ลำดับที่ 6 “5 สุดยอดหนังสือ สำหรับคนที่แสวงหา..ความมั่งคั่ง”

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
doctorwe
Verified User
โพสต์: 152
ผู้ติดตาม: 0

ลำดับที่ 6 “5 สุดยอดหนังสือ สำหรับคนที่แสวงหา..ความมั่งคั่ง”

โพสต์ที่ 1

โพสต์

คอลัมน์: หุ้นส่วนประเทศไทย
หนังสือพิมพ์ โพสต์ทูเดย์
“6 บทความ” ...ที่มีผู้อ่านสูงสุด ตอนที่ 1
ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์
วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต
http://www.CsiSociety.com
Add Line: @CsiSociety

ก่อนที่ผมจะได้ลงมือเขียนบทความฉบับนี้ ผมก็ได้รับทราบข่าว “กลุ่มบางกอกโพสต์ประกาศหยุดพิมพ์หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ และ M2F ภายในเดือนมีนาคมนี้” ดังนั้นเพื่อเป็นการอำลาคุณผู้อ่านในฉบับหนังสือพิมพ์ ผมจึงได้รวบรวมบทความของผม 6 บทความที่มีผู้อ่านสูงสุด นำมาเล่าให้คุณผู้อ่านได้อ่านกันดังนี้ครับ

ลำดับที่ 6 “5 สุดยอดหนังสือ สำหรับคนที่แสวงหา..ความมั่งคั่ง” (6 มีนาคม 2555)

หากกล่าวถึงอภิมหาเซียนด้านการลงทุนของโลก ชื่อของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ก็คงจะโผล่ขึ้นมาในสมองของคุณผู้อ่านหลายท่านเป็นแน่แท้ แต่หากพูดถึงหนังสือทางด้านการลงทุนระดับสุดยอดที่นักลงทุนพลาดไม่ได้ คุณผู้อ่านหลายคนคงจะนึกไม่ออกขึ้นมาบ้างแล้ว ผมจึงอยากขอแนะนำหนังสือที่หลายสำนักให้ความเห็นว่า เป็นหนังสือทางด้านการลงทุนระดับสุดยอด โดยจะขอแนะนำตามลำดับเวลาที่เริ่มตีพิมพ์ดังนี้ครับ

หนึ่ง “Think and Grow Rich” (1937) by Napolean Hill
คุณผู้อ่านหลายท่านอาจอุทานออกมาถึงความเก่าแก่ของหนังสือเล่มนี้ หนังสือ Think and Grow Rich เขียนโดย Napolean Hill ในปี พ.ศ. 2480 หลังจากนั้นก็ถูกตีพิมพ์ครั้งแล้วครั้งเล่า ปัจจุบันคาดกันว่าหนังสือเล่มนี้พิมพ์ออกมาแล้วมากกว่า 30 ล้านเล่ม
Think and Grow Rich เขียนขึ้นหลังจากเกิดเหตุการณ์มหาวิกฤตการเงินโลก (Great Depression) โดยหนังสือที่ Hill เขียนขึ้นมานี้..เพื่อช่วยเพื่อนร่วมชาติชาวอเมริกัน ซึ่งขณะนั้นส่วนใหญ่จะเป็นคนตกงาน มีหนี้สินล้นพ้นตัว และหมดปัญญาที่จะหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัว เพื่อให้กลับมามีกำลังใจในการต่อสู้..เพื่อตัวเขาเองและ..คนที่เขารัก
Hill ได้นำเทคนิคทางด้านจิตวิทยามาสร้างเป็นหลักการ 13 ข้อ ในการที่จะพาตนเองไปสู่ความสำเร็จในชีวิต ซึ่งรวมถึงความปรารถนา ความศรัทธา ความรู้ การวางแผน ความมุ่งมั่น และสัมผัสที่ 6 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อปลุกกำลังใจของผู้อ่าน ให้ฮึกเหิมขึ้นมาต่อสู้กับภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่ในขณะนั้น

สอง “The Intelligent Investor” (1949) by Benjamin Graham
หนังสือเล่มนี้ได้รับการยกย่องจาก วอร์เรน บัฟเฟตต์ ให้เป็นหนังสือที่ดีที่สุดทางด้านการลงทุน และ Benjamin Graham ก็ได้รับการยกย่องให้เป็น “บิดาแห่งการลงทุน” หนังสือได้แนะนำเทคนิคในการค้นหาราคาหุ้นที่แท้จริง (Intrinsic Value) ของหุ้นนั้นๆ หากราคาหุ้นตกลงมาต่ำกว่าราคาหุ้นที่แท้จริงอย่างมีนัยสำคัญแล้ว ก็จะเป็นโอกาสอันงามของนักลงทุนที่จะเข้าไปเก็บหุ้นดังกล่าว
เขายังได้กล่าวถึงประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้น และแนะนำวิธีการวิเคราะห์เชิงพื้นฐานมาใช้ นอกจากนั้นเขายังกล่าวถึงวิธีการจัดการพอร์ตโฟลิโออีกด้วย หนังสือเล่มนี้ยังได้เปรียบเทียบราคาหุ้นในช่วงเวลาต่างๆ เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจถึงข้อดีของการวิเคราะห์เชิงพื้นฐาน

สาม “Beating the Street” (1994) by Peter Lynch
Peter Lynch คือ นักลงทุนและผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดคนหนึ่งในศตวรรษที่ 20 เขาเริ่มต้นทำงานที่ Fidelity Investment หลังจากนั้นเขาก็ได้รับมอบหมายให้ดูแลกองทุน Megellan ซึ่งในเวลานั้นมีมูลค่าอยู่ที่ 18 ล้านดอลลาร์ ต่อมาอีก 30 ปีกองทุน Megellan ได้ขยายตัวเป็นอย่างมากและมูลค่ากองทุนสูงถึง 18,000 ล้านดอลลาร์ หรือพูดง่ายๆว่า กองทุนนี้ขยายตัว 1,000 เท่าในช่วงระยะเวลา 30 ปี โดยเฉลี่ยแล้ว..กองทุนนี้จะขยายตัวประมาณ 29 เปอร์เซ็นต์ต่อปี
Beating the Street จึงเป็นหนังสือที่จะให้คุณผู้อ่านได้เข้าถึงแก่นความคิดของ Lynch นอกจากนั้นเขายังได้แนะนำด้วยว่า นักลงทุนรายย่อยก็สามารถที่จะแสวงหาโอกาสซื้อหุ้นในราคาถูกได้ แต่..นักลงทุนเหล่านั้นจะต้องรู้ก่อนว่า..เขากำลังลงทุนกับอะไรอยู่ ??

สี่ “The Essays of Warren Buffett: Lessons for Corporate America” (1997) by Warren Buffett
ในหนังสือเล่มนี้ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้เสนอมุมมองต่างๆที่มีความสำคัญต่อบริษัทอเมริกันและผู้ถือหุ้นของบริษัทนั้นๆ เขาเสนอแนวความคิดในการที่บริษัทเหล่านั้นจะเพิ่มมูลค่าของบริษัทตนเอง เขายังได้กล่าวถึงหัวข้ออื่นๆ เช่น บรรษัทภิบาล การเงิน การลงทุน การเข้าครอบครองกิจการ และการประเมินมูลค่าบริษัท
บัฟเฟตต์ได้กล่าวถึงบริษัทที่ดีควรดูแลผู้ถือหุ้นอย่างไร โดยยกตัวอย่างการดูแลผู้ถือหุ้นของบริษัท เบิร์กไชร์ ฮาทาเวย์ ของเขา โดยการแจ้งข่าวสารและสิทธิประโยชน์ต่างๆที่ผู้ถือหุ้นควรจะรู้ เขายังพูดถึงการรับผู้จัดการที่มีความสามารถสูงเข้ามาร่วมทำงานในเครือบริษัทของเขา และปล่อยให้ผู้จัดการเหล่านั้นสำแดงฝีมือในการบริหารงานได้อย่างเต็มที่ บัฟเฟตต์ยังเสนอแนวคิดในการสนับสนุนให้บริษัทซื้อหุ้นตนเองคืน เพราะจะทำให้บริษัทนั้นๆมีจำนวนหุ้นน้อยลงและทำให้มูลค่าหุ้นของบริษัทมีค่าสูงขึ้นอีกด้วย

ห้า “Rich Dad, Poor Dad” (2000) by Robert Kiyosaki
หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ “ต้องอ่าน” สำหรับนักลงทุนมือใหม่ Kiyosaki ได้แจกแจงคนออกเป็น 3 กลุ่มคือ คนชั้นล่าง คนชั้นกลาง และคนชั้นสูง โดยคนชั้นล่างและคนชั้นกลางจะทำงานเพื่อแลกกับเงิน ในขณะที่คนชั้นสูงจะทำงานเพื่อแสวงหาความรู้ เขายังได้ให้ความสำคัญกับการอ่านงบการเงินเป็น การให้ความสำคัญสูงสุดกับ “อิสรภาพทางการเงิน” และยังได้แนะนำวิธีที่จะหลีกเลี่ยงการทำงานแบบ “หนูถีบจักร” หรือการทำงานตลอดชีวิตเพื่อแลกกับเงินมาเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว
Kiyosaki ยังแนะนำถึงคุณประโยชน์ของการลงทุนที่สามารถให้ผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ เช่น การมีบ้านไว้ปล่อยให้เช่า ก็จะทำให้ได้รับค่าเช่าทุกเดือน แต่หากบ้านหลังนั้นไม่สามารถปล่อยเช่าได้ มันก็จะมาเป็นภาระที่ต้องผ่อนทุกเดือนและอาจทำให้กระแสเงินสดขาดมือได้

นอกจากนั้น Kiyosaki ยังแสดงความไม่พอใจต่อระบบการศึกษาแบบอเมริกัน เพราะระบบการศึกษาดังกล่าวสอนให้คนต้องทำงานหนักเพื่อความอยู่รอดของชีวิต เขาคิดว่า..ทำไมระบบการศึกษาแบบอเมริกันจึงไม่สอนให้คนมีความสามารถในการแสวงหาความร่ำรวย เพราะหากคนอเมริกันมีฐานะดีแล้ว..จะได้ไม่ต้องทำงานหนักเหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ทั้งหมดข้างต้นจึงเป็นหนังสือที่คุณผู้อ่านควรมีไว้ ทำให้นึกถึงคำพูดของอดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา Abraham Lincoln ที่พูดเกี่ยวกับหนังสือไว้ว่า “The things I want to know are in books; my best friend is the man who’ll get me a book I ain’t read.” แปลตามความได้ว่า “สิ่งที่ผมอยากจะรู้..ล้วนอยู่ในหนังสือทั้งสิ้น เพื่อนที่ดีที่สุดของผมก็คือ เพื่อนที่ให้หนังสือที่ผมยังไม่ได้อ่าน..แก่ผม” ดังนั้นถ้าคุณผู้อ่านอยากเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของใครซักคน ลองหาหนังสือดีๆ..แล้วซื้อให้เพื่อนคนนั้นซิครับ
โพสต์โพสต์