วิถีความร่ำรวยของมนุษย์เงินเดือน - Billionaire VI

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ktoa
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 178
ผู้ติดตาม: 0

วิถีความร่ำรวยของมนุษย์เงินเดือน - Billionaire VI

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ในสัปดาห์ที่ผ่านมาหัวข้อนี้กลับมาเป็นที่พูดคุยกันอีกครั้งหนึ่ง หลังจากตลาดหุ้นไทยไม่เติบโตเหมือนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

ล่าสุดเซียนหุ้นวีไออย่าง ดร. นิเวศน์ ก็เขียนบทความถึงความสำคัญที่จะต้องกลับมาทำงานประจำอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากนักลงทุนคงไม่สามารถคาดหวังผลตอบแทนแบบเดิมจากตลาดหุ้นได้อีกแล้ว

ระหว่างการเป็นนักลงทุนเต็มเวลากับการทำงานและลงทุนไปด้วยอย่างไหนดีกว่ากัน?

ความคิดเห็นส่วนตัวผมมองว่าความเหมาะสมขึ้นอยู่กับอายุของนักลงทุนดังนี้

#ช่วงเพิ่งจบมหาลัย - เนื่องจากนักลงทุนได้เสียทั้งเวลาและเงินทุนในการเล่าเรียนจนจบ ยิ่งถ้ามีเงินของรัฐบาลสนับสนุนด้วย ผมมองว่าน่าจะออกมาหาประสบการณ์ทำงานเป็นลูกจ้างก่อนเพื่อสร้างทักษะให้ตนเอง และคืนประโยชน์ให้สังคม

ผมจำคำพูดของ ดร.ไพบูลย์ (เพื่อนสนิท ดร.นิเวศน์) เคยแชร์ไว้ว่า ทุกครั้งที่มีชมรมในมหาลัยมาเชิญท่านไปพูดให้นักศึกษาฟังเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้น

ท่านจะปฎิเสธตลอดเพราะอยากให้ตั้งใจเรียนให้จบก่อน แล้วออกมาทำงานเพื่อช่วยเศรษฐกิจและสังคมซักช่วงหนึ่ง

ถ้าเรียนจบแล้วมาเล่นหุ้นกันหมด ใครจะทำงานสร้างประเทศขึ้นมา

จริงๆแล้วการเป็นลูกจ้างก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด มีข้อดีหลายอย่างที่ได้จากการทำงานในบริษัทดังนี้

1. ทำให้เราเข้าใจธุรกิจ ตั้งแต่กระบวน การขาย การตลาด การเงิน จนถึงฝ่ายสนับสนุนลูกค้าเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ

2. ได้มีโอกาสรู้จักคนมากมายทั้งที่อยู่ในบริษัทและลูกค้าหรือบริษัทคู่ค้า ซึ่งอาจจะช่วยเราในอนาคตต้องทำธุรกิจตัวเองหรือเป็นนักลงทุนเต็มเวลา

3. ได้มีโอกาสทำงานกับคนเก่งๆ และได้รับการเทรนนิ่งที่บริษัทให้แก่พนักงานเพื่อพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น

ผมแนะนำให้เริ่มอ่านหนังสือเกี่ยวกับการลงทุน เข้าร่วมงานสัมมนา รับชมวิดีโอที่ช่วยพัฒนาความรู้ด้านการเงิน และอาจจะลงเรียนคอร์สเพิ่มเติม

แนะนำให้อย่าเพิ่งรีบซื้อ รถหรือบ้านแพงๆ เก็บออมเงินแล้วเริ่มลงทุนในหุ้นด้วยจำนวนเงินน้อยๆก่อน หรืออาจจะเริ่มซื้อกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษี

#หลังทำงานมาสักพักหนึ่งช่วงอายุสามสิบต้นๆ - นักลงทุนน่าจะสามารถเก็บเงินได้เป็นกอบเป็นกำแล้วหลังจากทำงานมาเป็นระยะเวลาเกือบ 10 ปี แนะนำให้เริ่มลงทุนอย่างเต็มที่

ผมเองก็เริ่มลงทุนหุ้นแบบวีไอตอนอายุ 32 ปี

ช่วงนี้เหมือนเป็นช่วงที่ปลูกต้นไม้ขึ้นมาเป็นลำต้น การเก็บเงินเพื่อไปลงทุนเปรียบเหมือนการรดน้ำและใส่ปุ๋ยเพื่อเร่งให้ต้นไม้เติบโตเป็นต้นใหญ่ในอนาคตให้เร็วที่สุด

#ช่วงอายุตั้งแต่สี่สิบห้าปีขึ้นไป - คนกลุ่มนี้หลังจากทำงานมา 20 กว่าปี และลงทุนเป็นระยะเวลานานพอสมควรแล้ว น่าจะมีเงินเก็บจำนวนมาก

โดยส่วนตัวคิดว่า ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาถ้าเราอดออมแล้วลงทุนมาดี ก็จะมีโอกาสสร้างทางเลือกให้ชีวิตตัวเองมากขึ้น

ถ้ายังมีความสุขกับการทำงาน ก็ทำต่อไป สนุกด้วยแถมได้เงินอีก ผมว่าคนกลุ่มนี้โชคดีมาก แต่มั่นใจว่าคงมีจำนวนไม่เยอะ เท่าที่พยายามสอบถามมา

แต่ถ้าไม่ชอบงานนั้นจริงๆ ก็สามารถขยับขยายไปทำงานที่อื่นหรือลองทำธุรกิจส่วนตัวที่เราชอบได้ ด้วยข้อแม้ว่าเรามีเงินทุนที่อยู่รอดได้อย่างเต็มที่ ลองคิดจากค่าใช้จ่ายรายเดือน (รวมค่าใช้จ่ายให้ลูกและภรรยา) เป็นระยะเวลาซัก 30 ปีที่เรายังมีชีวิตอยู่

สุดท้ายนี้จะเห็นว่าถ้าเราวางโครงสร้างในการออมและลงทุนมาตั้งแต่ตอนเริ่มทำงานใหม่ๆ เราก็จะได้ประสบการณ์ชีวิตและพัฒนาทักษะจากการทำงาน พร้อมทั้งเริ่มปลีกตัวออกมาทำงานที่เราชอบได้เมื่อต้นไม้ที่เราปลูกขึ้นมาสามารถหล่อเลี้ยงเราได้แล้ว

ผมว่าทุกคนมีโอกาสทำได้ ขอยกตัวอย่างคุณแม่ผม เงินเดือนเมื่อก่อนตอน 50 ปีที่แล้วถือว่าน้อยมากเพราะเป็นผู้ช่วยพยาบาล แต่ด้วยความขยันและเก็บเงินเก่งมาก

ท่านนำเงินไปลงทุนซื้อที่ดินไร่ละ 3,000 บาท แล้วเก็บไว้ 40 ปีโดยที่ไม่ได้สนใจอะไรเลย เเค่เชื่อในคำสอนรุ่นคุณยายที่ว่า “คนเพิ่มแต่ที่ดินไม่เพิ่ม”

ที่ดินผืนนี้มีมูลค่าถึง 3 ล้านบาทต่อไร่ในปัจจุบัน หรือผลตอบแทนทบต้น 20% ต่อปีในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา

ผมคิดว่าทุกคนสามารถเป็นพนักงานและนักลงทุนที่ดีไปพร้อมกันได้ ขอแค่อย่างโอนเอียงไปฝั่งใดมากเกินไป
โพสต์โพสต์