ภาคต่อลงทุนหุ้นอเมริกา By Billionaire VI

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ktoa
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 178
ผู้ติดตาม: 0

ภาคต่อลงทุนหุ้นอเมริกา By Billionaire VI

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ช่วงนี้ผมกำลังเตรียมเนื้อหาที่จะไปพูดในงานสัมมนา "VI Know How Charity #6" ในวันที่ 7 ตุลาคม 2018 ซึ่งหัวข้อคือการแชร์ข้อคิดการลงทุนหุ้นอเมริกา ทำไมถึงตัดสินใจลงทุน ตลาดเป็นอย่างไรบ้าง และวิธีการการเลือกหุ้น

สิ้นปีนี้ผมก็จะลงทุนที่อเมริกาครบ 4 ปีแล้ว ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างที่แตกต่างจากตลาดหุ้นไทย เลยอยากนำมาแชร์ข้อมูลกันเพื่อเป็นทางเลือกในการลงทุนของคนไทย

- แหล่งหาข้อมูลนอกจาก Seekingalpha แลัวยังมีเวป Gurufocus ซึ่งเป็นเเหล่งข้อมูลการลงทุนแบบวีไอ มีข้อคิดวิธีการลงทุนและหุ้นของบัฟเฟตต์มาอัตเดตตลอด นอกจากนี้ยังมีข้อมูลหุ้นรายตัวที่กูรูถืออยู่ด้วย เช่น หุ้นที่ Carl Icahn George Soros และ Ken Fisher ถืออยู่เป็นต้น

- นักลงทุนไทยที่ลงทุนหุ้นอเมริกาไม่เสียภาษีของที่นั่นแต่คงยังต้องเสียภาษีรายได้ส่วนบุคคลกับสรรพากรไทยยกเว้นขายได้กำไรแล้วถือข้ามปีค่อยโอนเงินกลับ อย่างนี้จะไม่ต้องเสียภาษีตามที่กฎหมายระบุไว้

- ส่วนเงินปันผลต้องเสียภาษี 30% ยกเว้นทำเรื่องยืนยันตัวตนกับทางโบรกเกอร์เสียค่าธรรมเนียมหลักพันเพื่อขอลดภาษีก็จะเหลือ 15 % ส่วนใหญ่หุ้นอเมริกาจ่ายปันผลทุกไตรมาส

- วันที่ประกาศผลประกอบการณ์ทางบริษัทจะจัด Conference Call กับนักลงทุนและสถาบันเพื่อให้ข้อมูลผลดำเนินงานรวมทั้งการคาดการณ์ในอนาคต ผู้บริหารบางท่านแชร์ข้อมูลตรงๆว่ารายได้จะลดลงเหมือนเตือนไว้ล่วงหน้าเลยทำให้หุ้นอย่าง Facebook ลดลงถึง 20% ภายในวันเดียว มูลค่าตลาดหายไป 100,000 ล้านดอลล่าร์มากที่สุดในประวัติศาสตร์

- แม้หุ้นค้าปลีกจะค่อยๆล้มหายตายจากไปทั้ง Kmart Best Buy และรายล่าสุดอย่าง Sears เพราะได้รับผลกระทบจาก E-Commerce แต่ยักษ์ใหญ่อย่าง Wallmart ก็ยังยืนหยัดสู้ได้ กำไรไตรมาสล่าสุดเติบโตอย่างสวยงามด้วยกลยุทธ์แบบ Online และ Offline ผสมผสานกัน ส่วนหุ้น Home Depot ก็ยังเติบโตได้เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคยังคงต้องไปซื้อวัสดุก่อสร้างหรือตกแต่งบ้านที่ร้าน การซื้อผ่านออนไลน์เลยไม่ค่อยนิยม

- หุ้นอเมริกาหลายๆตัวมีราคาสูงมาก เงินลงทุนน้อยซื้อแทบไม่ไหว

Berkshire Hathaway Class A ราคา 10 ล้านบาทต่อหุ้น
Amazon ราคา 6 หมื่นบาทต่อหุ้น
Priceline ราคา 6 หมื่นบาทต่อหุ้น
Starbuck ก็ประมาณ 1,500 บาทต่อหุ้น

- หุ้นเบอร์เกอร์อย่าง Shake Shack เป็นหุ้นที่น่าจับตามอง ผมได้ลองใช้บริการช่วงตอนไปอเมริกาเดือนที่แล้ว ลูกชายชอบเฟรนช์ฟรายส์ราดชีสมาก คนต่อแถวยาวทั้งที่นิวยอร์คและบอสตัน ตอนนี้ได้ข่าวว่าขยายมาที่ฮ่องกงแล้ว แต่พีอีสูง 98 เท่าเลยขอดูไปก่อน หุ้นดีมีอนาคตแต่แพงเกินไปก็ไม่คุ้มที่จะลงทุน

- หุ้นขายอาวุธอย่าง Rockheed Martin กำไรเติบโตอย่างงดงามในช่วง 5 ปีหลังสุดราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาเกือบ 4 เท่า แต่รายได้กว่า 80% ยังคงพึ่งพารัฐบาลอเมริกาเป็นหลัก ความเสี่ยงของโมเดลธุรกิจเลยมีอยู่สูง

- หุ้นที่อเมริกาสรุปผลดำเนินงานรายไตรมาสได้รวดเร็วมากโดยเฉพาะแบงค์ใช้เวลาแค่ 2 อาทิตย์ก็ประกาศผลได้แล้ว ระบบบัญชีน่าจะดีมากเลยสรุปงบได้เร็ว

สี่ปีที่ผ่านมาผมได้เรียนรู้หลายๆอย่างจากตลาดหุ้นอเมริกาและมีความสุขในการลงทุนระยะยาวต่อไป หุ้นที่เคยซื้อไปไม่เคยขายเลยครับ

Keep Learning and Happy Investing #ลงทุนหุ้นอเมริกา

------------------------------------------------------------

แชร์ประสบการณ์ลงทุนหุ้นอเมริกา (ตอนแรก)

ผมลงทุนหุ้นอเมริกามาสามปีครึ่งนอกจากได้ผลตอบแทนเป็นที่น่าพึงพอใจแล้วยังได้ประสบการณ์หลายๆอย่าง ถ้าเปรียบเทียบเป็นนักฟุตบอลเหมือนได้ออกไปค้าแข้งต่างประเทศที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมใหม่ให้เร็วที่สุดแล้วสร้างผลงาน ทำให้รู้สึกสนุกกับการลงทุนต่างประเทศที่ทำให้เรามีมุมมองในการลงทุนที่หลากหลายมากขึ้น

วันนี้เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ให้กับแฟนเพจทุกๆท่านได้เรียนรู้กันดังนี้:

- ผมใช้บริการหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ Offshore ในการลงทุนหุ้นอเมริกา ค่าใช้จ่ายในการซื้อขายหุ้นเป็นเงินหลักพันบาทเมื่อลงทุนหนึ่งล้านบาทดังนี้

ค่าโอนเงินแล้วแปลงเป็นเงินดอลลาร์ 1,000 บาท (เพิ่งยกเลิกเดือนที่แล้ว)
ค่าคอมมิชชั่น คิดที่ 8 Cents ต่อ 1 หุ้นแต่มีขั้นต่ำที่ $30 แม้ว่าจะซื้อหุ้น Amazon หุ้นละ $1,600 จำนวน 10 หุ้นเป็นเงินถึง $16,000 หรือประมาณ 500,000 บาทแล้วก็ตามแต่ก็ต้องเสียขั้นต่ำที่ $30

ดังนั้นถ้าเราเทรดหุ้นบ่อยจะเสียค่าธรรมเนียมจำนวนมาก เนาะนำให้ลงทุนระยะยาว

- ถามข้อมูลหุ้นจากโบรคเกอร์ไปแต่ไม่ค่อยได้รับข้อมูลที่ต้องการมากนัก เลยเน้นศึกษาหาเอกสาร 10-K หรือ Annual Report อ่านเอง บวกใช้ Jitta Morningstar และ SeekingAlpha ในการหาข้อมูลเพิ่ม

- ตลาดหุ้นอเมริกามีประสิทธิภาพมากที่เห็นได้ชัดคือช่วงวันที่ประกาศผลประกอบการ ถ้าบริษัททำได้เกินกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้หุ้นจะปรับตัวขึ้นอย่างสวยหรู 10% ถึง 15% แต่ถ้าทำไม่ได้หุ้นก็จะปรับตัวลดลง 30% ก็มี

- ไม่มีกรอบราคาวิ่งขึ้นลงหรือเรียกว่า Ceiling หรือ Floor ทำให้ตื่นเต้นกว่าการลงทุนหุ้นไทยเพราะถ้าหุ้นมีผลประกอบการแย่มากๆหุ้นอาจจะลงไปถึง 50% ในวันเดียว

- เป็นตลาดหุ้นที่เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาวเพราะมีหุ้นหลายตัวที่มีแนวโน้มจะเป็นหุ้นที่ชนะในระยะยาวหลาย 10 ปีด้วยธุรกิจที่แข็งแกร่งและมีความสามารถในการขยายธุรกิจไปทั่วโลก ซื้อแล้วเก็บให้ลูกหลานได้เลย เช่นหุ้น Google Amazon Facebook Microsoft Mcdonald Starbuck Visa Mastercard Domino Pizza Coke Nike Disney เป็นต้น

- หุ้นที่มีขนาดใหญ่มากๆแล้วเช่น Facebook มาร์เก็ตแค๊ป 15 ล้านล้านบาทไทยยังสามารถเติบโตกำไรสุทธิในไตรมาสล่าสุดสูงถึง 60% YOY เป็นการยืนยันอีกครั้งว่าหุ้นอเมริกาเวลากินรวบจะกินครอบคลุมทั้งโลก

- นักลงทุนมือใหม่อาจจะยังไม่เหมาะที่จะไปลงทุนที่อเมริกาเพราะตลาดหุ้นมีคู่แข่งนักลงทุนระดับโลกและสถาบันการเงินชั้นนำแข่งซื้อหุ้นกับเราอยู่ เพราะฉะนั้นถ้าเรายังไม่มีความรู้แนะนำให้เริ่มลงทุนหุ้นไทยไปก่อนแล้วเมื่อมีประสบการณ์สามถึงห้าปีค่อยกระจายการลงทุนไปที่อเมริกา

- หุ้นใหญ่ๆส่วนมากมีสัดส่วนการถือครองหุ้นโดยนักลงทุนสถาบันในสัดส่วนที่สูงมาก ยกตัวอย่างเช่นหุ้น Google นักลงทุนสถาบันถือครองทั้งหมด 70% อันดับหนึ่งคือVanguard Group ถืออยู่ $22,000 ล้าน ทำให้ไม่ค่อยมีใครมาปั่นหุ้น เป็นที่น่าสังเกตว่าคนอเมริกันลงทุนในหุ้นผ่านกองทุนในสัดส่วนที่สูงมาก

- ช่วยปรับสภาพสมดุลของพอร์ตในยามที่ตลาดหุ้นไทยไม่ขยับไปไหนการลงทุนที่อเมริกาก็สามารถช่วยให้พอร์ตยังเติบโตเป็นบวกได้ หรือเรียกว่าเป็นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน

สุดท้ายอยากเน้นอีกครั้งว่าบทความนี้ไม่ได้เป็นการชักชวนให้ไปลงทุนที่อเมริกาแบบไม่มีความรู้ แต่อยากให้นักลงทุนไทยศึกษาหาความรู้ดีๆก่อนโดยเฉพาะแนวทางแบบวีไอ เพื่อออกไปลงทุนแล้วทำเงินเข้าประเทศ ผมเห็นโอกาสของคนไทยจริงๆครับ #ลงทุนหุ้นอเมริกา #Offshore
โพสต์โพสต์