ในช่วงนี้ข่าวเกี่ยวกับอุตสาหกรรมยาออกมารัวๆเลย
ตั้งแต่ข่าวที่บริษัท Pfizer คิดค้นวัคซีนที่ป้องกันโควิดด้วยประสิทธิภาพมากกว่า 90% เพียงไม่กี่วันต่อมา Moderna ก็ออกมาว่าสามารถผลิตได้เช่นกันแต่มีประสิทธิภาพสูงกว่าที่ 94.5% แถมยังสามารถเก็บในตู้เย็นด้วยอุณหภูมิที่ไม่ได้ต่ำมากเหมือนของ Pfizer
แต่ข่าวที่สร้างความตื่นเต้นให้นักลงทุนทั่วโลกน่าจะเป็นข่าวที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ตัดสินใจลงทุนในหุ้นกลุ่มธุรกิจยาได้แก่ หุ้น Abbvie, Merck, Pfizer, Bristol-Myers Squibb ด้วยเงินกว่า $5,000 ล้าน
หลายคนสงสัยว่าทำไมถึงได้ลงทุนในอุตสาหกรรมยาที่มีการแข่งขันอย่างรุนแรงและเป็นธุรกิจที่เข้าใจยาก
ต้องบอกว่าจริงๆแล้วคุณปู่สนใจในธุรกิจยามาตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว โดยในช่วงต้นๆของทศวรรษ 1990 เคยมีวิกฤตเกิดขึ้นกับหุ้นกลุ่มนี้ในช่วงที่ Bill Clinton ออกกฎหมายปฎิรูปอุตสาหกรรมยา
แต่สุดท้ายแล้วก็มัวแต่เฝ้ารอไม่ได้ลงทุน คุณปู่ได้ยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
นอกจากนี้ยังเคยพูดไว้ในงานประชุมผู้ถือหุ้นของ Berkshire Hathaway ในปี 1999 ดังนี้
“If you could buy a group of leading pharmaceutical companies at a below-market multiple, I think we’d do it in a second”
หลังจากนั้นคุณปู่ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าการหามูลค่าที่เหมาะสมของหุ้นยาแต่ละตัวทำได้ยากเพราะมีปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องเยอะ
#แต่ด้วยอุตสาหกรรมมีการเติบโตที่มั่นคงเพราะเป็นสินค้าที่จำเป็น การลงทุนแบบซื้อเหมาหลายๆตัวในกลุ่มนี้ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
แล้วเหตุผลที่คุณปู่ซื้อหุ้นในกลุ่มนี้คืออะไร? ผมได้รวบรวมข้อมูลจากที่ได้ค้นหาและมุมมองของผมดังนี้
1. บริษัทยาอยู่ในอุตสาหกรรมที่ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะไม่โตดีเท่ากลุ่มเทคโนโลยี แต่ก็มีความมั่นคงมากกว่าเพราะยาเป็นปัจจัย 4 ในการดำรงชีวิต
บริษัทต่างๆแข่งขันกันด้วยการเร่งทำ R&D เพื่อจดสิทธิบัตรยาไม่ให้คู่แข่งรายอื่นมาทำตามได้ บริษัทจึงสามารถทำกำไรได้ดีในช่วงระยะเวลา 20 ปีที่สิทธิบัตรยังคงไม่หมดไป
อุตสาหกรรมนี้แม้ไม่โดดเด่นสุดๆ แต่มีความแน่นอนสูง
2. หุ้นทั้ง 4 ตัวยังมีมูลค่าไม่แพงถ้าดูจาก Forward PE และเงินปันผลที่เฉลี่ยอยู่ที่ 3-5% (ข้อมูลจาก Morningstar และ CNBC)
Abbvie มีค่า Forward PE อยู่ที่ 8.14 เท่า ปันผล 5.27%
Merck มีค่า Forward PE อยู่ที่ 12.36 เท่า ปันผล 3.24%
Pfizer มีค่า Forward PE อยู่ที่ 12.15 เท่า ปันผล 4.19%
Bristol-Myers Squibb มีค่า Forward PE อยู่ที่ 8.19 เท่า ปันผล 2.9%
3. ทั้งหมดเป็นเครื่องจักรผลิตเงิน สามารถสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคงและต่อเนื่อง
โดย Abbvie มี Operating Cash Flow อยู่ที่ $16,000 ใน 4 ไตรมาสล่าสุด
ในขณะที่ของ Bristol-Myers Squibb และ Pfizer อยู่ที่ $12,400 ล้าน และ $12,500 ล้านตามลำดับ ส่วนของ Merck อยู่ที่ $11,000 ล้าน
โดยสรุปจะเห็นได้ว่าคุณปู่ลงทุนในกลุ่มหุ้นยาเพราะยังมองเห็นศักยภาพในการเติบโตพร้อมความมั่นคง ที่มาพร้อมกับเงินปันผลที่สูง และที่แน่นอนคือราคายังไม่แพงอีกด้วย
ลองฝึกคิดลงทุนแบบวอร์เรน บัฟเฟตต์กันครับ
ทำไมวอร์เรน บัฟเฟตต์ถึงลงทุนในบริษัทยา
- Billionaire VI
- Thai VI Partner
- โพสต์: 15
- ผู้ติดตาม: 0