คำแนะนำที่ชัดเจนที่สุดของ ดร.นิเวศน์ ต่อการลงทุนในวิกฤต Covid-19 และราคาน้ำมัน

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
amornkowa
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2576
ผู้ติดตาม: 1

คำแนะนำที่ชัดเจนที่สุดของ ดร.นิเวศน์ ต่อการลงทุนในวิกฤต Covid-19 และราคาน้ำมัน

โพสต์ที่ 1

โพสต์

คำแนะนำที่ชัดเจนที่สุดของ ดร.นิเวศน์ ต่อการลงทุนในวิกฤต Covid-19 และราคาน้ำมัน

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

ผมถอดความ การให้สัมภาษณ์ของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ต้นแบบแห่งวีไอไทย ในรายการ Suthichai Live ท่านได้พูดถึงการลงทุนในวิกฤต Covid-19 บวกกับราคาน้ำมัน ไว้อย่างชัดเจนมากๆ สรุปไว้เป็นข้อๆ แล้ว ลองอ่านดูนะครับ

ประเทศไทย ยังไงก็หนีไม่พ้นต้องลดดอกเบี้ย แม้จะไม่ถึง 0 โดยการ take action ที่เป็นอยู่นี่ถือว่าช้าแล้ว
มาตรการหลายอย่างของทางการไทยถือว่าช้ามาก ขาดความรวดเร็วและการมองไปข้างหน้า
สำหรับนักลงทุน อยู่ที่ว่า กล้าคิดต่างแล้วเข้าไปซื้อหรือไม่ ถ้าคิดว่าลงมากเกินไปก็ควรเข้าไปซื้อ นี่คือหลักพื้นๆ
แม้กระนั้น ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะจิตใจเรามักไม่แข็งแกร่งพอ พอหุ้นลงมาเยอะๆ เราก็จะใจเสีย คิดว่า “หุ้นตายแน่แล้ว”

และในเวลาที่คนส่วนใหญ่คิดว่า “หุ้นตายแน่แล้ว” นี่แหละ คือโอกาสที่จะเข้าไปลงทุน โดยเฉพาะสำหรับพวกวีไอ หรือนักลงทุนระยะยาว
แต่ทั้งนี้ ต้องกล้าแล้วตัดสินใจถูกด้วย ถ้ากล้าแล้วตัดสินใจผิดก็ตายอยู่ดี เพราะฉะนั้น จึงต้องวิเคราะห์ให้ลึกซึ้ง

ให้มองหุ้นที่ราคาตก แต่มั่นใจว่าถือไว้ 2-3 ปีแล้วจะกลับมา
ให้มองหุ้นที่เป็นบริษัทหลักๆ สถาบันหลักๆ ของประเทศ เป็นหุ้นที่ถ้าเจ๊ง ประเทศไทยจะอยู่ไม่ได้ พวกนี้ลงทุนได้
เวลาจะเข้าซื้อ ต้องใจแข็ง ต้องบอกตัวเองว่า เราเข้าซื้อรอบนี้ ถึงลงต่อเราก็ไม่ขาย จะลงก็ลงไป แต่อย่าลงเงินไปทั้งหมด อย่าทุ่มสุดตัว ไม่งั้นถ้าหุ้นกลับมาช้าเราจะแย่
คนที่มีโอกาสดีที่สุดตอนนี้ คือคนที่ไม่มีหุ้นเลย และไม่เคยลงทุน เป็นเวลาดีที่จะเริ่ม
ราคาหุ้นบลูชิพหลายตัวเป็นราคาที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เป็นราคาย้อนหลังไปสิบปี หมายความว่า ถ้าคุณลงทุนมาสิบปี มันเอาคืนไปหมดแล้ว
เช่น หุ้นตัวใหญ่ๆ หุ้นแบงก์ บางตัว ราคาลงมาครึ่งหนึ่ง ปันผลก็ 6-7% เข้าไปแล้ว ถ้าเรามั่นใจว่าอีก 2-3 ปีมันจะฟื้นขึ้นมาได้ ก็ลงทุนได้เลย (หุ้นพวกนี้ถ้าตัวแกเองมีเงินเยอะจะซื้อแน่ แต่ตอนนี้เหลือเงินน้อย จึงต้องรอให้นิ่งก่อน)
อเมริกาหุ้นก็ตกพอๆ กับเรา แต่ที่ต่างกันคือช่วง 10 ปีที่ผ่านมา หุ้นอเมริกาขึ้นมาตลอด ถ้าลงทุนระยะยาวแล้วถือมาเรื่อยๆ ยังไงก็ยังกำไร
ต่างจากเมืองไทย ที่ดัชนีหุ้น 7-8 ปี ไม่เคยขึ้นเลย เคยขึ้นไป 1700-1800 แล้วก็ตกลงมา ไม่ไปไหนเลย 7-8 ปี
เพราะฉะนั้น ตอนนี้เราเจ็บกว่าคนอื่น เพราะคนอื่นขึ้นแล้วตก ขณะที่เราไม่ขึ้น แต่เวลาตก ตกเท่ากับเค้า

ช่วงวิกฤตซับไพร์ม หุ้นไทยตกจาก 800 เป็น 400 จุด แต่แค่สองปีก็กลับขึ้นเป็น 1010 จุด ซึ่งก็คือจุดที่เป็นอยู่ตอนนี้ เท่ากับว่า เวลาผ่านมาสิบปี เราย้อนกลับไปสู่จุดเดิม ซึ่งเป็นอะไรที่หนักมาก
การจะซื้อหุ้นได้หรือยัง ต้องดูพื้นฐานเศรษฐกิจ ดูเรื่องของโควิด แกเชื่อว่าถ้าโควิดดีขึ้น มีความชัดเจนขึ้น ส่วนราคาน้ำมัน เดี๋ยวเค้าคงต้องทำอะไรให้มันปรับขึ้นมา ถึงจุดนั้นหุ้นจะเด้งแน่นอน แล้วคนที่กล้าลงตอนนี้ก็จะได้กำไร
แต่หลังจากนั้น เมื่อวิกฤตหายไป เมื่อฝุ่นหายตลบ สิ่งสำคัญก็จะกลายเป็นเรื่องพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ แต่น่าเสียดายที่พื้นฐานเศรษฐกิจของไทยตกต่ำมานานหลายปี 5-6 ปี ที่ผ่านมา GDP โตแค่ 3% และจะลดลงอีก ส่วนสำคัญเพราะคนอายุมากขึ้น

นอกจากนี้ เมืองไทยนอกจากคนจะแก่ตัวลงแล้ว ยังไม่มีเศรษฐกิจใหม่ๆ โอกาสเพิ่มประสิทธิภาพจึงยาก
ทุกคนถ้ามีเงินเหลือต้องลงทุน อย่าเอาเงินฝากไว้เฉยๆ เพราะการฝากเงินเป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนน้อยมาก และสุดท้ายดอกเบี้ยจะลงไปเกือบเป็นศูนย์ ถ้าทิ้งเงินไว้ในแบงก์จะเสียหายเยอะ และเสียหายไปเรื่อยๆ ทุกปี
ตอนนี้หุ้นไทยให้ผลตอบแทน 4% แล้ว หากลงทุนในหุ้นต่อไป ต่อให้ไม่ขึ้น ก็ยังได้ปันผลอาจถึง 5-6% แล้วอย่างนี้จะไม่เอาหรือ?

หุ้นใหญ่ๆ ตอนนี้ลงมามาก จนลงต่อได้ยากแล้ว ต้องกล้าเข้า และต้องตัดสินใจเลือกให้ถูก ให้ดูเป็นรายตัว แต่ถ้าไม่รู้จริงๆ ก็ซื้อ SET50 ไปเลย
ให้ดูหุ้นที่เจ๊งไม่ได้ เช่น หุ้นโทรศัพท์มือถือ เศรษฐกิจจะตกต่ำยังไง คนก็ต้องใช้ ยิ่งคนออกจากบ้านไม่ได้ ก็ย่ิงต้องใช้โทรศัพท์ ใช้เน็ต รายได้-กำไรจึงไม่น่าจะลด ปันผลตอนนี้ 4-5% หุ้นพวกนี้ถ้าเจ๊ง ตัวเราเองก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้ ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีเน็ต จะอยู่ได้อย่างไร
หรือพวกสาธารณูปโภค พวกธนาคาร พวกนี้ถ้าเจ๊ง ชีวิตเราอยู่ไม่ได้ แต่ต้องดูปันผลด้วย อย่าไปซื้อหุ้นปันผลน้อยๆ
ให้ดูหุ้นเป็นรายตัว เกณฑ์คือ ต้องมั่นคง ไม่ถูกดิสรัป มีความจำเป็น รายได้กำไรไม่ลด ปันผลต้องดี 4% ขึ้นไป อาจไม่ต้องเป็นหุ้นใหญ่มาก แต่เป็นหุ้นหลักของอุตสาหกรรม
ไม่ต้องไปมองพันธบัตร ดอกเบี้ยแค่ 2-3% แต่เสี่ยงกว่าซะอีก ยิ่งหุ้นกู้ เศรษฐกิจไม่ดี ยิ่งไม่รู้บริษัทจะมีปัญญาใช้หนี้เรามั้ย แม้จะให้ดอกเบี้ยดี แต่ไม่รู้ซื้อไปแล้วจะได้เงินคืนมั้ย จะไปซื้อทองก็ไม่มีดอกผล บางทีอยู่ๆ ก็ตก
ตัว ดร.นิเวศน์ เองพลาดมาก เพราะเคยมองว่าวิกฤตจะมา จึงทยอยขายหุ้น จนถือเงินสด 20% ปรากฏว่าพอหุ้นไม่ลงสักที ก็คิดว่าวิกฤตไม่มาแล้ว เลยเข้าไปซื้อ พอซื้อแล้ววิกฤตค่อยมา ก็เลยเจ็บตัว
แต่ในเมื่อเจ็บตัวแล้ว “จงอย่าเจ็บแบบหายนะ” ตอนนี้ตัวแกเองกำเงินสด 5% ที่เหลือ กำลังรอเข้ารอบสุดท้ายอยู่
โพสต์โพสต์