบิน เป็นหุ้นที่ไม่มีพื้นฐาน ไม่อยู่ในข่ายที่จะซื้อได้เลย ธุรกิจสู้กันไปตามยถากรรม เป็นเหมือนกันหมดทั่วโลก
-หุ้นกลุ่มโรงแรม ก็เป็นกลุ่มที่พื้นฐานกลางๆ average ไม่ได้เด่นอะไร หุ้นโรงแรมทั่วโลกก็ไม่ได้เด่นอะไร แบบนี้ value ไม่สูง
-โรงพยาบาล(บำรุงราษฏ์) ก็เกี่ยวกับการท่องเที่ยวบ้าง แต่ไม่ได้มากมาย มีรับต่างชาติบ้าง ผมก็มี ตัวนี้ตกหนักเหมือนกัน นักลงทุนคงตกใจว่าจะกระทบ
-หุ้นสนามบิน(AOTแหละ) ตัวนี้ผมก็มี ลงมาเร็วมากเหมือนกัน น่าตกใจ ตกวูบๆ
-ในแง่ valuation ของธุรกิจในกลุ่มท่องเที่ยว การบิน โรงแรม สนามบิน เราต้องมองทั้งช่วงที่ดีและแย่ (มองให้ยาวๆ ไม่ใช่มองแค่บางช่วง)
-เมื่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวโตมากๆ ทุกคนก็ได้หมด สนามบินได้เต็มๆ สายการบินก็แบ่งๆกันไป โรงแรมก็ได้แบ่งๆกันไป
-แต่ถ้าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเริ่มแย่ เอาแบบไม่ต้องแย่มาก แค่โตลดลง โรงแรม สายการบิน ก็จะแย่เลย เพราะแข่งขันสูง
-ความเข้มแข็ง ความสามารถ ความคงทน จะทำให้ธุรกิจผ่านภาวะช่วงแย่ๆไปได้ อย่างสนามบินท่องเที่ยวซบเค้าก็ยังพออยู่ได้ ท่องเที่ยวดีก็ได้เต็มๆ
-สมัยก่อนๆที่หุ้นไทยแย่ๆ 2กลุ่มหุ้นที่ไม่มีใครเล่นเลยคือ หุ้นโรงแรม หุ้นโรงบาล เป็นธุรกิจที่ห่วยสุดๆ หุ้นก็เล่นยังไงก็ไม่ได้กำไร อย่าไปเข้า ซึ่งมองกันต่างจากสมัยนี้
-ความสามารถที่จะอยู่ไปได้เรื่อยๆของธุรกิจ โตช้าโตเร็วไม่เป็นไร ขอให้โตไปได้เรื่อยๆ ตรงนี้เราต้องให้ความสำคัญให้มากๆ แต่นักลงทุนไทยไม่ค่อยให้ความสำคัญเรื่องการเติบโตอย่างสม่ำเสมอ
-เวลาดูมูลค่าของบริษัท อย่าไปดูแต่ growth โตเท่านั้นเท่านี้ value จะต้องมาจากความสามารถในการแข่งขัน การมีชัยเหนือคู่แข่งแบบสม่ำเสมอ
-ธุรกิจที่ดีๆจะโตไปได้สม่ำเสมอเรื่อยๆ ถ้าสถานการณ์ดีผมดีด้วย ถ้าแย่ผมก็อยู่ได้ นี่คือบริษัทที่คุณภาพดี ควรให้ value สูง
-Definition ของคำว่าคุณภาพ นักลงทุนต้องมองให้ถูกต้อง
-ในยามที่ตลาดหุ้นคึกคัก คนจะแห่ตามมองอะไรๆไปทางเดียวกัน คนที่ไม่ทำตามก็จะถูกมองว่าเป็นคนขี้ระแวงคิดมาก หุ้นบางตัวแค่เซนต์งาน กำไรป่าวไม่รู้ หุ้นวิ่งขึ้นไปแล้ว
-หุ้นบางตัวก็เล่นข่าวยาวนาน เดี๋ยวจะได้ 20เมก 30เมก พลังงานลม พลังงานแดด ยังงั้นยังงี้ หุ้นก็เลยไม่ตกนักลงทุนก็คล้อยตาม หุ้นพวกนี้มันอยู่ในมือเค้าหมดแล้ว จะเอาไปทางไหนก็ได้
-เวลาตลาดหุ้นดีๆ ข่าวจริงไม่จริงทุกคนก็พร้อมจะเชื่อ พอเชื่อเค้าก็ไม่ขายหุ้นออกมา แต่พอตลาดหุ้นไม่ดีตกกันหมด มันจะไม่ใช่ยังงั้น หุ้นที่ไม่มีกำไรซัพพอร์ตจะยืนอยู่ไม่ได้
-ตอนนี้ใกล้เวลานั้นแล้ว เวลาที่ข่าวต่างๆนักลงทุนจะไม่ฟัง ข่าวได้งาน ข่าวเทคโอเวอร์ ข่าวดีแค่ไหนคนก็เทขาย
-หุ้นที่ไม่มีกำไรที่มีเหตุมีผลมาสนับสนุน เวลาตลาดหุ้นลง หุ้นมันก็อาจลงได้แต่ไม่เยอะ เพราะมีกำไรมา support ต่างจากพวกหุ้นที่เล่นข่าวจะเน่าสนิท ที่ส่วนใหญ่ลงอย่างเดียว
-คนที่เกิดมาเจอแต่ช่วงเวลาดีๆมักจะมองอะไรแย่ๆไม่ค่อยออก ต่างจากคนสมัยก่อนที่เค้าเคยผ่านมา
-โรงแรมสมัยก่อน over supply มาก รายได้เลยตก ต้องลดราคาแข่งกัน แต่ต้นทุนคงที่ รายจ่ายเท่าเดิมหรือมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ หุ้นโรงแรมสมัยนั้นโหดร้ายมากเล่นไงก็ไม่กำไร
-ลองสังเกตดูหุ้นของบริษัทที่คุณภาพดีๆ พีอีจะต้องสูง เราต้อง classify ให้ได้ว่าธุรกิจไหนมีคุณภาพต่ำหรือสูง ธุรกิจก็มีคุณภาพของมัน บริษัทก็มีคุณภาพของมัน
-ในธุรกิจที่คุณภาพต่ำก็อาจมีบริษัทบางบริษัทมีคุณภาพสูง หุ้นแบบนี้ก็พอมี ถ้าหาเจอก็น่าสนใจ
-ธุรกิจภัตตาคารก็ไม่ใช่ธุรกิจที่คุณภาพดี คือตัวธุรกิจภัตตาคารเองคู่แข่งเยอะมาก ใครๆก็ทำได้สรรหาแบรนด์นู้นนี้มาลงแห่กันมาเปิดสาขา แต่ถามว่ามีแบรนด์ไหนบ้างที่กำไร (ต้องวิเคราะห์5F)
-barriers of entry ให้ลองฝึกไล่นึกไปเรื่อยๆ เข้าง่ายออกยาก รึยังไง เราต้องหาธุรกิจที่เข้ายากๆออกง่ายๆ
-ที่ว่าสุดยอด Quality ในวันนี้ เราต้องดูดีๆ อย่าพึ่งไปเชื่อ พีอีสามสิบสี่สิบเท่า หุ้นห้างสรรพสินค้าทั่วโลกก็ไม่ได้ดีอะไร บัฟเฟตต์ก็เคยเจ๊งกับหุ้นศูนย์การค้ามาแล้ว
-อย่าง CPN คนมองว่ามันดี ต้องเทรดพีอีสูงๆ เราต้องอย่าพึ่งเชื่อ เราต้องคิดเลยว่า valuation มันสูงขนาดนั้นจริงเหรอ มันดีเพราะสถานการณ์พาไปรึป่าว อนาคตอาจไม่ใช่ก็ได้
-พอเห็นว่าขยายสาขาเยอะ พรึบพรับ คนก็มาไล่ซื้อหุ้นศูนย์การค้า ก็พวกนักลงทุนสถาบัน วีไอ หรือพวกวิเคราะห์แนวพื้นฐานทั้งนั้น ราคามันเลยขึ้นไปสูง เราลองมาดูดีๆซิ
-ศูนย์การค้า ไม่ได้มี barriers อะไร เดี๋ยวนี้คนมีตังเยอะแยะ จ้างทำจ้างออกแบบ มีที่ทางก็สามารถสร้างได้ คนทำศูนย์การค้าเดิมๆจะไปห้ามยังไง
-พอเปิดเยอะก็จะเริ่มดึง market share กัน คนช้อปปิ้งมันก็ไปได้หมด ถ้ามีโปรโมชั่น ราคาถูกคนก็แห่ไปที่ใหม่
-ราคาค่าเช่าที่บอกว่าจะขึ้นทุกปี ปีละ5% จะทำไปได้กี่ปี เพราะผู้เช่าอยู่ไม่ได้ ขนาดไม่ได้ขึ้นค่าเช่าคนเดินยังเหงาๆเลย สุดท้ายผู้เช่าก็ต้องมาขอลดราคากัน
-Good company ใน bad industry มี แต่น้อยมาก มันจะมี character บางอย่าง เช่น ต้นทุนต่ำมากกว่าคู่แข่ง เพราะสาขาเยอะกว่าคู่แข่งเลยมี EOS ซึ่งไซส์ต้องใหญ่มาก KFC McDonald MK
-ฐานะทางการเงิน ก็ต้องควรดู ง่ายๆเลย ธุรกิจที่คุณภาพดีๆจะ Cash ดี ยิ่งทำยิ่งได้เงินสดเยอะ ยิ่งมีกำไรยิ่งเงินสดเยอะ ไม่ใช่ยิ่งทำยิ่งขยายเงินสดก็ยิ่งหมด
-พวก Wholesale ลองดูเลย ยิ่งขยายเงินสดยิ่งหาย เพราะต้องให้เครดิตคนอื่นเยอะ แต่พอตัวเองซื้อสินค้ามา ส่วนมากเป็นนำเข้าก็ต้อง L/C จ่ายเงินสด ยิ่งทำยิ่งเหนื่อย
-พวกค้าปลีกใหญ่ๆยิ่งขยายยิ่งดี ยิ่งทำมากยิ่งสบาย เพราะซัพพลายเออร์ยอมให้เครดิตยาวๆ เศรษฐกิจแย่ก็ยืนอยู่ได้ สามารถขยายสาขาออกไปได้ไม่จำกัด
-ส่วนพวกโรงงานคือธุรกิจที่คุณภาพต่ำ โรงแรมก็คุณภาพต่ำเพราะขยายทีต้องลงทุนสูง ใช้จ่ายอะไรก็เงินสด ต้องปรับปรุงซ่อมแซมเสมอๆเพื่อรักษาฐานลูกค้า เค้าไม่ทำคนอื่นก็ทำ เลยต้องแข่งกัน
-ธุรกิจโรงแรม ไม่มีลูกค้าหรือไม่มีลูกค้า สามปีห้าปีก็ต้องปรับเปลี่ยนปรับปรุงตลอด จ่ายเงินทั้งนั้น มัน sensitive มากขนาดนั้น เพราะกลัวลูกค้าหาย
-ภาระค่าใช้จ่ายของบริษัทที่คุณภาพต่ำจะเยอะ มีรายจ่ายตลอด ธุรกิจที่สุดยอดแทบจะไม่ต้องลงทุนอะไรเลยในการขยายกิจการ
-เซเว่น ไม่ต้องลงทุนอะไรมากเลยเพราะเช่าระยะยาว รีโนเวทอะไรก็ไม่ค่อยมี พอเค้าตั้งสาขาได้เสร็จ เอาของซัพพลายเออร์มาลง รายได้เข้าทันที สามสี่เดือนค่อยจ่ายหนี้ เงินไม่ค่อยไหลออก
-ธุรกิจสนามบินจะหนักตอนลงทุนสร้าง แต่พอถึงเวลาทำธุรกิจจะรับเงินสด ได้เงินเร็ว ปรับปรุงอะไรก็ไม่ได้มาก ก็ถือว่าเป็นธุรกิจที่ใช้ได้ แต่จะหนักก็ตอนลงทุนใหม่ๆ
-สุวรรณภูมิเฟส2 ก็ระวังตอนแรกๆที่ก่อสร้าง เพราะตอนเปิดใหม่ๆจะมีค่าเสื่อมเป็นค่าใช้จ่ายสูง แล้วลูกค้าจะยังไม่เข้ามามาก ต้องรอให้ capacity มากขึ้นเรื่อยๆ
-เกษมราษฎ์ เปิดที่ใหม่กำไรวูบเลย เพราะลูกค้าใหม่จะมาช้า พฤติกรรมของคนใช้บริการจะมีโรงบาลประจำของตัวเอง ฐานลูกค้าจะโตช้าในหุ้นกลุ่มนี้ กว่าจะกำไรก็5ปี7ปี
-สิบปีก่อนก็พวก รพ. แบบนี้คือรายได้เพิ่มช้า แล้วแรกๆลงทุนสูง รายได้โตไม่ทันเลยไม่มีกำไร แล้วเศรษฐกิจดีก็แย่งกันมาเปิดรพ.อีก ซัพพลายล้น
-หุ้นรพ.ในต่างประเทศหลายแห่งก็ไม่ได้ดีอะไร เราต้องระวังจุดนี้
-หุ้นโรงงานส่วนใหญ่จะคุณภาพไม่ดี การเงินก็ไม่ค่อยดี มักจะผลิตให้แบรนด์ใหญ่ๆ แล้วต้องขายเงินเชื่อ อำนาจต่อรองกับเจ้าของแบรนด์ต่ำ
-ธุรกิจที่ออกยากจะไม่ดี เพราะแย่ัยังไงบริษัทก็ต้องทนทำ มันเลยไม่ลดคู่แข่งออกไปซักที
-IRC STANLY เป็นบริษัทโรงงานที่คุณภาพดี แต่ cash ก็ไม่ได้ดีมาก
-SNC ก็เป็นโรงงานที่ดี เพราะรับจ้างผลิตท่อแอร์ แล้วสั่งทองแดงมาเยอะ เป็นรายใหญ่ของซัพพลายเออร์ ก็เลยได้เครดิต ช่วงนั้นกำไรล้นเลย cash ก็มาเต็มๆ แต่ตอนนี้ไปทำไรเยอะแยะ คุณภาพก็เลยงั้นๆ
-บริษัทที่ดี หนี้แทบจะไม่มี ดูหนี้สถาบันการเงินเป็นหลัก ไม่ใช่หนี้การค้า เรื่องหนี้สินของกิจการเราก็ต้องประเมิน
-อย่าง CPALL จากที่ไม่มีหนี้เลย แล้วพอไปกู้ซื้อแมคโคร 1.8 แสนล้าน ฝรั่งขายหุ้นหนักเลยเพราะกังวลเรื่องหนี้ กลายเป็นบริษัทที่มีหนี้มากสุดในประเทสไทย ราคาหุ้นเลยลง
-พีอีต้องสอดคล้องกับคุณภาพ ถ้าพีอีไม่สอดคล้องกับคุณภาพเราต้องระวัง ถ้าพีอีสูงเราก็ขายอย่างเดียวไม่มีซื้อ ถ้าบริษัทไม่ได้ดีไรมากแค่ average พีอีอยู่แค่ ~10 เท่า ก็พอแล้ว
-สี่ห้าปีที่ผ่านมา หรือแม้แต่ยี่สิบปีที่ผ่านมา ผมซื้อหุ้นไปไม่เกิน 20 ตัว แล้วเราทนได้ ค่อยๆไปแบบเต่่าก็รวยได้เหมือนกัน
-เป็นเต่าไม่ใช่ไม่เหนื่อย ต้องทนดูราคาขึ้นลง พอร์ตยุบลงไปแล้วกว่าจะขึ้นมาใหม่ ใจไม่หนักแน่นทำไม่ได้ การอยู่เฉยๆเป็นอะไรที่ยากที่สุด
ฟังไปพิมพ์ไป ผิดพลาดตกหล่นต้องขออภัยคับ smile emoticon
เดี๋ยวมาต่อตอนที่2
Credit SEHJU Research Center
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee

FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
ภาพประจำตัวสมาชิก
kongkiti
Verified User
โพสต์: 5830
ผู้ติดตาม: 0

Re: ครบทุกตอน คลิป ดร.นิเวศน์ "แนวทางการลงทุนแบบวีไอ ปี 2558

โพสต์ที่ 5

โพสต์

" เราต้องเป็นผู้เลือกหุ้น อย่าให้หุ้นเป็นผู้เลือกเรา "
การลงทุนในหุ้นง่ายนิดเดียว ตอน2 (จบ)
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
CSi Investment Rangsit University
เครดิต ถอดมาจากคลิปของลิงค์ด้านล่างนี้คับ
Source : www.facebook.com/DoctorweClub
.
.
.
-ความสำเร็จของคนเกิดจากการทำเรื่องใหญ่ๆอยู่ไม่กี่อย่าง อย่าจิกกินแบบไก่ ต้องตะครุบกินทีแบบเสือ ความสำเร็จจะมาง่าย แต่ก่อนทำตัวเป็น man of action ทำนู้นทำนี่เยอะแยะ ก็ไม่เห็นจะสำเร็จอะไร
-แต่คนบางคนไม่เห็นทำไรก็สำเร็จ ร่ำรวยได้เหมือนกัน เพราะโฟกัสถูกจุด ผู้หญิงบางคนก็เป็นแบบนั้น รวยได้เหมือนกัน พยายามทำตัวให้สวย แล้วได้แต่งงานกับผู้ชายรวย เค้าก็รวยได้เหมือนกัน
-ห้าปีที่ผ่านมา ผมซื้อหุ้นไป 1 ตัว ขายหุ้นตัวเล็กๆไป 5 ตัว อยู่ในตลาดมานานแต่ก็ไม่ได้ทำไรมาก
-ยากมากๆที่เราจะอยู่เฉยๆ มันเป็นศิลปะที่เราจะอยู่นิ่งๆ เรื่องหุ้นก็เหมือนกัน การวิเคราะห์คำนวณไม่ยาก จะยากตรงเข้าใจจิตวิทยาของมนุษย์ในตลาด ประวัติศาสตร์
-ช่วงหลังๆไม่ได้อ่านเรื่องหุ้นมาก แต่ไปอ่านเรื่องประวัติศาสตร์ วิธีคิดของคนจากอดีตจนมาถึงปัจจุบัน
-เรื่องพฤติกรรมของคน ที่แสดงออกมาตั้งแต่ประวัติศาสตร์ คือเรื่องยีนส์ในร่างกายของเราที่กำหนดตัวเราอยู่
-ตัวเราตายได้ แต่ยีนส์มันจะไม่ยอมตาย
-ยีนส์กำหนดพฤติกรรมพวกเรา ยิ่งเรื่อง sex มนุษย์จะถูกกำหนดมาอยู่แล้ว มันฝังอยู่ในตัวเรา
-ผู้ชายชอบผู้หญิงสวย ผู้หญิงชอบผู้ชายหล่อ ผู้หญิงสวยคือ คนที่นมโตสะโพกผายในสายตาผู้ชาย ธรรมชาติมันบอกแบบนี้
-สะโพกผายคลอดลูกง่าย นมโตให้นมลูกง่าย เด็กก็มีโอกาสรอดสูง
-สิ่งที่มนุษย์ทุกคนทำโดยสัญชาตญาณ 1.ต้องการเอาตัวรอด 2.การสืบทอดเผ่าพันธุ์ สังคมซับซ้อนมากขึ้นการกระทำต่างๆของมนุษย์ก็ซับซ้อนขึ้น
-การเติบโตของธุรกิจทั่วโลกจะคล้ายกันในแต่ละสังคม แต่ที่ต่างกันคือ รายได้ มาก/น้อย ประเทศที่มีรายได้มากๆเค้าก็ต้องการหมด สิ่งดีๆ ของดีๆ ธุรกิจที่ดี
-ถ้าประเทศไหนรายได้มากก็จะสร้างธุรกิจอะไรออกมาหลายอย่าง เพราะคนมีความสามารถจับจ่าย
-ประเทศไทยถ้ารายได้ของประชาชนมากขึ้นๆ ธุรกิจก็จะสามารถเติบโตไปได้
-การมองว่าคนนั้นสวยคนนี้หล่อ พิสูจน์กันมาแล้วว่าอยู่ที่ยีนส์เป็นตัวสั่ง มันสั่งตาสั่งสมองของเราให้ตัดสิน เด็กแรกเกิดก็จะเลือกมองคนที่สวย
-ถ้าเรารู้วิวัฒนาการของมนุษย์มาแบบนี้ พฤติกรรมของมนุษย์มาเป็นแบบนี้เราก็จะมอง เทรนด์ธุรกิจออก
-เราก็จะรู้ว่าความต้องการของมนุษย์ มันก็จะโตไปตามสังคมเรื่อยๆ อเมริกาเคยโตมาก่อน เมืองไทยก็จะตามเพราะคนเริ่มรวยขึ้น เวียดนามก็หนีไม่พ้นก็จะต้องตามไป
-คนอยากสบาย อยากได้รับการบริการที่ดี ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเสมอ แต่ช้าเร็วก็แล้วแต่ละสังคม การพัฒนาการก็จะคล้ายๆกัน
-สั้นๆอาจจะบอกว่าประเทศนั้นประเทศนี้แตกต่าง แต่ยาวๆก็ไม่ จะ development ไปคล้ายๆกันหมด
-ประเทศไทยก็เจริญเติบโตต่อเนื่องมาเรื่อยๆ แต่จะโตต่อไปแบบอเมริกา เกาหลี ญี่ปุ่นรึป่าว เราก็ต้องศึกษาอดีตให้มากๆ
-ไม่ค่อยมีหร็อกสังคมไหนที่ unique ที่เราว่า Thailand only หน่ะมันแค่สะดุดสั้นๆ แต่ development ยาวๆเหมือนกันหมด เกาหลีเหนือไม่ช้านานก็ต้องเปิดประเทศ
-การิเคราะห์หุ้นไม่ใช่ดูแต่กระดานอ่านแต่เปเปอร์ เราต้องดูหมดทั้งบนและล่าง พวกประวัต์ศาสตร์ ละคร สื่อต่างๆเราต้องเรียนรู้ เพื่อดู development ของสังคม
-ยุคใหม่ๆ ความคิดความเชื่อก็จะเป็นแบบใหม่ ไม่ใช่แบบเดิม เรื่อง sex แต่ก่อนก็รักนวลสงวนตัว แต่สมัยนี้มันไม่ใช่แล้ว เดี๋ยวก็พัฒนาไปแบบสังคมที่พัฒนาไปก่อนเรา
-ไม่ว่าจะเอเชีย อินเดีย ฝรั่ง ยีนส์คล้ายกันผสมกันได้ เพราะฉะนั้นสุดท้ายการ development ก็จะพัฒนาไปเหมือนๆกัน
-ใช้ 5F วิเคราะห์ว่าบริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมมีคุณภาพมากน้อยแค่ไหน เมื่อมีคุณภาพแล้วมี growth มากน้อยแค่ไหน ถ้าดีแต่ไม่มี growth ก็ไม่ควรให้พีอีสูง
-กำจัดขยะเป็นธุรกิจที่ดีใช้ได้ถ้ามองจาก 5F แต่อำนาจต่อรองจากลูกค้าไม่สูงเพราะ ลูกค้าเลี่ยงได้เค้าก็เลี่ยง ไม่ค่อยอยากทำกัน ต้องไปดูราคาหุ้นว่าน่าสนใจรึป่าว
-ธุรกิจประกันวินาศภัย คาดการณ์ไม่ค่อยได้ แต่พอได้ เพราะพวกนี้ probability ที่เกิดบ้าง แต่จะมี big event ที่จะดึง p/e ลง ทำให้ value ไม่สูงมากในระยะยาว
-ธุรกิจประกันชีวิตคาดการณ์ได้ง่ายกว่า โตได้เรื่อยๆแต่ไม่มาก แต่ครึ่งหนึ่งของธุรกิจประกันคือเอาเงิน float ไปทำ investment ธุรกิจถ้ายังโตได้ก็อาจปรับพีอีให้มากขึ้น
-ประเทศไทยให้พีอีธุรกิจประกันสูงมากไปรึป่าว พีอีสี่สิบห้าสิบเท่าไม่น่าถึง
-18ปีแรกที่ลงทุนมาแทบไม่มีเงินสด แต่ปีสองปีกว่าที่ผ่านมาขายหุ้นออกไป 25% เพราะรู้สึกว่าหุ้นไทยแพงมากไป เลยถือเงินสดรอโอกาส
-การที่เราบอกว่าไม่ได้ลงทุนในตลาดหุ้น จริงๆแล้วก็คือลงทุนนั่นแหละ แต่คุณลงทุนโดยเอาไปฝากแบงค์ เราควรหาหุ้นลงทุนที่ได้ปันผล 2-3% แทนดีกว่า
-ที่ไปเลือกลงทุนเวียดนามเพราะเหมือนไทยเมื่อ 20 ปีก่อน แล้วตอนนี้เค้ามีปัจจัยทุกอย่างที่จะเติบโตแบบไทย
-อินโด จีน ที่ไม่ไปเพราะโอกาสได้กำไรก็มี แต่โอกาสขาดทุนก็มาก ก็เลยคิดว่าเวียดนามน่าสนใจกว่า โอกาสขาดทุนน้อย
-สี่สิบปีที่แล้วไทยกับเวียดนามพอๆกัน ไทยมาแซงเอาช่วง20ปีหลังเพราะระบบดีกว่า แต่เวียดนามเป็นคอมมิวนิสต์เอกชนทำไรยากโดนบังคับ ตอนนี้เวียดนามเค้าก็เห็นเราและก็กำลังจะพัฒนาตามมา
-ทุกสังคมความเจริญจะขึ้นอยู่กับ 1.ระบบดีเสริมสร้าง 2.เสรีประชาธิปไตยไม่บีบบังคับ 3.คนวัยทำงานมีคุณภาพ และ 4.ทรัพยากรสมบูรณ์
-เมื่อสามสิบปีที่แล้วไทยมีครบ คนก็เข้ามาลงทุนในไทย 20ปีกว่าที่ผ่านมาญี่ปุ่นต้องเลือกออกมาลงทุนนอกประเทศเพราะโดนอเมริกาบีบให้เพิ่มค่าเงิน
-ตอนนั้นยี่สิบสามสิบปีก่อน ญี่ปุ่นก็มองหาประเทศที่จะมาลงทุน มองไปทั่วโลกก็มาเจอที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
-พม่าก็รัฐบาลทหาร สิงคโปร์เล็กไป ซูฮาโต้อินโดเผด็จการ ฟิลิปปินส์เผด็จการมากอส จีนเขมรลาวคอมมิวนิสต์ เวียดนามประเทศแตก เหลือไทยกับมาเลย์ที่เป็นตัวเลือก
-พม่า เวียดนาม ตอนนี้เค้าเห็นตัวอย่างแล้ว ก็เลยเปิดประเทศมากขึ้นเพื่อรับการลงทุนจากต่างประเทศ ฟิลิปปินส์อินโดเจริญเติบโตเพราะเป็นประชาธิปไตย เปิดประเทศแล้วโต
-ตอนนี้ทุกประเทศเปิดหมดก้าวไปข้างหน้า แต่ตอนนี้มีแต่ประเทศไทยที่กำลังย้อนกลับไป อันนี้น่ากลัว T_T
-ตอนนี้จริงๆแล้วแข่งกันที่ ประเทศเปิด คนฉลาด คนหนุ่มสาววัยทำงานเยอะ ทรัพยากรของแต่ละประเทศต่างกันไม่มาก
-เมื่อหลังสงครามสงบจะเป็นยุคของการผลิตลูก ห้างในเวียดนามที่โฮจิมินตืซิตี้ เด็กเต็มเพรียบบบ ต่างจากห้างของไทยไม่มากเท่า
-ประเทศไทยตอนนี้เป็นสังคมสูงวัย หนังสือพวกดูแลรักษาสุขภาพขายดีกว่าหนังสือพวกแม่และเด็ก
-เศรษฐกิจของเวียดนามกำลังโตมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวเลขเศรษฐกิจโตกันปีละ 5-6% สบายๆ ส่งออกก็โต 15% มีท่าเรือเพรียบ มีปัจจัยทุกอย่างที่จะโตได้ แต่ยังด้อยเรื่องท้องถนน
-คนไทยไอคิวต่ำกว่าเวียดนาม ในภูมิภาคนี้ไอคิวเค้าไม่เป็นรองใคร เพราะเวียดนามคือจีน เป็นสังคมที่ไม่สุดโต่ง และไม่ค่อยมีประเด็นศาสนา
-แบ่งพอร์ต 5% ไปลงทุนเวียดนามมาปีนึง ไม่ได้กำไรเลย ได้แต่ปันผล ซื้อมั่วไป 50 ตัว หุ้นประกาศกำไรโต 30% แต่ราคาหุ้นลง 20% เหมือนไทยสมัยก่อนๆเป๊ะ เคาะซื้อง่าย ขายยาก
-แต่ก่อนหุ้นมาม่าก็แบบนี้ พีอีห้า ปันผล10% ยังไม่มีคนเอา แต่เราลงทุนยาวเราเลยไม่แคร์ รอไปไม่เป็นไร ไม่รู้เรารึมันจะตายก่อนกัน
-ความโปร่งใสไม่มีหร็อก เพราะประเทศพวกนี้กำลังพัฒนา ซื้อไปหลายตัวตัวละนิดละหน่อยสี่ห้าล้าน แต่ก็แทบจะขึ้นผู้ถือหุ้นใหญ่ทุกตัว บริษัททำอะไรยังไม่รู้เลย
-CPALL พีอี 30 เท่า คือพีอีหลอก ทำให้ดูเหมือนแพง เพราะไปซื้อแม็คโคร แต่ cost ตรงนั้นเป็น financial cost ที่ไป leverage สูง หุ้นตัวนี้เน้นเก็บระยะยาว
-ปีสองปีที่ผ่านหนี้เยอะ เลยมาทำให้กำไรนิ่ง แต่ตอนนี้เหมือนเริ่มเทคออฟแล้ว ตอนนี้ operating leverage สูง ถ้ายอดขายเพิ่มเร็ว กำไรมันจะทวีคูณ พีอีมันจะลดลงมาเอง ด้วยเรทการโต10%ตอนนี้
-ด้วยพื้นฐานตรงนี้ เชื่อว่า valuation ของ CPALL ยังไม่สุด มองย้อนไปดูอเมริกาในอดีต Wallmart เคยใหญ่ที่สุดในตลาด ก็ยังหวังว่า CPALL จะเป็นยังงั้น
-Wallmart เคยเป็นหุ้นที่ใหญ่สุดในตลาด การ dominant อาจไม่เท่า CPALL ด้วยซ้ำ ในแต่ละยุคก็จะมีหุ้นของแต่ละธุรกิจที่โผล่ขึ้นมาใหญ่สุดในตลาด ผมก็ยังรอวันนั้นอยู่ที่รีเทลจะใหญ่สุด
-เราต้องเป็นผู้เลือกหุ้น อย่าให้หุ้นเป็นผู้เลือกเรา !
ฟังไปพิมพ์ไป ผิดพลาดตกหล่นต้องขออภัยคับ smile emoticon
SIR 270858
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee

FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
โพสต์โพสต์