สรุปการประชุมผู้ถือหุ้น Berkshire Hathaway ปี 2019 - Billion
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 178
- ผู้ติดตาม: 0
สรุปการประชุมผู้ถือหุ้น Berkshire Hathaway ปี 2019 - Billion
โพสต์ที่ 1
ถ้าให้นึกถึงการประชุมผู้ถือหุ้นบริษัทใดในโลกที่ได้เรียนรู้จากปรมาจารย์การลงทุนหุ้นแล้ว ผมต้องยกให้การประชุมผู้ถือหุ้นของ Berkshire Hathaway (BH) คือหนึ่งในการประชุมที่ได้เรียนรู้มากที่สุด
ทั้งวอร์เรน บัฟเฟตต์และชาร์ลี มังเกอร์ ผ่านประสบการณ์การลงทุนแบบวีไอมามากกว่า 50 ปี และสามารถสร้างผลตอบแทนราคาหุ้น BH ได้มากถึง 2,470,000% ตั้งแต่ปี 1964 จนถึงสิ้นปี 2018
เพื่อการเรียนรู้ ผมขอสรุปเนื้อหาจากการประชุมที่น่าสนใจดังนี้
- วอร์เรนยืนยันว่าการที่ผู้ช่วยของเขาซื้อหุ้น Amazon ยังคงยึดหลักการลงทุนแบบ Value Investing เพราะได้วิเคราะห์หุ้นจากการดูยอดขาย มาร์จิ้น สินทรัพย์ เงินสดและหนี้สิน เปรียบเทียบได้กับการซื้อหุ้นธนาคารที่มีราคาถูกเมื่อเทียบกับ มูลค่าทางบัญชี หรือผลกำไรของบริษัทที่เติบโตขึ้น
นอกจากนี้ ชาร์ลี มังเกอร์ ยังรู้สึกเสียดายที่เขาและวอร์เรนไม่ได้ซื้อหุ้น Google ทั้งที่บริษัท Geico จ่ายเงินให้กับ Google ทุกครั้งที่มีคนคลิกโฆษณาของบริษัทครั้งละ $10
- BH ยังคงลงทุนต่อเนื่องในธุรกิจพลังงาน ปีที่แล้วลงทุนไป $6,500 ล้านใน Solar Farms วอร์เรนยังกล่าวอีกด้วยว่าเงินทุนมีอยู่อย่างไม่จำกัดถ้ามีโปรเจ็คพลังงานดีๆเข้ามาให้ลงทุน
- ซื้อหุ้นของ Kraft ในปี 2015 มาแพงเกินไป แม้ว่าธุรกิจจะดีแค่ไหนก็ตามแต่ถ้าซื้อมาด้วยราคาแพงแล้วก็ไม่ดีสำหรับการลงทุน ดังคำพูดที่ว่า You can turn any investment into a bad deal by paying too much.
- BH สนใจลงทุนในประเทศอังกฤษและประเทศในยุโรป อยากให้ทุกครั้งที่มีผู้ประกาศขายธุรกิจในอังกฤษนึกถึง BH วอร์เรนพร้อมคุยราคาและรายละเอียด ถ้าดีจริงจะรีบบินไปซื้อเลย
- ยังคงลงทุนในประเทศจีนอย่างต่อเนื่อง แต่อาจจะไม่ได้เปิดเผยข้อมูลหุ้นที่ลงทุนออกมามากนัก มองว่าตลาดจีนใหญ่มากและมีโอกาสค่อนข้างสูงในการลงทุน
- มีเงินสดมากถึง $114,000 ล้าน แต่ก็ไม่เร่งซื้อคืนหุ้นแม้ว่าผู้ถือหุ้นจะเรียกร้องให้มีการเพิ่มการซื้อหุ้นคืน วอร์เรนยืนยันว่ามันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีเงินสดมากน้อยแค่ไหนแต่มันขึ้นอยู่กับว่าราคาของหุ้น Berkshire ลดลงต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสมของบริษัทไหม ถ้าต่ำกว่าก็ยินดีซื้อคืนอย่างเต็มที่
- หลักการออมและอดเปรี้ยวไว้กินหวาน (Delay Gratification) นั้น วอร์เรนทำมาตลอดชีวิต ใช้หลักคิดที่ว่าถ้าประหยัดเงินได้ 1 ล้านบาทในวันนี้ แล้วนำไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 15% ต่อปีทบต้นภายในระยะเวลา 30 ปีเงินก้อนนี้จะกลายเป็น 75 ล้านบาท
- มีเด็กอายุ 9 ขวบขึ้นถามเกี่ยวกับการขยายการลงทุนไปในหุ้นเทคโนโลยีที่มีคูเมืองที่แข็งแกร่งและเป็นหุ้นชั้นนำในปัจจุบัน เช่น Amazon Google Facebook และ Microsoft วอร์เรนเห็นด้วยว่าหุ้นเหล่านั้นมีคูเมืองที่แข็งแรง แต่ยังคงยืนยันสาเหตุที่ไม่ลงทุนเป็นเพราะว่าไม่เข้าใจในหุ้นอย่างถ่องแท้ มีนักลงทุนรายอื่นที่เข้าใจมากกว่า และวอร์เรนจะไม่ลงทุนเพียงเพราะว่าคนอื่นบอกว่าหุ้นตัวนั้นดี
- ชาร์ลี มังเจอร์ให้ข้อแนะนำแก่ทุกคนว่า “Figure out what works and do it” คือให้เราหาอะไรที่คิดว่าเราทำได้ดีแล้วทำมันทันที
เท่าที่ผมสังเกตทั้ง วอร์เรน บัฟเฟตต์และชาร์ลี มังเกอร์ มีแนวคิดการลงทุนที่แน่วแน่ของตนเอง โดยไม่สนใจปัจจัยภายนอกหรือนักวิเคราะห์ที่ออกมาเชียร์หุ้น
นอกจากนี้ทั้งสองท่านยังลงทุนในหุ้นที่ตัวเองมีความรู้ความเข้าใจมากกว่านักลงทุนรายอื่นๆ เพราะจะสามารถคาดการณ์ผลประกอบการได้อย่างดีและนั่นคือสาเหตุให้ทั้งสองท่านเป็นผู้ชนะในการลงทุนมาอย่างต่อเนื่องตลอด 55 ปีที่ผ่านมา สุดยอดทั้งคู่ครับ
#BerkshireHathaway #ประชุมผู้ถือหุ้น #วอร์เรนบัฟเฟตต์ #ชาร์ลีมังเกอร์ #หุ้นอเมริกา #หุ้นวีไอ
ทั้งวอร์เรน บัฟเฟตต์และชาร์ลี มังเกอร์ ผ่านประสบการณ์การลงทุนแบบวีไอมามากกว่า 50 ปี และสามารถสร้างผลตอบแทนราคาหุ้น BH ได้มากถึง 2,470,000% ตั้งแต่ปี 1964 จนถึงสิ้นปี 2018
เพื่อการเรียนรู้ ผมขอสรุปเนื้อหาจากการประชุมที่น่าสนใจดังนี้
- วอร์เรนยืนยันว่าการที่ผู้ช่วยของเขาซื้อหุ้น Amazon ยังคงยึดหลักการลงทุนแบบ Value Investing เพราะได้วิเคราะห์หุ้นจากการดูยอดขาย มาร์จิ้น สินทรัพย์ เงินสดและหนี้สิน เปรียบเทียบได้กับการซื้อหุ้นธนาคารที่มีราคาถูกเมื่อเทียบกับ มูลค่าทางบัญชี หรือผลกำไรของบริษัทที่เติบโตขึ้น
นอกจากนี้ ชาร์ลี มังเกอร์ ยังรู้สึกเสียดายที่เขาและวอร์เรนไม่ได้ซื้อหุ้น Google ทั้งที่บริษัท Geico จ่ายเงินให้กับ Google ทุกครั้งที่มีคนคลิกโฆษณาของบริษัทครั้งละ $10
- BH ยังคงลงทุนต่อเนื่องในธุรกิจพลังงาน ปีที่แล้วลงทุนไป $6,500 ล้านใน Solar Farms วอร์เรนยังกล่าวอีกด้วยว่าเงินทุนมีอยู่อย่างไม่จำกัดถ้ามีโปรเจ็คพลังงานดีๆเข้ามาให้ลงทุน
- ซื้อหุ้นของ Kraft ในปี 2015 มาแพงเกินไป แม้ว่าธุรกิจจะดีแค่ไหนก็ตามแต่ถ้าซื้อมาด้วยราคาแพงแล้วก็ไม่ดีสำหรับการลงทุน ดังคำพูดที่ว่า You can turn any investment into a bad deal by paying too much.
- BH สนใจลงทุนในประเทศอังกฤษและประเทศในยุโรป อยากให้ทุกครั้งที่มีผู้ประกาศขายธุรกิจในอังกฤษนึกถึง BH วอร์เรนพร้อมคุยราคาและรายละเอียด ถ้าดีจริงจะรีบบินไปซื้อเลย
- ยังคงลงทุนในประเทศจีนอย่างต่อเนื่อง แต่อาจจะไม่ได้เปิดเผยข้อมูลหุ้นที่ลงทุนออกมามากนัก มองว่าตลาดจีนใหญ่มากและมีโอกาสค่อนข้างสูงในการลงทุน
- มีเงินสดมากถึง $114,000 ล้าน แต่ก็ไม่เร่งซื้อคืนหุ้นแม้ว่าผู้ถือหุ้นจะเรียกร้องให้มีการเพิ่มการซื้อหุ้นคืน วอร์เรนยืนยันว่ามันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีเงินสดมากน้อยแค่ไหนแต่มันขึ้นอยู่กับว่าราคาของหุ้น Berkshire ลดลงต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสมของบริษัทไหม ถ้าต่ำกว่าก็ยินดีซื้อคืนอย่างเต็มที่
- หลักการออมและอดเปรี้ยวไว้กินหวาน (Delay Gratification) นั้น วอร์เรนทำมาตลอดชีวิต ใช้หลักคิดที่ว่าถ้าประหยัดเงินได้ 1 ล้านบาทในวันนี้ แล้วนำไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 15% ต่อปีทบต้นภายในระยะเวลา 30 ปีเงินก้อนนี้จะกลายเป็น 75 ล้านบาท
- มีเด็กอายุ 9 ขวบขึ้นถามเกี่ยวกับการขยายการลงทุนไปในหุ้นเทคโนโลยีที่มีคูเมืองที่แข็งแกร่งและเป็นหุ้นชั้นนำในปัจจุบัน เช่น Amazon Google Facebook และ Microsoft วอร์เรนเห็นด้วยว่าหุ้นเหล่านั้นมีคูเมืองที่แข็งแรง แต่ยังคงยืนยันสาเหตุที่ไม่ลงทุนเป็นเพราะว่าไม่เข้าใจในหุ้นอย่างถ่องแท้ มีนักลงทุนรายอื่นที่เข้าใจมากกว่า และวอร์เรนจะไม่ลงทุนเพียงเพราะว่าคนอื่นบอกว่าหุ้นตัวนั้นดี
- ชาร์ลี มังเจอร์ให้ข้อแนะนำแก่ทุกคนว่า “Figure out what works and do it” คือให้เราหาอะไรที่คิดว่าเราทำได้ดีแล้วทำมันทันที
เท่าที่ผมสังเกตทั้ง วอร์เรน บัฟเฟตต์และชาร์ลี มังเกอร์ มีแนวคิดการลงทุนที่แน่วแน่ของตนเอง โดยไม่สนใจปัจจัยภายนอกหรือนักวิเคราะห์ที่ออกมาเชียร์หุ้น
นอกจากนี้ทั้งสองท่านยังลงทุนในหุ้นที่ตัวเองมีความรู้ความเข้าใจมากกว่านักลงทุนรายอื่นๆ เพราะจะสามารถคาดการณ์ผลประกอบการได้อย่างดีและนั่นคือสาเหตุให้ทั้งสองท่านเป็นผู้ชนะในการลงทุนมาอย่างต่อเนื่องตลอด 55 ปีที่ผ่านมา สุดยอดทั้งคู่ครับ
#BerkshireHathaway #ประชุมผู้ถือหุ้น #วอร์เรนบัฟเฟตต์ #ชาร์ลีมังเกอร์ #หุ้นอเมริกา #หุ้นวีไอ
- pookii
- Verified User
- โพสต์: 1840
- ผู้ติดตาม: 1
Re: สรุปการประชุมผู้ถือหุ้น Berkshire Hathaway ปี 2019 - Bil
โพสต์ที่ 6
LIVE: Legendary investors Warren Buffett and Charlie Munger provide rare wisdom at the 2019 Berkshire Hathaway Annual Shareholders Meeting!
https://yhoo.it/2PLeLX3
สรุปปู่บัฟเฟตต์ประชุมผู้ถือหุ้นที่นักลงทุนรายย่อยไทยพลาดไม่ได้ ตอนที่ 1
.
โดยเพจ ถามอีก กับอิก เรื่องลงทุน.
เป็นประจำทุกปีครับ เรามีนัดกับปู่บัฟเฟตต์และปู่ชาร์ลี มังเกอร์ ที่จะมาเล่าให้ฟังหลายเรื่อง ทั้งภาพรวมตลาด, มุมมองเศรษฐกิจ และแนวคิดการลงทุนที่เราควรอ่าน ถ้าอยากเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ
.
ปีนี้ยังแข็งแรงทั้งคู่และยังมีอารมณ์ขันเช่นเคยครับ (แต่พลังเสียงดูอ่อนแรงไปเยอะเลยครับถ้าเทียบกับปีที่ผ่านๆมา พูดไป หายใจแรงๆไป เอาใจช่วยนะครับปู่บัฟเฟตต์)
.
มาลุยอ่านกันยาวๆ ผมรับรองว่าอ่านแล้วเราจะเก่งขึ้นไม่มากก็น้อยครับ ที่นี่ที่เดียวครับ
===========
.
1.ปู่เริ่มจากการประกาศผลประกอบการของแกก่อนครับ
.
ไตรมาสล่าสุด Berkshire มีกำไรสูงถึง 2.166 หมื่นล้านเหรียญ หรือ 7 แสนล้านบาท เทียบกับปีที่แล้วที่ขาดทุนขาดทุนไป 1.14 พันล้านเหรียญ หรือ 4 หมื่นล้านบาท
.
“การที่ผลประกอบการเหวี่ยงขนาดนี้เป็นผลจากกฏเกณฑ์ทางบัญชี ที่ต้องรายงานหุ้นที่ปู่ขาดทุน หรือกำไร ทั้งๆที่กแกยังไม่ได้ขาย” คุณปู่อธิบายครับ
.
ปู่เน้นย้ำครับ “นักลงทุนไม่ควรมองแต่กำไร บรรทัดสุดท้าย” “โดยให้เน้นดูผลกำไรจากการดำเนินงานแทน”
.
“ผลประกอบการปีนี้ ไม่ได้รวมกำไรจาก Kraft Heinz ผู้ผลิตซอสมะเขือเทศชื่อดัง เพราะ Kraft Heinz ไม่ได้รายงานผลประกอบการกับกลต.”
.
ตอนที่แกซื้อหุ้นนี้ สัดส่วน 26.7% ใน Heinz ในปี 2015 ค่อนข้างฮือฮาครับ แต่ดูตอนหลังๆจะไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่ (มีช่วงนึงที่ทำผิดทางบัญชี)
============
.
2.Berkshire ประกาศซื้อหุ้นคืนมูลค่า 1.7 พันล้านเหรียญหรือ 5 หมื่นล้านบาท (ปีนี้ถูกถามเยอะมากๆ)
.
ตอนนี้มีเงินสดล้นมือกว่า 1.142 แสนล้านเหรียญ หรือ 3.4 ล้านล้านบาทเลยมีคนตั้งคำถามนี้กับปู่ครับ “ทำไม Berkshire ไม่ซื้อหุ้นคืนมากกว่านี้”
.
“ต่อให้เรามีตัง 1 แสนล้านเหรียญ หรือ 2 แสนล้านเหรียญก็ตาม เราจะไม่ยอมเปลี่ยนแนวทางในการซื้อหุ้นคืน”
.
“ก่อนหน้านี้เราจะดู book value แต่ตอนนี้เป็นวิธีที่ล้าสมัยแล้วละ”
.
เราจะซื้อหุ้นก็ต่อเมื่อราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน (หลังจากผ่านการวิเคราะห์อย่างอนุรักษ์นิยม) หรือถ้าไม่สามารถหาหุ้นที่ดีกว่าได้
.
โดยปู่มั่นใจว่าการซื้อหุ้นคืนในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ดีต่อผู้ถือหุ้นแน่นอน
.
“ถ้าหุ้นเราถูกมาก เมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน เราจะไม่ลังเลที่จะซื้อเลย เราสามารถจัดหนักได้ 1 แสนล้านเหรียญได้แบบสบายๆ” ปู่เสริมครับ
.
(สังเกตว่า ระหว่างที่ปู่พูด ปู่ชาร์ลีเคี้ยวขนมๆไปด้วย กินโค้กไปด้วย เป็นภาพที่น่ารักไปอีกแบบครับ 55)
.
และปู่ชาร์ลี ตอบคำถามสั้นเหลือเกิ๊นครับ “เราจะมีอิสระมากขึ้นในนโยบายการซื้อหุ้นคืน” พูดแค่นี้แล้วจบ คนก็ฮาทั้งห้องประชุมเลยครับ
============
.
3. มีคำถามเกี่ยวกับธุรกิจรถไฟ (ที่ปู่ซื้อมานานแล้ว)
.
“ธุรกิจรถไฟ ทำธุรกิจแบบเดิมมานานมากๆแล้วครับ มากกว่า 100 ปีแล้ว” “ก่อนหน้านี้รถไฟจะรอสิ่งของ ขนของมาที่รถไฟ แล้วก็ออกจากสถานีรถไฟ ตอนที่ลูกค้าพร้อม”
.
แต่ตอนนี้แนวทางการทำธุรกิจเริ่มเปลี่ยนครับ เริ่มที่จะเหมือนกับเครื่องบิน ที่ได้มีการกำหนดเวลาในการออกจาก สถานีรถไฟล่วงหน้า นั่นหมายความว่า สินค้าเกษตร, แร่ธาตุ ต้องพร้อมที่สถานีรถไฟ ไม่งั้นก็ต้องตกรถไฟ
.
วิธีนี้เรียกว่า PSR (precision-scheduled railroading) หรือการกำหนดเวลารถไฟแบบเปะๆ
.
คำถามคือ ”BNSF หุ้นรถไฟที่ปู่ถืออยู่นั้น จะหันมาใช้วิธีนี้ไหม” ปู่ตอบทันทีว่า “เราไม่มีแนวทางในการคัดลอก อะไรก็ตามที่ประสบความสำเร็จ”
.
“เราจะทำอะไร ก็ต่อเมื่อเราเห็นว่า เป็นสิ่งที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดี” “และเป็นการทำให้กระบวนการทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น” “แต่เราจะไม่คัดลอกใคร (คู่แข่ง) เด็ดขาด“ ปู่ย้ำครับ
============
.
4.ยังมีคำถามเกี่ยวกับธุรกิจรถไฟ เพราะกลัวว่าจะมีรูปแบบการขนส่งอื่นๆที่จะมาแทนที่
.
“ตอนนี้เรายังไม่เห็นว่ารูปแบบการขนส่งแบบไหนที่จะสามารถมาแทนที่รถไฟในด้านการขนส่งได้”
.
“เราเห็นว่าตอนนี้เรา (ธุรกิจรถไฟ) มีประสิทธิภาพมากขึ้นในทุกๆปี” “ถ้าคนจะมองว่ารถไร้คนขับจากเข้ามาทำให้รถไฟ สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน ในการขนส่งสินค้า”
.
“ต้องอย่าลืมว่ารถไฟขนส่งสินค้ามากกว่าทุกรูปแบบการขนส่งในโลกใบนี้ โดยเฉพาะการขนส่งของหนัก ในระยะทางไกลๆ” ปู่เสริมครับ
============
.
5.ปู่เคยวิพากย์วิจารณ์ Salamon แล้วทำไมวิจารณ์ Wells Fargo ทั้งๆที่ทำข้อผิดพลาดคล้ายๆกัน (คนปรบมือทั้งห้องประชุมเลยครับสำหรับคำถามนี้)
.
Wells Fargo นับว่าเป็นธนาคารยักษ์ใหญ่ของสหรัฐที่ก่อนหน้านี้ ปู่บัฟเฟตต์จัดหนักซื้อหุ้นตัวนี้นานแล้วครับ
.
แต่ตอนหลังมีข่าวมาเรื่อยๆ ว่า Wells Fargo ทำบัญชีลูกค้าปลอมขึ้นมา
.
ปู่ตอบทันทีว่า “เห็นด้วยครับว่า Wells Fargo ทำข้อผิดพลาดจริง โดยได้ทำบัญชีปลอม ทั้งที่ไม่มีจริง” “เหตุผลที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งเกิดจาก การให้แรงจูงใจกับพนักงานแบบผิดๆ” (ถ้าพนักงานหาลูกค้าได้มากเท่าไหร่ ก็จะได้ผลตอบแทนมากเท่านั้น)
.
“เป็นวิธีที่ไม่มีทางสร้างกำไรให้กับ Wells Fargo ได้เลยครับ” แต่ปู่บอกว่า CEO ไหนก็ตามที่ทำข้อผิดพลาด ไม่ควรออกจากตำแหน่งไปพร้อมกับความร่ำรวย (หลายคนถูกให้ออก แล้วก็ได้เงินก้อนไป)
.
ปุ่ชาร์ลี บอกว่า จริงๆแล้วเค้าหวังว่า คุณ Tim Sloan อดีต CEO ของ Wells Fargo ยังอยู่ในตำแหน่ง CEO นะ เพราะมองว่าเป็นข้อผิดพลาดที่ไม่ตั้งใจ
============
.
6.มีคู่ที่น่ารักคู่นึงที่ถาม คือ หนูน้อยกับคุณพ่อครับ
.
“การลงทุนครั้งไหนที่น่าสนใจ หรือน่าสนุกที่สุดในมุมของปู่ครับ” คุณพ่อถามแทน ปรากฏว่า ปู่หยุดนิ่งไปประมาณ 3 วินาที แล้วคนก็หัวเราะทั้งห้องอีกตามเคย
.
ปู่ตอบไปว่า “ปกติการลงทุนก็สนุกเสมอแหละครับ ถ้าเราสามารถทำตังได้มากๆ” เท่านั้นแหละครับ คนฮาอีกแล้ว
.
ปู่เล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ที่ปู่เคยซื้อหุ้น Atled ครับ เป็นหุ้นที่พุ่งจาก 100 เหรียญ ไปเป็น 29,200 เหรียญ ซึ่งถ้ายังไม่ขายหุ้นตอนนี้มูลค่าคงจะหลายล้านแล้วละ
============
.
7.ช่วงนี้มีเสียงวิพากย์วิจารณ์เกี่ยวกับระบบทุนนิยม และเริ่มสนับสนุนนโยบายสังคานิยมในสหรัฐ ปู่จะคิดอย่างไรในเรื่องนี้ครับ? แล้วจะกระทบกับ Berkshire ยังไง?
.
ปู่ออกตัวก่อนว่าจริงๆแล้วความคิดเห็นทางการเมือง เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะ ไม่ใช่ในฐานะบริษัท berkshire
.
“Berkshire ไม่ได้ให้ตังกับผู้สมัครประธานาธิบดีเลย” “ระบบทุนนิยมเกี่ยวข้องกับกฏระเบียบ และเป็นแนวทางในการดูแลผู้คนที่ถูกทอดทิ้งในสังคม” ดังนั้นจึงไม่คิดว่า สหรัฐจะใช้ระบบสังคมนิยมในเร็วๆนี้ ไม่ใช่ในปี 2020, 2040, หรือ 2060 แน่ๆครับ
============
.
8.มีคนนึงน่าสนใจครับ เป็นคนจีนถามว่า “คิดอย่างไรเกี่ยวกับ 5G แล้วจะส่งผลอย่างไรต่อการทำธุรกิจ”.
ปู่บัฟเฟตต์ตอบไปว่า จะปล่อยให้ผู้บริหารของ Berkshire ลองคิดดูว่าจะทำอย่างไรเกี่ยบกับการมาของ 5G
.
ส่วนปู่ชาร์ลี ไม่ยอมตอบเกี่ยวกับ 5G เพราะแกยอมรับว่ารู้น้อยมากเกี่ยวกับ 5G
.
แต่อธิบายว่าตัวเค้าได้ซื้อหุ้นหลายตัวในจีน และคิดว่าจะซื้อมากขึ้น เท่านั้นแหละครับคนก็ขำกันหมด เพราะตอบไม่ตรงคำถาม (ไม่รู้ว่านัยยะคือ คนจีนเก่ง 5G หรือป่าว)
============
.
9.หนึ่งในเหตุผลที่ Berkshire จับมือเป็นพันธมิตรกับ JP Morgan และ Amazon
.
ปู่อธิบายว่า เป็นเพราะคาดหวังว่าภาคเอกชนจะช่วยพัฒนาได้อีกหลายอย่าง เนื่องจากปกติแล้วภาคเอกชนทำหน้าที่ได้ดีกว่าภาครัฐมาก
.
“โลกใบนี้จะเปลี่ยนไปอีกมาก แค่ลองคิดดูว่าตลอด 54 ปีที่ผ่านมาบริษัท berkshire เปลี่ยนไปมากขนาดไหน”
============
.
10.ยอมรับว่าจ่ายเงินแพงเกินไปสำหรับการซื้อหุ้น Kraft Foods Group
.
การเข้าซื้อหุ้น Kraft Foods Group ในปี 2015 ในสัดส่วน 27% ทำให้กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 5 ของโลก ดูแล้วก็น่าจะเป็นการลงทุนที่น่าสนใจ
.
แต่ระยะหลังดูจะมีปัญหาเกี่ยวกับการรายงานทางบัญชี
.
ปู่บอกว่า จริงๆแล้วก็ยังมีผลการดำเนินงานที่ดีนะ แต่การที่คุณจ่ายราคาแพงมากเกินไป (ซื้อหุ้นแพงไป) ก็อาจจะทำให้การลงทุนครั้งนั้นๆให้กลายเป็นการลงทุนที่ผิดพลาดได้เช่นกัน (ควรซื้อหุ้นที่ดีในราคาที่เหมาะสม)
============
สรุปปู่บัฟเฟตต์ประชุมผู้ถือหุ้นที่นักลงทุนรายย่อยไทยพลาดไม่ได้ ตอนที่ 2
.
โดยเพจ ถามอีก กับอิก เรื่องลงทุน.
มันส์มากๆครับ ได้ความรู้กันไปเต็มๆ (แหม... ขนาดอายุเท่านี้แล้ว ยัง active สุดๆ น่าชื่นชมมากครับ) มาลุยอ่านตอนที่ 2 ต่อกันเลยครับ
.
============
.
11.มุมมองเกี่ยวกับธุรกิจเฟอร์นิเจอร์เป็นอย่างไร?
.
“ไม่แน่ใจว่าบริษัทเฟอร์นิเจอร์บางราย อย่าง Wayfair จะเป็นอย่างไร หลังจากที่ยอมขาดทุนเพื่อให้ลูกค้ามาซื้อสินค้ามากขึ้น” (ไม่แน่ใจว่าเป็นการทำโปรโมชั่น ลดแลก แจกแถม หรือป่าว)
.
ปู่บัฟเฟตต์บอกว่า วิธีนี้กำลังทำร้ายค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์ 4 รายในระยะสั้น แต่เค้าไม่รู้ว่าโมเดลธุรกิจแบบนี้จะดีในระยะยาวหรือป่าว “ยังมีโอกาสประสบความสำเร็จอยู่บ้าง” แต่มั่นใจว่าธุรกิจที่ Berkshire ลงทุนอยู่น่าจะมีความสามารถในการแข่งขัน
.
“การให้ลูกค้ามารับสินค้าที่หน้าร้าน จะทำให้เราเรียนรู้ว่าลูกค้าชอบอะไร หรือไม่รู้อะไร” นี่คือสิ่งที่มองว่าเป็นข้อได้เปรีบครับเพราะเราจะเรียนรู้ได้ว่าพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นยังไง
.
“ตอนนี้ Nebraska Furniture Mart (บริษัทที่ปู่ลงทุนอยู่) ทำกำไรได้มากถึง 9.3 ล้านเหรียญ ทั้งๆที่มีทุนจดทะเบียนเริ่มต้นแค่ 2,500 เหรียญ และไม่เคยเพิ่มทุนเลย” ปู่เลยบอกว่า น่าจะเป็นการลงทุนที่ดีเลยแหละ
.
============
.
12.ชื่นชม Jeff Bezos อภิมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก
.
“การที่เราไม่ได้ลงทุนในหุ้น Amazon ตั้งแต่ช่วงแรกๆ (ก่อนที่ราคาหุ้นจะวิ่งเป็นม้า)” ปู่ ชาร์ลี มังเกอร์ ตอบทันทีว่า “เฮีย Jeff Bezos เก่งมาก เหมือนเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์”
.
ปู่บัฟเฟตต์เสริมว่า การที่ Berkshire เข้าไปลงทุนในหุ้น Amazon เมื่อไม่นานมานี้ ไม่ได้เปลี่ยนหลักการของการเป็นนักลงทุนหุ้นคุณค่าแต่อย่างใด
.
ปู่เคยพูดอยู่ครั้งนึงครับว่า เค้าชื่นชมเฮีย Jeff Bezos มากๆ “ผมเป็นแฟนคลับของคุณ Bezos เลยแหละ และผมเสียดายมากที่ไม่ได้ซื้อหุ้น Amazon ก่อนหน้านี้”
.
ปู่บอกว่า เค้าเคยเจอเฮีย Bezos ครั้งแรกเมื่อ 20 ปีที่แล้ว และรู้อยู่แล้วว่าคนคนนี้ เป็นคนมีของ เป็นคนที่พิเศษมากๆไม่เหมือนคนอื่น
.
แต่ก็ยอมรับว่าไม่เคยคาดคิดว่า จากเดิมที่ขายหนังสือออนไลน์ จะสามารถขยายธุรกิจมาขายของทุกอย่างบนโลกใบยนี้ได้ อย่างทุกวันนี้ครับ
.
============
.
13.คำถามที่น่าสนใจอีกอย่างคือ “ถึงจุดจบของแนวคิดการลงทุนแบบหุ้นคุณค่าแล้วหรือยัง?”
.
อย่างที่เราเห็นแหละครับว่าสไตล์การลงทุนหลังๆของ Berkshire เริ่มเปลี่ยนไปแล้ว เริ่มซื้อหุ้นเทคโนโลยีมากขึ้น
.
“การลงทุนทุกอย่าง ยังเป็นไปตามหลักคิดของนักลงทุนหุ้นคุณค่า” ปู่บอกครับ และย้ำว่าราคาหุ้นในกระดานไม่ควรเป็นเพียงปัจจัยเดียวในการพิจารณาว่าเป็นการลงทุนหุ้นคุณค่าหรือไม่
.
โดยปู่บอกว่า ตัวเค้ายังมั่นใจในตัว Ted และ todd ที่เป็นผู้บริหารรุ่นใหม่ที่เข้ามาตัดสินใจในการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีหลายๆตัว
.
“ผมยังเชื่อใจพวกเค้า และไม่เคยลังเลเกี่ยวกับแนวทางการลงทุนของพวกเค้าเลยแม้แต่น้อย” “เพราะพวกเค้าพยายามมองหาในสิ่งที่พวกเค้าเข้าใจ และเป็นธุรกิจที่จะศักยภาพในการพัฒนาไปได้อีกมาก”
.
คุณปู่ชาร์ลี มังเกอร์ เสริมว่า สิ่งที่เค้าเสียใจ ไม่ใช่การที่ไม่ได้ซื้อหุ้น Amazon ตั้งแต่ไม้แรกๆนะครับ แต่เป็นหุ้น Google ต่างหาก
.
ปู่เองก็พยักหน้าเห็นด้วยครับ พร้อมบอกว่า เราเห็นชัดแล้วว่า บริษัทลูกของเราอย่าง Geico ซื้อโฆษณา goole มากมายแค่ไหน แต่เราก็ไม่ได้ซื้อหุ้น google และนั่นคือข้อผิดพลาดอย่างหนัก
.
============
.
14.แนะนำให้กองทุนบำเหน็จ บำนาญ pension fund พิจารณาการลงทุนให้ดี.
เป็นคำถามที่ตึงเครียดเหมือนกันครับ ตอนนี้จะเห็นว่าระยะหลังกองทุนบำเหน็จ บาญ ของสหรัฐเข้าไปลงทุนใน private equity และ hedgefund เยอะมากขึ้นหลายเท่าตัวตลอด สิบปีที่ผ่านมา
.
“ผมคงจะไม่ตื่นเต้นอะไรมากมาย กับสิ่งที่เรียกว่าการลงทุนทางเลือกครับ” ปู่บอกครับ
.
แต่สิ่งที่ปู่เตือนคือ ตอนนี้เราจะเห็นว่าบางกองทุน private equity และ hedgefund มีค่าธรรมเนียมที่สูง และมีความเสี่ยงมาก และจะเห็นว่าการคำนวณผลตอบแทนอาจจะไม่ถูกต้องนัก (ที่แสดงให้นักลงทุนดูเพื่อตัดสินใจซื้อกองทุน)
.
“ถ้าผมเป็นคนบริหารกองทุนบำเหน็จ บำนาญ ผมจะระมัดระวังอย่างมากเกี่ยวกับแนวทางในการลงทุน” ปู่ปิดท้ายครับ
.
============
.
15.มีน้องอายุ 13 ปีคนนึงถามว่าปู่อดทนและพึงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ได้อย่างไร แล้วเด็กๆจะพัฒนาทักษะเหล่านี้ได้ยังไง (ถามอีกแฮะ)
.
ประเด็นนี้สำคัญครับ คุณปู่บอกว่า ไม่จำเป็นที่ทุกครอบครัวจะมองว่าการประหยัดเงินเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ที่ควรทำในชีวิตของเรา (โดยมองว่าระดับอัตราดอกเบี้ยตอนนี้ ยังไงการลงทุนในหุ้นก็ดีกว่าพันธบัตรในระยะยาวอยู่แล้วครับ)
.
“มีหลายอย่างมากๆที่จะช่วยให้คุณและครอบครัวของคุณมีความสุขมากกว่าการที่จะ มานั่งประหยัดกันทุกบาท ทุกสตางค์” ผมเข้าใจว่าปู่คงอยากจะบอกว่า การออมเงินเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่ใช่การออมเงินแบบทำให้ชีวิตของเราลำบากครับ
.
ปู่สอนแนวคิดได้ดีมากครับ “ถ้าตอนที่คุณมีตัง 5 หมื่นเหรียญ หรือ 1 แสนเหรียญ แล้วคุณยังไม่มีความสุข” “คุณก็จะไม่มีความสุขตอนที่คุณมีเงิน 50 ล้านเหรียญ หรือ ตอนที่เรามีนตัง 100 ล้านเหรียญ คุณก็จะไม่มีความสุขอยู่ดี”.
เพราะเราไม่เห็นความสัมพันธ์ระหว่างความสุขกับเงินที่เรามี (จงมีความสุข พอเพียงตามสิ่งที่เรามี เป็นคำสอนที่ดีมากครับ)
.
ส่วนปู่ชาร์ลี ตอบว่า หลายคนเกิดมาก็มีความอดทนและพึงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ได้ตามพันธุกรรม แต่บางคนก็ไม่มี และเป็นสิ่งที่ไม่สามารถสอนกันได้
.
============
.
16.ปีนี้มีเด็กๆมาถามเยอะมากครับ คำถามนึงที่ผมชอบมากๆคือ เด็กคนจีนพูดภาษาอังกฤษเทพมากๆ บอกว่าน้องเค้ามาที่นี่เป็นปีที่ 2 แล้ว
.
“การที่คุณปู่มังเกอร์เคยบอกว่า ยิ่งอายุมากเท่าไหร่ จะยิ่งเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์มากเท่านั้น” “ธรรมชาติของมนุษย์ที่ว่านั้นคืออะไร” “แล้วการที่เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์จะช่วยการลงทุนได้อย่างไร” โห... ไม่น่าเชื่อว่า นี่คือคำถามจากเด็กอายุไม่มากครับ คนฮือฮาทั้งห้องเลยครับ เป็นคำถามที่ดีจริงๆ
.
“แน่นอนว่า ผมคงจะต้องใช้ไม้ช่วย ถ้าผมต้องเดินลงจากเนินเขา” “หรือถ้าดูผลสอบ SAT ตอนนี้แล้วเปรียบเทียบกับตอนที่ผมอายุ 20 ต้นๆ ผมคงได้คะแนนน้อยๆแน่ๆ” ปู่บอกครับ
.
แต่สิ่งที่ผมทำได้ดีกว่า ตอนวัยรุ่น คือตอนนี้ผมเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์มากกว่าเดิมมาก
.
ส่วนปู่ชาลี มังเกอร์ แนะนำให้ดูตัวอย่างจาก ท่าน ลีกวนยู บิดาผู้สร้างชาติสิงคโปร์ครับ “หลักคิดสำคัญของท่านคือ ดูว่าอะไรน่าจะ work อะไรที่น่าจะทำได้แล้วมีทางประสบความสำเร็จ แล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องลงมือทำ“
.
“น้องแค่ต้องออกไปใช้ชีวิต แล้วพกปรัชญาในการใช้ชีวิตที่น้องคิดว่าน่าจะ work แล้วก็ลงมือทำ แค่นั้นเอง” ปู่มังเกอร์ปิดท้ายครับ
.
============
.
17.ความเห็นเมื่อมองบิทดอยอย่างไร ?
.
ต้องบอกว่าเป็นคำถามที่แกถูกถามทุกปีเลยครับ คุณปู่บอกว่า “การลงทุนในบิทดอย เหมือนการไปลาสเวกัส แล้วเสี่ยงดวงครับ”
.
ปู่เล่าให้ฟังว่า ตอนที่ตัวเค้าพาแฟนไปฮันนีมูน ในปี 1952 ตอนนั้นเจ้าสาวอายุ 19 ปี ส่วนตัวเค้า อายุ 21 ปี
.
“ผมมองไปรอบๆ แล้วเห็นคนแต่งตัวดีมากๆ แล้วเดินทางไปที่ลาสเวกัส เพื่อทำอะไรบางอย่างทั้งๆที่รู้ว่า การเสี่ยงดวงแบบนั้นเมื่อคำนวณทางคณิตศาสตร์แล้วไม่มีทางที่จะคุ้มเลย แต่เค้าก็ชอบทำกัน” นี่เป็นการเปรียบเทียบที่คมคายมากครับ
.
============
.
18.ข้อดีของการลงทุนในบริษัทประกันของ Berkshire
.
มีคนถามว่า ตัวเค้าวิเคราะห์และให้คุณค่ากับบริษัทประกันของเค้าอย่างไร ปู่ตอบทันทีว่า “บริษัทประกันมีค่ามากกว่าที่เราเห็นในกระดาษ และ Berkshire จะไม่มีวันขายออกไปเด็ดขาด”
.
ความสวยงามของธุรกิจประกันประเภทนี้คืออะไร? มันก็คือ บริษัทประกันจะรับเงินเบี้ยประกันแบบ upfront คือรับเงินทันทีเลย แต่จ่ายค่าสินไหมทดแทนภายหลัง
.
โอเคแหละครับ ต้องมีจ่ายชดเชยช่วงที่เจอภัยพิบัติบ้าง แต่ปกติแล้วก็จะไม่ต้องจ่ายโดนทันที แต่เป็นการทยอยจ่ายไปในระยะเวลาหลายสิบปีครับ ทำให้มีผลประโยชน์เกิดขึ้นครับ
.
ผลประโยชน์แบบนี้เรียกว่า Float ครับ หรือเงินที่รับมาแล้ว สามารถเอาไปหมุนต่อ (เอาไปลงทุนต่อ) ได้โดยที่ไม่ต้องรีบจ่ายออกไป (เริ่มเห็นภาพแล้วใช่ไหมครับ)
.
“เรามีสินทรัพย์มากมาย ในบริษัทประกันที่ไม่เกี่ยวข้องกับภัยพิบัติ และเราสามารถใช้เงินที่เรียกว่า Float นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าบริษัทประกันส่วนใหญ่ในตลาด”
.
นอกจากนี้ Ajit ผู้บริหารคนเก่งที่มีโอกาสมาเป็นผู้สืบทอดอาณาจักร berkshire ยังเสริมว่า ปกติแล้วเค้าจะรวบรวมข้อมูลให้มากที่สุดที่จะสามารถทำได้ แล้วก็คำนวณความเสี่ยงที่แม้จะมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยก็ตาม
.
พอรู้ความเสี่ยงแล้วก็ต้องทดสอบดูว่า เราสามารถรับมือความเสี่ยงเหล่านั้นได้หรือไม่
.
“คุณ Ajit เป็นคนที่เก่ง เป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีบริษัทไหนในโลกใบนี้มี” ปู่บอกครับ โอโห พูดแบบนี้คุณ Ajit น่าจะปลื้มไปอีกนานเลยครับ จะสังเกตว่าปู่ไม่เคยยกความดีให้ตัวเองเลยครับ มีแต่ยกให้ลูกทีม สุดยอดจริงๆครับ
.
============
.
19.ถ้าอยากบริหารจัดการเงินบ้างควรทำอย่างไร?
.
ปู่ตอบว่า “ผมไม่คิดว่าคุณควรบริหารจัดการเงินให้คนอื่น จนกว่าคุณจะมีเครื่องมือในการลงทุน และสามารถเข้าถึงกลุ่มคนที่มีเคมีตรงกับคุณได้”
.
แต่ถ้าจะทำจริงๆ ควรเริ่มจากเล็กๆ และแม้จะทำผิดพลาดบ้างก็คงจะไม่เป็นอะไรครับ ปู่เสริมครับ
.
============
.
20.คำถามนึงที่ถูกถามเรื่อยๆ คือ การดำเนินงานของ Krfat heinz ครับ
.
คำถามคือ ข้อผิดพลาดที่ทำให้การดำเนินงานไม่เป็นไปตามคาด เป็นเพราะพวกเค้าไมได้ลงทุนด้านการวิจัย พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ทำให้เป็นการทำลาย Moat ป้อมปราการ ขีดความสามารถในการแข่งขันเมื่อเทียบกับคู่แข่งหรือไม่
.
ปู่บอกว่าไม่เห็นด้วย เพราะมองว่าปัญหาไม่ได้อยู่การตัดงบด้านการวิจัย แต่ปัญหาคือการตัดสินใจซื้อกิจการที่ราคาสูงเกินไป
.
โดยย้ำว่า Kraft Heinz เป็นธุรกิจที่ดี และตอนนี้ก็ทำกำไรได้มากกว่าในอดีตในช่วง 6-7 ปีที่แล้วอย่างมาก
.
============
.
21.อีกหนึ่งคำถามยอดฮิต คือ การลงทุนใน Apple ที่ถูกถามประเด็นนี้เป็นเพราะว่าระยะหลัง Apple เริ่มเจอกรณีถูกกฏระเบียบมาควบคุมมากขึ้น และเริ่มมีประเด็นข้อพิพาทกับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่หลายราย.
“ผมยังชอบการลงทุนในหุ้น Apple อย่างมาก และดีใจที่มีหุ้น Apple มากที่สุดในพอร์ต” ปู่ตอบครับ โดยปฏิเสธที่จะคาดการณ์ผลประกอบการในอนาคตของ Apple
.
“พวกเราอยากมีหุ้น Apple มากกว่านี้” “หากราคาหุ้นต่ำกว่านี้ พวกเราก็จะซื้อหุ้น Apple มากขึ้น”
.
ปู่มังเกอร์เสริมว่า “ในครอบครัวของผม คนไหนก็ตามที่ใช้โทรศัพท์ Apple ก็จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะเลิกใช้” เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นความรักต่อ ค่าย Apple อย่างมากครับ
.
============
สรุปปู่บัฟเฟตต์ประชุมผู้ถือหุ้นที่นักลงทุนรายย่อยไทยพลาดไม่ได้ ตอนที่ 3
.
โดยเพจ ถามอีก กับอิก เรื่องลงทุน.
ปู่บัฟเฟตต์กับชาร์ลี มังเกอร์ ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเลยครับ พูดได้นานมากๆ มาลุยอ่านตอนที่ 3 กันต่อเลยครับ
.
============
.
22.อะไรคือสิ่งที่คุณให้ความสำคัญมากที่สุดในชีวิตตอนนี้?
.
คำถามจะมีเป็นแนวปรัชญาในการใช้ชีวิตบ้างครับ ปู่มังเกอร์บอกว่า การมีชีวิตมากกว่านี้หน่อยนึง (ตอนนี้แก อายุ 95 ปีละครับ แต่ยังแข็งแรงอยู่เลยนะครับ)
.
ส่วนปู่บัฟเฟตต์ตอบว่า มีอยู่ 2 อย่างที่เงินไม่สามารถซื้อได้ นั่นคือ เวลาและความรัก นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องมีเงินเยอะพอสมควร
.
“เพราะถ้าเรามีเงินมากพอ เราก็จะสามารถทำอะไรก็ตามที่เราชอบได้ (โดยที่ไม่ต้องกังวลอะไร)”.
============
.
23.ทำไม Berkshire ถึงไม่เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลตอบการดำเนินงานของพอร์ตหุ้น.
ปู่บัฟเฟตต์ตอบว่า “เราไม่ได้ทำธุรกิจประเภทที่จะต้องอธิบายรายละเอียดทุกเม็ดว่า ทำไมเราถึงซื้อหุ้นตัวนั้น ตัวนี้”
.
และขยายความเพิ่มเติมว่า หลายครั้งคนที่อยากได้ข้อมูลเพิ่มจริงๆแล้วเป็นนักวิเคราะห์ต่างหากแหละครับ เพราะเป็นกลุ่มที่ต้องการรายละเอียดทุกเม็ด ซึ่งไม่จำเป็นสำหรับนักลงทุนรายย่อย
.
โดยมองว่าการเขียนรายงานประจำปีของ Berkshire อาจจะไม่ได้ทำให้ทุกคนเข้าใจในทุกสิ่งทุกอย่างที่ Berkshire เป็นเจ้าของก็ตาม แต่ก็เข้าใจเกี่ยวกับวิธีคิดและบริหารจัดการ (ซึ่งมากพอสำหรับการวิเคราะห์ธุรกิจแล้ว)
.
“ผมไม่รู้หรอกว่าเราให้ผลตอบแทนที่มากกว่าตลอดหรือป่าว แต่ขอให้มั่นใจเลยว่าเราทำธุรกิจในแบบที่ตอบสนองความต้องการของผู้ถือหุ้นใส่เงินทั้งหมดที่มีอยู่ใน Berkshire”
.
============
.
24.มีคำถามนึงน่าสนใจจากหนูน้อยอายุ 9 ขวบ ที่มาที่งานประชุมผู้ถือหุ้นรอบนี้เป็นรอบที่ 3 แล้ว.
ปู่แซวว่า มาบ่อยขนาดนี้ งั้นแสดงว่าน้องน่าจะรวยแล้วนะ (เรียกเสียงฮือฮาได้อีกตามเคยครับ สังเกตว่าปีนี้มีคำถามจากเด็กๆเยอะเหมือนกันครับ)
.
“Berkshire Hathway จะปรับตัวพัฒนาโมเดลที่จะเพิ่ม Moats แล้วก็ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีเพิ่มมากขึ้นไหมคะ?”
.
ปู่ตอบอย่างอารมณ์ดีว่า Berkshire จะพยายามมองหาบริษัทที่มี moats ป้อมปราการที่แข็งแรง มีขีดความสามารถในการแข่งขัน
.
เป็นหุ้นที่คู่แข่งเข้ามาแข่งขันยาก ซึ่งนั่นเป็นหลักปรัชญาการลงทุนของ Berkshire ที่ใช้มานานอยู่แล้ว
.
“พวกเราไม่อยากที่จะพยายามชนะเกมใดๆ ที่พวกเราไม่เข้าใจ” “แต่เราก็จะพยายามอย่างดีที่สุด ที่จะเพิ่มขอบเขตความรู้ ความเข้าใจในหลายๆธุรกิจมากขึ้น เพื่อที่เราจะไม่ได้พลาดโอกาสในการลงทุนไปอย่างน่าเสียดาย”
.
(ปู่จะลงทุนเฉพาะในสิ่งที่ปู๋เข้าใจเท่านั้นครับ อันไหนไม่เข้าใจก็จะยอมปล่อยผ่านไป เพราะฉะนั้นเพื่อไม่พลาดโอกาสในการลงทุนปู่เองก็ต้องหาความรู้ใหม่ๆเพิ่มเติมตลอดเวลานั่นเองครับ)
.
ปู่มังเกอร์ เสริมสั้นๆว่า เราจะพยายามพัฒนาต่อไปครับ.
============
.
25.คุณปู่มองว่าใครที่จะเป็นคู่แข่งของบริษัทประกันรถยนต์ที่คุณปู่ถือหุ้นเยอะๆอย่าง Geico
.
ถ้าเป็นผู้บริหารทั่วไปคงจะตอบว่าไม่มี แต่ปู่บอกว่า มีนะครับ นั่นคือบริษัทที่ชื่อว่า Progressive Corp.(หนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการประกันรถยนต์สหรัฐครับ) “Gieco เป็นบริษัทที่บริหารจัดการดีมากครับ ในขณะเดียวกันบริษัท Progressive ก็บริหารธุรกิจได้ดีเยี่ยมไม่แพ้กันเลย”
.
ปู่ไม่ได้กังวลเลยว่าการที่ Elon Musk ประกาศว่าจะมาทำธุรกิจประกันรถยนต์โดยมีจุดขายที่ฐานข้อมูลคนขับ (ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่ควรรู้พฤติกรรมการขับขี่ของคน แต่ธุรกิจประกันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ) แต่สิ่งที่น่ากลัวการที่บริษัทรถยนต์จะมาทำประกัน คือบริษัทประกันที่มีความเชี่ยวชาญต่างหาก
.
“เดี๋ยวพวกเราก็คงจะเห็นแหละครับว่า อีก 5-10 ปีนับจากนี้ใครจะเป็นผู้ขนะ” ดูเหมือนว่าปู่จะค่อนข้างชื่นชมแนวทางการเติบโตของ Progressive อย่างมากครับและมองว่าหลายครั้งผู้นำธุรกิจทั้งสองนี้ก็มักจะลอกเลียนแบบกลยุทธ์ซึ่งกันและกัน
.
“แต่มองว่า Geico ยังมีความได้เปรียบอยู่บ้างในด้านอัตราส่วนค่าใช้จ่าย expense ratio” คุณ Ajit (ทายาทธุรกิจที่มีโอกาสมาเป็น CEO แทนปู่บัฟเฟตต์) ช่วยเสริมปู่ครับ
.
แต่ถ้าเป็นอัตราส่วน Loss ratio หรือ สัดส่วนของค่าสินไหมทดแทนต่อค่าเบี้ยประกันภัย ต้องยกให้ Progressive ที่ทำได้ดีกว่า “ตอนนี้ Geico กำลังมีโครงการอะไรบางอย่าง ซึ่งหวังว่าถ้าทำสำเร็จจะช่วยทำให้มีผลงานใกล้เคียงกับ Progressive ได้” คุณ Ajit พูดปิดท้ายครับ
.
============
.
26.อีกหนึ่งคำถามที่น่าสนใจคือแนวทางในการลงทุนในธุรกิจสาธารณูปโภคพื้นฐานว่า ควรเน้นลงทุนให้เติบโตมากกว่านี้หรือไม่?
.
ปู่ขอให้ Greg Abel ซึ่งเป็นอีกคนหนึ่งที่ถูกเก็งว่ามีโอกาสขึ้นมาเป็น CEO ของ Berkshire ตอบแทนครับ
.
คุณ Greg ตอบว่า “ตอนนี้ Berkshire Hathaway Energy เน้นการลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทนใน Iowa แต่ก็กำลังมองหาโอกาสในการลงทุนเพิ่มในหุ้นสาธารณูปโภค เช่น PacifiCorp, NV Energy”
.
มองว่า PacificCorp กำลังสร้างสายส่งใหม่และเน้นธุรกิจพลังงานทดแทนมากขึ้นเพียงแต่โครงการเหล่านี้อาจจะช้าไปนิดนึง เพราะคิดมาตั้งแต่ปี 2008 แต่ตอนนี้เพิ่งจะเริ่มสร้าง เฟสที่ 1
.
ต้องบอกว่า ปู่บัฟเฟตต์เองก็ชอบธุรกิจประเภทนี้นะ Berkshire Hatway Energy utility สามารถบริหารจัดการได้ดี จนถึงขั้นขายไฟฟ้าในราคาที่ถูกกว่าบริษัทที่บริหารจัดการโดยรัฐบาล ซึ่งมีข้อได้เปรียบบางอย่างเช่น ได้รับการยกเว้นภาษี
.
============
.
27.ในเมื่อ Berkshire มีเงินสดในมือสูงถึง 3.4 ล้านล้านบาท ทำไมถึงไม่เอาไปพักเงินไว้ที่ index fund กองทุนดัชนีก่อนละ แล้วถ้าเจอดีลซื้อกิจการดีๆ แล้วค่อยโยกเงินมาซื้อก็ได้นิครับ?
.
อันนี้น่าสนใจเพราะก่อนหน้านี้ปู่เองก็พูดมาเสมอๆว่า ถ้าไม่มีเวลาในการติดตามการลงทุนมากพอก็ควรมองการลงทุนในกองทุนดัชนีเป็นตัวเลือกในการลงทุนระยะยาว
.
“กองทุนดัชนี คือ กองทุนที่เน้นสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับตลาด”
.
และคนถามก็มองว่า ถ้าบัฟเฟตต์เอาเงินไปพักในกองทุนดัชนีป่านนี้ผลตอบแทนก็เพิ่มขึ้นอีกมากกว่า 4.3 หมื่นล้านเหรียญหรือกว่า 1.2 ล้านล้านบาท
.
"ผมไม่เถียงในด้านตัวเลข เพราะตลาดหุ้นขึ้นมา 335%"
.
ปู่อธิบายว่า “จริงๆแล้วมีกฏเกณฑ์บางประการด้วย” ”ถ้าปู่เอาเงินสดไปพักกับกองทุนดัชนีในระยะสั้น เท่ากับว่าเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่อาจจะเจอความผันผวนของตลาดหุ้นก็เป็นได้”
.
"และอาจจะทำให้เสียโอกาสในการลงทุนโดยเฉพาะหลังจากช่วงที่เพิ่งเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ที่ตอนนั้นปู่เลือกจะลงทุนใน goldman sachs มูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท"
.
ซึ่งปู่ย้ำว่า ดีลที่มีโอกาสลงทุนมากๆแบบนี้ไม่ได้มากันบ่อยๆ และไม่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าจะมาเมื่อไหร่เพราะฉะนั้นต้องเตรียมเงินให้พร้อมครับ
.
แต่โอเคครับในะระยะยาวก็อาจจะเป็นสิ่งที่ควรทำในอนาคตก็ได้ครับ “ถ้าให้เลือกลงทุนในพันธบัตรกับกองทุนดัชนี ยังไงก็ชอบลงทุนในกองทุนดัชนีมากกว่าอยู่แล้ว”
.
ส่วนปู่ชาร์ลี มังเกอร์ บอกเลยว่า พวกเราใช้นโยบายอนุรักษ์นิยมกับเงินสดมากกว่าคนส่วนใหญ่เสียอีก เพราะไม่อยากก้าวพลาดเหมือนกับมหาวิทยาลัย Harvard ที่ไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความซับซ้อน ณ จุดที่ราคาสูงสุด
.
============
.
28.สำหรับงานในอนาคตจะเป็นอย่างไร หลังจากที่การใช้ AI ระบบอัตโนมัติ ระบบหุ่นยนต์และแนวคิดของการจ้างงานมนุษย์แบบชั่วคราวนำมาใช้กันมากขึ้น.
ปู่บอกว่ายังไม่น่ากังวลครับ พร้อมกับให้ข้อคิดว่า “สมมติว่าเมื่อ 200 ปีที่แล้วคุณบอก ทุกคนในสมัยนั้นว่า สัดส่วน 90% ของงานเกษตรจะหายไป ก็คงจะไม่มีคนเชื่อแน่ๆ จริงไหมครับ”
.
คุณปู่พยายามอธิบายแหละครับว่า สุดท้ายเดี๋ยวก็จะมีตำแหน่งหน้าที่การงานใหม่ๆเกิดขึ้นมาทดแทนงานที่กำลังจะถูกหุ่นยนต์แทนที่ (ขึ้นอยู๋กับว่า เราจะปรับตัวได้ดีแค่ไหน)
.
ปู่มังเกอร์เสริมในช่วงหลังว่า วิธีที่จะช่วยให้คนทั่วไปประสบความสำเร็จได้คือความเชี่ยวชาญในสิ่งที่ตัวเองทำครับ “ไม่มีใครอยากไปหาหมอ ที่เป็นทั้งหมอด้านลำไส้และเป็นหมอฟันในคนๆเดียวกัน” คนฮาทั้งห้องเลยครับ
.
============
.
29.ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐ.
ปู่มังเกอร์ ตอบว่า โดยทั่วไปบรรยากาศการเจรจาเริ่มดีขึ้นเยอะครับ แต่คงจะสมเหตุสมผลมากกว่า ถ้าหากทั้งสองประเทศจะสามารถคุยกันได้ และทำการค้าร่วมกันได้
.
เพราะการที่ทั้งจีนและสหรัฐไม่สามารถไปด้วยกันได้ มีความขัดแย้งกัน ก็จะสร้างความเสียหายให้กับทั้งสองฝ่าย (ในเชิงเศรษฐกิจ)
.
“ตอนนี้ Berkshire มี Dairy Queen (ขายไอศครีม เป็นบริษัทลูกของ Berkshire) ทั่วประเทศจีนและมองว่ากำลังไปได้ดี และเราไม่ได้รอให้กฏเกณฑ์ใหม่ๆทำแล้วเสร็จ เราบริหารธุรกิจภายใต้กฏเกณฑ์แบบเดิมๆ”
.
ส่วนปู่บัฟเฟตต์เสริมว่า จีนเป็นตลาดที่ใหญ่มากๆ และเราชอบตลาดขนาดใหญ่
.
============
.
30.แล้วความเห็นเกี่ยวกับสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรปละ
.
ปู่เลี่ยงการตอบตรงๆครับ แต่บอกว่าตอนนี้ Berkshire เองก็กำลังมองหาดีล มองหาโอกาสในการลงทุนในยุโรป มากขึ้นแม้ว่าช่วงที่ผ่านมาจะเข้าไปลงทุนในยุโรปบ้างแล้วก็ตาม
.
“มองว่าการออก จากกลุ่มจะเป็นข้อผิดพลาด แต่คงไม่กระทบกับการลงทุนของ Berkshire”
.
“พวกเราคาดหวังว่าจะสร้างบรรลุข้อตกลงแล้วเข้าลงทุนเพิ่มเติมได้ ไม่ว่าผลการเจรจาจะเป็นยังไงก็ตามครับ” ปู่พูดเสริมครับ
.
============
.
31.สำหรับแนวทางหรือสไตล์ในการหาดีลเข้าซื้อหุ้นของปู่เป็นอย่างไร
.
ปู่บัฟเฟตต์อธิบายว่าตอนนี้เป็นหน้าที่ของผู้จัดการกองทุนอย่างคุณ Ted Weschler และคุณ Todd Combs ครับ แต่โดยทั่วไปแล้วต้องเป็นดีลที่ Berkshire ต้องการเป็นเจ้าของเท่านั้นครับ (ไม่ใช่ว่าใครจะมาเสนอแล้วรับหมด)
.
“Berkshire โดยทั่วไปแล้วจะไม่จ่ายราคาแพงที่สุด แต่จะให้ทีมผู้บริหารสามารถ บริหารงานต่อได้” “ถ้าหากบริษัทไหนก็ตามต้องการแค่เงินจากพวกเรา พวกเราก็คงจะไม่เข้าไปเจรจาด้วย เพราะเสียเวลาทั้งคู่” ปู่มองหาบริษัทที่ต้องการเสริมในแง่กลยุทธ์หรือขีดความสามารถในการแข่งขันให้ด้วยครับ
.
ปู่ย้ำว่า จริงๆแล้วปีหน้า Berkshire สามารถจ่ายเงินระดับ 1 แสนล้านเหรียญได้แบบสบายๆชิลๆครับ ไม่ใช่ปัญหาเลย แต่ปัญหาคือการใช้จ่ายเงินอย่างชาญฉลาดอย่างไรต่างหากละ
.
============
.
33.ตอนนี้จะเห็นว่าการทำธุรกิจแข่งขันกันหนักหน่วงมากๆ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ปู่คิดว่าจะเลือกศึกษายังไง.
“ผมจะอ่านหนังสือให้มากขึ้นเกี่ยวกับธุรกิจ” “พยายามมองหาว่าอะไรคือความรู้ที่สำคัญและพยายามทำความเข้าใจให้มากกว่าคู่แข่ง”
.
และจะพยายามเพิ่มความเข้าใจขอบเขตของความรู้ให้มากขึ้นกว่านี้
.
============
[ตอนจบ] สรุปปู่บัฟเฟตต์ประชุมผู้ถือหุ้นที่นักลงทุนรายย่อยไทยพลาดไม่ได้ ตอนที่ 4
.
โดยเพจ ถามอีก กับอิก เรื่องลงทุน.
สรุปให้อ่านกันยาวๆเพลินๆกันไปครับ วันหยุดอ่านชิลๆเติมความรู้ เติมแรงบันดาลใจกันครับ
============
.
34 .ข่าวใหญ่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วคือ การที่ Berkshire ประกาศว่าจะใส่เงินให้กับ Occidental เพื่อเข้าซื้อกิจการ Anadarko Petrolium Corp.
.
ปู่บอกว่า “นี่ไม่ใช่ดีลสุดท้ายแน่นอน และคาดหวังว่าดีลครั้งต่อไปจะมีขนาดมูลค่ามากกว่า 1 หมื่นล้านเหรียญ หรือ 3 แสนล้านบาท”
.
“Berkshire มีปัญหาในการนำเงินสดในมือไปลงทุนต่อ แต่แน่นอนว่าถ้าโอกาสที่ใช่ มาเมื่อไหร่ Berkshire ก็พร้อมที่จะลุยลงทุนอยู่แล้ว”
.
และยืนยันว่า ถ้าใครก็ตามที่ต้องการเงิน (และเป็นธุรกิจที่ดี) เค้าสามารถโทรมาหาปู่บัฟเฟตต์ได้ในวันศุกร์บ่ายๆ แล้วนัดเจอกันวันเสาร์ แล้ววันอาทิตย์ก็สามารถปิดดีลได้เลย
.
============
.
35.การที่ Apple หันมาทำธุรกิจบัตรเครดิต ปู่มองว่าจะกระทบกับธุรกิจของ Amex ผู้นำธุรกิจเครดิตที่ปู่ถือหุ้นอยู่หรือไม่คะ?
.
ปู่บัฟเฟตต์อธิบายว่า ยังไงๆก็มีการแข่งขันมากมายอยู่แล้ว และก็มีคู่แข่งในธุรกิจเสมอๆ “ผมไม่คิดว่าธุรกิจบัตรเครดิตสามารถเติบโตได้แค่โมเดลเดียว”
.
อย่างที่เราทราบกันดีว่า Amex ขยายธุรกิจไปทั่วโลก ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีการแข่งขันมากมายเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่ความเจ๋งคือยังสามารถบริหารจัดการ ให้เป็นบัตรที่ยังรักษาลูกค้าเดิมได้มากที่สุด
.
และแม้ว่าจะขึ้นค่าธรรมเนียม แต่ก็ยังรักษาลูกค้าเดิมไว้ได้ แถมยังสามารถเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้ เพราะอย่าลืมว่าภาพลักษณ์ของ Amex คือเน้นกลุ่มลูกค้าตลาดบน ซึ่งยังเป็นตลาดที่ใหญ่มาก
.
“ตอนช่วงปี 1950 Amex เคยโด่งดังในด้านเชคสำหรับนักท่องเที่ยวซึ่งทำรายได้ได้อย่างมหาศาลอยู่แล้ว แต่สิ่งที่น่าทึ่งคือเค้าต่อยอดธุรกิจไปเจาะลูกค้าตลาดบนในตลาดบัตรเครดิต ซึ่งสร้างรายได้ได้มากมาย เป็นเรื่องราวที่น่าทึ่งมากๆครับ” “ผมดีใจที่ผมเป็นเจ้าของในสัดส่วน 18% ของหุ้น Amex”
.
สำหรับปู่มังเกอร์ ไม่มีความเห็นเพิ่มเติม ดูเหมือนแกจะนั่งเหม่อด้วย จนปู่บัฟเฟตต์ต้องหันไปเรียกชื่อ 2 ครั้ง (สงสัยปู่บัฟเฟตต์จะตอบยาวเกินไป 55)
.
============
.
36.ไม่มีสูตรสำเร็จในการคำนวณความเสี่ยง
.
ปู่บัฟเฟตต์บอกว่า เราไม่มีสูตรสำเร็จในการคำนวณเรื่องความเสี่ยงหลอกครับ แต่สิ่งที่เราทำคือ การประเมินทั้งความเสี่ยงและโอกาสที่จะทำกำไรในทุกๆดีลก่อนที่จะเข้าซื้อหุ้นทุกครั้ง
.
“บางครั้งเราก็ผิดพลาดบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ในอนาคตเราก็คงจะทำผิดพลาด เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่การทำธุรกิจจะถูกต้องเสมอๆ”
.
“แต่เราก็ไม่คิดว่าผลลัพธ์จะเปลี่ยนถ้าหากมีคณะกรรมการมาช่วยคิดหลายๆคน หรือการที่ใช้ spreadsheet ของ excel มาช่วยคำนวณมากๆ”
.
ปู่ย้ำว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการรู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ แล้วคำนวณความเสี่ยงออกมา ว่าเราสามารถยอมรับได้หรือไม่
============
.
37.ตลอด 60 ปีที่ผ่านมาที่คุณปู่บัฟเฟตต์และปู่มังเกอร์ทำงานร่วมกันมาเคยมีความขัดแย้งกันบ้างไหม.
“ไม่เคยมีความขัดแย้งกันเลย เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมาก” ปู่บัฟเฟตต์บอกครับ ซึ่งปู่มังเกอร์เองก็เห็นด้วยและบอกว่าเราเข้ากันได้ดีมาก
.
ปู่บัฟเฟตต์เสริมว่า มีบ้างนะครับที่เราจะไม่เห็นด้วยในสิ่งที่อีกคนคิด แต่เราไม่เคยโกรธกัน ไม่เคยใช้อารมณ์ในการคุยกัน
.
“ผมยอมรับว่ามังเกอร์ฉลาดมากๆ แต่ก็มีหลายอย่างที่ผมใช้เวลาในการศึกษามากกว่าเช่นกัน และบางครั้งเราทั้งคู่ก็คิดว่าเราเป็นฝ่ายถูก แต่เราก็ไม่เคยทะเลาะกัน”
.
ปู่บัฟเฟตต์บอกว่า โชคดีมากที่รู้จักมังเกอร์ตอนอายุ 28 ปี และเราแบ่งหน้าที่ได้ดี “การมีคู่คิดธุรกิจดีที่ สำคัญไม่แพ้กับการที่มีคู่ครองที่ดี เพราะจะทำให้เรามีความสนุกในการทำงานและประสบความสำเร็จมากกว่าที่ทำคนเดียว”
.
“การสะสมเงินทองเป็นสิ่งที่ทุกคนทำ แต่การสะสมเพื่อนที่ดีก็เป็นสิ่งที่ควรทำไม่แพ้กัน”.
============
.
38.เมื่อปู่ชาร์ลี มังเกอร์พูดถึงหลักปรัชญาของการลงทุนส่วนตัว.
“ผมไม่ได้ลงทุนในดัชนีใดๆเลยครับ” “ผมตั้งใจเสมอที่จะถือหุ้นแค่ 2-3 ตัวก็พอละครับ” ปู่มังเกอร์บอกว่าไม่จำเป็นต้องถือหุ้น 50 ตัวในพอร์ตเลย ถ้าคุณรู้ว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่
.
ปู่มังเกอร์เล่นมุขว่า “ผมหวังว่า ทายาทของผมจะแค่นั่งอยู่เฉยๆก็พอละ”
.
แต่ปู่บัฟเฟต์มานิ่งๆ แต่ฮา คือ “ส่วนทายาทของผมนะเหรอ เค้าหวังให้ผมเปลี่ยนพินัยกรรมมากกว่า” เท่านั้นแหละครับฮาทั้งห้อง เพราะอย่างที่เรารู้กันดีว่าปู่บัฟเฟตต์จะบริจาคเงินส่วนใหญ่ที่เค้าหามาทั้งชีวิตให้กับมูลนิธิ Bill Gates
.
============
.
39.ยังมีอีกหลายอย่างที่เราไม่รู้.
“ผมมีความรู้ในหลายธุรกิจ แต่ก็มีอีกเยอะมากที่ผมยังไม่รู้ครับ”
.
นี่คือคำพูดของสุดยอดนักลงทุนระดับโลกอย่างปู่บัฟเฟตต์นะครับ “การที่เรารู้ว่า เรายังไม่รู้อะไรอีกมากมาย ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆนะครับ”
.
ปู่อธิบายเสริมว่า อย่าลืมว่าโลกของเรายังไงก็ต้องเปลี่ยน และโลกก็จะเปลี่ยนในทุกๆวัน
.
นั่นคือสิ่งที่ทำให้โลกของเรามีความน่าสนใจ เพราะนั่นหมายความว่าสิ่งที่เราเคยรู้ มันอาจจะไม่เพียงพอต่อการรับมือการเปลี่ยนแปลงของโลกใบเดิมอีกต่อไป .
============
.
40.ชีวิตนี้ต้องมีข้อผิดพลาดบ้างแหละน่า.
ปู่บัฟเฟตต์ให้ความเห็นว่า ปกติเราจะมีไอเดียในการทำธุรกิจ 10-12 ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อย่างแต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อย work หรอกครับแม้ว่าจะเปลี่ยนทีมผู้บริหารแล้วก็ตาม
.
ปู่มังเกอร์เสริมครับ “เราเคยล้มเหลวที่จะเปลี่ยนบริษัทขนมหวาน See’s Candies ให้กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Mars หรือ Hershey’s” ปู่เล่นมุขต่อว่ามันก็เหมือนกับความล้มเหลวในการได้รางวัลโนเบล หรือการเป็นอมตะ มันยากเกินไป (คนฮาทั้งห้องเลยครับ)
.
ปู่บัฟเฟตต์เสริมว่า “แต่อย่าลืมว่า ตอนนั้นเราซื้อกิจการมูลค่า 25 ล้านเหรียญในปี 1972 ซึ่งถ้าเทียบกับผลตอบแทนที่ได้รับเป็นหลัก 2 พันล้านเหรียญ ก็ถือว่าดีมากๆแล้ว”
.
============
.
41.ชื่นชม Tod และ Ted ผู้จัดการกองทุนคนเก่งอย่างมาก
.
มีคนถามว่าทำไมหลังๆผลตอบแทนของพอร์ต Berkshire เริ่มต่ำกว่าดัชนี ปู่บัฟเฟตต์เจ๋งมากครับ รีบช่วยลูกน้องตอบแทน โดยบอกว่า “มีคนนึงที่ทำผลตอบแทนได้สูงกว่าดัชนี แต่อีกคนต่ำกว่าเล็กน้อย“
.
จริงๆแล้วทั้ง Tod และ Ted เก่งมากๆ เป็นคนหนุ่มไฟแรง และทำได้ดีกว่าตัวปู่เองด้วยซ้ำไป ทั้งคู่บริหารพอร์ตมูลค่าสูงกว่า 1.3 หมื่นล้านเหรียญ หรือกว่า 4 แสนล้านบาท
.
“ผมชื่นชมในตัวทั้งสองท่านอย่างมากครับ Todd เองก็ดูแลโปรเจคที่ทำร่วมกับ JPMorgan และ Amazon เพื่อลดค่ารักษาพยาบาลของทั้งสามบริษัท” ส่วน Ted ก็บริหารการลงทุนในส่วนอื่นๆที่สำคัญมากๆเช่นกัน
.
“ทั้งสองท่านช่วย Berkshire ได้เยอะมากจริงๆ ทำให้เรามีโอกาสลงทุนเพิ่มขึ้นได้อีกเยอะ และยังช่วยคัดกรองบริษัทดีๆ และเค้าจะเลือกลงทุนเฉพาะธุรกิจที่พวกเค้าเข้าจเท่านั้นครับ”
.
“อีกอย่างที่ผมชอบ คือ เค้าเป็นคนดี และมุ่งมั่นลงทุนในแนวทางนักลงทุนหุ้นคุณค่าอย่างไม่ย้อท้อ” “ผมไม่เคยสงสัยในความสามารถของทั้งคู่ และมังเกอร์เองก็ไม่เคยสงสัยในความสามารถของผมครับ”
.
(โห ลูกน้องได้ยินน่าจะดีใจที่มีเจ้านายแบบนี้)
.
============
.
นอกจากจะได้ความรู้ธุรกิจ และการลงทุนแล้ว เรายังได้ปรัชญาในการใช้ชีวิตและการบริหารความรู้สึกของลูกทีมของเราด้วยนะครับ ชอบข้อไหนยังไง เข้ามาคอมเม๊นท์กันได้นะค้าบบบบ
.
============
https://yhoo.it/2PLeLX3
สรุปปู่บัฟเฟตต์ประชุมผู้ถือหุ้นที่นักลงทุนรายย่อยไทยพลาดไม่ได้ ตอนที่ 1
.
โดยเพจ ถามอีก กับอิก เรื่องลงทุน.
เป็นประจำทุกปีครับ เรามีนัดกับปู่บัฟเฟตต์และปู่ชาร์ลี มังเกอร์ ที่จะมาเล่าให้ฟังหลายเรื่อง ทั้งภาพรวมตลาด, มุมมองเศรษฐกิจ และแนวคิดการลงทุนที่เราควรอ่าน ถ้าอยากเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ
.
ปีนี้ยังแข็งแรงทั้งคู่และยังมีอารมณ์ขันเช่นเคยครับ (แต่พลังเสียงดูอ่อนแรงไปเยอะเลยครับถ้าเทียบกับปีที่ผ่านๆมา พูดไป หายใจแรงๆไป เอาใจช่วยนะครับปู่บัฟเฟตต์)
.
มาลุยอ่านกันยาวๆ ผมรับรองว่าอ่านแล้วเราจะเก่งขึ้นไม่มากก็น้อยครับ ที่นี่ที่เดียวครับ
===========
.
1.ปู่เริ่มจากการประกาศผลประกอบการของแกก่อนครับ
.
ไตรมาสล่าสุด Berkshire มีกำไรสูงถึง 2.166 หมื่นล้านเหรียญ หรือ 7 แสนล้านบาท เทียบกับปีที่แล้วที่ขาดทุนขาดทุนไป 1.14 พันล้านเหรียญ หรือ 4 หมื่นล้านบาท
.
“การที่ผลประกอบการเหวี่ยงขนาดนี้เป็นผลจากกฏเกณฑ์ทางบัญชี ที่ต้องรายงานหุ้นที่ปู่ขาดทุน หรือกำไร ทั้งๆที่กแกยังไม่ได้ขาย” คุณปู่อธิบายครับ
.
ปู่เน้นย้ำครับ “นักลงทุนไม่ควรมองแต่กำไร บรรทัดสุดท้าย” “โดยให้เน้นดูผลกำไรจากการดำเนินงานแทน”
.
“ผลประกอบการปีนี้ ไม่ได้รวมกำไรจาก Kraft Heinz ผู้ผลิตซอสมะเขือเทศชื่อดัง เพราะ Kraft Heinz ไม่ได้รายงานผลประกอบการกับกลต.”
.
ตอนที่แกซื้อหุ้นนี้ สัดส่วน 26.7% ใน Heinz ในปี 2015 ค่อนข้างฮือฮาครับ แต่ดูตอนหลังๆจะไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่ (มีช่วงนึงที่ทำผิดทางบัญชี)
============
.
2.Berkshire ประกาศซื้อหุ้นคืนมูลค่า 1.7 พันล้านเหรียญหรือ 5 หมื่นล้านบาท (ปีนี้ถูกถามเยอะมากๆ)
.
ตอนนี้มีเงินสดล้นมือกว่า 1.142 แสนล้านเหรียญ หรือ 3.4 ล้านล้านบาทเลยมีคนตั้งคำถามนี้กับปู่ครับ “ทำไม Berkshire ไม่ซื้อหุ้นคืนมากกว่านี้”
.
“ต่อให้เรามีตัง 1 แสนล้านเหรียญ หรือ 2 แสนล้านเหรียญก็ตาม เราจะไม่ยอมเปลี่ยนแนวทางในการซื้อหุ้นคืน”
.
“ก่อนหน้านี้เราจะดู book value แต่ตอนนี้เป็นวิธีที่ล้าสมัยแล้วละ”
.
เราจะซื้อหุ้นก็ต่อเมื่อราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน (หลังจากผ่านการวิเคราะห์อย่างอนุรักษ์นิยม) หรือถ้าไม่สามารถหาหุ้นที่ดีกว่าได้
.
โดยปู่มั่นใจว่าการซื้อหุ้นคืนในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ดีต่อผู้ถือหุ้นแน่นอน
.
“ถ้าหุ้นเราถูกมาก เมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน เราจะไม่ลังเลที่จะซื้อเลย เราสามารถจัดหนักได้ 1 แสนล้านเหรียญได้แบบสบายๆ” ปู่เสริมครับ
.
(สังเกตว่า ระหว่างที่ปู่พูด ปู่ชาร์ลีเคี้ยวขนมๆไปด้วย กินโค้กไปด้วย เป็นภาพที่น่ารักไปอีกแบบครับ 55)
.
และปู่ชาร์ลี ตอบคำถามสั้นเหลือเกิ๊นครับ “เราจะมีอิสระมากขึ้นในนโยบายการซื้อหุ้นคืน” พูดแค่นี้แล้วจบ คนก็ฮาทั้งห้องประชุมเลยครับ
============
.
3. มีคำถามเกี่ยวกับธุรกิจรถไฟ (ที่ปู่ซื้อมานานแล้ว)
.
“ธุรกิจรถไฟ ทำธุรกิจแบบเดิมมานานมากๆแล้วครับ มากกว่า 100 ปีแล้ว” “ก่อนหน้านี้รถไฟจะรอสิ่งของ ขนของมาที่รถไฟ แล้วก็ออกจากสถานีรถไฟ ตอนที่ลูกค้าพร้อม”
.
แต่ตอนนี้แนวทางการทำธุรกิจเริ่มเปลี่ยนครับ เริ่มที่จะเหมือนกับเครื่องบิน ที่ได้มีการกำหนดเวลาในการออกจาก สถานีรถไฟล่วงหน้า นั่นหมายความว่า สินค้าเกษตร, แร่ธาตุ ต้องพร้อมที่สถานีรถไฟ ไม่งั้นก็ต้องตกรถไฟ
.
วิธีนี้เรียกว่า PSR (precision-scheduled railroading) หรือการกำหนดเวลารถไฟแบบเปะๆ
.
คำถามคือ ”BNSF หุ้นรถไฟที่ปู่ถืออยู่นั้น จะหันมาใช้วิธีนี้ไหม” ปู่ตอบทันทีว่า “เราไม่มีแนวทางในการคัดลอก อะไรก็ตามที่ประสบความสำเร็จ”
.
“เราจะทำอะไร ก็ต่อเมื่อเราเห็นว่า เป็นสิ่งที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดี” “และเป็นการทำให้กระบวนการทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น” “แต่เราจะไม่คัดลอกใคร (คู่แข่ง) เด็ดขาด“ ปู่ย้ำครับ
============
.
4.ยังมีคำถามเกี่ยวกับธุรกิจรถไฟ เพราะกลัวว่าจะมีรูปแบบการขนส่งอื่นๆที่จะมาแทนที่
.
“ตอนนี้เรายังไม่เห็นว่ารูปแบบการขนส่งแบบไหนที่จะสามารถมาแทนที่รถไฟในด้านการขนส่งได้”
.
“เราเห็นว่าตอนนี้เรา (ธุรกิจรถไฟ) มีประสิทธิภาพมากขึ้นในทุกๆปี” “ถ้าคนจะมองว่ารถไร้คนขับจากเข้ามาทำให้รถไฟ สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน ในการขนส่งสินค้า”
.
“ต้องอย่าลืมว่ารถไฟขนส่งสินค้ามากกว่าทุกรูปแบบการขนส่งในโลกใบนี้ โดยเฉพาะการขนส่งของหนัก ในระยะทางไกลๆ” ปู่เสริมครับ
============
.
5.ปู่เคยวิพากย์วิจารณ์ Salamon แล้วทำไมวิจารณ์ Wells Fargo ทั้งๆที่ทำข้อผิดพลาดคล้ายๆกัน (คนปรบมือทั้งห้องประชุมเลยครับสำหรับคำถามนี้)
.
Wells Fargo นับว่าเป็นธนาคารยักษ์ใหญ่ของสหรัฐที่ก่อนหน้านี้ ปู่บัฟเฟตต์จัดหนักซื้อหุ้นตัวนี้นานแล้วครับ
.
แต่ตอนหลังมีข่าวมาเรื่อยๆ ว่า Wells Fargo ทำบัญชีลูกค้าปลอมขึ้นมา
.
ปู่ตอบทันทีว่า “เห็นด้วยครับว่า Wells Fargo ทำข้อผิดพลาดจริง โดยได้ทำบัญชีปลอม ทั้งที่ไม่มีจริง” “เหตุผลที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งเกิดจาก การให้แรงจูงใจกับพนักงานแบบผิดๆ” (ถ้าพนักงานหาลูกค้าได้มากเท่าไหร่ ก็จะได้ผลตอบแทนมากเท่านั้น)
.
“เป็นวิธีที่ไม่มีทางสร้างกำไรให้กับ Wells Fargo ได้เลยครับ” แต่ปู่บอกว่า CEO ไหนก็ตามที่ทำข้อผิดพลาด ไม่ควรออกจากตำแหน่งไปพร้อมกับความร่ำรวย (หลายคนถูกให้ออก แล้วก็ได้เงินก้อนไป)
.
ปุ่ชาร์ลี บอกว่า จริงๆแล้วเค้าหวังว่า คุณ Tim Sloan อดีต CEO ของ Wells Fargo ยังอยู่ในตำแหน่ง CEO นะ เพราะมองว่าเป็นข้อผิดพลาดที่ไม่ตั้งใจ
============
.
6.มีคู่ที่น่ารักคู่นึงที่ถาม คือ หนูน้อยกับคุณพ่อครับ
.
“การลงทุนครั้งไหนที่น่าสนใจ หรือน่าสนุกที่สุดในมุมของปู่ครับ” คุณพ่อถามแทน ปรากฏว่า ปู่หยุดนิ่งไปประมาณ 3 วินาที แล้วคนก็หัวเราะทั้งห้องอีกตามเคย
.
ปู่ตอบไปว่า “ปกติการลงทุนก็สนุกเสมอแหละครับ ถ้าเราสามารถทำตังได้มากๆ” เท่านั้นแหละครับ คนฮาอีกแล้ว
.
ปู่เล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ที่ปู่เคยซื้อหุ้น Atled ครับ เป็นหุ้นที่พุ่งจาก 100 เหรียญ ไปเป็น 29,200 เหรียญ ซึ่งถ้ายังไม่ขายหุ้นตอนนี้มูลค่าคงจะหลายล้านแล้วละ
============
.
7.ช่วงนี้มีเสียงวิพากย์วิจารณ์เกี่ยวกับระบบทุนนิยม และเริ่มสนับสนุนนโยบายสังคานิยมในสหรัฐ ปู่จะคิดอย่างไรในเรื่องนี้ครับ? แล้วจะกระทบกับ Berkshire ยังไง?
.
ปู่ออกตัวก่อนว่าจริงๆแล้วความคิดเห็นทางการเมือง เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะ ไม่ใช่ในฐานะบริษัท berkshire
.
“Berkshire ไม่ได้ให้ตังกับผู้สมัครประธานาธิบดีเลย” “ระบบทุนนิยมเกี่ยวข้องกับกฏระเบียบ และเป็นแนวทางในการดูแลผู้คนที่ถูกทอดทิ้งในสังคม” ดังนั้นจึงไม่คิดว่า สหรัฐจะใช้ระบบสังคมนิยมในเร็วๆนี้ ไม่ใช่ในปี 2020, 2040, หรือ 2060 แน่ๆครับ
============
.
8.มีคนนึงน่าสนใจครับ เป็นคนจีนถามว่า “คิดอย่างไรเกี่ยวกับ 5G แล้วจะส่งผลอย่างไรต่อการทำธุรกิจ”.
ปู่บัฟเฟตต์ตอบไปว่า จะปล่อยให้ผู้บริหารของ Berkshire ลองคิดดูว่าจะทำอย่างไรเกี่ยบกับการมาของ 5G
.
ส่วนปู่ชาร์ลี ไม่ยอมตอบเกี่ยวกับ 5G เพราะแกยอมรับว่ารู้น้อยมากเกี่ยวกับ 5G
.
แต่อธิบายว่าตัวเค้าได้ซื้อหุ้นหลายตัวในจีน และคิดว่าจะซื้อมากขึ้น เท่านั้นแหละครับคนก็ขำกันหมด เพราะตอบไม่ตรงคำถาม (ไม่รู้ว่านัยยะคือ คนจีนเก่ง 5G หรือป่าว)
============
.
9.หนึ่งในเหตุผลที่ Berkshire จับมือเป็นพันธมิตรกับ JP Morgan และ Amazon
.
ปู่อธิบายว่า เป็นเพราะคาดหวังว่าภาคเอกชนจะช่วยพัฒนาได้อีกหลายอย่าง เนื่องจากปกติแล้วภาคเอกชนทำหน้าที่ได้ดีกว่าภาครัฐมาก
.
“โลกใบนี้จะเปลี่ยนไปอีกมาก แค่ลองคิดดูว่าตลอด 54 ปีที่ผ่านมาบริษัท berkshire เปลี่ยนไปมากขนาดไหน”
============
.
10.ยอมรับว่าจ่ายเงินแพงเกินไปสำหรับการซื้อหุ้น Kraft Foods Group
.
การเข้าซื้อหุ้น Kraft Foods Group ในปี 2015 ในสัดส่วน 27% ทำให้กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 5 ของโลก ดูแล้วก็น่าจะเป็นการลงทุนที่น่าสนใจ
.
แต่ระยะหลังดูจะมีปัญหาเกี่ยวกับการรายงานทางบัญชี
.
ปู่บอกว่า จริงๆแล้วก็ยังมีผลการดำเนินงานที่ดีนะ แต่การที่คุณจ่ายราคาแพงมากเกินไป (ซื้อหุ้นแพงไป) ก็อาจจะทำให้การลงทุนครั้งนั้นๆให้กลายเป็นการลงทุนที่ผิดพลาดได้เช่นกัน (ควรซื้อหุ้นที่ดีในราคาที่เหมาะสม)
============
สรุปปู่บัฟเฟตต์ประชุมผู้ถือหุ้นที่นักลงทุนรายย่อยไทยพลาดไม่ได้ ตอนที่ 2
.
โดยเพจ ถามอีก กับอิก เรื่องลงทุน.
มันส์มากๆครับ ได้ความรู้กันไปเต็มๆ (แหม... ขนาดอายุเท่านี้แล้ว ยัง active สุดๆ น่าชื่นชมมากครับ) มาลุยอ่านตอนที่ 2 ต่อกันเลยครับ
.
============
.
11.มุมมองเกี่ยวกับธุรกิจเฟอร์นิเจอร์เป็นอย่างไร?
.
“ไม่แน่ใจว่าบริษัทเฟอร์นิเจอร์บางราย อย่าง Wayfair จะเป็นอย่างไร หลังจากที่ยอมขาดทุนเพื่อให้ลูกค้ามาซื้อสินค้ามากขึ้น” (ไม่แน่ใจว่าเป็นการทำโปรโมชั่น ลดแลก แจกแถม หรือป่าว)
.
ปู่บัฟเฟตต์บอกว่า วิธีนี้กำลังทำร้ายค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์ 4 รายในระยะสั้น แต่เค้าไม่รู้ว่าโมเดลธุรกิจแบบนี้จะดีในระยะยาวหรือป่าว “ยังมีโอกาสประสบความสำเร็จอยู่บ้าง” แต่มั่นใจว่าธุรกิจที่ Berkshire ลงทุนอยู่น่าจะมีความสามารถในการแข่งขัน
.
“การให้ลูกค้ามารับสินค้าที่หน้าร้าน จะทำให้เราเรียนรู้ว่าลูกค้าชอบอะไร หรือไม่รู้อะไร” นี่คือสิ่งที่มองว่าเป็นข้อได้เปรีบครับเพราะเราจะเรียนรู้ได้ว่าพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นยังไง
.
“ตอนนี้ Nebraska Furniture Mart (บริษัทที่ปู่ลงทุนอยู่) ทำกำไรได้มากถึง 9.3 ล้านเหรียญ ทั้งๆที่มีทุนจดทะเบียนเริ่มต้นแค่ 2,500 เหรียญ และไม่เคยเพิ่มทุนเลย” ปู่เลยบอกว่า น่าจะเป็นการลงทุนที่ดีเลยแหละ
.
============
.
12.ชื่นชม Jeff Bezos อภิมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก
.
“การที่เราไม่ได้ลงทุนในหุ้น Amazon ตั้งแต่ช่วงแรกๆ (ก่อนที่ราคาหุ้นจะวิ่งเป็นม้า)” ปู่ ชาร์ลี มังเกอร์ ตอบทันทีว่า “เฮีย Jeff Bezos เก่งมาก เหมือนเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์”
.
ปู่บัฟเฟตต์เสริมว่า การที่ Berkshire เข้าไปลงทุนในหุ้น Amazon เมื่อไม่นานมานี้ ไม่ได้เปลี่ยนหลักการของการเป็นนักลงทุนหุ้นคุณค่าแต่อย่างใด
.
ปู่เคยพูดอยู่ครั้งนึงครับว่า เค้าชื่นชมเฮีย Jeff Bezos มากๆ “ผมเป็นแฟนคลับของคุณ Bezos เลยแหละ และผมเสียดายมากที่ไม่ได้ซื้อหุ้น Amazon ก่อนหน้านี้”
.
ปู่บอกว่า เค้าเคยเจอเฮีย Bezos ครั้งแรกเมื่อ 20 ปีที่แล้ว และรู้อยู่แล้วว่าคนคนนี้ เป็นคนมีของ เป็นคนที่พิเศษมากๆไม่เหมือนคนอื่น
.
แต่ก็ยอมรับว่าไม่เคยคาดคิดว่า จากเดิมที่ขายหนังสือออนไลน์ จะสามารถขยายธุรกิจมาขายของทุกอย่างบนโลกใบยนี้ได้ อย่างทุกวันนี้ครับ
.
============
.
13.คำถามที่น่าสนใจอีกอย่างคือ “ถึงจุดจบของแนวคิดการลงทุนแบบหุ้นคุณค่าแล้วหรือยัง?”
.
อย่างที่เราเห็นแหละครับว่าสไตล์การลงทุนหลังๆของ Berkshire เริ่มเปลี่ยนไปแล้ว เริ่มซื้อหุ้นเทคโนโลยีมากขึ้น
.
“การลงทุนทุกอย่าง ยังเป็นไปตามหลักคิดของนักลงทุนหุ้นคุณค่า” ปู่บอกครับ และย้ำว่าราคาหุ้นในกระดานไม่ควรเป็นเพียงปัจจัยเดียวในการพิจารณาว่าเป็นการลงทุนหุ้นคุณค่าหรือไม่
.
โดยปู่บอกว่า ตัวเค้ายังมั่นใจในตัว Ted และ todd ที่เป็นผู้บริหารรุ่นใหม่ที่เข้ามาตัดสินใจในการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีหลายๆตัว
.
“ผมยังเชื่อใจพวกเค้า และไม่เคยลังเลเกี่ยวกับแนวทางการลงทุนของพวกเค้าเลยแม้แต่น้อย” “เพราะพวกเค้าพยายามมองหาในสิ่งที่พวกเค้าเข้าใจ และเป็นธุรกิจที่จะศักยภาพในการพัฒนาไปได้อีกมาก”
.
คุณปู่ชาร์ลี มังเกอร์ เสริมว่า สิ่งที่เค้าเสียใจ ไม่ใช่การที่ไม่ได้ซื้อหุ้น Amazon ตั้งแต่ไม้แรกๆนะครับ แต่เป็นหุ้น Google ต่างหาก
.
ปู่เองก็พยักหน้าเห็นด้วยครับ พร้อมบอกว่า เราเห็นชัดแล้วว่า บริษัทลูกของเราอย่าง Geico ซื้อโฆษณา goole มากมายแค่ไหน แต่เราก็ไม่ได้ซื้อหุ้น google และนั่นคือข้อผิดพลาดอย่างหนัก
.
============
.
14.แนะนำให้กองทุนบำเหน็จ บำนาญ pension fund พิจารณาการลงทุนให้ดี.
เป็นคำถามที่ตึงเครียดเหมือนกันครับ ตอนนี้จะเห็นว่าระยะหลังกองทุนบำเหน็จ บาญ ของสหรัฐเข้าไปลงทุนใน private equity และ hedgefund เยอะมากขึ้นหลายเท่าตัวตลอด สิบปีที่ผ่านมา
.
“ผมคงจะไม่ตื่นเต้นอะไรมากมาย กับสิ่งที่เรียกว่าการลงทุนทางเลือกครับ” ปู่บอกครับ
.
แต่สิ่งที่ปู่เตือนคือ ตอนนี้เราจะเห็นว่าบางกองทุน private equity และ hedgefund มีค่าธรรมเนียมที่สูง และมีความเสี่ยงมาก และจะเห็นว่าการคำนวณผลตอบแทนอาจจะไม่ถูกต้องนัก (ที่แสดงให้นักลงทุนดูเพื่อตัดสินใจซื้อกองทุน)
.
“ถ้าผมเป็นคนบริหารกองทุนบำเหน็จ บำนาญ ผมจะระมัดระวังอย่างมากเกี่ยวกับแนวทางในการลงทุน” ปู่ปิดท้ายครับ
.
============
.
15.มีน้องอายุ 13 ปีคนนึงถามว่าปู่อดทนและพึงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ได้อย่างไร แล้วเด็กๆจะพัฒนาทักษะเหล่านี้ได้ยังไง (ถามอีกแฮะ)
.
ประเด็นนี้สำคัญครับ คุณปู่บอกว่า ไม่จำเป็นที่ทุกครอบครัวจะมองว่าการประหยัดเงินเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ที่ควรทำในชีวิตของเรา (โดยมองว่าระดับอัตราดอกเบี้ยตอนนี้ ยังไงการลงทุนในหุ้นก็ดีกว่าพันธบัตรในระยะยาวอยู่แล้วครับ)
.
“มีหลายอย่างมากๆที่จะช่วยให้คุณและครอบครัวของคุณมีความสุขมากกว่าการที่จะ มานั่งประหยัดกันทุกบาท ทุกสตางค์” ผมเข้าใจว่าปู่คงอยากจะบอกว่า การออมเงินเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่ใช่การออมเงินแบบทำให้ชีวิตของเราลำบากครับ
.
ปู่สอนแนวคิดได้ดีมากครับ “ถ้าตอนที่คุณมีตัง 5 หมื่นเหรียญ หรือ 1 แสนเหรียญ แล้วคุณยังไม่มีความสุข” “คุณก็จะไม่มีความสุขตอนที่คุณมีเงิน 50 ล้านเหรียญ หรือ ตอนที่เรามีนตัง 100 ล้านเหรียญ คุณก็จะไม่มีความสุขอยู่ดี”.
เพราะเราไม่เห็นความสัมพันธ์ระหว่างความสุขกับเงินที่เรามี (จงมีความสุข พอเพียงตามสิ่งที่เรามี เป็นคำสอนที่ดีมากครับ)
.
ส่วนปู่ชาร์ลี ตอบว่า หลายคนเกิดมาก็มีความอดทนและพึงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ได้ตามพันธุกรรม แต่บางคนก็ไม่มี และเป็นสิ่งที่ไม่สามารถสอนกันได้
.
============
.
16.ปีนี้มีเด็กๆมาถามเยอะมากครับ คำถามนึงที่ผมชอบมากๆคือ เด็กคนจีนพูดภาษาอังกฤษเทพมากๆ บอกว่าน้องเค้ามาที่นี่เป็นปีที่ 2 แล้ว
.
“การที่คุณปู่มังเกอร์เคยบอกว่า ยิ่งอายุมากเท่าไหร่ จะยิ่งเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์มากเท่านั้น” “ธรรมชาติของมนุษย์ที่ว่านั้นคืออะไร” “แล้วการที่เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์จะช่วยการลงทุนได้อย่างไร” โห... ไม่น่าเชื่อว่า นี่คือคำถามจากเด็กอายุไม่มากครับ คนฮือฮาทั้งห้องเลยครับ เป็นคำถามที่ดีจริงๆ
.
“แน่นอนว่า ผมคงจะต้องใช้ไม้ช่วย ถ้าผมต้องเดินลงจากเนินเขา” “หรือถ้าดูผลสอบ SAT ตอนนี้แล้วเปรียบเทียบกับตอนที่ผมอายุ 20 ต้นๆ ผมคงได้คะแนนน้อยๆแน่ๆ” ปู่บอกครับ
.
แต่สิ่งที่ผมทำได้ดีกว่า ตอนวัยรุ่น คือตอนนี้ผมเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์มากกว่าเดิมมาก
.
ส่วนปู่ชาลี มังเกอร์ แนะนำให้ดูตัวอย่างจาก ท่าน ลีกวนยู บิดาผู้สร้างชาติสิงคโปร์ครับ “หลักคิดสำคัญของท่านคือ ดูว่าอะไรน่าจะ work อะไรที่น่าจะทำได้แล้วมีทางประสบความสำเร็จ แล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องลงมือทำ“
.
“น้องแค่ต้องออกไปใช้ชีวิต แล้วพกปรัชญาในการใช้ชีวิตที่น้องคิดว่าน่าจะ work แล้วก็ลงมือทำ แค่นั้นเอง” ปู่มังเกอร์ปิดท้ายครับ
.
============
.
17.ความเห็นเมื่อมองบิทดอยอย่างไร ?
.
ต้องบอกว่าเป็นคำถามที่แกถูกถามทุกปีเลยครับ คุณปู่บอกว่า “การลงทุนในบิทดอย เหมือนการไปลาสเวกัส แล้วเสี่ยงดวงครับ”
.
ปู่เล่าให้ฟังว่า ตอนที่ตัวเค้าพาแฟนไปฮันนีมูน ในปี 1952 ตอนนั้นเจ้าสาวอายุ 19 ปี ส่วนตัวเค้า อายุ 21 ปี
.
“ผมมองไปรอบๆ แล้วเห็นคนแต่งตัวดีมากๆ แล้วเดินทางไปที่ลาสเวกัส เพื่อทำอะไรบางอย่างทั้งๆที่รู้ว่า การเสี่ยงดวงแบบนั้นเมื่อคำนวณทางคณิตศาสตร์แล้วไม่มีทางที่จะคุ้มเลย แต่เค้าก็ชอบทำกัน” นี่เป็นการเปรียบเทียบที่คมคายมากครับ
.
============
.
18.ข้อดีของการลงทุนในบริษัทประกันของ Berkshire
.
มีคนถามว่า ตัวเค้าวิเคราะห์และให้คุณค่ากับบริษัทประกันของเค้าอย่างไร ปู่ตอบทันทีว่า “บริษัทประกันมีค่ามากกว่าที่เราเห็นในกระดาษ และ Berkshire จะไม่มีวันขายออกไปเด็ดขาด”
.
ความสวยงามของธุรกิจประกันประเภทนี้คืออะไร? มันก็คือ บริษัทประกันจะรับเงินเบี้ยประกันแบบ upfront คือรับเงินทันทีเลย แต่จ่ายค่าสินไหมทดแทนภายหลัง
.
โอเคแหละครับ ต้องมีจ่ายชดเชยช่วงที่เจอภัยพิบัติบ้าง แต่ปกติแล้วก็จะไม่ต้องจ่ายโดนทันที แต่เป็นการทยอยจ่ายไปในระยะเวลาหลายสิบปีครับ ทำให้มีผลประโยชน์เกิดขึ้นครับ
.
ผลประโยชน์แบบนี้เรียกว่า Float ครับ หรือเงินที่รับมาแล้ว สามารถเอาไปหมุนต่อ (เอาไปลงทุนต่อ) ได้โดยที่ไม่ต้องรีบจ่ายออกไป (เริ่มเห็นภาพแล้วใช่ไหมครับ)
.
“เรามีสินทรัพย์มากมาย ในบริษัทประกันที่ไม่เกี่ยวข้องกับภัยพิบัติ และเราสามารถใช้เงินที่เรียกว่า Float นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าบริษัทประกันส่วนใหญ่ในตลาด”
.
นอกจากนี้ Ajit ผู้บริหารคนเก่งที่มีโอกาสมาเป็นผู้สืบทอดอาณาจักร berkshire ยังเสริมว่า ปกติแล้วเค้าจะรวบรวมข้อมูลให้มากที่สุดที่จะสามารถทำได้ แล้วก็คำนวณความเสี่ยงที่แม้จะมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยก็ตาม
.
พอรู้ความเสี่ยงแล้วก็ต้องทดสอบดูว่า เราสามารถรับมือความเสี่ยงเหล่านั้นได้หรือไม่
.
“คุณ Ajit เป็นคนที่เก่ง เป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีบริษัทไหนในโลกใบนี้มี” ปู่บอกครับ โอโห พูดแบบนี้คุณ Ajit น่าจะปลื้มไปอีกนานเลยครับ จะสังเกตว่าปู่ไม่เคยยกความดีให้ตัวเองเลยครับ มีแต่ยกให้ลูกทีม สุดยอดจริงๆครับ
.
============
.
19.ถ้าอยากบริหารจัดการเงินบ้างควรทำอย่างไร?
.
ปู่ตอบว่า “ผมไม่คิดว่าคุณควรบริหารจัดการเงินให้คนอื่น จนกว่าคุณจะมีเครื่องมือในการลงทุน และสามารถเข้าถึงกลุ่มคนที่มีเคมีตรงกับคุณได้”
.
แต่ถ้าจะทำจริงๆ ควรเริ่มจากเล็กๆ และแม้จะทำผิดพลาดบ้างก็คงจะไม่เป็นอะไรครับ ปู่เสริมครับ
.
============
.
20.คำถามนึงที่ถูกถามเรื่อยๆ คือ การดำเนินงานของ Krfat heinz ครับ
.
คำถามคือ ข้อผิดพลาดที่ทำให้การดำเนินงานไม่เป็นไปตามคาด เป็นเพราะพวกเค้าไมได้ลงทุนด้านการวิจัย พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ทำให้เป็นการทำลาย Moat ป้อมปราการ ขีดความสามารถในการแข่งขันเมื่อเทียบกับคู่แข่งหรือไม่
.
ปู่บอกว่าไม่เห็นด้วย เพราะมองว่าปัญหาไม่ได้อยู่การตัดงบด้านการวิจัย แต่ปัญหาคือการตัดสินใจซื้อกิจการที่ราคาสูงเกินไป
.
โดยย้ำว่า Kraft Heinz เป็นธุรกิจที่ดี และตอนนี้ก็ทำกำไรได้มากกว่าในอดีตในช่วง 6-7 ปีที่แล้วอย่างมาก
.
============
.
21.อีกหนึ่งคำถามยอดฮิต คือ การลงทุนใน Apple ที่ถูกถามประเด็นนี้เป็นเพราะว่าระยะหลัง Apple เริ่มเจอกรณีถูกกฏระเบียบมาควบคุมมากขึ้น และเริ่มมีประเด็นข้อพิพาทกับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่หลายราย.
“ผมยังชอบการลงทุนในหุ้น Apple อย่างมาก และดีใจที่มีหุ้น Apple มากที่สุดในพอร์ต” ปู่ตอบครับ โดยปฏิเสธที่จะคาดการณ์ผลประกอบการในอนาคตของ Apple
.
“พวกเราอยากมีหุ้น Apple มากกว่านี้” “หากราคาหุ้นต่ำกว่านี้ พวกเราก็จะซื้อหุ้น Apple มากขึ้น”
.
ปู่มังเกอร์เสริมว่า “ในครอบครัวของผม คนไหนก็ตามที่ใช้โทรศัพท์ Apple ก็จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะเลิกใช้” เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นความรักต่อ ค่าย Apple อย่างมากครับ
.
============
สรุปปู่บัฟเฟตต์ประชุมผู้ถือหุ้นที่นักลงทุนรายย่อยไทยพลาดไม่ได้ ตอนที่ 3
.
โดยเพจ ถามอีก กับอิก เรื่องลงทุน.
ปู่บัฟเฟตต์กับชาร์ลี มังเกอร์ ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเลยครับ พูดได้นานมากๆ มาลุยอ่านตอนที่ 3 กันต่อเลยครับ
.
============
.
22.อะไรคือสิ่งที่คุณให้ความสำคัญมากที่สุดในชีวิตตอนนี้?
.
คำถามจะมีเป็นแนวปรัชญาในการใช้ชีวิตบ้างครับ ปู่มังเกอร์บอกว่า การมีชีวิตมากกว่านี้หน่อยนึง (ตอนนี้แก อายุ 95 ปีละครับ แต่ยังแข็งแรงอยู่เลยนะครับ)
.
ส่วนปู่บัฟเฟตต์ตอบว่า มีอยู่ 2 อย่างที่เงินไม่สามารถซื้อได้ นั่นคือ เวลาและความรัก นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องมีเงินเยอะพอสมควร
.
“เพราะถ้าเรามีเงินมากพอ เราก็จะสามารถทำอะไรก็ตามที่เราชอบได้ (โดยที่ไม่ต้องกังวลอะไร)”.
============
.
23.ทำไม Berkshire ถึงไม่เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลตอบการดำเนินงานของพอร์ตหุ้น.
ปู่บัฟเฟตต์ตอบว่า “เราไม่ได้ทำธุรกิจประเภทที่จะต้องอธิบายรายละเอียดทุกเม็ดว่า ทำไมเราถึงซื้อหุ้นตัวนั้น ตัวนี้”
.
และขยายความเพิ่มเติมว่า หลายครั้งคนที่อยากได้ข้อมูลเพิ่มจริงๆแล้วเป็นนักวิเคราะห์ต่างหากแหละครับ เพราะเป็นกลุ่มที่ต้องการรายละเอียดทุกเม็ด ซึ่งไม่จำเป็นสำหรับนักลงทุนรายย่อย
.
โดยมองว่าการเขียนรายงานประจำปีของ Berkshire อาจจะไม่ได้ทำให้ทุกคนเข้าใจในทุกสิ่งทุกอย่างที่ Berkshire เป็นเจ้าของก็ตาม แต่ก็เข้าใจเกี่ยวกับวิธีคิดและบริหารจัดการ (ซึ่งมากพอสำหรับการวิเคราะห์ธุรกิจแล้ว)
.
“ผมไม่รู้หรอกว่าเราให้ผลตอบแทนที่มากกว่าตลอดหรือป่าว แต่ขอให้มั่นใจเลยว่าเราทำธุรกิจในแบบที่ตอบสนองความต้องการของผู้ถือหุ้นใส่เงินทั้งหมดที่มีอยู่ใน Berkshire”
.
============
.
24.มีคำถามนึงน่าสนใจจากหนูน้อยอายุ 9 ขวบ ที่มาที่งานประชุมผู้ถือหุ้นรอบนี้เป็นรอบที่ 3 แล้ว.
ปู่แซวว่า มาบ่อยขนาดนี้ งั้นแสดงว่าน้องน่าจะรวยแล้วนะ (เรียกเสียงฮือฮาได้อีกตามเคยครับ สังเกตว่าปีนี้มีคำถามจากเด็กๆเยอะเหมือนกันครับ)
.
“Berkshire Hathway จะปรับตัวพัฒนาโมเดลที่จะเพิ่ม Moats แล้วก็ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีเพิ่มมากขึ้นไหมคะ?”
.
ปู่ตอบอย่างอารมณ์ดีว่า Berkshire จะพยายามมองหาบริษัทที่มี moats ป้อมปราการที่แข็งแรง มีขีดความสามารถในการแข่งขัน
.
เป็นหุ้นที่คู่แข่งเข้ามาแข่งขันยาก ซึ่งนั่นเป็นหลักปรัชญาการลงทุนของ Berkshire ที่ใช้มานานอยู่แล้ว
.
“พวกเราไม่อยากที่จะพยายามชนะเกมใดๆ ที่พวกเราไม่เข้าใจ” “แต่เราก็จะพยายามอย่างดีที่สุด ที่จะเพิ่มขอบเขตความรู้ ความเข้าใจในหลายๆธุรกิจมากขึ้น เพื่อที่เราจะไม่ได้พลาดโอกาสในการลงทุนไปอย่างน่าเสียดาย”
.
(ปู่จะลงทุนเฉพาะในสิ่งที่ปู๋เข้าใจเท่านั้นครับ อันไหนไม่เข้าใจก็จะยอมปล่อยผ่านไป เพราะฉะนั้นเพื่อไม่พลาดโอกาสในการลงทุนปู่เองก็ต้องหาความรู้ใหม่ๆเพิ่มเติมตลอดเวลานั่นเองครับ)
.
ปู่มังเกอร์ เสริมสั้นๆว่า เราจะพยายามพัฒนาต่อไปครับ.
============
.
25.คุณปู่มองว่าใครที่จะเป็นคู่แข่งของบริษัทประกันรถยนต์ที่คุณปู่ถือหุ้นเยอะๆอย่าง Geico
.
ถ้าเป็นผู้บริหารทั่วไปคงจะตอบว่าไม่มี แต่ปู่บอกว่า มีนะครับ นั่นคือบริษัทที่ชื่อว่า Progressive Corp.(หนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการประกันรถยนต์สหรัฐครับ) “Gieco เป็นบริษัทที่บริหารจัดการดีมากครับ ในขณะเดียวกันบริษัท Progressive ก็บริหารธุรกิจได้ดีเยี่ยมไม่แพ้กันเลย”
.
ปู่ไม่ได้กังวลเลยว่าการที่ Elon Musk ประกาศว่าจะมาทำธุรกิจประกันรถยนต์โดยมีจุดขายที่ฐานข้อมูลคนขับ (ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่ควรรู้พฤติกรรมการขับขี่ของคน แต่ธุรกิจประกันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ) แต่สิ่งที่น่ากลัวการที่บริษัทรถยนต์จะมาทำประกัน คือบริษัทประกันที่มีความเชี่ยวชาญต่างหาก
.
“เดี๋ยวพวกเราก็คงจะเห็นแหละครับว่า อีก 5-10 ปีนับจากนี้ใครจะเป็นผู้ขนะ” ดูเหมือนว่าปู่จะค่อนข้างชื่นชมแนวทางการเติบโตของ Progressive อย่างมากครับและมองว่าหลายครั้งผู้นำธุรกิจทั้งสองนี้ก็มักจะลอกเลียนแบบกลยุทธ์ซึ่งกันและกัน
.
“แต่มองว่า Geico ยังมีความได้เปรียบอยู่บ้างในด้านอัตราส่วนค่าใช้จ่าย expense ratio” คุณ Ajit (ทายาทธุรกิจที่มีโอกาสมาเป็น CEO แทนปู่บัฟเฟตต์) ช่วยเสริมปู่ครับ
.
แต่ถ้าเป็นอัตราส่วน Loss ratio หรือ สัดส่วนของค่าสินไหมทดแทนต่อค่าเบี้ยประกันภัย ต้องยกให้ Progressive ที่ทำได้ดีกว่า “ตอนนี้ Geico กำลังมีโครงการอะไรบางอย่าง ซึ่งหวังว่าถ้าทำสำเร็จจะช่วยทำให้มีผลงานใกล้เคียงกับ Progressive ได้” คุณ Ajit พูดปิดท้ายครับ
.
============
.
26.อีกหนึ่งคำถามที่น่าสนใจคือแนวทางในการลงทุนในธุรกิจสาธารณูปโภคพื้นฐานว่า ควรเน้นลงทุนให้เติบโตมากกว่านี้หรือไม่?
.
ปู่ขอให้ Greg Abel ซึ่งเป็นอีกคนหนึ่งที่ถูกเก็งว่ามีโอกาสขึ้นมาเป็น CEO ของ Berkshire ตอบแทนครับ
.
คุณ Greg ตอบว่า “ตอนนี้ Berkshire Hathaway Energy เน้นการลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทนใน Iowa แต่ก็กำลังมองหาโอกาสในการลงทุนเพิ่มในหุ้นสาธารณูปโภค เช่น PacifiCorp, NV Energy”
.
มองว่า PacificCorp กำลังสร้างสายส่งใหม่และเน้นธุรกิจพลังงานทดแทนมากขึ้นเพียงแต่โครงการเหล่านี้อาจจะช้าไปนิดนึง เพราะคิดมาตั้งแต่ปี 2008 แต่ตอนนี้เพิ่งจะเริ่มสร้าง เฟสที่ 1
.
ต้องบอกว่า ปู่บัฟเฟตต์เองก็ชอบธุรกิจประเภทนี้นะ Berkshire Hatway Energy utility สามารถบริหารจัดการได้ดี จนถึงขั้นขายไฟฟ้าในราคาที่ถูกกว่าบริษัทที่บริหารจัดการโดยรัฐบาล ซึ่งมีข้อได้เปรียบบางอย่างเช่น ได้รับการยกเว้นภาษี
.
============
.
27.ในเมื่อ Berkshire มีเงินสดในมือสูงถึง 3.4 ล้านล้านบาท ทำไมถึงไม่เอาไปพักเงินไว้ที่ index fund กองทุนดัชนีก่อนละ แล้วถ้าเจอดีลซื้อกิจการดีๆ แล้วค่อยโยกเงินมาซื้อก็ได้นิครับ?
.
อันนี้น่าสนใจเพราะก่อนหน้านี้ปู่เองก็พูดมาเสมอๆว่า ถ้าไม่มีเวลาในการติดตามการลงทุนมากพอก็ควรมองการลงทุนในกองทุนดัชนีเป็นตัวเลือกในการลงทุนระยะยาว
.
“กองทุนดัชนี คือ กองทุนที่เน้นสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับตลาด”
.
และคนถามก็มองว่า ถ้าบัฟเฟตต์เอาเงินไปพักในกองทุนดัชนีป่านนี้ผลตอบแทนก็เพิ่มขึ้นอีกมากกว่า 4.3 หมื่นล้านเหรียญหรือกว่า 1.2 ล้านล้านบาท
.
"ผมไม่เถียงในด้านตัวเลข เพราะตลาดหุ้นขึ้นมา 335%"
.
ปู่อธิบายว่า “จริงๆแล้วมีกฏเกณฑ์บางประการด้วย” ”ถ้าปู่เอาเงินสดไปพักกับกองทุนดัชนีในระยะสั้น เท่ากับว่าเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่อาจจะเจอความผันผวนของตลาดหุ้นก็เป็นได้”
.
"และอาจจะทำให้เสียโอกาสในการลงทุนโดยเฉพาะหลังจากช่วงที่เพิ่งเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ที่ตอนนั้นปู่เลือกจะลงทุนใน goldman sachs มูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท"
.
ซึ่งปู่ย้ำว่า ดีลที่มีโอกาสลงทุนมากๆแบบนี้ไม่ได้มากันบ่อยๆ และไม่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าจะมาเมื่อไหร่เพราะฉะนั้นต้องเตรียมเงินให้พร้อมครับ
.
แต่โอเคครับในะระยะยาวก็อาจจะเป็นสิ่งที่ควรทำในอนาคตก็ได้ครับ “ถ้าให้เลือกลงทุนในพันธบัตรกับกองทุนดัชนี ยังไงก็ชอบลงทุนในกองทุนดัชนีมากกว่าอยู่แล้ว”
.
ส่วนปู่ชาร์ลี มังเกอร์ บอกเลยว่า พวกเราใช้นโยบายอนุรักษ์นิยมกับเงินสดมากกว่าคนส่วนใหญ่เสียอีก เพราะไม่อยากก้าวพลาดเหมือนกับมหาวิทยาลัย Harvard ที่ไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความซับซ้อน ณ จุดที่ราคาสูงสุด
.
============
.
28.สำหรับงานในอนาคตจะเป็นอย่างไร หลังจากที่การใช้ AI ระบบอัตโนมัติ ระบบหุ่นยนต์และแนวคิดของการจ้างงานมนุษย์แบบชั่วคราวนำมาใช้กันมากขึ้น.
ปู่บอกว่ายังไม่น่ากังวลครับ พร้อมกับให้ข้อคิดว่า “สมมติว่าเมื่อ 200 ปีที่แล้วคุณบอก ทุกคนในสมัยนั้นว่า สัดส่วน 90% ของงานเกษตรจะหายไป ก็คงจะไม่มีคนเชื่อแน่ๆ จริงไหมครับ”
.
คุณปู่พยายามอธิบายแหละครับว่า สุดท้ายเดี๋ยวก็จะมีตำแหน่งหน้าที่การงานใหม่ๆเกิดขึ้นมาทดแทนงานที่กำลังจะถูกหุ่นยนต์แทนที่ (ขึ้นอยู๋กับว่า เราจะปรับตัวได้ดีแค่ไหน)
.
ปู่มังเกอร์เสริมในช่วงหลังว่า วิธีที่จะช่วยให้คนทั่วไปประสบความสำเร็จได้คือความเชี่ยวชาญในสิ่งที่ตัวเองทำครับ “ไม่มีใครอยากไปหาหมอ ที่เป็นทั้งหมอด้านลำไส้และเป็นหมอฟันในคนๆเดียวกัน” คนฮาทั้งห้องเลยครับ
.
============
.
29.ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐ.
ปู่มังเกอร์ ตอบว่า โดยทั่วไปบรรยากาศการเจรจาเริ่มดีขึ้นเยอะครับ แต่คงจะสมเหตุสมผลมากกว่า ถ้าหากทั้งสองประเทศจะสามารถคุยกันได้ และทำการค้าร่วมกันได้
.
เพราะการที่ทั้งจีนและสหรัฐไม่สามารถไปด้วยกันได้ มีความขัดแย้งกัน ก็จะสร้างความเสียหายให้กับทั้งสองฝ่าย (ในเชิงเศรษฐกิจ)
.
“ตอนนี้ Berkshire มี Dairy Queen (ขายไอศครีม เป็นบริษัทลูกของ Berkshire) ทั่วประเทศจีนและมองว่ากำลังไปได้ดี และเราไม่ได้รอให้กฏเกณฑ์ใหม่ๆทำแล้วเสร็จ เราบริหารธุรกิจภายใต้กฏเกณฑ์แบบเดิมๆ”
.
ส่วนปู่บัฟเฟตต์เสริมว่า จีนเป็นตลาดที่ใหญ่มากๆ และเราชอบตลาดขนาดใหญ่
.
============
.
30.แล้วความเห็นเกี่ยวกับสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรปละ
.
ปู่เลี่ยงการตอบตรงๆครับ แต่บอกว่าตอนนี้ Berkshire เองก็กำลังมองหาดีล มองหาโอกาสในการลงทุนในยุโรป มากขึ้นแม้ว่าช่วงที่ผ่านมาจะเข้าไปลงทุนในยุโรปบ้างแล้วก็ตาม
.
“มองว่าการออก จากกลุ่มจะเป็นข้อผิดพลาด แต่คงไม่กระทบกับการลงทุนของ Berkshire”
.
“พวกเราคาดหวังว่าจะสร้างบรรลุข้อตกลงแล้วเข้าลงทุนเพิ่มเติมได้ ไม่ว่าผลการเจรจาจะเป็นยังไงก็ตามครับ” ปู่พูดเสริมครับ
.
============
.
31.สำหรับแนวทางหรือสไตล์ในการหาดีลเข้าซื้อหุ้นของปู่เป็นอย่างไร
.
ปู่บัฟเฟตต์อธิบายว่าตอนนี้เป็นหน้าที่ของผู้จัดการกองทุนอย่างคุณ Ted Weschler และคุณ Todd Combs ครับ แต่โดยทั่วไปแล้วต้องเป็นดีลที่ Berkshire ต้องการเป็นเจ้าของเท่านั้นครับ (ไม่ใช่ว่าใครจะมาเสนอแล้วรับหมด)
.
“Berkshire โดยทั่วไปแล้วจะไม่จ่ายราคาแพงที่สุด แต่จะให้ทีมผู้บริหารสามารถ บริหารงานต่อได้” “ถ้าหากบริษัทไหนก็ตามต้องการแค่เงินจากพวกเรา พวกเราก็คงจะไม่เข้าไปเจรจาด้วย เพราะเสียเวลาทั้งคู่” ปู่มองหาบริษัทที่ต้องการเสริมในแง่กลยุทธ์หรือขีดความสามารถในการแข่งขันให้ด้วยครับ
.
ปู่ย้ำว่า จริงๆแล้วปีหน้า Berkshire สามารถจ่ายเงินระดับ 1 แสนล้านเหรียญได้แบบสบายๆชิลๆครับ ไม่ใช่ปัญหาเลย แต่ปัญหาคือการใช้จ่ายเงินอย่างชาญฉลาดอย่างไรต่างหากละ
.
============
.
33.ตอนนี้จะเห็นว่าการทำธุรกิจแข่งขันกันหนักหน่วงมากๆ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ปู่คิดว่าจะเลือกศึกษายังไง.
“ผมจะอ่านหนังสือให้มากขึ้นเกี่ยวกับธุรกิจ” “พยายามมองหาว่าอะไรคือความรู้ที่สำคัญและพยายามทำความเข้าใจให้มากกว่าคู่แข่ง”
.
และจะพยายามเพิ่มความเข้าใจขอบเขตของความรู้ให้มากขึ้นกว่านี้
.
============
[ตอนจบ] สรุปปู่บัฟเฟตต์ประชุมผู้ถือหุ้นที่นักลงทุนรายย่อยไทยพลาดไม่ได้ ตอนที่ 4
.
โดยเพจ ถามอีก กับอิก เรื่องลงทุน.
สรุปให้อ่านกันยาวๆเพลินๆกันไปครับ วันหยุดอ่านชิลๆเติมความรู้ เติมแรงบันดาลใจกันครับ
============
.
34 .ข่าวใหญ่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วคือ การที่ Berkshire ประกาศว่าจะใส่เงินให้กับ Occidental เพื่อเข้าซื้อกิจการ Anadarko Petrolium Corp.
.
ปู่บอกว่า “นี่ไม่ใช่ดีลสุดท้ายแน่นอน และคาดหวังว่าดีลครั้งต่อไปจะมีขนาดมูลค่ามากกว่า 1 หมื่นล้านเหรียญ หรือ 3 แสนล้านบาท”
.
“Berkshire มีปัญหาในการนำเงินสดในมือไปลงทุนต่อ แต่แน่นอนว่าถ้าโอกาสที่ใช่ มาเมื่อไหร่ Berkshire ก็พร้อมที่จะลุยลงทุนอยู่แล้ว”
.
และยืนยันว่า ถ้าใครก็ตามที่ต้องการเงิน (และเป็นธุรกิจที่ดี) เค้าสามารถโทรมาหาปู่บัฟเฟตต์ได้ในวันศุกร์บ่ายๆ แล้วนัดเจอกันวันเสาร์ แล้ววันอาทิตย์ก็สามารถปิดดีลได้เลย
.
============
.
35.การที่ Apple หันมาทำธุรกิจบัตรเครดิต ปู่มองว่าจะกระทบกับธุรกิจของ Amex ผู้นำธุรกิจเครดิตที่ปู่ถือหุ้นอยู่หรือไม่คะ?
.
ปู่บัฟเฟตต์อธิบายว่า ยังไงๆก็มีการแข่งขันมากมายอยู่แล้ว และก็มีคู่แข่งในธุรกิจเสมอๆ “ผมไม่คิดว่าธุรกิจบัตรเครดิตสามารถเติบโตได้แค่โมเดลเดียว”
.
อย่างที่เราทราบกันดีว่า Amex ขยายธุรกิจไปทั่วโลก ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีการแข่งขันมากมายเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่ความเจ๋งคือยังสามารถบริหารจัดการ ให้เป็นบัตรที่ยังรักษาลูกค้าเดิมได้มากที่สุด
.
และแม้ว่าจะขึ้นค่าธรรมเนียม แต่ก็ยังรักษาลูกค้าเดิมไว้ได้ แถมยังสามารถเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้ เพราะอย่าลืมว่าภาพลักษณ์ของ Amex คือเน้นกลุ่มลูกค้าตลาดบน ซึ่งยังเป็นตลาดที่ใหญ่มาก
.
“ตอนช่วงปี 1950 Amex เคยโด่งดังในด้านเชคสำหรับนักท่องเที่ยวซึ่งทำรายได้ได้อย่างมหาศาลอยู่แล้ว แต่สิ่งที่น่าทึ่งคือเค้าต่อยอดธุรกิจไปเจาะลูกค้าตลาดบนในตลาดบัตรเครดิต ซึ่งสร้างรายได้ได้มากมาย เป็นเรื่องราวที่น่าทึ่งมากๆครับ” “ผมดีใจที่ผมเป็นเจ้าของในสัดส่วน 18% ของหุ้น Amex”
.
สำหรับปู่มังเกอร์ ไม่มีความเห็นเพิ่มเติม ดูเหมือนแกจะนั่งเหม่อด้วย จนปู่บัฟเฟตต์ต้องหันไปเรียกชื่อ 2 ครั้ง (สงสัยปู่บัฟเฟตต์จะตอบยาวเกินไป 55)
.
============
.
36.ไม่มีสูตรสำเร็จในการคำนวณความเสี่ยง
.
ปู่บัฟเฟตต์บอกว่า เราไม่มีสูตรสำเร็จในการคำนวณเรื่องความเสี่ยงหลอกครับ แต่สิ่งที่เราทำคือ การประเมินทั้งความเสี่ยงและโอกาสที่จะทำกำไรในทุกๆดีลก่อนที่จะเข้าซื้อหุ้นทุกครั้ง
.
“บางครั้งเราก็ผิดพลาดบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ในอนาคตเราก็คงจะทำผิดพลาด เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่การทำธุรกิจจะถูกต้องเสมอๆ”
.
“แต่เราก็ไม่คิดว่าผลลัพธ์จะเปลี่ยนถ้าหากมีคณะกรรมการมาช่วยคิดหลายๆคน หรือการที่ใช้ spreadsheet ของ excel มาช่วยคำนวณมากๆ”
.
ปู่ย้ำว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการรู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ แล้วคำนวณความเสี่ยงออกมา ว่าเราสามารถยอมรับได้หรือไม่
============
.
37.ตลอด 60 ปีที่ผ่านมาที่คุณปู่บัฟเฟตต์และปู่มังเกอร์ทำงานร่วมกันมาเคยมีความขัดแย้งกันบ้างไหม.
“ไม่เคยมีความขัดแย้งกันเลย เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมาก” ปู่บัฟเฟตต์บอกครับ ซึ่งปู่มังเกอร์เองก็เห็นด้วยและบอกว่าเราเข้ากันได้ดีมาก
.
ปู่บัฟเฟตต์เสริมว่า มีบ้างนะครับที่เราจะไม่เห็นด้วยในสิ่งที่อีกคนคิด แต่เราไม่เคยโกรธกัน ไม่เคยใช้อารมณ์ในการคุยกัน
.
“ผมยอมรับว่ามังเกอร์ฉลาดมากๆ แต่ก็มีหลายอย่างที่ผมใช้เวลาในการศึกษามากกว่าเช่นกัน และบางครั้งเราทั้งคู่ก็คิดว่าเราเป็นฝ่ายถูก แต่เราก็ไม่เคยทะเลาะกัน”
.
ปู่บัฟเฟตต์บอกว่า โชคดีมากที่รู้จักมังเกอร์ตอนอายุ 28 ปี และเราแบ่งหน้าที่ได้ดี “การมีคู่คิดธุรกิจดีที่ สำคัญไม่แพ้กับการที่มีคู่ครองที่ดี เพราะจะทำให้เรามีความสนุกในการทำงานและประสบความสำเร็จมากกว่าที่ทำคนเดียว”
.
“การสะสมเงินทองเป็นสิ่งที่ทุกคนทำ แต่การสะสมเพื่อนที่ดีก็เป็นสิ่งที่ควรทำไม่แพ้กัน”.
============
.
38.เมื่อปู่ชาร์ลี มังเกอร์พูดถึงหลักปรัชญาของการลงทุนส่วนตัว.
“ผมไม่ได้ลงทุนในดัชนีใดๆเลยครับ” “ผมตั้งใจเสมอที่จะถือหุ้นแค่ 2-3 ตัวก็พอละครับ” ปู่มังเกอร์บอกว่าไม่จำเป็นต้องถือหุ้น 50 ตัวในพอร์ตเลย ถ้าคุณรู้ว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่
.
ปู่มังเกอร์เล่นมุขว่า “ผมหวังว่า ทายาทของผมจะแค่นั่งอยู่เฉยๆก็พอละ”
.
แต่ปู่บัฟเฟต์มานิ่งๆ แต่ฮา คือ “ส่วนทายาทของผมนะเหรอ เค้าหวังให้ผมเปลี่ยนพินัยกรรมมากกว่า” เท่านั้นแหละครับฮาทั้งห้อง เพราะอย่างที่เรารู้กันดีว่าปู่บัฟเฟตต์จะบริจาคเงินส่วนใหญ่ที่เค้าหามาทั้งชีวิตให้กับมูลนิธิ Bill Gates
.
============
.
39.ยังมีอีกหลายอย่างที่เราไม่รู้.
“ผมมีความรู้ในหลายธุรกิจ แต่ก็มีอีกเยอะมากที่ผมยังไม่รู้ครับ”
.
นี่คือคำพูดของสุดยอดนักลงทุนระดับโลกอย่างปู่บัฟเฟตต์นะครับ “การที่เรารู้ว่า เรายังไม่รู้อะไรอีกมากมาย ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆนะครับ”
.
ปู่อธิบายเสริมว่า อย่าลืมว่าโลกของเรายังไงก็ต้องเปลี่ยน และโลกก็จะเปลี่ยนในทุกๆวัน
.
นั่นคือสิ่งที่ทำให้โลกของเรามีความน่าสนใจ เพราะนั่นหมายความว่าสิ่งที่เราเคยรู้ มันอาจจะไม่เพียงพอต่อการรับมือการเปลี่ยนแปลงของโลกใบเดิมอีกต่อไป .
============
.
40.ชีวิตนี้ต้องมีข้อผิดพลาดบ้างแหละน่า.
ปู่บัฟเฟตต์ให้ความเห็นว่า ปกติเราจะมีไอเดียในการทำธุรกิจ 10-12 ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อย่างแต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อย work หรอกครับแม้ว่าจะเปลี่ยนทีมผู้บริหารแล้วก็ตาม
.
ปู่มังเกอร์เสริมครับ “เราเคยล้มเหลวที่จะเปลี่ยนบริษัทขนมหวาน See’s Candies ให้กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Mars หรือ Hershey’s” ปู่เล่นมุขต่อว่ามันก็เหมือนกับความล้มเหลวในการได้รางวัลโนเบล หรือการเป็นอมตะ มันยากเกินไป (คนฮาทั้งห้องเลยครับ)
.
ปู่บัฟเฟตต์เสริมว่า “แต่อย่าลืมว่า ตอนนั้นเราซื้อกิจการมูลค่า 25 ล้านเหรียญในปี 1972 ซึ่งถ้าเทียบกับผลตอบแทนที่ได้รับเป็นหลัก 2 พันล้านเหรียญ ก็ถือว่าดีมากๆแล้ว”
.
============
.
41.ชื่นชม Tod และ Ted ผู้จัดการกองทุนคนเก่งอย่างมาก
.
มีคนถามว่าทำไมหลังๆผลตอบแทนของพอร์ต Berkshire เริ่มต่ำกว่าดัชนี ปู่บัฟเฟตต์เจ๋งมากครับ รีบช่วยลูกน้องตอบแทน โดยบอกว่า “มีคนนึงที่ทำผลตอบแทนได้สูงกว่าดัชนี แต่อีกคนต่ำกว่าเล็กน้อย“
.
จริงๆแล้วทั้ง Tod และ Ted เก่งมากๆ เป็นคนหนุ่มไฟแรง และทำได้ดีกว่าตัวปู่เองด้วยซ้ำไป ทั้งคู่บริหารพอร์ตมูลค่าสูงกว่า 1.3 หมื่นล้านเหรียญ หรือกว่า 4 แสนล้านบาท
.
“ผมชื่นชมในตัวทั้งสองท่านอย่างมากครับ Todd เองก็ดูแลโปรเจคที่ทำร่วมกับ JPMorgan และ Amazon เพื่อลดค่ารักษาพยาบาลของทั้งสามบริษัท” ส่วน Ted ก็บริหารการลงทุนในส่วนอื่นๆที่สำคัญมากๆเช่นกัน
.
“ทั้งสองท่านช่วย Berkshire ได้เยอะมากจริงๆ ทำให้เรามีโอกาสลงทุนเพิ่มขึ้นได้อีกเยอะ และยังช่วยคัดกรองบริษัทดีๆ และเค้าจะเลือกลงทุนเฉพาะธุรกิจที่พวกเค้าเข้าจเท่านั้นครับ”
.
“อีกอย่างที่ผมชอบ คือ เค้าเป็นคนดี และมุ่งมั่นลงทุนในแนวทางนักลงทุนหุ้นคุณค่าอย่างไม่ย้อท้อ” “ผมไม่เคยสงสัยในความสามารถของทั้งคู่ และมังเกอร์เองก็ไม่เคยสงสัยในความสามารถของผมครับ”
.
(โห ลูกน้องได้ยินน่าจะดีใจที่มีเจ้านายแบบนี้)
.
============
.
นอกจากจะได้ความรู้ธุรกิจ และการลงทุนแล้ว เรายังได้ปรัชญาในการใช้ชีวิตและการบริหารความรู้สึกของลูกทีมของเราด้วยนะครับ ชอบข้อไหนยังไง เข้ามาคอมเม๊นท์กันได้นะค้าบบบบ
.
============