ทางเลือกการลงทุนใหม่ของ อาจารย์ โจ ลูกอีสาน

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
amornkowa
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2576
ผู้ติดตาม: 1

ทางเลือกการลงทุนใหม่ของ อาจารย์ โจ ลูกอีสาน

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ทางเลือกการลงทุนใหม่ของ อาจารย์ โจ ลูกอีสาน

ตลาดหุ้นไทยในช่วง1เดือนที่ผ่านมา ขึ้นมาจาก 1,572 เมื่อ 12 พค จนถึงวันที่ 11 มิย 2564 ขึ้นมา 64.71 จุด
หรือ ขึ้น 4.12% แต่ พบว่า หุ้นขนาดใหญ่ขึ้นน้อยมาก ยกเว้นมีหุ้นขนาดใหญ่ตัวนึงที่ดันตลาดไว้
ส่วนใหญ่ที่ขึ้นเยอะ จะเป็นหุ้นขนาดเล็กที่ขึ้นมาแรง
ดัชนีตลาดMAI ซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้นขนาดเล็ก ขึ้นมากว่า 50% ถ้านับจากต้นปี ซึ่งการหาหุ้นที่จะลงทุนจะยากขึ้น

เมื่อกลางเดือน พค ได้พูดคุยกับ อาจารย์ ยังไม่มีการลงทุนในหุ้นกลุ่มใหม่เลย แต่หลังจากให้สัมภาษณ์กับ
รายการทันหุ้น พบว่า อาจารย์มีแนวทางการลงทุนใหม่แล้ว เรามาติดตามกันครับ

อาจารย์เล่าให้ฟังว่า ช่วงก่อนหน้า หาหุ้นที่จะลงทุนในไทยยากขึ้นกว่าเดิม ตอนนี้ลงทุนหุ้นไทยอยู่ 30ตัว
ในช่วง1เดือนที่ผ่านมา ได้อ่านบทความจากน้องสมาชิกของ Thaivi ได้โพสลงว่า หุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ฮ่องกง หรือ H-share บางตัวที่จดใน A-share (ในจีนแผ่นดินใหญ่) แต่ราคาที่A-share มีpremiumมากกว่าที่ H-share
100% ทำให้เป็นจุดสนใจเริ่มลงทุนหุ้นรายตัว

แหล่งข้อมูลในการค้นหาหุ้น
1.Website AA Stock
2.Website ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง
3.บทวิเคราะห์ฟรี จาก Broker ที่ฮ่องกง

ผู้ฟังบางท่านแย้งว่า ลงทุนกองทุนหุ้นจีน H-share ยังขาดทุนอยู่
อาจารย์บอกว่า ส่วนใหญ่กองทุนรวมจะออกกองตอนที่
Performanceดี เช่น ขึ้นไป 40-50% ทำให้ราคาที่ซื้อกองทุนไม่ถูก
และอีกเหตุผลคือ อาจารย์เคยลงทุนในETF หุ้นจีน ปรากฏว่า ETF ก็ขึ้นน้อยกว่า การขึ้นของหุ้นรายตัวมาก

สอดคล้องกับ อาจารย์ หลิน นายกสมาคมThaivi เคยบอกว่าลงทุนETF ในตลาดกำลังพัฒนา อาจสู้หุ้นรายตัวไม่ได้

เคยสอบถามอาจารย์โจว่า ถ้าลงทุนETFที่ไหนจึงจะได้ผลตอบแทนดี อาจารย์บอกว่า ตลาดที่พัฒนาแล้ว เช่น US

หุ้นรายตัว ที่อาจารย์สนใจลงทุนในH-share มีจุดเด่นคือ

1. ราคาถูกกว่าหุ้นไทย เช่นหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า พลังงานทดแทน PE 10 เท่าเอง

2. ปันผลดีกว่าหุ้นไทย ซึ่งตอนนี้อัตราปันผล 5.5% เทียบกับไทย เกือบ 3%

3. มีหุ้นใน new technologyให้เลือกลงทุน เช่น หุ้นinternet

หุ้นกลุ่ม EV อาจารย์ยังไม่สนใจลงทุน เพราะตอนนี้ยังหาผู้ชนะที่แท้จริงไม่ได้
คุณวอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยกล่าวไว้ว่า ตอนรถยนต์จะเกิดขึ้นทดแทนรถม้า
เมื่อ100ปีก่อน มีบริษัทเข้ามาลงทุน 2,000 บริษัท แต่เหลือรอดมาถึงตอนนี้2 บริษัทคือ Ford,GM

ดังนั้นการลงทุนช่วงนี้ มีความเสี่ยงสูงเกินไป ไม่น่าสนใจ
เอาไว้รอรู้ว่า มีผู้ชนะ ค่อยเข้าไปลงทุน แต่อาจได้ผลตอบแทนไม่สูง
ซึ่งต้องลงก่อนที่จะรู้ว่าใครชนะ จึงจะได้ผลตอบแทนสูง

แต่ถ้าสนใจลงทุน ควรลงทุนในบริษัทในจีน ซึ่งมี 4-5 บริษัท และได้สิทธิประโยชน์ภาษีมาขายในไทย เสียภาษีน้อยมาก จะน่าลงทุนกว่า บริษัทในไทย ที่ลงEV แค่บางส่วน

กลยุทธ์ในการลงทุนและพอร์ตการลงทุนปัจจุบัน

ให้กระจายความเสียงในการลงทุน ตัวอาจารย์เองได้กระจายไปลงในหลายประเทศ
และหลายอุตสาหกรรมเกือบ 80บริษัท แบ่งเป็น

1.หุ้นไทย ประมาณ 30 ตัว ตอนนี้นอกจากหุ้นเล็กแล้ว ยังมีหุ้นขนาดกลางและใหญ่ที่สถาบันลงทุนด้วย

2.หุ้นUS 2 บริษัท ที่อยู่ในกลุ่ม FAANG (FB,Amazon,Apple,Netflix,Geogle) น่าจะเดาไม่ยากเพราะมีใช้บริการในไทยด้วย อาจารย์เลือกจากที่ใช้บริการบ่อยๆ

3.หุ้นเวียดนาม ประมาณ 15 ตัว

4.หุ้นในตลาดหุ้นฮ่องกง 20 ตัว

สำหรับหุ้นที่ได้ประโยชน์ในTheme เปิดเมืองนั้น พบว่า

อาจารย์บอกว่า ตอนนี้Covidเริ่มคลี่คลายหลังจากเริ่มฉีดวัคซีนไปแล้ว (ตอนนี้มากกว่า 5 ล้านโดส)
ตอนนี้ตลาดหุ้นไม่ค่อยสนใจเรื่องCovidแล้ว ดังนั้นจะมาเล่นหุ้นในTheme เปิดเมืองจะช้าไป

Q&A

1. หุ้นสนามบิน และ โรงแรมบางบริษัทตอนนี้ market cap มากกว่าตอนก่อนcovidแล้ว

2. กลุ่มก่อสร้าง จะมีรอบวัฐจักรของกลุ่มนี้ ไม่ค่อยเกี่ยวกับCovid ปีนี้มีโครงการภาครัฐมา
อาจเป็นรอบใหม่ของcycleก็ได้

3. กลุ่มธนาคาร ยังไม่ดี เพราะ เศรษฐกิจยังไม่ฟื้น ถ้าสนใจลงทุน ก็เลือกธนาคารที่ไม่มีพอร์ต
ในโรงแรง ท่องเที่ยว และ SMEมากนัก เน้นในสินเชื่อที่มีหลักประกันจะปลอดภัยกว่า

ข้อแนะนำสำหรับนักลงทุน

1. เน้นลงทุนหุ้นที่มีการเติบโตในระยะยาว

2. สำหรับคนที่เงินลงทุนน้อย ให้กระจายการลงทุนไปในหุ้นหลายตัว และ ห้ามซื้อหุ้นที่ไม่เติบโต
แนบไฟล์

โพสต์โพสต์