MoneyTalk@SET17Oct15MBAประตูความสำเร็จ?&เลือกหุ้นจัดพอร์ต..
- i-salmon
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 293
- ผู้ติดตาม: 0
MoneyTalk@SET17Oct15MBAประตูความสำเร็จ?&เลือกหุ้นจัดพอร์ต..
โพสต์ที่ 1
ช่วงที่ 1 หัวข้อ "MBA ประตูสู่ความสำเร็จจริงหรือ?"
แขกรับเชิญ
1) ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เชี่ยวชาญการลงทุน เป็นศิษย์เก่า NIDA จากการชักชวนของดร.ไพบูลย์
2) คุณวรวุฒิ อุ่นใจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ. COL เป็นศิษย์เก่า YMBA รุ่นแรกที่จบไปแล้วประสบความสำเร็จมาก
3) คุณพยนต์ พงศาวรี ผู้จัดการกองทุน บลจ.ทหารไทย เป็นตัวอย่างของนักศึกษา MBA
ที่มาจากสายวิศวกร แล้วเปลี่ยนมาทำงานสายการเงิน โดยยอมลดเงินเดือน 4 หมื่นเหลือหมื่นกว่าบาท
จนทุกวันนี้ทำงานด้านการเงินมากว่าสิบปีและประสบความสำเร็จ
4) ดร.กำพล ปัญญาโกเมศ รองอธิการบดี NIDA เป็นศิษย์เก่าของนิด้าเช่นกัน
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ คุณเมทยา ปรียานนท์(น้องเมย์) ดำเนินรายการ
เกริ่นนำ
MBA ย่อมาจาก Master of Business Administration
หมายความว่าคนที่เรียนจบมาจะเป็นกูรูทางด้านบริหารธุรกิจ
MBA จำเป็นไหม?
คุณวรวุฒิ
จำเป็นมาก ofm หรือ col วันนี้เกิดมาจาก thesis ปริญญาโท
เริ่มจากธุรกิจที่บ้านทำค้าส่งเครื่องเขียน เป็นตึกแถวสองสามห้อง
เราเห็นเพื่อนเติบโต เราก็อยากจะเติบโต อยากจะพัฒนาบ้าง
คิดว่าความรู้ไม่พอจึงตัดสินใจไปเรียนต่อปริญญาโท ที่นิด้า
ซึ่งเป็นปีแรกที่เปิดหลักสูตร YMBA สามารถทำงานและเรียนไปด้วยได้
ช่วง 2 ปีที่เรียนช่วยเปิดโลกทัศน์มหาศาล ได้เห็น case study เยอะมาก ทำให้ฝันใหญ่
เราอยากทำ catalog sales จึงไปศึกษาธุรกิจของอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น
จึงศึกษาและนำไปเขียน โปรเจคจบ ชื่อ office mate จำกัด
ทำให้เราได้เขียน feasibility study เป็น
แล้วนำไปขอกู้แบงค์ทำให้เกิดบริษัท office mate เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว
ตั้งแต่เรียนจบมาไม่เคยสมัครทำงานจากบริษัทอื่น
สิ่งที่ต้องใช้ตลอดเวลาคือเอาความรู้ในตำรามาใช้ในทางปฏิบัติ
เช่น operation management, human resource, accounting, marketing
เอามาประยุกต์ใช้และวางเป็นระบบของบริษัท
การทำงานจริงกับการเรียนไม่เหมือนกัน MBA เหมือนได้ลายแทงขุมทรัพย์
ถ้าได้ลายแทงแต่อยู่กับที่ไม่ได้ออกไปหา ก็ไม่เจอขุมทรัพย์
แต่ถ้าหาขุมทรัพย์แบบไม่มีลายแทงก็หาไม่เจอ
เรียน MBA จะช่วยให้เราดำเนินธุรกิจถูกต้อง ลดความผิดพลาด หรือถ้าผิดพลาดก็จะแก้ไขได้เร็ว
ถ้าไม่มี MBA นิด้า ก็ไม่มี office mate หรือ COL ในปัจจุบันที่ยอดขายปีละกว่าหมื่นล้านบาท
ดร.นิเวศน์
เสริมว่า คุณวรวุฒิเขารู้ว่าเขาอยากได้อะไร แล้วเดินเข้าไปหา
หลายๆคนไปเรียนทั้งที่ไม่รู้ว่าจะเรียนไปทำไม คิดว่าคนส่วนใหญ่เรียนให้มีปริญญาสูงขึ้น มีโอกาสมากขึ้น
บางคนเรียนเสร็จก็ทำเหมือนเดิม เสียเวลาไป 2 ปี
โดยส่วนตัวก็เรียนไปโดยไม่ได้มีเป้าหมาย บังเอิญโชคดี ได้ไปเจอสิ่งที่เป็นเส้นทางของเรา
แต่ก็มีความเข้าใจเรื่องต่างๆมากขึ้น มีเบสิคมีความรู้พื้นฐานแต่ละเรื่องมากขึ้น
ก่อนเข้าไปเรียนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าค้าขายต้องมีเงินหมุนเวียน
พี่ชายเคยไปรับเหมามีลูกค้ามีงานมีกำไรแต่สุดท้ายเจ๊ง ไม่มีเงินทุนหมุนเวียนเพียงพอ
ซึ่งการที่เรียนทำให้เราเข้าใจในการทำธุรกิจมากขึ้น มีสิ่งเกี่ยวข้องหลายอย่าง ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปก็เจ๊งได้
สมัยใหม่องค์กรสากลการก้าวไปเป็นผู้บริหารระดับสูงสมัยนี้ถ้าจบปริญญาตรีไม่มีทาง ถ้าเรียนจบวิศวกรก็ได้ทำไปจนตาย
คุณพยนต์
ถ้าไม่ได้จบ MBA นิด้า ก็ไม่ได้เปลี่ยนสายงาน เคยเป็นวิศวกรทำงานที่ต่างจังหวัด 4-5 ปี
ทีแรกไม่ได้อยากเปลี่ยนสายงาน แต่อยากเรียนเพื่อพัฒนาตัวเองในองค์กร
ด้วยเหตุผลที่ต้องทำงานและหาเงินเรียนไปด้วย จึงเลือกที่เรียนได้ในวันเสาร์อาทิตย์
พอเรียนไปสักพักก็เริ่มชอบวิชาด้านการเงิน รวมทั้งหลายๆปัจจัย เช่น อ่านหนังสือตีแตกด้วย เคยดู money talk ด้วย
จนเรียนจบทำงานไปและหาโอกาสเปลี่ยนมาทำสายการเงินแทน
ส่งใบสมัครไปตามโบรกเกอร์ บริษัทจัดการกองทุน ต่างๆจนได้งานทำในที่สุด
อ.กำพล
MBA ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยน และเป็นโอกาส เพราะจบปริญญาตรี ด้านวิทยาศาสตร์ microbiology ที่บางมด
เชื่อว่าหลายๆคนไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรในสมัยปริญญาตรี สอบติดอันไหนก็เรียนอันนั้น แล้วพยายามเรียนให้จบ
พอจบมาก็ทำงานในสายงาน ที่บริษัทนมตรามะลิ,อายิโนะโมโต๊ะ แล้วก็เริ่มรู้สึกว่าไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองชอบ
ไม่ชอบทำงานด้านโรงงาน จึงตัดสินใจเรียน MBA ที่นิด้า เห็นว่าเป็นเครื่องมือที่เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิต
เจอสิ่งที่ชอบทำได้ดีแล้วจะไม่ทรมาน ขวนขวายหาความรู้เพิ่ม
และอีกอย่างในทุกสายงาน จุดหนึ่งที่ทำงานไปก็ต้องทำงานระดับบริหารและต้องมีความรู้ด้านบริหาร
ส่วนตัวคิดว่า MBA เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้มีทุกวันนี้
คุณเมทยา
เข้าเรียน MBA โดยกึ่งบังเอิญ ส่วนตัวชอบการตลาด ลองหาดูว่าที่ไหนน่าสนใจ มาเจอที่นิด้า ที่การตลาด การเงินก็ดี
ตอนป.ตรี จบวิทยาการคอมพิวเตอร์ประยุกต์มัลติมีเดีย ที่บางมด
อยากเปลี่ยนแนวเพราะคิดว่าตัวเองชอบคุยกับคนมากกว่าคอม
ตอนแรกเคยสัมภาษณ์ทุนตกรอบแรก เพราะยังไม่มีจุดประสงค์ที่แน่ชัดในชีวิต
จำได้ว่าตอนนั้นโดนถามว่าอีก 10 ปีข้างหน้าจะเป็นอะไร ยังตอบไม่ได้ขอเรียนก่อน
พอเรียนแล้วได้ความรู้เยอะ ปีที่สองเรียนไฟแนนซ์โหดมาก ถ้าเข้าสายปิดประตูทำ quiz เลย
นอกจากนี้การเรียนไม่ได้สอนแค่การเงินมีสอดแทรกการใช้ชีวิตด้วย
คนประเภทไหนคุณสมบัติแบบไหนควรเรียน?
คุณวรวุฒิ
คิดว่าคนที่เรียนควรอยากเป็นผู้บริหาร เป็นเป้าหมายหลัก ถ้าอยากปรับวุฒิปรับฐานะเป็นแค่ทางเลือกรอง
สมัยนี้องค์กรต้องการผู้ชำนาญ ก็ไปเรียนโทด้านนั้นโดยตรงก็ได้ เช่น การบริหาร logistics หรือ marketing
Trend ของยุคนี้อย่าง startup
ส่วนตัวพบว่าบริษัท startup ถ้ามีคนจบ MBA อยู่ในทีมด้วยก็จะไปได้ดีกว่าบริษัทอื่น
พวก Tech startup แม้จะเด่นด้าน technology แต่ถ้าไม่มีความรู้ด้านบริหารก็ไปได้ไม่ไกล
อย่าง Office mate สมัยก่อนก็ถือเป็น startup แต่ต้องหาเงินทุนด้วยตัวเอง
สมัยนี้มี venture capital, angle fund ต่างๆช่วยระดมทุน
Trend ของยุคนี้อีกอย่างคือ นักลงทุน
ถ้าจะวิเคราะห์หุ้น MBA ก็ช่วยให้เห็นภาพกว้างของธุรกิจ
Marketing, finance, production จะวิเคราะห์ได้เข้าใจง่ายขึ้น เห็นปัญหาของบริษัท
สังเกตเห็นว่านักลงทุนที่ประสบความสำเร็จหลายท่านก็จบ MBA
อ.นิเวศน์ เสริมอย่างในนักลงทุนระดับโลก เช่น วอรเรน บัฟเฟตต์
หรือ ปีเตอร์ลินซ์ แม้เจ้าตัวจะเคยพูดบอกว่า MBA ไม่ได้ช่วยอะไร
แต่ที่จริงคงซึมเข้าไปโดยไม่รู้ตัว มีหลายๆส่วนที่เป็นประโยชน์ ถ้าไม่ได้เรียนก็คงไม่เก่งแบบนี้
คุณพยนต์
บางคนถนัดเป็นวิศวกรการเติบโตในทางก็มีของมัน
แต่ส่วนตัวไม่ได้ชอบมากนัก ชอบประสานระหว่างหน่วยงาน ดูภาพรวมที่ควรจะเป็น
ก็มาค้นหาตัวเองจาก MBA ได้
คุณกำพล
คนที่เรียน MBA ควรชอบในการบริหารไม่ใช่แค่ธุรกิจ รวมถึงบริหารชีวิต
อย่างที่เข้า class ได้เรียน SWOT พบกลับมาก็ศึกษา SWOT ตัวเอง
ทำให้พบว่าชอบการเงิน อยากจะย้ายสายงาน จึงคิดต่อว่าถ้าอยากย้ายสาย ต้องมีเกรดที่ดี
ตอนเรียนจึงต้องไปทำ GPA ให้ดี จากนั้นต้องไปสอบ CFA สิ่งที่เป็นจุดอ่อนก็ปรับเปลี่ยน
และ MBA เป็นโอกาสที่ทำให้รู้ว่าเราชอบทางไหน เพราะเราได้เรียนทุก function
อีกอย่างหนึ่งที่เจอคือภาษาอังกฤษตัวเองอ่อน ซึ่งต้องปรับตัว มาอ่าน textbook สุดท้ายก็พบว่าตัวเองทำได้
นักศึกษาบางคนไปหาหนังสือแปลไทยมาอ่าน ซึ่งทำแบบนั้นไม่ช่วยให้ปิดจุดอ่อนตัวเองได้
เรียน MBA ควรจะได้อะไรไปบ้าง?
อ.นิเวศน์
ได้หัวใจของ MBA คือ กว้างขวางรู้โลกธุรกิจ อ่านข้อมูลธุรกิจเป็น เข้าใจธุรกิจได้
เรียน MBA แล้วจะสำเร็จหรือเปล่าไม่รู้ แต่อย่างน้อยเป็นประตู ที่เปิดเข้าได้หลากหลาย
จะเข้าแบงค์ เข้าบริษัทต่างๆ มีทางเลือกมากมาย
ถ้าเรียนอย่างอื่นเข้าผิดประตูแล้วไม่ดี ก็ลำบาก แต่ MBA เป็นประตูที่กว้าง
ส่วนตัวกว่าที่จะเปลี่ยนประตูใช้เวลานาน ที่เรียนปริญญาเอกเพราะเรียนปริญญาโทแล้วไม่รู้จะไปอย่างไรต่อ
ถ้าสนใจ MBA ควรเรียนที่ไหน?
อ.ไพบูลย์
แสดงข้อมูล Global MBA ranking โดย financial times
[สามารถดูได้ที่=> http://rankings.ft.com/businessschoolra ... nking-2015 ]
ส่วนใหญ่เป็นอเมริกา และยุโรป อย่างในเอเชียที่มีติดอันดับ เช่น ที่ สิงคโปร์, ฮ่องกง, จีน, อินเดีย
อ.กำพล
นิด้ามีคุณสมบัติอย่างหนึ่งคือไม่มีปริญญาตรี ภาระงานอาจารย์จึงไม่มาก
จึงมีความสนิทสนมขผูกพันกับลูกศิษย์ หลายอย่างก็ยังมีการสนับสนุนเกื้อกูลกันต่อไป
เป็นองค์กรที่ได้รับการันตีว่าได้มาตรฐานสากล AACSB คล้ายๆกับโรงงานต้องมี ISO 9001
ตอนนี้ MBA มีเยอะมาก คิดว่าไม่เกิน 5% ที่ได้ AACSB ในไทยน่าจะมี 3 ที่ (นิด้า,ศศินทร์,จุฬา)
อีกทั้ง Nida ก็มีความสัมพันธ์กับ Harvard มีโปรแกรม MOC (Microeconomics of Competitiveness)
เราได้เป็นที่เดียวที่ได้รับอนุญาตให้สอนโปรแกรมนี้ในไทย เอา case study มาใช้ในการเรียนการสอน
และ Wharton นิด้ามีโปรแกรม Nida-Wharton leadership program สำหรับพัฒนาผู้บริหาร
ถ้าเลือกได้ไปเรียนต่างประเทศไหม?
คุณวรวุฒิ
ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง ถ้ามองในมุมมองนายจ้าง ปัญหาปัจจุบันคือมีสถาบันผลิตเยอะ
ความต้องการในตลาดต้องการไปเรียน MBA กันเยอะ
เพราะการขึ้นผู้บริหารระดับกลางขึ้นไปอย่างน้อยต้องจบปริญญาโท หรือมีผลงานโดดเด่น
ปัญหาที่ตามมาคือคุณภาพการเรียน พบว่า MBA หลายสถาบันคุณภาพไม่ดีเท่าที่ควร
ถ้าจะเรียนต่อเมืองไทย อย่าคิดว่าเรียนแค่จบได้ปริญญามา
หลายที่ก็มองว่าถ้ามาจาก MBA ไม่มีคุณภาพจะผ่านเรียกสัมภาษณ์ได้ยาก
การเรียน MBA ต่างประเทศ ข้อได้เปรียบสำคัญคือ ภาษาอังกฤษ
ดังนั้นถ้าเรียน MBA ในประเทศ ก็ต้องพัฒนาภาษาอังกฤษให้แข็งแรงด้วย
ในการทำงานจริงสุดท้ายวัดกันที่ผลงาน การจบจากสถาบันดีเกรดดีมีโอกาสในการเริ่มต้นได้มากกว่า
ถ้าใครเกรดไม่ดีต้องพิสูจน์ตัวเองมากขึ้นหน่อย
การเรียนต่อโทเมืองนอก ค่าใช้จ่ายสูงกว่ามาก ถ้าต้องทำงานและเรียนไปด้วย ก็ควรเรียนในไทย
การเรียนต่อที่ต่างประเทศ จะขาด connection relation กับเพื่อนร่วมรุ่นมากกว่าในไทย
ตอนที่เรียน นิด้า ได้เรียนรู้เยอะมากจากเพื่อนในห้อง มีผู้บริหารระดับกลางจากหลายบริษัท เก่งๆกันทั้งนั้น
หลังจากจบก็ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกันอยู่
อ.กำพล
หลักสูตร MBA ของนิด้ามีหลากหลาย
- Regular MBA จันทร์-ศุกร์
- Flexible MBA เสาร์-อาทิตย์ คนสมัครเยอะ อัตรารับน้อย
คนที่มาเรียนอยากย้ายสายงาน เกิน 50% เป็นวิศวกร
- Young executive MBA
- Executive MBA
- International MBA เรียนภาษาอังกฤษ
มีตอบโจทย์ค่อนข้างครบ และจะมีเปิดหลักสูตร Professional MBA
เน้นสำหรับคนได้เกียรตินิยมมาสมัคร ให้ทุนค่าเล่าเรียนเกือบทั้งคลาส
ซึ่งในโปรแกรมนี้จะสอนได้ลึกขึ้นเร็วขึ้น
ทุนนอกจากนี้ในหลักสูตรอื่นก็มีทุนให้ลองไปศึกษารายละเอียดดูได้
น้องเมย์ เสริมว่า นิด้าเป็นสถาบันการศึกษาของรัฐบาล ก่อตั้งโดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
คุณพยนต์
เนื้อหาวิชาการคิดว่าไม่แพ้ต่างประเทศ แต่จะมีเรื่องภาษาที่ต้องพัฒนาตัวเองเพิ่ม
ที่สัมผัสได้เด็กรุ่นใหม่จะภาษาดีตั้งแต่มัธยมแล้ว รู้สึกว่าข้อจำกัดภาษาน้อยลง
อย่างหลักสูตรของ Michael e porter ก็เคยได้เรียน
คิดว่าหลักสูตรไทยน่าจะสู้ได้ แต่ที่สำคัญในการทำงานจริงต้องพิสูจน์
สรุปปิดท้าย MBA เป็นประตูสู่ความสำเร็จ?
ดร.นิเวศน์
MBA เปิดโอกาสให้ได้ลอง ให้ทำอะไรใหม่ ทำธุรกิจ ใช้เวลาเรียน 2 ปีช่วยย่นเวลากว่าเรียนรู้เอง
ดร.ไพบูลย์
ปิดท้ายไม่จำเป็นต้องเรียน MBA ก็ได้ จะเรียนเฉพาะทางก็ได้
จะเรียน MBA ก็เลือกให้ดี หาประโยชน์ให้เต็มที่
ถ้าเรียนมหาวิทยาลัยก็ใช้เงินทุนรัฐบาล เรียนได้ความรู้แล้วก็ควรตอบแทนตอบแทนให้แผ่นดิน
ขอบพระคุณอ.ไพบูลย์,พิธีกร,วิทยากร, ทีมงาน money talk และผู้สนับสนุนทุกท่าน
ในช่วงที่ 2 ทางคุณ amornkowa จะช่วยแชร์ต่อนะครับ
Moneytalk at SET ครั้งถัดไป 28 Nov เปิดจอง 21 Nov 7 โมงเช้า
Money talk 28 พฤศจิกายน 2015
หัวข้อ 1 ประสบการณ์ฝังใจจากรุ่นใหญ่พิเศษ
คุณสวัสดิ์ , คุณวสันต์ เบนซ์ทองหล่อ, ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์, ดร.นิเวศน์ ดำเนินรายการโดย อ.ไพบูลย์, อ.เสน่ห์
หัวข้อ 2 จับ Mega trend เน้นหุ้นลงทุน คุณธันวา , ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์, คุณกวี ชูกิจเกษม, ดร.นิเวศน์
ดำเนินรายการโดย อ.ไพบูลย์, อ.เสน่ห์
Money talk 19 ธันวาคม 2015
หัวข้อ 1 จับทิศทางเศรษฐกิจไทย ลุ้นหุ้นกระแสใหญ่ปี 59 ดร.กอบศักดิ์ ดำเนินรายการโดย อ.ไพบูลย์, อ.เสน่ห์,อ.นิเวศน์
หัวข้อ 2 หุ้นปี 59 รุ่งเรืองหรือรุ่งริ่ง คุณมนตรี ศรไพศาล, ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ, อ.นิเวศน์
ดำเนินรายการโดย อ.ไพบูลย์, อ.เสน่ห์
Money talk 9 มกราคม 2016
หัวข้อ 1 หุ้นเด่นปี 59 ในใจ super analyst ดร. วิศิษฐ์ องคพิพัฒนกุล, สุกิจ อุดม , กวี ชูกิจเกษม
ดำเนินรายการโดย อ.ไพบูลย์, อ.เสน่ห์
หัวข้อ 2 มองห้นไทยกับ super vi นิเวศน์, โจ ลูกอีสาน, คุณพีรนาถ, ประชา, นพ.พงษ์ศักดิ์
ดำเนินรายการโดย อ.ไพบูลย์, อ.เสน่ห์
แขกรับเชิญ
1) ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เชี่ยวชาญการลงทุน เป็นศิษย์เก่า NIDA จากการชักชวนของดร.ไพบูลย์
2) คุณวรวุฒิ อุ่นใจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ. COL เป็นศิษย์เก่า YMBA รุ่นแรกที่จบไปแล้วประสบความสำเร็จมาก
3) คุณพยนต์ พงศาวรี ผู้จัดการกองทุน บลจ.ทหารไทย เป็นตัวอย่างของนักศึกษา MBA
ที่มาจากสายวิศวกร แล้วเปลี่ยนมาทำงานสายการเงิน โดยยอมลดเงินเดือน 4 หมื่นเหลือหมื่นกว่าบาท
จนทุกวันนี้ทำงานด้านการเงินมากว่าสิบปีและประสบความสำเร็จ
4) ดร.กำพล ปัญญาโกเมศ รองอธิการบดี NIDA เป็นศิษย์เก่าของนิด้าเช่นกัน
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ คุณเมทยา ปรียานนท์(น้องเมย์) ดำเนินรายการ
เกริ่นนำ
MBA ย่อมาจาก Master of Business Administration
หมายความว่าคนที่เรียนจบมาจะเป็นกูรูทางด้านบริหารธุรกิจ
MBA จำเป็นไหม?
คุณวรวุฒิ
จำเป็นมาก ofm หรือ col วันนี้เกิดมาจาก thesis ปริญญาโท
เริ่มจากธุรกิจที่บ้านทำค้าส่งเครื่องเขียน เป็นตึกแถวสองสามห้อง
เราเห็นเพื่อนเติบโต เราก็อยากจะเติบโต อยากจะพัฒนาบ้าง
คิดว่าความรู้ไม่พอจึงตัดสินใจไปเรียนต่อปริญญาโท ที่นิด้า
ซึ่งเป็นปีแรกที่เปิดหลักสูตร YMBA สามารถทำงานและเรียนไปด้วยได้
ช่วง 2 ปีที่เรียนช่วยเปิดโลกทัศน์มหาศาล ได้เห็น case study เยอะมาก ทำให้ฝันใหญ่
เราอยากทำ catalog sales จึงไปศึกษาธุรกิจของอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น
จึงศึกษาและนำไปเขียน โปรเจคจบ ชื่อ office mate จำกัด
ทำให้เราได้เขียน feasibility study เป็น
แล้วนำไปขอกู้แบงค์ทำให้เกิดบริษัท office mate เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว
ตั้งแต่เรียนจบมาไม่เคยสมัครทำงานจากบริษัทอื่น
สิ่งที่ต้องใช้ตลอดเวลาคือเอาความรู้ในตำรามาใช้ในทางปฏิบัติ
เช่น operation management, human resource, accounting, marketing
เอามาประยุกต์ใช้และวางเป็นระบบของบริษัท
การทำงานจริงกับการเรียนไม่เหมือนกัน MBA เหมือนได้ลายแทงขุมทรัพย์
ถ้าได้ลายแทงแต่อยู่กับที่ไม่ได้ออกไปหา ก็ไม่เจอขุมทรัพย์
แต่ถ้าหาขุมทรัพย์แบบไม่มีลายแทงก็หาไม่เจอ
เรียน MBA จะช่วยให้เราดำเนินธุรกิจถูกต้อง ลดความผิดพลาด หรือถ้าผิดพลาดก็จะแก้ไขได้เร็ว
ถ้าไม่มี MBA นิด้า ก็ไม่มี office mate หรือ COL ในปัจจุบันที่ยอดขายปีละกว่าหมื่นล้านบาท
ดร.นิเวศน์
เสริมว่า คุณวรวุฒิเขารู้ว่าเขาอยากได้อะไร แล้วเดินเข้าไปหา
หลายๆคนไปเรียนทั้งที่ไม่รู้ว่าจะเรียนไปทำไม คิดว่าคนส่วนใหญ่เรียนให้มีปริญญาสูงขึ้น มีโอกาสมากขึ้น
บางคนเรียนเสร็จก็ทำเหมือนเดิม เสียเวลาไป 2 ปี
โดยส่วนตัวก็เรียนไปโดยไม่ได้มีเป้าหมาย บังเอิญโชคดี ได้ไปเจอสิ่งที่เป็นเส้นทางของเรา
แต่ก็มีความเข้าใจเรื่องต่างๆมากขึ้น มีเบสิคมีความรู้พื้นฐานแต่ละเรื่องมากขึ้น
ก่อนเข้าไปเรียนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าค้าขายต้องมีเงินหมุนเวียน
พี่ชายเคยไปรับเหมามีลูกค้ามีงานมีกำไรแต่สุดท้ายเจ๊ง ไม่มีเงินทุนหมุนเวียนเพียงพอ
ซึ่งการที่เรียนทำให้เราเข้าใจในการทำธุรกิจมากขึ้น มีสิ่งเกี่ยวข้องหลายอย่าง ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปก็เจ๊งได้
สมัยใหม่องค์กรสากลการก้าวไปเป็นผู้บริหารระดับสูงสมัยนี้ถ้าจบปริญญาตรีไม่มีทาง ถ้าเรียนจบวิศวกรก็ได้ทำไปจนตาย
คุณพยนต์
ถ้าไม่ได้จบ MBA นิด้า ก็ไม่ได้เปลี่ยนสายงาน เคยเป็นวิศวกรทำงานที่ต่างจังหวัด 4-5 ปี
ทีแรกไม่ได้อยากเปลี่ยนสายงาน แต่อยากเรียนเพื่อพัฒนาตัวเองในองค์กร
ด้วยเหตุผลที่ต้องทำงานและหาเงินเรียนไปด้วย จึงเลือกที่เรียนได้ในวันเสาร์อาทิตย์
พอเรียนไปสักพักก็เริ่มชอบวิชาด้านการเงิน รวมทั้งหลายๆปัจจัย เช่น อ่านหนังสือตีแตกด้วย เคยดู money talk ด้วย
จนเรียนจบทำงานไปและหาโอกาสเปลี่ยนมาทำสายการเงินแทน
ส่งใบสมัครไปตามโบรกเกอร์ บริษัทจัดการกองทุน ต่างๆจนได้งานทำในที่สุด
อ.กำพล
MBA ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยน และเป็นโอกาส เพราะจบปริญญาตรี ด้านวิทยาศาสตร์ microbiology ที่บางมด
เชื่อว่าหลายๆคนไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรในสมัยปริญญาตรี สอบติดอันไหนก็เรียนอันนั้น แล้วพยายามเรียนให้จบ
พอจบมาก็ทำงานในสายงาน ที่บริษัทนมตรามะลิ,อายิโนะโมโต๊ะ แล้วก็เริ่มรู้สึกว่าไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองชอบ
ไม่ชอบทำงานด้านโรงงาน จึงตัดสินใจเรียน MBA ที่นิด้า เห็นว่าเป็นเครื่องมือที่เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิต
เจอสิ่งที่ชอบทำได้ดีแล้วจะไม่ทรมาน ขวนขวายหาความรู้เพิ่ม
และอีกอย่างในทุกสายงาน จุดหนึ่งที่ทำงานไปก็ต้องทำงานระดับบริหารและต้องมีความรู้ด้านบริหาร
ส่วนตัวคิดว่า MBA เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้มีทุกวันนี้
คุณเมทยา
เข้าเรียน MBA โดยกึ่งบังเอิญ ส่วนตัวชอบการตลาด ลองหาดูว่าที่ไหนน่าสนใจ มาเจอที่นิด้า ที่การตลาด การเงินก็ดี
ตอนป.ตรี จบวิทยาการคอมพิวเตอร์ประยุกต์มัลติมีเดีย ที่บางมด
อยากเปลี่ยนแนวเพราะคิดว่าตัวเองชอบคุยกับคนมากกว่าคอม
ตอนแรกเคยสัมภาษณ์ทุนตกรอบแรก เพราะยังไม่มีจุดประสงค์ที่แน่ชัดในชีวิต
จำได้ว่าตอนนั้นโดนถามว่าอีก 10 ปีข้างหน้าจะเป็นอะไร ยังตอบไม่ได้ขอเรียนก่อน
พอเรียนแล้วได้ความรู้เยอะ ปีที่สองเรียนไฟแนนซ์โหดมาก ถ้าเข้าสายปิดประตูทำ quiz เลย
นอกจากนี้การเรียนไม่ได้สอนแค่การเงินมีสอดแทรกการใช้ชีวิตด้วย
คนประเภทไหนคุณสมบัติแบบไหนควรเรียน?
คุณวรวุฒิ
คิดว่าคนที่เรียนควรอยากเป็นผู้บริหาร เป็นเป้าหมายหลัก ถ้าอยากปรับวุฒิปรับฐานะเป็นแค่ทางเลือกรอง
สมัยนี้องค์กรต้องการผู้ชำนาญ ก็ไปเรียนโทด้านนั้นโดยตรงก็ได้ เช่น การบริหาร logistics หรือ marketing
Trend ของยุคนี้อย่าง startup
ส่วนตัวพบว่าบริษัท startup ถ้ามีคนจบ MBA อยู่ในทีมด้วยก็จะไปได้ดีกว่าบริษัทอื่น
พวก Tech startup แม้จะเด่นด้าน technology แต่ถ้าไม่มีความรู้ด้านบริหารก็ไปได้ไม่ไกล
อย่าง Office mate สมัยก่อนก็ถือเป็น startup แต่ต้องหาเงินทุนด้วยตัวเอง
สมัยนี้มี venture capital, angle fund ต่างๆช่วยระดมทุน
Trend ของยุคนี้อีกอย่างคือ นักลงทุน
ถ้าจะวิเคราะห์หุ้น MBA ก็ช่วยให้เห็นภาพกว้างของธุรกิจ
Marketing, finance, production จะวิเคราะห์ได้เข้าใจง่ายขึ้น เห็นปัญหาของบริษัท
สังเกตเห็นว่านักลงทุนที่ประสบความสำเร็จหลายท่านก็จบ MBA
อ.นิเวศน์ เสริมอย่างในนักลงทุนระดับโลก เช่น วอรเรน บัฟเฟตต์
หรือ ปีเตอร์ลินซ์ แม้เจ้าตัวจะเคยพูดบอกว่า MBA ไม่ได้ช่วยอะไร
แต่ที่จริงคงซึมเข้าไปโดยไม่รู้ตัว มีหลายๆส่วนที่เป็นประโยชน์ ถ้าไม่ได้เรียนก็คงไม่เก่งแบบนี้
คุณพยนต์
บางคนถนัดเป็นวิศวกรการเติบโตในทางก็มีของมัน
แต่ส่วนตัวไม่ได้ชอบมากนัก ชอบประสานระหว่างหน่วยงาน ดูภาพรวมที่ควรจะเป็น
ก็มาค้นหาตัวเองจาก MBA ได้
คุณกำพล
คนที่เรียน MBA ควรชอบในการบริหารไม่ใช่แค่ธุรกิจ รวมถึงบริหารชีวิต
อย่างที่เข้า class ได้เรียน SWOT พบกลับมาก็ศึกษา SWOT ตัวเอง
ทำให้พบว่าชอบการเงิน อยากจะย้ายสายงาน จึงคิดต่อว่าถ้าอยากย้ายสาย ต้องมีเกรดที่ดี
ตอนเรียนจึงต้องไปทำ GPA ให้ดี จากนั้นต้องไปสอบ CFA สิ่งที่เป็นจุดอ่อนก็ปรับเปลี่ยน
และ MBA เป็นโอกาสที่ทำให้รู้ว่าเราชอบทางไหน เพราะเราได้เรียนทุก function
อีกอย่างหนึ่งที่เจอคือภาษาอังกฤษตัวเองอ่อน ซึ่งต้องปรับตัว มาอ่าน textbook สุดท้ายก็พบว่าตัวเองทำได้
นักศึกษาบางคนไปหาหนังสือแปลไทยมาอ่าน ซึ่งทำแบบนั้นไม่ช่วยให้ปิดจุดอ่อนตัวเองได้
เรียน MBA ควรจะได้อะไรไปบ้าง?
อ.นิเวศน์
ได้หัวใจของ MBA คือ กว้างขวางรู้โลกธุรกิจ อ่านข้อมูลธุรกิจเป็น เข้าใจธุรกิจได้
เรียน MBA แล้วจะสำเร็จหรือเปล่าไม่รู้ แต่อย่างน้อยเป็นประตู ที่เปิดเข้าได้หลากหลาย
จะเข้าแบงค์ เข้าบริษัทต่างๆ มีทางเลือกมากมาย
ถ้าเรียนอย่างอื่นเข้าผิดประตูแล้วไม่ดี ก็ลำบาก แต่ MBA เป็นประตูที่กว้าง
ส่วนตัวกว่าที่จะเปลี่ยนประตูใช้เวลานาน ที่เรียนปริญญาเอกเพราะเรียนปริญญาโทแล้วไม่รู้จะไปอย่างไรต่อ
ถ้าสนใจ MBA ควรเรียนที่ไหน?
อ.ไพบูลย์
แสดงข้อมูล Global MBA ranking โดย financial times
[สามารถดูได้ที่=> http://rankings.ft.com/businessschoolra ... nking-2015 ]
ส่วนใหญ่เป็นอเมริกา และยุโรป อย่างในเอเชียที่มีติดอันดับ เช่น ที่ สิงคโปร์, ฮ่องกง, จีน, อินเดีย
อ.กำพล
นิด้ามีคุณสมบัติอย่างหนึ่งคือไม่มีปริญญาตรี ภาระงานอาจารย์จึงไม่มาก
จึงมีความสนิทสนมขผูกพันกับลูกศิษย์ หลายอย่างก็ยังมีการสนับสนุนเกื้อกูลกันต่อไป
เป็นองค์กรที่ได้รับการันตีว่าได้มาตรฐานสากล AACSB คล้ายๆกับโรงงานต้องมี ISO 9001
ตอนนี้ MBA มีเยอะมาก คิดว่าไม่เกิน 5% ที่ได้ AACSB ในไทยน่าจะมี 3 ที่ (นิด้า,ศศินทร์,จุฬา)
อีกทั้ง Nida ก็มีความสัมพันธ์กับ Harvard มีโปรแกรม MOC (Microeconomics of Competitiveness)
เราได้เป็นที่เดียวที่ได้รับอนุญาตให้สอนโปรแกรมนี้ในไทย เอา case study มาใช้ในการเรียนการสอน
และ Wharton นิด้ามีโปรแกรม Nida-Wharton leadership program สำหรับพัฒนาผู้บริหาร
ถ้าเลือกได้ไปเรียนต่างประเทศไหม?
คุณวรวุฒิ
ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง ถ้ามองในมุมมองนายจ้าง ปัญหาปัจจุบันคือมีสถาบันผลิตเยอะ
ความต้องการในตลาดต้องการไปเรียน MBA กันเยอะ
เพราะการขึ้นผู้บริหารระดับกลางขึ้นไปอย่างน้อยต้องจบปริญญาโท หรือมีผลงานโดดเด่น
ปัญหาที่ตามมาคือคุณภาพการเรียน พบว่า MBA หลายสถาบันคุณภาพไม่ดีเท่าที่ควร
ถ้าจะเรียนต่อเมืองไทย อย่าคิดว่าเรียนแค่จบได้ปริญญามา
หลายที่ก็มองว่าถ้ามาจาก MBA ไม่มีคุณภาพจะผ่านเรียกสัมภาษณ์ได้ยาก
การเรียน MBA ต่างประเทศ ข้อได้เปรียบสำคัญคือ ภาษาอังกฤษ
ดังนั้นถ้าเรียน MBA ในประเทศ ก็ต้องพัฒนาภาษาอังกฤษให้แข็งแรงด้วย
ในการทำงานจริงสุดท้ายวัดกันที่ผลงาน การจบจากสถาบันดีเกรดดีมีโอกาสในการเริ่มต้นได้มากกว่า
ถ้าใครเกรดไม่ดีต้องพิสูจน์ตัวเองมากขึ้นหน่อย
การเรียนต่อโทเมืองนอก ค่าใช้จ่ายสูงกว่ามาก ถ้าต้องทำงานและเรียนไปด้วย ก็ควรเรียนในไทย
การเรียนต่อที่ต่างประเทศ จะขาด connection relation กับเพื่อนร่วมรุ่นมากกว่าในไทย
ตอนที่เรียน นิด้า ได้เรียนรู้เยอะมากจากเพื่อนในห้อง มีผู้บริหารระดับกลางจากหลายบริษัท เก่งๆกันทั้งนั้น
หลังจากจบก็ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกันอยู่
อ.กำพล
หลักสูตร MBA ของนิด้ามีหลากหลาย
- Regular MBA จันทร์-ศุกร์
- Flexible MBA เสาร์-อาทิตย์ คนสมัครเยอะ อัตรารับน้อย
คนที่มาเรียนอยากย้ายสายงาน เกิน 50% เป็นวิศวกร
- Young executive MBA
- Executive MBA
- International MBA เรียนภาษาอังกฤษ
มีตอบโจทย์ค่อนข้างครบ และจะมีเปิดหลักสูตร Professional MBA
เน้นสำหรับคนได้เกียรตินิยมมาสมัคร ให้ทุนค่าเล่าเรียนเกือบทั้งคลาส
ซึ่งในโปรแกรมนี้จะสอนได้ลึกขึ้นเร็วขึ้น
ทุนนอกจากนี้ในหลักสูตรอื่นก็มีทุนให้ลองไปศึกษารายละเอียดดูได้
น้องเมย์ เสริมว่า นิด้าเป็นสถาบันการศึกษาของรัฐบาล ก่อตั้งโดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
คุณพยนต์
เนื้อหาวิชาการคิดว่าไม่แพ้ต่างประเทศ แต่จะมีเรื่องภาษาที่ต้องพัฒนาตัวเองเพิ่ม
ที่สัมผัสได้เด็กรุ่นใหม่จะภาษาดีตั้งแต่มัธยมแล้ว รู้สึกว่าข้อจำกัดภาษาน้อยลง
อย่างหลักสูตรของ Michael e porter ก็เคยได้เรียน
คิดว่าหลักสูตรไทยน่าจะสู้ได้ แต่ที่สำคัญในการทำงานจริงต้องพิสูจน์
สรุปปิดท้าย MBA เป็นประตูสู่ความสำเร็จ?
ดร.นิเวศน์
MBA เปิดโอกาสให้ได้ลอง ให้ทำอะไรใหม่ ทำธุรกิจ ใช้เวลาเรียน 2 ปีช่วยย่นเวลากว่าเรียนรู้เอง
ดร.ไพบูลย์
ปิดท้ายไม่จำเป็นต้องเรียน MBA ก็ได้ จะเรียนเฉพาะทางก็ได้
จะเรียน MBA ก็เลือกให้ดี หาประโยชน์ให้เต็มที่
ถ้าเรียนมหาวิทยาลัยก็ใช้เงินทุนรัฐบาล เรียนได้ความรู้แล้วก็ควรตอบแทนตอบแทนให้แผ่นดิน
ขอบพระคุณอ.ไพบูลย์,พิธีกร,วิทยากร, ทีมงาน money talk และผู้สนับสนุนทุกท่าน
ในช่วงที่ 2 ทางคุณ amornkowa จะช่วยแชร์ต่อนะครับ
Moneytalk at SET ครั้งถัดไป 28 Nov เปิดจอง 21 Nov 7 โมงเช้า
Money talk 28 พฤศจิกายน 2015
หัวข้อ 1 ประสบการณ์ฝังใจจากรุ่นใหญ่พิเศษ
คุณสวัสดิ์ , คุณวสันต์ เบนซ์ทองหล่อ, ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์, ดร.นิเวศน์ ดำเนินรายการโดย อ.ไพบูลย์, อ.เสน่ห์
หัวข้อ 2 จับ Mega trend เน้นหุ้นลงทุน คุณธันวา , ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์, คุณกวี ชูกิจเกษม, ดร.นิเวศน์
ดำเนินรายการโดย อ.ไพบูลย์, อ.เสน่ห์
Money talk 19 ธันวาคม 2015
หัวข้อ 1 จับทิศทางเศรษฐกิจไทย ลุ้นหุ้นกระแสใหญ่ปี 59 ดร.กอบศักดิ์ ดำเนินรายการโดย อ.ไพบูลย์, อ.เสน่ห์,อ.นิเวศน์
หัวข้อ 2 หุ้นปี 59 รุ่งเรืองหรือรุ่งริ่ง คุณมนตรี ศรไพศาล, ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ, อ.นิเวศน์
ดำเนินรายการโดย อ.ไพบูลย์, อ.เสน่ห์
Money talk 9 มกราคม 2016
หัวข้อ 1 หุ้นเด่นปี 59 ในใจ super analyst ดร. วิศิษฐ์ องคพิพัฒนกุล, สุกิจ อุดม , กวี ชูกิจเกษม
ดำเนินรายการโดย อ.ไพบูลย์, อ.เสน่ห์
หัวข้อ 2 มองห้นไทยกับ super vi นิเวศน์, โจ ลูกอีสาน, คุณพีรนาถ, ประชา, นพ.พงษ์ศักดิ์
ดำเนินรายการโดย อ.ไพบูลย์, อ.เสน่ห์
Go against and stay alive.
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: MoneyTalk@SET17Oct15MBAประตูความสำเร็จ?&เลือกหุ้นจัดพอร์
โพสต์ที่ 6
ช่วงที่2 สัมมนาหัวข้อ “เลือกหุ้นจัดพอร์ตแบบมืออาชีพ” ได้รับเกียรติ์จากนักการเงินรุ่นใหญ่ ได้แก่
1) ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ (บลจ.ทหารไทย)
เป็น อาจารย์ที่นิด้ามาก่อน และ เคยเป็น นายกสมาคม บริษัทหลักทรัพย์จัดการการลงทุน (บลจ)
2) คุณวิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน (บลจ. CIMB Principal)
เคย ดูแล ประกันสังคมมาเป็นเวลา 13.5 ปี เงินเดือนน้อย แต่ความรับผิดชอบสูง พึ่งออกมาทำงานที่ บลจ CIMB Principal
3) คุณประภาส ตันพิบูลศักดิ์ ผู้เชี่ยวชาญการบริหารเงินลงทุน
กำลังจะตั้งบลจ มีคุณ ฉัตรรพี คุณ โชติกา มาร่วมด้วย ชื่อของบลจใหม่ คือ บลจ ทาลิส TALIST เป็นภาษาลาตินแปลว่า Excellent
4) ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เชี่ยวชาญการลงทุน
มีตำแหน่งเป็น CWO ( Chief Washing Officer ) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายซักล้าง มีตำแหน่งไว้เผื่อขอวีซ่า
มีผลงานมากมาย เป็นต้นตำรับ นักลงทุนเน้นคุณค่า เป็นปูชนียจารย์ เป็นการผสมกันระหว่างปูบางขณะ และ ชนี บางครั้ง ดูแลการล้างจาน คือที่มาของ CWO
ดร ไพบูลย์ เสริม เข้าร้านซีเอ็ด ถามหาหนังสือ ว่ามีชื่อ หนังสือ วิธีปราบเมีย ไหม เจ้าหน้าที่จำอาจารย์ได้ และ ตอบว่า มีคะ แต่อยู่ในชั้นนวนิยาย เพ้อฝัน ควรซื้อ หนังสือคู่กัน คือ ตายแล้วไปไหน
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ. เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ
เข้ารายการหัวข้อ เลือกหุ้นจัดพอร์ตแบบมืออาชีพ
อาจารย์ เสน๋ห์ พูดถึง มืออาชีพใช้ความรู้ความสามารถและใช้ข้อมูล
คุณวิน มืออาชีพ เคยบริหารกองทุนให้กับประกันสังคม
คุณประภาส กำลังจัดตั้ง บลจ ทาลีส
ดร สมจินต์ ก็ดูแลกองทุนของ บลจ ทหารไทย
Expert หมายถึง ผู้เชี่ยวชาญ ไม่ไปไหน อยู่ตรงนั้นทำจนเชี่ยวชาย แต่ มืออาชีพด้านต่างๆ โดย อาศัยประสบการณ์
เช่น ดร นิเวศน์ เป็น expert แต่วันนี้ทำให้เข้าสู่มืออาชีพ สามารถใช้มือถือแปลงอะไรก็ได้ แป้งทาหน้า ที่มีคนให้มา ออกแบบเหมือนไอโฟน โทรศัพท์มือถือ เอามาทาหน้าได้
ผู้เชี่ยวชาญแบบมืออาชีพสามารถปรับเปลี่ยนได้ การแบ่งสรรหุ้นอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นงานสำคัญมาก เอาไปตรอง คิดและประกอบ อาจทำให้ปีหน้า ประสบความสำเร็จได้
คุณวิน : ตอนที่รับผิดชอบ เงินจาก 100,000 ล้านบาท เมื่อ 13 ปีก่อน แบ่งทรัพย์สินเป็น 50% เงินฝาก และ 50% พันธบัตรรัฐบาล เริ่มกระจายการลงทุน ค่อยๆจัดพอร์ต ตอนออกจากประกันสังคม เงินที่รับผิดชอบบริหารคิดเป็นเงินทุน 1.3 ล้านล้านบาท เงินเข้าสุทธิจากผู้ประกันตน คิดเป็น 100,000 ล้านบาทต่อปี และทำผลตอบแทนได้ 4,000-5,000 ลบ ต่อปี คิดเป็น return 6% ต่อปี ย้อนหลัง ค่อยกระจายไปลงทุนเพิ่มในหุ้นกู้ อสังหาริมทรัพย์ และ ลงทุนในต่างประเทศด้วย เนื่องจากเงินฝากเริ่มเสี่ยงขึ้น
ประกันสังคม เป็นแบบ Defined benefit เวลาเกษียณ ได้รับบำนาญ 3,000 บาท ต่อเดือนไป ตลอดชีวิต โดยคิดจากเงินเดือนเพดาน 15,000 บาท คูณ 20% ใครเริ่มทำงานตอนนี้เกษียณ ได้ 6,000 กว่าบาท คณะกรรมการไตรภาคี ประกอบไปด้วย ฝ่ายนายจ้าง รัฐบาล ลูกจ้าง ฝ่ายละ 5 คน วางpolicy 60% ลงในตราสารที่มีความมั่นคงสูง investment grade triple B ขึ้นไป ส่วนที่เหลือจะลงในตราสารที่เสี่ยงได้แก่หุ้น 10% ส่วนเงินฝาก ตอนนี้เป็นหลักทรัพย์เสี่ยงเพราะรัฐบาลไม่ได้คุ้มครองแล้ว ก็พยายามจะลดลง ปกติตราสารการเงินในต่างประเทศ นับทุกอย่างทั้งตราสารหนี้และหุ้นเสี่ยงหมด แต่ตอนนี้เริ่มแบ่งตามประเภทของตราสารแล้ว ไม่เหมารวมเหมือนแต่ก่อน การเข้าออกของเงิน มีหลายทาง ไม่ใช่ single gateway
ดร ไพบูลย์ กล่าวว่า การเลือกหุ้นจัดพอร์ตของคนธรรมดา ถามคุณ ประภาส
คุณประภาส พูดว่า เมืองไทยถือว่ายังเสี่ยงต่ำ เพราะลงทุนหุ้นน้อยกว่า ในต่างประเทศ
คนที่ลงทุนในหุ้น ส่วนใหญ่ ถ้าคิดว่าดี จะเทไปทางเดียว ซื้อเป็นตัวๆ SSO การกระจายหุ้นไปในหลากหลายกลุ่ม ธนาคาร สื่อสาร พาณิชย์
Fund manager ลงทุนในหุ้น เป็นจำนวน 20-50 ตัว มีทีมงานช่วยวิเคราะห์ แต่ประชาชนจะลงทุนเหมือนบลจค่อนข้างยาก เลือกหุ้นที่คุ้นเคย เป็นรอบๆไม่ได้กระจายไป
คนธรรมดา การลงทุนต้องการลงทุนกระจายเหมือนบลจ หรือตามอุตสาหกรรม บางครั้งถือหุ้นตัวเดียว 60%ของพอร์ต ถ้าถือผิดตัว ดัชนีรวมขึ้น 30% แต่ตัวหุ้นของเขาลง 70% เพราะหุ้นอยู่ในขาลง ดังนั้น การจัดพอร์ตการลงทุนมีความสำคัญมาก
ดร สมจินต์ กล่าวเป็นคนถัดไป ว่า การใช้วิธีการลงทุนของมืออาชีพมาใช้จัดพอร์ตส่วนบุคคลได้ การลงทุนมีหลักดังนี้
What to buy ซื้ออะไรดี
At What price ที่ราคาเท่าไหร่ดี
John Versally จาก Warlington ซึ่งเป็น Portfolio manager ของ Global quality growth fund กล่าวว่า การบริหารจัดการต้องทำให้เป็นระบบ
ตัวเขา เคยเป็น วิศวกร ปิโตรเคมี ดังนั้น จึงรู้ว่า การสร้างระบบจัดการความเสี่ยงมีความสำคัญสุด ต่อมาไปทำด้านบัญชีที่ Price Water House ทำให้รู้ถึง กำไรทางบัญชี และ การสร้างกระแสเงินสดของบริษัท เป็นคนละเรื่อง การสร้างกระแสเงินสดของบริษัท เป็นเรื่องสำคัญ นอกจากนี้ยังเคยเป็น Global analyst ชึ่งสอนให้เขารู้ว่า บริษัทดีเป็นอย่างไรอะไรเป็นตัวขับเคลื่อน
การเลือกหุ้นแบ่งออกเป็น
1. การคัดเลือกบริษัทที่มีคุณภาพ ดูจาก margin หมายถึงส่วนของกำไร เทียบกับต้นทุน หรือ Free cash flow margin ถ้ามีความเป็น cost leader ต้นทุนที่ดีกว่า มีกำไรเยอะ สามารถadd value ทำอะไรได้มาก มีความสามารถในการแข่งขัน แต่ถ้า การค้ากำไรเกินควร เกิดจากการผูกขาด เป็นการเอาเปรียบคนอื่น
ถ้ามีดีทั้งสองข้อ margin & growth เป็นตัวพยากรณ์ผลตอบแทนที่ดีที่สุด เป็นการ Back test ว่าเป็นอย่างที่คิดไหม
2. ดูการเติบโตของส่วนนี้ ดู cash flow growth ต้องมาจาก organic growth หรือ มาจากแกนธุรกิจจริง
3. ดูความคุ้มค่าของราคา cash flow valuation ดูความจริงใจของผู้บริหารในการจ่ายปันผลหรือซื้อหุ้นคืน
3 ปัจจัยที่ดู เอาบริษัทที่พลาดออกไปก่อน จาก 3,000 บริษัท คัดเหลือ 250 บริษัท ค่อยมาดูรายละเอียด ทำการศึกษาเชิงลึก หรือทำ financial model เพื่อเลือกหุ้นที่ดีที่สุด 70 บริษัท งบการเงินปรับทุก 3 เดือน บริษัทที่น่าสนใจลงทุน จะ overwieght สัก 1-2 % เป็นแนวความคิดคัดกรองหุ้น
เป็นความคิดพื้นฐานในการลงทุน สอดคล้องกับชื่อกองทุน Global quality growth ลงทุนทั่วโลก ดูความคุ้มค่าของราคาด้วย กองทุนประสบความสำเร็จอย่างมาก มี Alfa มากกว่า เฉลี่ย 3-4% MSCI world ปีนี้ถึงสค ได้ผลตอบแทน -3% ตัวเขาได้ 5% แสดงว่าค่า Alfa 8%
บริษัทที่ เก่งที่ระบบ ไม่พึ่งพาคน จะดีที่สุด จะมีความยั่งยืนกว่า
นอกเหนือจากการเลือกหุ้น นักลงทุนธรรมดา : การตัดสินใจลงทุน คือการแบ่งเงินออกมาเป็นกองทัพ กองหน้า กลาง หลัง หุ้น กี่% ต่อมา ดูที่ตราสารหนี้ กี่ % money market กี่%
การจัดพอร์ตมีผล92% ต่อผลตอบแทนมากกว่า การเลือกหุ้น บางครั้งอาจ under invest มีการลงทุนในหุ้นน้อยไปรอข้างนอกนานๆ และ กลับมาใหม่ ส่งผลให้เสียประโยชน์ได้
ดังนั้น การจัดสรรเงิน สำคัญกว่า การเลือกหุ้น หรือ การเข้าออก
ดร นิเวศน์ บอกว่า การเลือกภรรยา สำคัญที่สุด เป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากสุด ตัดสินใจพลาดก็เสร็จ ต้องตัดสินใจอย่างถ่องแท้
อจ เสน่ห์เสริมว่าของ ดร นิเวศน์ มีเส้นทางสองทางเหมือนกัน
What to wash จะซักล้างอะไร
What at what time จะซักเมื่อไหร่
ดร เสริม จานห้ามทิ้งไว้ กินเสร็จก็ล้างทันที คนล้างคือ CWO
อจ เสน่ห์ พูดว่า จำนวนประชากรชายไทยน้อยลง เพราะว่ามีกลุ่ม LGBT หมายถึง เลสเบียน ,เกรย์ ,Bisexual ,ทรานสเปนเดอร์ คาดการณ์ว่า 10% แล้วเป็นเพศที่ไม่มีลูก ทำให้ไม่มีผลผลิต ผู้ชายจะน้อยลง
ถาม ดร นิเวศน์ แนววีไอ ต้องกระจายหรือเปล่า คนต้องการประสบความสำเร็จ ทุ่มตัวเดียวใช้ margin
ดร ตอบว่า ต้องกระจายการลงทุน เก็บข้อมูล 19 ปี อัตราการถือหุ้น 100% มีเงินสดนิดเดียว น้อยมาก มีหนี้นิดหน่อย เอามาช่วยบริหาร
เวลาที่ผ่านไป ปีสองปี นี้มีเงินสด 20%-30% แต่ถ้าเป็นเงินภรรยา เอาออกมาไม่ได้ เป็น one way ลำบากจริงๆก็ขายหุ้น มีหุ้นใหญ่สุด 5 ตัว เท่ากับ เกือบ 70% จากทั้งหมด 10-20 ตัว หุ้นตัวเล็กไม่ค่อยมีค่าเท่าไหร่
วิธีการทำแบบนี้ได้ต้องมั่นใจหุ้น 5 ตัว
1. อนาคตระยะยาว ธุรกิจเติบโต ต้องดูเมกะเทรน เราต้องมีความมั่นใจสูง ไม่มีใครทำลายมันได้มีแต่ทำลายคนอื่น จริงๆเป็นตัวเดิมๆ ปล่อยไปเรื่อยๆ นอนหลับได้สบาย
แต่ถ้าลงทุนหุ้นน้อยตัว เช่น ตัวเดียว ถ้าพลาดแย่เลย
ถามตอบกับดร นิเวศน์
Q: คนลงทุนใหม่จะหา 5 ตัวนี้ได้ไหม
A: อาจจะหาไม่ได้ ผมยังเก็บเงินสด 20-30% ถ้าหาไม่ได้ รอไปก่อน
Q: สำหรับคนทั่วไป ยังทำงานด้วย คนทั่วไปเอากี่ตัวดี
A : เอาหุ้น 5 ตัว ถ้าหาไม่ได้ก็ไม่ได้ ที่ผ่านมา ผลตอบแทนที่ได้ โชคช่วยด้วย จริงๆกำไรของบริษัทโตแค่ 15%
อดีตที่ผ่านมากำไรโต 15% แต่ราคาหุ้นขึ้น 20% ขึ้นไป นาทีนี้ทำแบบเดิม ราคาขึ้นตามกำไรปีละ 10% ซึ่งต่ำกว่าเดิม
ถามว่าพอใจหรือเปล่า มันไม่ง่ายเหมือนเดิม แต่ถ้าทำใจว่าไม่สูงเหมือนเดิมได้
ถ้าต้องการผลตอบแทนเยอะ และ เก่งด้วย ก็ไปลงทุน ที่เวียดนาม มีหลายธุรกิจเช่น หุ้น PNJ เหมือนกับ หุ้น Jubilee
7-11 ที่ฟิลิปินส์ ตอนนี้สาขา 1,000 สาขาแล้ว ถ้าโตเหมือนไทย ก็น่าสนใจ เทียบกับไทยไม่โตมากแล้ว
ปัญหา คือ อาจเจอของปลอม บางบริษัทราคาลง 7 Floor หรือ บางบริษัทอาจไม่เหมือนในไทย
นานๆจะเจอสักตัวที่ดี
ถามคุณประภาส จริงๆแล้วการเลือก 5-7 ตัว คนธรรมดาไปใช้มืออาชีพดีไหม
คุณประภาส ตอบ ว่า ตลาดหุ้นเป็นที่รวมคนมีความรู้ เชี่ยวชาญ มีเวลา กองทุนที่บริหารจะถือหุ้นที่ยอดเยี่ยม เติบโตในระยะยาว
หุ้น 10 ตัว อาจกระจุกตัว 60% คนที่ไม่มีเวลา ไม่มีความรู้ ยิ่งอันตราย อาจขาดทุน 50% บางท่านถือ 150 บริษัท ส่วนใหญ่ติดหุ้น
การใช้กองทุนรวม เลือกได้หลายแบบ เช่น กองทุนหุ้น กองทุนตราสารหนี้
กองทุนหุ้น ผู้จัดการมี KPI เทียบกับ Set ว่าบริหารได้ดีกว่าไหม การจัดพอร์ต บางครั้งอาจไม่เหมือนดร นิเวศน์ เพราะตัววัดไม่เหมือนกัน ผลตอบแทนของนักลงทุนธรรมดา ปีนึงอาจจะแย่กว่า หรือ บางปีดีกว่า แต่ผู้จัดการลงทุน ต้องดีกว่าตลาดไม่งั้นตกงาน เช่น ถือ หุ้นค้าปลีกตัวนึง ไม่ขึ้นมา2ปี ถ้าถือไว้ผลตอนแทนก็แย่ แต่ของดร ถือได้ เพราะเน้นลงทุนระยะยาว
เราอาจเปิดกองทุน Private fund ลูกค้ามีเงินเยอะอยากลงทุนเฉพาะกิจ เช่น มีเงิน 100 ล้านบาท อยาก
ลงทุน 5-10 บริษัท สามารถทำได้ เราเลือกจากปรัชญาที่ชัดเจน ความเสี่ยงกระจุกตัว หรือ เลือกหุ้นแบบ Value
น่าจะเหมาะสม โดย เลือกบลจที่ดี ด้วยการทำการบ้านเปรียบเทียบผลตอบแทนระหว่างบลจ บางครั้งอาจลงทุนในต่างประเทศ ในภูมิภาคอาเซียน ก็จะมีความเสี่ยงในตัวบุคคลในต่างประเทศ ไทยยังมี CG Score ที่ดี และ ดีกว่า ต่างประเทศ แถบอาเซียน เคยไปดู ร้าน 7-11 ที่ฟิลิปปินส์ ขยายสาขาจาก 300 สาขา เป็น 1,000 สาขา ราคาหุ้นขึ้น มา 400%
ใน 2 ปี PE ratio ขึ้นมาเป็น 150 เท่าในปี 2013 ถ้าเรามีประสบการณ์ และ มีความรู้ ก็สามารถไปลงทุนได้
ถามคุณวิน สมมติ ว่า รปภ ถูก Lottery 30 ล้านบาท ต้องการให้บริหาร จะแนะนำอย่างไร
คุณวิน ตอบ ว่า ต้องจัดพอร์ตก่อน ตามอายุ ถ้าอายุเยอะ ก็ลงหุ้นน้อยหน่อย อายุน้อย ก็ลงในหุ้น เยอะได้
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ คนอายุน้อย เลือกตราสารหนี้เยอะ อายุเยอะ เลือกหุ้นเยอะ เพราะรู้เรื่องเยอะ
ซึ่งเป็นการจัดพอร์ตที่ผิด ตรงกันข้ามกับ ในต่างประเทศ
ถ้าอายุน้อย มีหุ้น 40 -50% ได้ return 10% สิ่งสำคัญ ต้องเก็บเงินให้เป็น
การจัดพอร์ตแบบ ดร นิเวศน์ 5 ตัว เป็นการวิเคราะห์เชิงลึก
ตอนอยู่ประกันสังคม มี เจ้าหน้าที่การลงทุนรวม 8 คน เพื่อเลือกหุ้นจาก set 100 ให้เหลือ 50 ตัว ต้องดูตลอดเวลา ใช้เวลาเยอะ
รายย่อยไม่มีเวลา อาจไม่สามารถซื้อหุ้นเยอะ 5ตัวกำลังดี
ถ้าเราเอาหุ้นมารวมกันในพอร์ตตั้งแต่ 35 ตัว จะไม่ได้ผลตอบแทนที่พิเศษ
ตอนจะออกจากประกันสังคม ถือหุ้น 50 ตัว ต้องจัดล่วงหน้ามองระยะยาวเป็น 10 ปีเลย ถ้าลงทุนตาม benmark จะเหวี่ยงเยอะ ลดการลงทุนในกลุ่มน้ำมัน
เราลงทุนได้กำไรมากกว่าตลาด 2-3% ดังนั้น ถ้าหุ้นพลังงานขึ้น เราจะแพ้
ตอนนี้อยู่ CIMB พลังงาน ธนาคาร ก็ไม่รอด สื่อสารก็โดนข่าว ต้นปี ทีมงานทำให้พอร์ตของลูกค้าปลอดภัย เลยลด
กลุ่มพลังงานลง เพิ่มกลุ่ม Defensive และ รับเหมาก่อสร้าง ตลาดลงไป 8% กองเราเป็นบวก และ ติดอันดับ 1-2
วิธีการยาก งานใช้เวลา เราทุ่มเทมาก ผู้จัดการหุ้น 4 คน visit 80-90 ตัว ปีละ2 ครั้ง ถ้าเป็นคนธรรมดาถามว่าเราจะมีเวลาไปvisit บริษัทปีละ 2 ครั้งหรือเปล่า
ถ้าอยากให้เงินโต 8% ต่อปี ต้องลงหุ้นเยอะ ถ้าเพิ่งลงทุน ก็ลงหุ้นไม่เกิน 10% ก็จะได้ผลตอบแทน 4%
ดร สมจินต์ ได้ทำบันทึกผลตอบแทนของ Asset allocation ย้อนหลัง 16 ปี ดังนี้
1. ลงทุนหุ้น 15% พันธบัตรรัฐบาล 85% ได้ผลตอบแทน 6%
ต่อมา ก็เพิ่มหุ้นเป็น 30% ได้ผลตอบแทนเป็น8%
ถ้าเพิ่มหุ้นเป็น 60% ได้ผลตอบแทนเป็น 10%
แต่ถ้าหุ้นเป็น 100% ก็จะได้ผลตอบแทนเป็น 12%
นี่เป็น record ในเวลา 16 ปีที่ผ่านมา
แต่ในอนาคต 16 ปีข้างหน้า ผลตอบแทน อาจไม่ได้เยอะเท่านี้ หุ้น 15% อาจได้ผลตอบแทน แค่ 4-6% เท่านั้น
ถ้าลงทุนในหุ้น15% จะเจอติดลบในปีเดียว ปีที่เหลือเป็นบวก เป็นการลงทุนที่ดี
แนะนำโดยทั่วไป stock 60% พันธบัตร 40% ลงทุนระยะยาว สัก 10ปี ขึ้นไป หรือ หนึ่งวงจรธุรกิจ 5-7 ปีขึ้นไป
คนทั่วไป Vanguard ซึ่งทำทางด้าน financial literacy วิจัยว่า ช่วงวัยเกษียณของชาวอเมริกา ควรมีหุ้นสัก 30%
ถ้าลงทุน หุ้น 30% จะได้ประมาณ 5% และ ค่อยๆใช้เงิน หยิบมาใช้จ่ายซัก 4-5% ก็จะอยู่ได้20ปี ไม่กินเงินต้น
ถ้าไม่อยากขาดทุนใน1ปี หรือ ขาดทุนน้อยมาก ควรมีหุ้นสัก 15% port ระยะยาว หุ้นประมาณ 30%
คนมีเงินก้อน ไปคุยกับผู้จัดการกองทุน เพื่อคุยเรื่อง Private fund ทำความเข้าใจผลตอบแทนระยะยาวรวมความเสี่ยง
คนที่มีสัก 30 ล้านบาทสามารถไปคุยเรื่อง Private fund ได้
คนที่ลงทุนแบบดร นิเวศน์ ต้องทุ่มเทเหมือน อจ อาจมีบางกลุ่มทำได้ ถ้าบางคนทำไม่ได้ ไปใช้บริการกับบลจ ดีกว่า
เราอาจไม่จำเป็นต้องได้ผลตอบแทนกระโดดเป็น 100% แต่ถ้าได้ 8-10% ต่อปี อย่างสม่ำเสมอ ลงทุนเริ่มต้น 5,000 บาทตั้งแต่ทำงานใหม่ๆ และ เพิ่มเงินในการลงทุนปีละ 5% จะได้ 29.8 ล้านบาทตอนเกษียณ แต่ target 15 ล้านบาทไม่ใช่เรื่องยาก
ดร นิเวศน์ เสริมว่า เขาลงทุนหุ้น 20 ตัว โดย 5ตัวแรก อันดับ5 อาจสลับไปมากับอันดับรองๆ และคิดเป็น 70% ของพอร์ต
อจ เสน่ห์ การเลือกหุ้นไม่ใช่ง่าย ช่วงนี้ เทศกาลเจ จะเลือก หุ้นธนาคารที่เป็นเจ เช่น หุ้นรวงข้าว กสิกรไทย ใบโพธิ์ บัวหลวง ก็ง่าย ถ้า ทหารไทย วายุภัทค์ ก็เป็นชอ
ดร ไพบูลย์ เสริม คนทั่วไป ไม่สามารถแนะนำให้ทำได้เหมือน ดร นิเวศน์ และ ดร ไพบูลย์ ไม่แนะนำให้ลงทุนแบบผม ไม่แนะนำพี่สาวซึ่งเกษียณ ลงทุนในหุ้น ซื้อกองทุนได้ บุคคลธรรมดาที่ไม่สามารถบอกได้ว่า PTT , PTTEP , PTTGC แตกต่างกันอย่างไร เลือกหุ้นเองไม่ได้ ทำได้โดย ซื้อกองทุน หรือ ฝึกลูกหลานขึ้นมาเลือกหุ้น แต่ ลูกหลานที่ไปเรียนหมอ แล้วลงทุนเลือกหุ้น ส่งไปเรียนหมอทำไม ไม่เห็นด้วย ควรคืนประโยชน์ให้ชาติก่อนสัก 5-10 ปี ค่อยมาเล่นหุ้น คนที่ไปฟังดร นิเวศน์ สามารถลงทุนในหุ้นได้ แต่คนโดยรวมทั้งแผ่นดิน แบ่งสรรเงิน มาลงทุนได้ผลตอบแทน 6% ก็พอ ถ้าลูกหลานลงทุนหุ้นได้ ก็ให้ทำไป
พูดถึง อจ เสน่ห์ อยู่ใกล้ ดร นิเวศน์ และ ดร ไพบูลย์ แต่ถือหุ้นไม่เกิน 10% ไม่กล้าซื้อหุ้น ซื้อแค่กองทุนรวม คนเราไม่เหมือนกัน ความคิดอ่านไม่เหมือนกัน ต้องคิดไตร่ตรอง
อจ เสน่ห์ กล่าวเสริม ต้องเรียนรู้จากคนล้มเหลวบ้าง อดทนมานั่งฟัง 10กว่าปี ฟังแต่คนประสบความสำเร็จ ฟังคนที่เจ๊งบ้าง ต้องมีคนเสียสละ ทุกอย่างมีได้ ก็มีเสีย คนถูก Lottery สามสิบล้านบาท แต่ครอบครัวแตกแยกกัน
เงินผ่านมาและผ่านไป เราควรต้องมี
1. ลงทุนกับลูก แบ่งเงินมาให้กับการศึกษาของลูก
2. จัดสรรส่วนนึงไว้เป็นการบริจาคด้วย อย่าให้เข้าทางเดียว ให้ออกไปบ้าง แบ่งปันให้กับคนอื่นด้วย
3. เราเห็นคนเก่ง ประสบความสำเร็จ ขอให้ชื่มชมกับเขา เราอยากมีเงินทองแบบเขา เราต้องประเมิน ว่าเราสามารถทำได้แบบนั้นหรือเปล่า เราไม่เคยรู้ว่า อีกด้านของผู้ประสบความสำเร็จ เช่น นายก มีด้านทุกข์ขนาดไหน เราไม่เหมาะเป็นนายก หรือ เป็นนักลงทุนแบบดร นิเวศน์ เรายอมรับเเรงเบียด ขาดทุนได้ไหม เอาที่เหมาะกับเรา เผื่อขาด เผื่อเหลือด้วย เราต้องวางแผนให้ดี
สุดท้าย ขอขอบคุณวิทยากรทุกท่าน และ ขอบคุณ ดร ไพบูลย์ อจ เสน่ห์ มาณ ที่นี้ด้วยครับ
1) ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ (บลจ.ทหารไทย)
เป็น อาจารย์ที่นิด้ามาก่อน และ เคยเป็น นายกสมาคม บริษัทหลักทรัพย์จัดการการลงทุน (บลจ)
2) คุณวิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน (บลจ. CIMB Principal)
เคย ดูแล ประกันสังคมมาเป็นเวลา 13.5 ปี เงินเดือนน้อย แต่ความรับผิดชอบสูง พึ่งออกมาทำงานที่ บลจ CIMB Principal
3) คุณประภาส ตันพิบูลศักดิ์ ผู้เชี่ยวชาญการบริหารเงินลงทุน
กำลังจะตั้งบลจ มีคุณ ฉัตรรพี คุณ โชติกา มาร่วมด้วย ชื่อของบลจใหม่ คือ บลจ ทาลิส TALIST เป็นภาษาลาตินแปลว่า Excellent
4) ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เชี่ยวชาญการลงทุน
มีตำแหน่งเป็น CWO ( Chief Washing Officer ) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายซักล้าง มีตำแหน่งไว้เผื่อขอวีซ่า
มีผลงานมากมาย เป็นต้นตำรับ นักลงทุนเน้นคุณค่า เป็นปูชนียจารย์ เป็นการผสมกันระหว่างปูบางขณะ และ ชนี บางครั้ง ดูแลการล้างจาน คือที่มาของ CWO
ดร ไพบูลย์ เสริม เข้าร้านซีเอ็ด ถามหาหนังสือ ว่ามีชื่อ หนังสือ วิธีปราบเมีย ไหม เจ้าหน้าที่จำอาจารย์ได้ และ ตอบว่า มีคะ แต่อยู่ในชั้นนวนิยาย เพ้อฝัน ควรซื้อ หนังสือคู่กัน คือ ตายแล้วไปไหน
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ. เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ
เข้ารายการหัวข้อ เลือกหุ้นจัดพอร์ตแบบมืออาชีพ
อาจารย์ เสน๋ห์ พูดถึง มืออาชีพใช้ความรู้ความสามารถและใช้ข้อมูล
คุณวิน มืออาชีพ เคยบริหารกองทุนให้กับประกันสังคม
คุณประภาส กำลังจัดตั้ง บลจ ทาลีส
ดร สมจินต์ ก็ดูแลกองทุนของ บลจ ทหารไทย
Expert หมายถึง ผู้เชี่ยวชาญ ไม่ไปไหน อยู่ตรงนั้นทำจนเชี่ยวชาย แต่ มืออาชีพด้านต่างๆ โดย อาศัยประสบการณ์
เช่น ดร นิเวศน์ เป็น expert แต่วันนี้ทำให้เข้าสู่มืออาชีพ สามารถใช้มือถือแปลงอะไรก็ได้ แป้งทาหน้า ที่มีคนให้มา ออกแบบเหมือนไอโฟน โทรศัพท์มือถือ เอามาทาหน้าได้
ผู้เชี่ยวชาญแบบมืออาชีพสามารถปรับเปลี่ยนได้ การแบ่งสรรหุ้นอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นงานสำคัญมาก เอาไปตรอง คิดและประกอบ อาจทำให้ปีหน้า ประสบความสำเร็จได้
คุณวิน : ตอนที่รับผิดชอบ เงินจาก 100,000 ล้านบาท เมื่อ 13 ปีก่อน แบ่งทรัพย์สินเป็น 50% เงินฝาก และ 50% พันธบัตรรัฐบาล เริ่มกระจายการลงทุน ค่อยๆจัดพอร์ต ตอนออกจากประกันสังคม เงินที่รับผิดชอบบริหารคิดเป็นเงินทุน 1.3 ล้านล้านบาท เงินเข้าสุทธิจากผู้ประกันตน คิดเป็น 100,000 ล้านบาทต่อปี และทำผลตอบแทนได้ 4,000-5,000 ลบ ต่อปี คิดเป็น return 6% ต่อปี ย้อนหลัง ค่อยกระจายไปลงทุนเพิ่มในหุ้นกู้ อสังหาริมทรัพย์ และ ลงทุนในต่างประเทศด้วย เนื่องจากเงินฝากเริ่มเสี่ยงขึ้น
ประกันสังคม เป็นแบบ Defined benefit เวลาเกษียณ ได้รับบำนาญ 3,000 บาท ต่อเดือนไป ตลอดชีวิต โดยคิดจากเงินเดือนเพดาน 15,000 บาท คูณ 20% ใครเริ่มทำงานตอนนี้เกษียณ ได้ 6,000 กว่าบาท คณะกรรมการไตรภาคี ประกอบไปด้วย ฝ่ายนายจ้าง รัฐบาล ลูกจ้าง ฝ่ายละ 5 คน วางpolicy 60% ลงในตราสารที่มีความมั่นคงสูง investment grade triple B ขึ้นไป ส่วนที่เหลือจะลงในตราสารที่เสี่ยงได้แก่หุ้น 10% ส่วนเงินฝาก ตอนนี้เป็นหลักทรัพย์เสี่ยงเพราะรัฐบาลไม่ได้คุ้มครองแล้ว ก็พยายามจะลดลง ปกติตราสารการเงินในต่างประเทศ นับทุกอย่างทั้งตราสารหนี้และหุ้นเสี่ยงหมด แต่ตอนนี้เริ่มแบ่งตามประเภทของตราสารแล้ว ไม่เหมารวมเหมือนแต่ก่อน การเข้าออกของเงิน มีหลายทาง ไม่ใช่ single gateway
ดร ไพบูลย์ กล่าวว่า การเลือกหุ้นจัดพอร์ตของคนธรรมดา ถามคุณ ประภาส
คุณประภาส พูดว่า เมืองไทยถือว่ายังเสี่ยงต่ำ เพราะลงทุนหุ้นน้อยกว่า ในต่างประเทศ
คนที่ลงทุนในหุ้น ส่วนใหญ่ ถ้าคิดว่าดี จะเทไปทางเดียว ซื้อเป็นตัวๆ SSO การกระจายหุ้นไปในหลากหลายกลุ่ม ธนาคาร สื่อสาร พาณิชย์
Fund manager ลงทุนในหุ้น เป็นจำนวน 20-50 ตัว มีทีมงานช่วยวิเคราะห์ แต่ประชาชนจะลงทุนเหมือนบลจค่อนข้างยาก เลือกหุ้นที่คุ้นเคย เป็นรอบๆไม่ได้กระจายไป
คนธรรมดา การลงทุนต้องการลงทุนกระจายเหมือนบลจ หรือตามอุตสาหกรรม บางครั้งถือหุ้นตัวเดียว 60%ของพอร์ต ถ้าถือผิดตัว ดัชนีรวมขึ้น 30% แต่ตัวหุ้นของเขาลง 70% เพราะหุ้นอยู่ในขาลง ดังนั้น การจัดพอร์ตการลงทุนมีความสำคัญมาก
ดร สมจินต์ กล่าวเป็นคนถัดไป ว่า การใช้วิธีการลงทุนของมืออาชีพมาใช้จัดพอร์ตส่วนบุคคลได้ การลงทุนมีหลักดังนี้
What to buy ซื้ออะไรดี
At What price ที่ราคาเท่าไหร่ดี
John Versally จาก Warlington ซึ่งเป็น Portfolio manager ของ Global quality growth fund กล่าวว่า การบริหารจัดการต้องทำให้เป็นระบบ
ตัวเขา เคยเป็น วิศวกร ปิโตรเคมี ดังนั้น จึงรู้ว่า การสร้างระบบจัดการความเสี่ยงมีความสำคัญสุด ต่อมาไปทำด้านบัญชีที่ Price Water House ทำให้รู้ถึง กำไรทางบัญชี และ การสร้างกระแสเงินสดของบริษัท เป็นคนละเรื่อง การสร้างกระแสเงินสดของบริษัท เป็นเรื่องสำคัญ นอกจากนี้ยังเคยเป็น Global analyst ชึ่งสอนให้เขารู้ว่า บริษัทดีเป็นอย่างไรอะไรเป็นตัวขับเคลื่อน
การเลือกหุ้นแบ่งออกเป็น
1. การคัดเลือกบริษัทที่มีคุณภาพ ดูจาก margin หมายถึงส่วนของกำไร เทียบกับต้นทุน หรือ Free cash flow margin ถ้ามีความเป็น cost leader ต้นทุนที่ดีกว่า มีกำไรเยอะ สามารถadd value ทำอะไรได้มาก มีความสามารถในการแข่งขัน แต่ถ้า การค้ากำไรเกินควร เกิดจากการผูกขาด เป็นการเอาเปรียบคนอื่น
ถ้ามีดีทั้งสองข้อ margin & growth เป็นตัวพยากรณ์ผลตอบแทนที่ดีที่สุด เป็นการ Back test ว่าเป็นอย่างที่คิดไหม
2. ดูการเติบโตของส่วนนี้ ดู cash flow growth ต้องมาจาก organic growth หรือ มาจากแกนธุรกิจจริง
3. ดูความคุ้มค่าของราคา cash flow valuation ดูความจริงใจของผู้บริหารในการจ่ายปันผลหรือซื้อหุ้นคืน
3 ปัจจัยที่ดู เอาบริษัทที่พลาดออกไปก่อน จาก 3,000 บริษัท คัดเหลือ 250 บริษัท ค่อยมาดูรายละเอียด ทำการศึกษาเชิงลึก หรือทำ financial model เพื่อเลือกหุ้นที่ดีที่สุด 70 บริษัท งบการเงินปรับทุก 3 เดือน บริษัทที่น่าสนใจลงทุน จะ overwieght สัก 1-2 % เป็นแนวความคิดคัดกรองหุ้น
เป็นความคิดพื้นฐานในการลงทุน สอดคล้องกับชื่อกองทุน Global quality growth ลงทุนทั่วโลก ดูความคุ้มค่าของราคาด้วย กองทุนประสบความสำเร็จอย่างมาก มี Alfa มากกว่า เฉลี่ย 3-4% MSCI world ปีนี้ถึงสค ได้ผลตอบแทน -3% ตัวเขาได้ 5% แสดงว่าค่า Alfa 8%
บริษัทที่ เก่งที่ระบบ ไม่พึ่งพาคน จะดีที่สุด จะมีความยั่งยืนกว่า
นอกเหนือจากการเลือกหุ้น นักลงทุนธรรมดา : การตัดสินใจลงทุน คือการแบ่งเงินออกมาเป็นกองทัพ กองหน้า กลาง หลัง หุ้น กี่% ต่อมา ดูที่ตราสารหนี้ กี่ % money market กี่%
การจัดพอร์ตมีผล92% ต่อผลตอบแทนมากกว่า การเลือกหุ้น บางครั้งอาจ under invest มีการลงทุนในหุ้นน้อยไปรอข้างนอกนานๆ และ กลับมาใหม่ ส่งผลให้เสียประโยชน์ได้
ดังนั้น การจัดสรรเงิน สำคัญกว่า การเลือกหุ้น หรือ การเข้าออก
ดร นิเวศน์ บอกว่า การเลือกภรรยา สำคัญที่สุด เป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากสุด ตัดสินใจพลาดก็เสร็จ ต้องตัดสินใจอย่างถ่องแท้
อจ เสน่ห์เสริมว่าของ ดร นิเวศน์ มีเส้นทางสองทางเหมือนกัน
What to wash จะซักล้างอะไร
What at what time จะซักเมื่อไหร่
ดร เสริม จานห้ามทิ้งไว้ กินเสร็จก็ล้างทันที คนล้างคือ CWO
อจ เสน่ห์ พูดว่า จำนวนประชากรชายไทยน้อยลง เพราะว่ามีกลุ่ม LGBT หมายถึง เลสเบียน ,เกรย์ ,Bisexual ,ทรานสเปนเดอร์ คาดการณ์ว่า 10% แล้วเป็นเพศที่ไม่มีลูก ทำให้ไม่มีผลผลิต ผู้ชายจะน้อยลง
ถาม ดร นิเวศน์ แนววีไอ ต้องกระจายหรือเปล่า คนต้องการประสบความสำเร็จ ทุ่มตัวเดียวใช้ margin
ดร ตอบว่า ต้องกระจายการลงทุน เก็บข้อมูล 19 ปี อัตราการถือหุ้น 100% มีเงินสดนิดเดียว น้อยมาก มีหนี้นิดหน่อย เอามาช่วยบริหาร
เวลาที่ผ่านไป ปีสองปี นี้มีเงินสด 20%-30% แต่ถ้าเป็นเงินภรรยา เอาออกมาไม่ได้ เป็น one way ลำบากจริงๆก็ขายหุ้น มีหุ้นใหญ่สุด 5 ตัว เท่ากับ เกือบ 70% จากทั้งหมด 10-20 ตัว หุ้นตัวเล็กไม่ค่อยมีค่าเท่าไหร่
วิธีการทำแบบนี้ได้ต้องมั่นใจหุ้น 5 ตัว
1. อนาคตระยะยาว ธุรกิจเติบโต ต้องดูเมกะเทรน เราต้องมีความมั่นใจสูง ไม่มีใครทำลายมันได้มีแต่ทำลายคนอื่น จริงๆเป็นตัวเดิมๆ ปล่อยไปเรื่อยๆ นอนหลับได้สบาย
แต่ถ้าลงทุนหุ้นน้อยตัว เช่น ตัวเดียว ถ้าพลาดแย่เลย
ถามตอบกับดร นิเวศน์
Q: คนลงทุนใหม่จะหา 5 ตัวนี้ได้ไหม
A: อาจจะหาไม่ได้ ผมยังเก็บเงินสด 20-30% ถ้าหาไม่ได้ รอไปก่อน
Q: สำหรับคนทั่วไป ยังทำงานด้วย คนทั่วไปเอากี่ตัวดี
A : เอาหุ้น 5 ตัว ถ้าหาไม่ได้ก็ไม่ได้ ที่ผ่านมา ผลตอบแทนที่ได้ โชคช่วยด้วย จริงๆกำไรของบริษัทโตแค่ 15%
อดีตที่ผ่านมากำไรโต 15% แต่ราคาหุ้นขึ้น 20% ขึ้นไป นาทีนี้ทำแบบเดิม ราคาขึ้นตามกำไรปีละ 10% ซึ่งต่ำกว่าเดิม
ถามว่าพอใจหรือเปล่า มันไม่ง่ายเหมือนเดิม แต่ถ้าทำใจว่าไม่สูงเหมือนเดิมได้
ถ้าต้องการผลตอบแทนเยอะ และ เก่งด้วย ก็ไปลงทุน ที่เวียดนาม มีหลายธุรกิจเช่น หุ้น PNJ เหมือนกับ หุ้น Jubilee
7-11 ที่ฟิลิปินส์ ตอนนี้สาขา 1,000 สาขาแล้ว ถ้าโตเหมือนไทย ก็น่าสนใจ เทียบกับไทยไม่โตมากแล้ว
ปัญหา คือ อาจเจอของปลอม บางบริษัทราคาลง 7 Floor หรือ บางบริษัทอาจไม่เหมือนในไทย
นานๆจะเจอสักตัวที่ดี
ถามคุณประภาส จริงๆแล้วการเลือก 5-7 ตัว คนธรรมดาไปใช้มืออาชีพดีไหม
คุณประภาส ตอบ ว่า ตลาดหุ้นเป็นที่รวมคนมีความรู้ เชี่ยวชาญ มีเวลา กองทุนที่บริหารจะถือหุ้นที่ยอดเยี่ยม เติบโตในระยะยาว
หุ้น 10 ตัว อาจกระจุกตัว 60% คนที่ไม่มีเวลา ไม่มีความรู้ ยิ่งอันตราย อาจขาดทุน 50% บางท่านถือ 150 บริษัท ส่วนใหญ่ติดหุ้น
การใช้กองทุนรวม เลือกได้หลายแบบ เช่น กองทุนหุ้น กองทุนตราสารหนี้
กองทุนหุ้น ผู้จัดการมี KPI เทียบกับ Set ว่าบริหารได้ดีกว่าไหม การจัดพอร์ต บางครั้งอาจไม่เหมือนดร นิเวศน์ เพราะตัววัดไม่เหมือนกัน ผลตอบแทนของนักลงทุนธรรมดา ปีนึงอาจจะแย่กว่า หรือ บางปีดีกว่า แต่ผู้จัดการลงทุน ต้องดีกว่าตลาดไม่งั้นตกงาน เช่น ถือ หุ้นค้าปลีกตัวนึง ไม่ขึ้นมา2ปี ถ้าถือไว้ผลตอนแทนก็แย่ แต่ของดร ถือได้ เพราะเน้นลงทุนระยะยาว
เราอาจเปิดกองทุน Private fund ลูกค้ามีเงินเยอะอยากลงทุนเฉพาะกิจ เช่น มีเงิน 100 ล้านบาท อยาก
ลงทุน 5-10 บริษัท สามารถทำได้ เราเลือกจากปรัชญาที่ชัดเจน ความเสี่ยงกระจุกตัว หรือ เลือกหุ้นแบบ Value
น่าจะเหมาะสม โดย เลือกบลจที่ดี ด้วยการทำการบ้านเปรียบเทียบผลตอบแทนระหว่างบลจ บางครั้งอาจลงทุนในต่างประเทศ ในภูมิภาคอาเซียน ก็จะมีความเสี่ยงในตัวบุคคลในต่างประเทศ ไทยยังมี CG Score ที่ดี และ ดีกว่า ต่างประเทศ แถบอาเซียน เคยไปดู ร้าน 7-11 ที่ฟิลิปปินส์ ขยายสาขาจาก 300 สาขา เป็น 1,000 สาขา ราคาหุ้นขึ้น มา 400%
ใน 2 ปี PE ratio ขึ้นมาเป็น 150 เท่าในปี 2013 ถ้าเรามีประสบการณ์ และ มีความรู้ ก็สามารถไปลงทุนได้
ถามคุณวิน สมมติ ว่า รปภ ถูก Lottery 30 ล้านบาท ต้องการให้บริหาร จะแนะนำอย่างไร
คุณวิน ตอบ ว่า ต้องจัดพอร์ตก่อน ตามอายุ ถ้าอายุเยอะ ก็ลงหุ้นน้อยหน่อย อายุน้อย ก็ลงในหุ้น เยอะได้
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ คนอายุน้อย เลือกตราสารหนี้เยอะ อายุเยอะ เลือกหุ้นเยอะ เพราะรู้เรื่องเยอะ
ซึ่งเป็นการจัดพอร์ตที่ผิด ตรงกันข้ามกับ ในต่างประเทศ
ถ้าอายุน้อย มีหุ้น 40 -50% ได้ return 10% สิ่งสำคัญ ต้องเก็บเงินให้เป็น
การจัดพอร์ตแบบ ดร นิเวศน์ 5 ตัว เป็นการวิเคราะห์เชิงลึก
ตอนอยู่ประกันสังคม มี เจ้าหน้าที่การลงทุนรวม 8 คน เพื่อเลือกหุ้นจาก set 100 ให้เหลือ 50 ตัว ต้องดูตลอดเวลา ใช้เวลาเยอะ
รายย่อยไม่มีเวลา อาจไม่สามารถซื้อหุ้นเยอะ 5ตัวกำลังดี
ถ้าเราเอาหุ้นมารวมกันในพอร์ตตั้งแต่ 35 ตัว จะไม่ได้ผลตอบแทนที่พิเศษ
ตอนจะออกจากประกันสังคม ถือหุ้น 50 ตัว ต้องจัดล่วงหน้ามองระยะยาวเป็น 10 ปีเลย ถ้าลงทุนตาม benmark จะเหวี่ยงเยอะ ลดการลงทุนในกลุ่มน้ำมัน
เราลงทุนได้กำไรมากกว่าตลาด 2-3% ดังนั้น ถ้าหุ้นพลังงานขึ้น เราจะแพ้
ตอนนี้อยู่ CIMB พลังงาน ธนาคาร ก็ไม่รอด สื่อสารก็โดนข่าว ต้นปี ทีมงานทำให้พอร์ตของลูกค้าปลอดภัย เลยลด
กลุ่มพลังงานลง เพิ่มกลุ่ม Defensive และ รับเหมาก่อสร้าง ตลาดลงไป 8% กองเราเป็นบวก และ ติดอันดับ 1-2
วิธีการยาก งานใช้เวลา เราทุ่มเทมาก ผู้จัดการหุ้น 4 คน visit 80-90 ตัว ปีละ2 ครั้ง ถ้าเป็นคนธรรมดาถามว่าเราจะมีเวลาไปvisit บริษัทปีละ 2 ครั้งหรือเปล่า
ถ้าอยากให้เงินโต 8% ต่อปี ต้องลงหุ้นเยอะ ถ้าเพิ่งลงทุน ก็ลงหุ้นไม่เกิน 10% ก็จะได้ผลตอบแทน 4%
ดร สมจินต์ ได้ทำบันทึกผลตอบแทนของ Asset allocation ย้อนหลัง 16 ปี ดังนี้
1. ลงทุนหุ้น 15% พันธบัตรรัฐบาล 85% ได้ผลตอบแทน 6%
ต่อมา ก็เพิ่มหุ้นเป็น 30% ได้ผลตอบแทนเป็น8%
ถ้าเพิ่มหุ้นเป็น 60% ได้ผลตอบแทนเป็น 10%
แต่ถ้าหุ้นเป็น 100% ก็จะได้ผลตอบแทนเป็น 12%
นี่เป็น record ในเวลา 16 ปีที่ผ่านมา
แต่ในอนาคต 16 ปีข้างหน้า ผลตอบแทน อาจไม่ได้เยอะเท่านี้ หุ้น 15% อาจได้ผลตอบแทน แค่ 4-6% เท่านั้น
ถ้าลงทุนในหุ้น15% จะเจอติดลบในปีเดียว ปีที่เหลือเป็นบวก เป็นการลงทุนที่ดี
แนะนำโดยทั่วไป stock 60% พันธบัตร 40% ลงทุนระยะยาว สัก 10ปี ขึ้นไป หรือ หนึ่งวงจรธุรกิจ 5-7 ปีขึ้นไป
คนทั่วไป Vanguard ซึ่งทำทางด้าน financial literacy วิจัยว่า ช่วงวัยเกษียณของชาวอเมริกา ควรมีหุ้นสัก 30%
ถ้าลงทุน หุ้น 30% จะได้ประมาณ 5% และ ค่อยๆใช้เงิน หยิบมาใช้จ่ายซัก 4-5% ก็จะอยู่ได้20ปี ไม่กินเงินต้น
ถ้าไม่อยากขาดทุนใน1ปี หรือ ขาดทุนน้อยมาก ควรมีหุ้นสัก 15% port ระยะยาว หุ้นประมาณ 30%
คนมีเงินก้อน ไปคุยกับผู้จัดการกองทุน เพื่อคุยเรื่อง Private fund ทำความเข้าใจผลตอบแทนระยะยาวรวมความเสี่ยง
คนที่มีสัก 30 ล้านบาทสามารถไปคุยเรื่อง Private fund ได้
คนที่ลงทุนแบบดร นิเวศน์ ต้องทุ่มเทเหมือน อจ อาจมีบางกลุ่มทำได้ ถ้าบางคนทำไม่ได้ ไปใช้บริการกับบลจ ดีกว่า
เราอาจไม่จำเป็นต้องได้ผลตอบแทนกระโดดเป็น 100% แต่ถ้าได้ 8-10% ต่อปี อย่างสม่ำเสมอ ลงทุนเริ่มต้น 5,000 บาทตั้งแต่ทำงานใหม่ๆ และ เพิ่มเงินในการลงทุนปีละ 5% จะได้ 29.8 ล้านบาทตอนเกษียณ แต่ target 15 ล้านบาทไม่ใช่เรื่องยาก
ดร นิเวศน์ เสริมว่า เขาลงทุนหุ้น 20 ตัว โดย 5ตัวแรก อันดับ5 อาจสลับไปมากับอันดับรองๆ และคิดเป็น 70% ของพอร์ต
อจ เสน่ห์ การเลือกหุ้นไม่ใช่ง่าย ช่วงนี้ เทศกาลเจ จะเลือก หุ้นธนาคารที่เป็นเจ เช่น หุ้นรวงข้าว กสิกรไทย ใบโพธิ์ บัวหลวง ก็ง่าย ถ้า ทหารไทย วายุภัทค์ ก็เป็นชอ
ดร ไพบูลย์ เสริม คนทั่วไป ไม่สามารถแนะนำให้ทำได้เหมือน ดร นิเวศน์ และ ดร ไพบูลย์ ไม่แนะนำให้ลงทุนแบบผม ไม่แนะนำพี่สาวซึ่งเกษียณ ลงทุนในหุ้น ซื้อกองทุนได้ บุคคลธรรมดาที่ไม่สามารถบอกได้ว่า PTT , PTTEP , PTTGC แตกต่างกันอย่างไร เลือกหุ้นเองไม่ได้ ทำได้โดย ซื้อกองทุน หรือ ฝึกลูกหลานขึ้นมาเลือกหุ้น แต่ ลูกหลานที่ไปเรียนหมอ แล้วลงทุนเลือกหุ้น ส่งไปเรียนหมอทำไม ไม่เห็นด้วย ควรคืนประโยชน์ให้ชาติก่อนสัก 5-10 ปี ค่อยมาเล่นหุ้น คนที่ไปฟังดร นิเวศน์ สามารถลงทุนในหุ้นได้ แต่คนโดยรวมทั้งแผ่นดิน แบ่งสรรเงิน มาลงทุนได้ผลตอบแทน 6% ก็พอ ถ้าลูกหลานลงทุนหุ้นได้ ก็ให้ทำไป
พูดถึง อจ เสน่ห์ อยู่ใกล้ ดร นิเวศน์ และ ดร ไพบูลย์ แต่ถือหุ้นไม่เกิน 10% ไม่กล้าซื้อหุ้น ซื้อแค่กองทุนรวม คนเราไม่เหมือนกัน ความคิดอ่านไม่เหมือนกัน ต้องคิดไตร่ตรอง
อจ เสน่ห์ กล่าวเสริม ต้องเรียนรู้จากคนล้มเหลวบ้าง อดทนมานั่งฟัง 10กว่าปี ฟังแต่คนประสบความสำเร็จ ฟังคนที่เจ๊งบ้าง ต้องมีคนเสียสละ ทุกอย่างมีได้ ก็มีเสีย คนถูก Lottery สามสิบล้านบาท แต่ครอบครัวแตกแยกกัน
เงินผ่านมาและผ่านไป เราควรต้องมี
1. ลงทุนกับลูก แบ่งเงินมาให้กับการศึกษาของลูก
2. จัดสรรส่วนนึงไว้เป็นการบริจาคด้วย อย่าให้เข้าทางเดียว ให้ออกไปบ้าง แบ่งปันให้กับคนอื่นด้วย
3. เราเห็นคนเก่ง ประสบความสำเร็จ ขอให้ชื่มชมกับเขา เราอยากมีเงินทองแบบเขา เราต้องประเมิน ว่าเราสามารถทำได้แบบนั้นหรือเปล่า เราไม่เคยรู้ว่า อีกด้านของผู้ประสบความสำเร็จ เช่น นายก มีด้านทุกข์ขนาดไหน เราไม่เหมาะเป็นนายก หรือ เป็นนักลงทุนแบบดร นิเวศน์ เรายอมรับเเรงเบียด ขาดทุนได้ไหม เอาที่เหมาะกับเรา เผื่อขาด เผื่อเหลือด้วย เราต้องวางแผนให้ดี
สุดท้าย ขอขอบคุณวิทยากรทุกท่าน และ ขอบคุณ ดร ไพบูลย์ อจ เสน่ห์ มาณ ที่นี้ด้วยครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: MoneyTalk@SET17Oct15MBAประตูความสำเร็จ?&เลือกหุ้นจัดพอร์
โพสต์ที่ 7
i-salmon เขียน:ขอบคุณครับพี่นุช นอนดึกไม่ดีนะฮ๊าฟ พักผ่อนๆtheenuch เขียน:Thank you ja.
เห็นทั้งพี่อมร ทั้งน้องบิ๊ก ขยันกันมากแล้วหลับไม่ลงค่ะi-salmon เขียน:ขอบคุณครับ พี่ก็ควรรีบพักผ่อนด้วยครับ ช่วงนี้เค้าฮิตไอแค่กๆกันamornkowa เขียน:เดี๋ยวผมส่งช่วงที่2 มาให้ พักผ่อนกันก่อนนะ
แวะมาขอบคุณ...และนำไปโพสใน fb Money Talk ทันใด
ให้สมกับที่ทั้งสองท่านอุตส่าห์นอนดึกค่ะ
ขอบคุณในน้ำใจเสมอค่ะ
- kongkiti
- Verified User
- โพสต์: 5830
- ผู้ติดตาม: 0
Re: MoneyTalk@SET17Oct15MBAประตูความสำเร็จ?&เลือกหุ้นจัดพอร์
โพสต์ที่ 8
ขอบคุณคับ
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530