กลยุทธ์การจัดพอร์ตครึ่งปีหลัง 2564

[amornkowa]

กลยุทธ์การจัดพอร์ตครึ่งปีหลัง 2564
โดย คุณ วิน พรหมแพทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา

เริ่มเกริ่นนำด้วยวัคซีนCovid-19 ก่อน
1. สำหรับไทย มาช้า แต่ช่วงต้นมิย 64 ฉีดได้เฉลี่ยเกือบ 500,000 โดสต่อวัน
2. สายพันธ์ Delta ระบาด แพร่เร็วกว่า (สายพันธัดั้งเดิม 2.5เท่า)
ที่อังกฤษ อันตรายจากรอบใหม่ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นสายพันธ์Deltaเป็นหลัก
(เพิ่มจากเฉลี่ยเดิม 2,000 คนต่อวัน เป็น 25,000 คนต่อวัน ณ 2 กค )

การเตรียมตัวสำหรับ ตลาดปรับฐาน (Market correction) โดย
1. เตรียมเงินสดไว้ซื้อตอนตลาดปรับฐาน
2. เลือกกองทุนที่ฟื้นตัวช้ากว่ากองอื่น ได้แก่
ตราสารหนี้ไทย หุ้นไทย หุ้นยุโรป REITs Gold
เรามาดูสินทรัพย์ในแต่ละอันที่Laggardดูครับ

****ตลาดหุ้นไทย
ฟื้นตัวช้ากว่าหุ้นโลก 25% และฝรั่งถือหุ้นไทยต่ำมากในรอบหลายปี
(ตอนช่วงปี 2013 ฝรั่งถือหุ้นในสัดส่วน 37%ของMarket cap ตลาด 17 ล้านล้านบาท
แต่ตอนนี้ถือลดลงเหลือ 26% ของ ตลาดหุ้น 16 ล้านล้านบาท )
ปีนี้การประมาณการณ์ กำไรของตลาดหลักทรัพย์ ต้นปีประเมินไว้ต่ำ พอกลางปี ปรับเพิ่มขึ้น
ถือเป็นปีแรกในรอบหลายๆปี ส่งให้หุ้นไทยปรับขึ้นต่อไปได้ (เย้ๆๆๆ)
เป้าหมายคือ ดัชนี 1,700 จุด คาดว่า จะเห็นใน Q3 2564
เพราะมองว่า Covid จะpeak ในช่วง สค-กย 64 เช่นกัน หุ้นไทยก็peakและปรับลดลงในQ4 2564
พอถึงสิ้นปี ตัวเลขอาจไม่สวยเท่าไหร่

กองทุนหุ้นไทยที่แนะนำ ซึ่ง บล กรุงศรีมีให้เลือกถึง 10 บลจ ไม่จำเป็นต้องเป็น บลจ กรุงศรี อย่างเดียว
1.KFTSTAR ลงทุนในหุ้นไทยทั้ง ขนาดเล็ก กลาง และ หุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งมีค่าalpha (ชนะตลาด) 3.5%
2.KFTHAIFM ลงทุนในหุ้น Mid-Small Cap , Performance ดีสุดในเดือน พค 64 ค่าalpha( ชนะตลาด ) 24.1%
3.TSF กองนี้โดดเด่นมาตลอด โดยเลือกหุ้นขนาดเล็ก YTD ค่าalpha ( ชนะตลาด )10%
กองนี้morning star 5 ดาว เลือกหุ้นในพอร์ต แค่ 10-15 ตัวเท่านั้น

แต่ในช่วงครึ่งปีหลัง หุ้น Mid – small cap จะดีเหมือนช่วงครึ่งปีแรก หรือเปล่า
เพราะปกติจะเป็นการ Rotation (ดังนั้น หุ้นขนาดใหญ่ มีโอกาสกลับมามากกว่า)

**** ตลาดหุ้น US
คิดว่าน่าจะปรับฐานในช่วง 2 H เพราะตอนนี้มองภาพแบบ Blue sky สดใส คึกคักกันมาก (ดูน่ากลัวในแง่การลงทุน)
Valuationของหุ้นสหรัฐ สูงสุดในรอบ 20ปี ความแพงใกล้เคียงกับวิกฤต dot com crisis เลยต้องกังวล
ผลตอบแทนที่คาดหวังของตลาดหุ้นสหรัฐ ในอีก 5ปี = 0% และ อีก 1 ปีข้างหน้า ติดลบ แสดงว่าตอนนี้แพงเกินไป
(ราคาวิ่งไปรับผลประกอบการ5ปีข้างหน้าแล้ว)
มีโอกาสไปต่อบ้าง แต่ในเชิงfundamental ไม่น่าจะไล่ซื้อ ( ถ้าอยากซื้อ ควรตั้งรับมากกว่าไล่ซื้อ)

กราฟ S&P500 กับ VIX index ย้อนหลัง5ปี จะอยู่ตรงข้ามกัน
ช่วงที่ตกใจกลัว VIX จะพุ่งขึ้น เช่นตอนCovid มีค 63 ดัชนีVIX เพิ่มสูงมาก ทำให้ S&P500 ลดลงแรง

**** หุ้นยุโรป
ดูน่าสนใจ เพราะมี Earning Growth ในปีนี้ ถ้าการฉีดวัคซีนคืบหน้า
สหภาพยุโรปก้าวหน้ามาในการฉีดวัคซีนในช่วง Q3 นี้
ดัชนี STOCK600 เทียบกับ S&P500 ยังlaggard 25%
หุ้นUS ปกติจะเทรด premium 1.5 เท่าเมื่อเทียบกับ ยุโรป
ตอนนี้เทรดpremium 1.25 เท่า ทำให้ยุโรปมีโอกาสปรับขึ้นได้

Blackrock มองว่า ใน5ปีข้างหน้า ตลาดหุ้นยุโรป โตสุด ชนะ Emerging market , China, US
กองทุนน่าสนใจสำหรับตลาดหุ้นยุโรป
1.KF-HEUROPE
กองหุ้นยุโรปนี้ นอกจากมีหุ้น cyclical แล้ว ยังมีหุ้นดีๆ ที่มีgrowth story เช่น
1.1บริษัท ASML ซึ่งผลิต raw material ให้กับ บริษัท SMC , Intel , Samsung เพิ่มผลิตchipต่อ
เป็นหุ้นนอกกระแส ที่หลายๆคนมองข้าม
1.2บริษัท DSV เป็นบริษัทขนส่ง ที่เติบโตจาก E-commerce โดยไม่ได้เป็นเจ้าของเรือสักลำ

**** REITs
Global REIT ฟื้นเร็วมาก ชนะหุ้นโลก โดยมี shopping center ฟื้นตัว
แต่ที่ฟื้นช้า จะเป็นส่วน data center ที่ปีที่แล้วโตเร็ว ปีนี้เลยฟื้นช้า

REITsไทย ยังlaggard หุ้นไทย รวมถึง REIT โลก ด้วย
เพราะมีกองที่เป็น โรงแรม ค้าปลีก ที่ฟื้นช้าในไทย
และหลายกองจ่ายปันผลน้อยลง หรือไม่ปันผล คนเลยเทขายกัน
ตอนนี้เริ่มปันผลแล้ว ค่าเช่ายังเก็บได้อยู่ (ถึงแม้ลดค่าเช่าให้)
ดังนั้น REIT ไทยน่าจะฟื้นตัวต่อจาก Q2

หน้า 21 สถิติย้อนหลัง 40ปี ภาวะดอกเบี้ยขึ้น Bond Yieldก็ขึ้น
หลายคนกลัวว่า REIT จะโดนเทขาย แต่ปรากฎว่า REITก็ขึ้นด้วย
เพราะหลายประเทศ ค่าเช่ามีสัญญาว่า จะปรับเพิ่มตามเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นด้วย
ดังนั้น Bond Yield เด้ง แต่ REIT โดนกระทบน้อยมากในช่วงQ2 ที่ผ่านมา

หน้า 22 **** ทองคำ
ราคาเริ่มปรับตัวลงในเดือนมิย
ทองคำปกติจะตรงกันข้ามกับ dollar index ถ้า dollar แข็ง ทองคำจะปรับลดลง
แนะนำ ลงทุนระยะสั้น ราคาใกล้ 1,700 $ ทยอยเก็บ พอเด้งก็ขายทำกำไร เพราะ
ไม่คิดว่าจะไปได้ในระยะกลางและยาว