บทสรุปและข้อคิดจากการประชุมผู้ถือหุ้น Berkshire Hathaway 2021

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
Billionaire VI
Thai VI Partner
โพสต์: 15
ผู้ติดตาม: 0

บทสรุปและข้อคิดจากการประชุมผู้ถือหุ้น Berkshire Hathaway 2021

โพสต์ที่ 1

โพสต์

จากการประชุมถือหุ้น Berkshire Hathaway เมื่อคืน ที่มีทั้งวอร์เรน บัฟเฟตต์และชาร์ลี มังเกอร์ร่วมตอบคำถามนานกว่า 3 ชั่วโมงครึ่ง

ผมคิดว่าเนื้อหาจากการประชุมครั้งนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนไทยมากๆ เลยขอสรุปไว้ทั้งหมด 20 หัวข้อดังนี้

🔹 เริ่มต้นด้วยผลประกอบการไตรมาสที่ 1 กำไรจากการดำเนินงานทำได้ $7,018 ล้าน เพิ่มขึ้น 20% YoY จากการฟื้นตัวของธุรกิจประกัน ธุรกิจรถไฟขนส่ง และพลังงาน

กำไรทำได้ $7,640 ล้าน โดยมีกำไรจากการลงทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง $4,690 ล้าน เมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่ขาดทุน $30,700 ล้าน โดยมีการขาดทุนการลงทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง $55,600 ล้าน

บัฟเฟตต์ซื้อหุ้นคืนทั้งหมด $6,600 ล้านในไตรมาสที่ผ่านมาหลังจากซื้อหุ้นคืนไป $24,700 ล้านเมื่อปีที่แล้ว

เงินสดเพิ่มขึ้น 5% ในไตรมาสที่ผ่านมา ตอนนี้สูงถึง $145,400 ล้านเลยทีเดียว

🔹 คุณปู่โชว์ 20 บริษัทที่มีขนาดตลาดใหญ่ที่สุดในโลกในปัจจุบัน ได้แก่ Apple Aramco Microsoft และบริษัทอื่นๆ คุณปู่ถามว่าใน 30 ปีจะเหลือบริษัทพวกนี้อีกกี่บริษัท

คุณปู่ย้อนกลับไปที่ 20 รายชื่อปี 1989 ซึ่งตอนนั้นเต็มไปด้วยบริษัทยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นโดยเฉพาะหุ้นธนาคาร โดยมี Bank of Japan มีขนาดตลาดใหญ่ที่สุดที่ $104,000 ล้าน แต่ตอนนี้บริษัททั้งหมดไม่มีรายใดติดอยู่ในการจัดอันดับเลย

คุณปู่บอกว่าทุนนิยมดำเนินไปอย่างยอดเยี่ยม บริษัทใหญ่ที่สุดตอนนี้ใหญ่ถึง $2 ล้านล้าน นอกจากนี้โลกยังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นการลงทุนที่ดีที่สุดก็คือลงผ่าน Index Funds

🔹 คุณปู่เตือนนักลงทุนรุ่นใหม่ว่าการเลือกบริษัทที่ยอดเยี่ยมมีความซับซ้อนมากกว่าการเลือกอุตสาหกรรมที่มีอนาคต

คุณปู่บอกว่ามีบริษัทรถยนต์มากกว่า 2,000 บริษัทที่เข้ามาในอุตสาหกรรมในช่วงปี 1900 เพราะนักลงทุนและผู้ประกอบการคาดหวังว่ามันจะเป็นอุตสาหกรรมที่ยอดเยี่ยม

แต่เชื่อหรือไม่ในปี 2009 มีแค่บริษัทรถยนต์สามบริษัทเท่านั้นที่หลงเหลืออยู่และอีกสองบริษัทก็ได้ล้มละลายไป

การมองภาพอุตสาหกรรมแล้วลงทุนทั้งหมดเลย อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ดีในการลงทุนระยะยาว

🔹 ถูกถามว่าทำไมถึงรีบขายหุ้นสายการบินทั้งสี่บริษัท ซึ่งหลังจากนั้นราคาหุ้นก็ได้ปรับตัวขึ้นมาเยอะ

คุณปู่บอกว่าตอนนั้นคิดว่าบริษัทสูญเสียอำนาจในการสร้างกำไรและการเดินทางข้ามต่างประเทศคงไม่กลับมาอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ยังมองว่าการที่บริษัทขายหุ้นสายการบินทิ้งเป็นสิ่งที่ทำให้รัฐบาลเข้ามาช่วยได้ง่ายขึ้น แถมยังทิ้งท้ายว่าไม่สนใจที่จะกลับมาเป็นเจ้าของธุรกิจสายการบินอีกแล้ว

🔹ถูกถามว่าทำไมไม่ใช้เงินซื้อกิจการในช่วงโควิดปีที่แล้ว คุณปู่บอกว่าในช่วงก่อน FED จะออก QE เขาเกือบจะใช้เงิน $50,000-$70,000 ล้านซื้อธุรกิจ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ซื้อ ลงท้ายด้วยจริงๆแล้วบริษัทมีเงินสด 15% ของมูลค่าบริษัทก็ไม่ได้เยอะอะไร

🔹 มีคำถามว่าทำไมบัฟเฟตต์และชาร์ลีถึงมีมุมมองที่ต่างต่างกันในหุ้น Costco และ Wells Fargo

คุณปู่บอกว่าทั้งคู่ไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนกันทุกอย่างแต่ก็ไม่เคยที่จะมีปากมีเสียงทะเลาะกันในช่วง 60 ปีที่ทำงานด้วยกัน

เราทั้งคู่ไม่เคยทะเลาะกันเลยในช่วง 62 ปีที่ผ่านมา ไม่ใช่ว่าเราเห็นด้วยในทุกเรื่อง แต่เป็นเพราะว่าเราไม่เคยที่จะโมโหกันมากกว่า

🔹 ตัดสินใจขายหุ้น Apple ออกไป 3.7% เมื่อปีที่แล้วอาจจะเป็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้น

Apple เป็นหุ้นที่ราคายังถูกมากและเป็นสินค้าและบริการที่ยังไงคนก็ต้องใช้งานตลอด ถ้าถามบางคนว่าจะเลิกใช้ Apple หรือเลิกใช้รถยนต์ที่มีมูลค่า 1 ล้านบาท คำตอบน่าจะเป็นเลิกใช้รถยนต์มากกว่า

🔹คุณปู่อธิบายว่าที่ขายหุ้นแบงค์ไปค่อนข้างเยอะจริงๆแล้วชอบธุรกิจแบงค์ แต่คิดว่าสัดส่วนการถือในแต่ละแบงค์ยังไม่ดีเท่าที่ควร เลยมีการลดสัดส่วนลงและเพิ่มหุ้นไปที่เฉพาะ Bank of American

🔹เมื่อถูกถามว่าธุรกิจโรงไฟฟ้าของ Berkshire จะสู้แบตเตอรี่ของ Elon Musk เพื่อช่วยเสริมการผลิตไฟฟ้าให้ Texas ได้ไหม

Greg Abel ตอบว่าโซลูชั่นของ Berkshire จ่ายไฟได้อย่างต่อเนื่องในเจ็ดวัน แต่ธุรกิจแบตเตอรี่จ่ายไฟได้เพียงเป็นหลักชั่วโมงเท่านั้น

🔹 คุณปู่และชาร์ลีเตือนนักลงทุนที่เก็งกำไรกันอย่างหนักในตลาดหุ้นโดยเฉพาะ SPAC มันคือการดึงดูดให้นักลงทุนรุ่นใหม่รีบกระโดดเข้ามาในตลาด

บัฟเฟตต์เตือนว่าไม่มีใครบอกคนเหล่านี้ได้จนกระทั่งความบ้าคลั่งจะถึงจุดจบของมัน

🔹คุณปู่มองว่า SPAC จะไม่คงอยู่ตลอดไป มันทำให้การแข่งขันในการเจรจาธุรกิจเพิ่มขึ้น

ปัจจุบันมี SPAC กว่า 500 แห่งที่ถือเงินกว่า $138,000 ล้านเพื่อรอซื้อธุรกิจ

มันคือ Killer ปรกติ SPAC ต้องใช้เงินในการเข้าซื้อธุรกิจภายในสองปี

คุณปู่ยกตัวอย่างว่าถ้ามีคนเอาปืนมาจ่อหัวผมแล้วบอกว่าต้องซื้อธุรกิจภายในสองปี ผมก็จะแค่ซื้อมันแหละ โดยไม่ได้ไตร่ตรองอย่างเพียงพอ

นอกจากนี้ยังทิ้งท้ายว่า SPAC ยังน่าจะอยู่กับพวกเราไปสักระยะ ถ้าคุณสามารถที่จะมีคนมีชื่อเสียงเข้ามาเป็นคนจัดตั้ง SPAC ได้แล้ว คุณก็เกือบจะสามารถขาย SPAC ได้ทุกรูปแบบเลย การมีคนดังเข้ามาจัดตั้ง SPAC นักลงทุนก็จะแห่เข้าไปลงทุนโดยที่ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วจะซื้อบริษัทใด

🔹ชาร์ลีมองว่านโยบายการปั๊มเงินของ FED ถ้ายังทำต่อเนื่องไปไม่มีจุดสิ้นสุด มันอาจจะจบด้วยหายนะได้

🔹คุณปู่บอกว่าเคยซื้อหุ้นของบริษัทแต่ไม่ได้รู้จักมากพอ เข้าใจว่าเป็น 5 บริษัทที่ลงทุนในญี่ปุ่น คุณปู่บอกว่ารู้จักแต่ไม่รู้ข้อมูลเชิงลึก (Insight)

🔹ชาร์ลีเชื่อว่าการซื้อหุ้นคืนเป็นสิ่งที่ควรทำเพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น แต่ถ้าการซื้อหุ้นคืนเพื่อทำให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างที่นักวิเคราะห์หลายคนวิจารณ์มันก็จะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ควรทำอย่างยิ่ง

🔹ชาร์ลีคิดว่าการพัฒนาของบิทคอยน์เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ มองว่าเป็นสินค้าทางด้านการเงินที่ถูกสร้างบนอากาศ ชาร์ลีเกลียดที่บิทคอยน์ประสบความสำเร็จในตอนนี้

ส่วนคุณปู่ไม่ต้องการคอมเม้นท์เพราะไม่อยากให้คนที่ลงทุนในบิทคอยน์รู้สึกไม่ดี

🔹คุณปู่มองว่าการที่ไบเดนจะปรับภาษีขึ้นและจะมีผลกระทบต่อบริษัทในอเมริกา แต่คิดว่าจะปรับตัวกันได้ นักลงทุนอาจจะไม่ชอบ

คุณปู่บอกอัตราภาษีตอนที่เขายังหนุ่มสูงถึง 50% สูงกว่าที่ไบเดนจะขึ้นเยอะ

🔹ทั้งคู่เห็นตรงกันว่ารัฐบาลจีนจะสนับสนุนให้บริษัทจีนเติบโตประสบความสำเร็จ แม้ว่าช่วงนี้จะมีออกกฎหมายมาควบคุมเพื่อลดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ ทั้งคู่เชื่อว่าจะมีมากกว่า 3 บริษัทที่เข้ามาอยู่ในรายชื่อบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกในอีก 30 ปีข้างหน้า

มันน่าเหลือเชื่อจริงๆที่จีนสามารถพัฒนามาได้ถึงจุดนี้และจะไปได้อีกไกลในอนาคต

🔹แอปซื้อขายหุ้นอย่าง Robinhood มีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการเก็งกำไรในตลาดหุ้น

คุณปู่บอกว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของคาสิโนที่เกิดขึ้นในปีที่แล้ว

ส่วนชาร์ลีก็บอกว่า Robinhood เป็นสิ่งที่ผิด คุณไม่ควรขายของไม่ดีให้กับนักลงทุนเพื่อสร้างเงินให้ตัวเอง

🔹คุณปู่ยอมรับว่าจ่ายเงินซื้อ Precision Castparts เมื่อปี 2016 แพงไปจริงๆในแง่ของการประเมินกำไรเฉลี่ยที่จะเกิดขึ้น นอกจากนี้ยังคาดไม่ถึงว่าบริษัทจะมีปัญหาจากการโดนระงับการผลิตเครื่องบินโบว์อิ้ง 737 Max และต่อเนื่องมาโดนกระทบอย่างหนักจากวิกฤตโควิด

🔹คุณปู่เริ่มมองเห็นการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้ออย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะราคาเหล็ก ตอนนี้เศรษฐกิจร้อนแรงมาก โดยเชื่อว่าตอนนี้เงินเฟ้อเพิ่มมากขึ้นกว่าที่คนทั่วไปคิดไว้เมื่อหกเดือนที่แล้วมากเลยทีเดียว

ปิดท้ายคุณปู่หวังว่าจะได้จัดงานอีกครั้งที่ Omaha ในปีหน้า

ในความคิดของผม คุณปู่ทั้งสองสุดยอดมากที่นั่งตอบคำถามนานถึงสามชั่วโมงกว่าๆ สุขภาพร่างกายแข็งแรง สมองยังสามารถจำเรื่องราวต่างๆได้ทั้งหมดโดยเฉพาะตัวเลข ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทั้งคู่ถึงประสบความสำเร็จมากถึงขนาดนี้ #บัฟเฟตต์ #ชาร์ลี #Berkshire

Happy Investing!!!
โพสต์โพสต์