MoneyTalk Special กลยุทธ์วีไอ 2565 (1)
อาจารย์ โจ ลูกอีสาน
ดำเนินรายการ โดย ดร ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
อาจารย์ โจ พูดถึงดัชนีหุ้นไทยในปี2564 เพิ่มขึ้น 13% รวมปันผลอีก2-3% คิดเป็น 15-16%
ถ้านับย้อนหลัง5ปี ตอนนั้นดัชนี 1570 จุด จนถึง ตอนนี้ ดัชนี 1630 จุด
ผลตอบแทนคิดเป็น ราว1%ต่อปีถ้ารวมปันผลอีก 2% แล้วจะได้ประมาณ 3% ต่อปี ซึ่งค่อนข้างต่ำ
ปี2565 ผลตอบแทนไม่หนีไปจากอดีต และมีปัจจัยทั้งบวกและลบ ที่มีผลต่อตลาดหุ้น
ปัจจัยบวกคือ Covid ซึ่งมีมาตั้งสองปี ใกล้จบแล้ว คาวมรุนแรงน้อยลง จนใกล้เป็นเหมือนไข้หวัดใหญ่ สุดท้ายก็จบ
และจะเกิด Pent-up demand นักท่องเที่ยวก็กลับมาเที่ยวเมืองไทยบ้าง
และอีกปัจจัยคือ รัฐบาลจะครบเทอม และมีการเลือกตั้งใหม่ ดังนั้นน่าจะมีการผลักดัน Mega project ออกมาเยอะ
ส่วนปริมาณเงินของFED หลังจากลดQE ก็ส่งผลกระทบตลาดหุ้น ถ้าเรามองแคบลงมาที่ไทย ส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยอย่างไร
บทบาทของสถาบันการเงินไทย ในตลาดหุ้นไทย เมื่อก่อนเป็นพระเอก โดยผ่านกองทุนประหยัดภาษี LTF
ปี2564 บทบาทกองทุนน้อยลงเยอะ ปริมาณการซื้อขายจากเมื่อก่อน 10% ตอนนี้เหลือแค่ 6%
เพราะว่า ยกเลิกLTF เปลี่ยนมาเป็น SSF ซึ่งมีนโยบายลงทุนหุ้นต่างประเทศ นอกเหนือลงหุ้นไทย
ทำให้ปริมาณเงินที่มาซื้อหุ้นไทยหายไปเยอะ เพราะว่า
1.ตลาดหุ้นต่างประเทศ 4-5ปีที่ผ่านมา ได้ผลตอบแทนดี เลยไปซื้อกองทุนต่างประเทศแทนลงทุนหุ้นไทย
2.ตลาดคลิปโตบูมมาก นักลงทุนบางส่วนสนใจ ก็เลยถอนเงินจากการลงทุนในSETไปหา คลิปโตแทน
3.มีการเก็บภาษีการซื้อ / ขายหุ้นไทย
อาจารย์ โจ concern ว่าตลาดหุ้นไทยขึ้นมา10กว่า% หุ้นขนาดใหญ่ ขึ้นไม่เยอะ
แต่หุ้นในตลาดMAI ขึ้นเยอะ PE 50-60 เท่า , ผลตอบแทน 60-70%
หุ้นที่ขึ้น 20 ตัวแรก มีแค่5ตัวที่มีพื้นฐานดี ที่เหลือก็ลากๆไปกัน
หรือบริษัทที่ได้ประโยชน์จากCovid ปีหน้า Covidก็หายไป บริษัทก็ไม่ได้ประโยชน์
ตลาดหุ้นปี2565 ก็น่ากังวลเหมือนกัน
อาจารย์นิเวศน์ เสริมว่า รอบนี้ ดัชนีหุ้นไทยขึ้นมาได้เพราะมีการเก็งกำไร
SET50 ขึ้นมา 3% ,SET ขึ้นมา13% และ MAI ขึ้นมา 63%
ปี64 อาจารย์นิเวศน์ บอกว่า ไม่ซื้อ RMF , ยอมจ่ายภาษี และ เอาเงินที่ขายได้
ไปซื้อหุ้นต่างประเทศดีกว่า
อาจารย์บอกว่า ให้รออีก5ปีเพื่อขายกองทุนไม่ไหว
อาจารย์โจ พูดถึง การลงทุนในปี2564 มีการตัดสินใจครั้งสำคัญ โดยการปรับพอร์ตเชิงกลยุทธ์ โดยดูที่ผลตอบแทน
Port ลงทุนต่างประเทศในปี2564 จากเดิม ลงทุนหุ้นต่างประเทศ คือ เวียดนาม ประมาณไม่ถึง10%
ปีนี้ลงทุนต่างประเทศ 50% ส่วนอีก 35% ลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง 35% . เวียดนาม 10% และ
ตลาดหุ้นUS และ ตลาดหุ้นฟิสิบปินส์ 5%
Portที่ลงทุนในหุ้นไทย 50% และต่างประเทศ 50%
เป็นการลงทุนหุ้นไทย ประมาณ ครึ่งนึง ถือว่าconservative ยังมีข้อได้เปรียบบางอย่าง
หลักการคัดเลือกหุ้นแบบวีไอ
1.หุ้นแนว Growth บริษัทโตจากโดยการไปกินแชร์ของคนอื่นๆ โดยต้องมีต้นทุนที่ต่ำกว่า
2.หุ้นวัฐจักร มีบางตัวราคายังถูกกว่าช่วงก่อนCovid , พอ Covid หายไป หุ้นวัฐจักรก็จะกลับคืนมา
แต่ละปีก็มีอุตสาหกรรมที่ดี และ ราคาหุ้นก็ขึ้นไปสลับกันไปทุกปี
จริงๆ ส่วนตัวไม่อยากซื้อหุ้นต่างประเทศ แต่ต้องการกระจายความเสี่ยง
ก็เลยไปซื้อหุ้นฮ่องกง ปรากฏว่า โดนรับน้อง ราคาหุ้นลงไปอีก20% เพราะโดนทางรัฐแทรกแซง
ตอนนี้ ราคาหุ้น HK ที่ถูกอยู่แล้ว ก็ถูกขึ้นไปอีก
ช่วงนี้ ศึกษาในตลาดหุ้นฮ่องกง ยังรู้สึกสนุก หุ้นส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดเล็ก
คำถามยอดฮิตที่ถามอาจารย์โจ ว่าสนใจลงทุนคลิปโตไหมครับ
อาจารย์โจบอกว่า ไม่ยุ่งกับอะไรที่อยู่ในกระแส ซึ่งถือเป็นข้อดี
ยอมรับได้ที่เห็นคนอื่นได้กำไร แต่ยอมรับไม่ได้ถ้าตัวเองขาดทุน ดังนั้นต้องมีการบริหารจัดการความเสี่ยงได้ดี
สรุป คือ หลักการในการลงทุนไม่เปลี่ยนแปลง แต่วิธีการอาจเปลี่ยนได้
สุดท้ายขอขอบคุณ ดร ไพบูลย์ และ ดร นิเวศน์ ครับ
MoneyTalk Special กลยุทธ์วีไอ 2565 (1)
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: MoneyTalk Special กลยุทธ์วีไอ 2565 (1)
โพสต์ที่ 2
MoneyTalk Special กลยุทธ์วีไอ 2565 (2)
หมอพงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี นักลงทุนวีไอ
ดำเนินรายการ โดย ดร ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
พี่หมอบอกถึงมุมมองหุ้นไทยในปีนี้ ว่า มีมุมมองบวกนิดหน่อย โดยดูจาก
Earning Yield Gap ซึ่งคิดมาจาก ผลตอบแทนของตลาดหุ้น – Yield พันธบัตร10ปี
ปีที่แล้ว PEประมาณ 20เท่า ดังนั้น ผลตอบแทนประมาณ 5% และ Yield พันธบัตร10ปี 2% ดังนั้น EYG = 3%
ปีนี้ PE คาดว่าจะลงมาเหลือ 17 เท่า ดังนั้น EYG เท่ากับ 3%กว่า ดูน่าสนใจมากขึ้น พอลงทุนได้ แต่ตลาดก็ไม่ได้โตมากมาย
ความเสี่ยงที่กังวลมี2เรื่องคือ
1.อัตราดอกเบี้ยที่กำลังเพิ่มขึ้น จะมีeffectไหม ถ้าดอกเบี้ยขึ้นอย่างรวดเร็วจะกระทบหุ้นอย่างไร
การcontrol จากFEDได้ไหม
2.อสังหาที่จีนมีปัญหา ประเมินไม่ได้ว่าใหญ่แค่ไหน อาจใหญ่กว่าปัญหาsubprimeตอนปี2008ก็ได้
ส่วนเรื่องCovid หมอพงศ์ศักดิ์ ไม่ค่อยกังวล เพราะ
1.เกิด Herd immunity ขึ้น
2.Fully Vaccinated
3.เชื้อโรคถูกทำให้อ่อนแอลงเรื่อยๆ มนุษย์เป็น Host เป็น endemic โรคที่เกิดประจำในท้องถิ่นแทน
กลยุทธ์ในการลงทุน ยังคงใช้กลยุทธ์แบบเดิม เพราะในระยะยาว เชื่อว่า หุ้นดีกว่าพันธบัตร
ถ้าเราไม่ได้อยู่ในตลาดหุ้นตลอด อาจเสียโอกาสได้ผลตอบแทนดีๆไป (เพราะผลตอบแทนที่ดีมากๆ
เกิดแค่ไม่กี่วันใน1ปี)
กลยุทธ์ของพี่หมอ คือ การฟัง อ่าน และ คิดให้มากไว้
ฟังผู้บริหารพูดใน opp day หรือ AGM
อ่านรายงานประจำปี หรือข่าวที่บริษัทให้ข่าว
และ นำมาคิดเพื่อวางแผนในการลงทุน
ทุกบริษัท ก็มีวันที่หุ้นถูกขายออกมามาก ทำให้มีโอกาสเก็บในราคาถูก (ถ้าเราทำการบ้านมาก่อน)
ส่วนหุ้นที่หา ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทขนาดเล็กจนถึงขนาดกลาง ถ้าเราเจอตอนที่คนไม่สนใจ ราคาถูก
เข้าไปลงทุน และ ถือจนทุกคนเริ่มเห็นว่าดี ราคาก็ปรับขึ้นมา
กลยุทธ์ในการถือ และ เปลี่ยนตัวหุ้น
พี่หมอบอกว่า ต้องดูว่า บริษัทยังขยายหรือเติบโตได้อีกไหม ดูจาก
1.ดูช่องว่างของธุรกิจว่ายังสามารถขยายตัวได้อีกไหม
2.ความสามารถในการขยายไปในธุรกิจใหม่ ธุรกิจใหม่ไม่จำเป็นต้องอยู่ในอุตสาหกรรมใหม่
แต่เป็นธุรกิจที่ไปdisruptธุรกิจเดิมได้
3.ผู้บริหาร ซึ่งบางท่านมีความสามารถในการขยายธุรกิจเดิมไปยังธุรกิจใหม่ ถือว่าเป็น exceptional
หรือ หา S-curve ใหม่ให้กับบริษัท ถ้าเขาทำสำเร็จ เราก็ไปกับเขาด้วย ถือหุ้นต่อไป
แต่ถ้าเติบโตช้าลง เราก็หาธุรกิจใหม่ที่เติบโตต่อเพื่อลงทุน แต่ถ้าหาในประเทศไม่เจอ ก็อาจไปลงทุนในต่างประเทศ
ซึ่งตอนนี้พี่หมอ ลงทุนในเวียดนาม แต่ไม่ถึง 1%ของพอร์ต
พี่หมอบอกว่า ผู้บริหารที่ดีต้องมีความสามารถadaptได้ ซึ่งหาผู้บริหารแบบนี้ได้ยาก มีไม่เกิน10คน
พี่หมอชอบลงทุนในหุ้นGrowth มากกว่า หุ้นvalueที่มั่นคงแต่ไม่เติบโต
ข้อดี คือ บริษัทเติบโตได้เรื่อยๆ กำไรต้องเป็นsustain growth อย่างน้อย3-5ปี และ มีrunwayที่ยาวๆ ซึ่งดีกว่า ลงในหุ้นvalue ซึ่งถือหุ้นถึงจุดนึง ก็ต้องเปลี่ยนหุ้นไปเรื่อยๆ
สำหรับนักลงทุนรุ่นใหม่ที่พึ่งเข้าตลาดมา
พี่หมอบอกว่า สำหรับนักลงทุนมืออาชีพ มีpassion ต้องสนุกับการลงทุน และ ชอบอ่านข้อมูลเยอะๆ
ถือเป็นเกมส์ ซึ่งสนุกกับมันทุกวัน ถือว่าเป็น Passion
Mindset เป็นเรื่องสำคัญ มีpassionและสนุกกับมัน แต่ถ้าไม่ชอบ ก็ไปซื้อกองทุนแทน
ไม่แนะนำให้ลอกหุ้นที่เซียนหุ้นถืออยู่ เพราะไม่ได้มีการเรียนรู้ถึงวิธีการลงทุน
แนะนำว่า เราต้องเรียนรู้ และชำนาญในอุตสาหกรรมที่เราจะลงทุน มีprocessที่ถูกต้อง และ สามารถทำซ้ำๆได้
แต่ถ้าจะตามเซียนหู้นก็สามารถตามได้นิดหน่อย และ พยายามเรียนรู้ว่าเซียนหู้นเขาคิดอะไร ที่เข้าไปถือหุ้นตัวนี้
ไม่ควรลงตามเยอะ เพราะเขาอาจผิดก็ได้
เรื่อง Bitcoin , High Technology นั้น พี่หมอบอกว่า ยังอยู่ในช่วงที่กำลังศึกษา เลยบอกไม่ได้ว่า
ดีหรือไม่ ในตอนนี้ ส่วนเรื่องที่Bitcoin ไม่มีกระแสเงินสดออกมา ก้เลยไม่สามารถหามูลค่าที่แท้จริงได้
ไม่เห็นด้วยกับคำพูดนี้ เพราะ แม้แต่ รูปภาพ ก็ไม่มีcash flow ออกมา แต่ก็ยังมีการตีราคาจากdemand,supply
ส่วนธุรกิจ Hitech นั้น ส่วนใหญ่บริษัท Hitech จะไม่ประสบความสำเร็จ ยังตอบไม่ได้ว่าน่าสนใจไหม เพราะยังไม่เข้าใจ
ดังนั้นต้องศึกษาดูว่า เราเข้าใจธุรกิจหรือไม่ และ ไม่ได้กะเกณฑ์ว่าต้องใช้เวลากี่ปีในการศึกษา
แต่ถ้าศึกษาแล้วสู้คนอื่นไม่ได้ ก็อาจไม่ไป หรืออาจไปลงทุนผ่านกองทุนรวมก็ได้
สุดท้ายขอขอบคุณ พี่หมอ พงศ์ศักดิ์ ดร ไพบูลย์ และ ดร นิเวศน์ มากๆครับ
หมอพงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี นักลงทุนวีไอ
ดำเนินรายการ โดย ดร ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
พี่หมอบอกถึงมุมมองหุ้นไทยในปีนี้ ว่า มีมุมมองบวกนิดหน่อย โดยดูจาก
Earning Yield Gap ซึ่งคิดมาจาก ผลตอบแทนของตลาดหุ้น – Yield พันธบัตร10ปี
ปีที่แล้ว PEประมาณ 20เท่า ดังนั้น ผลตอบแทนประมาณ 5% และ Yield พันธบัตร10ปี 2% ดังนั้น EYG = 3%
ปีนี้ PE คาดว่าจะลงมาเหลือ 17 เท่า ดังนั้น EYG เท่ากับ 3%กว่า ดูน่าสนใจมากขึ้น พอลงทุนได้ แต่ตลาดก็ไม่ได้โตมากมาย
ความเสี่ยงที่กังวลมี2เรื่องคือ
1.อัตราดอกเบี้ยที่กำลังเพิ่มขึ้น จะมีeffectไหม ถ้าดอกเบี้ยขึ้นอย่างรวดเร็วจะกระทบหุ้นอย่างไร
การcontrol จากFEDได้ไหม
2.อสังหาที่จีนมีปัญหา ประเมินไม่ได้ว่าใหญ่แค่ไหน อาจใหญ่กว่าปัญหาsubprimeตอนปี2008ก็ได้
ส่วนเรื่องCovid หมอพงศ์ศักดิ์ ไม่ค่อยกังวล เพราะ
1.เกิด Herd immunity ขึ้น
2.Fully Vaccinated
3.เชื้อโรคถูกทำให้อ่อนแอลงเรื่อยๆ มนุษย์เป็น Host เป็น endemic โรคที่เกิดประจำในท้องถิ่นแทน
กลยุทธ์ในการลงทุน ยังคงใช้กลยุทธ์แบบเดิม เพราะในระยะยาว เชื่อว่า หุ้นดีกว่าพันธบัตร
ถ้าเราไม่ได้อยู่ในตลาดหุ้นตลอด อาจเสียโอกาสได้ผลตอบแทนดีๆไป (เพราะผลตอบแทนที่ดีมากๆ
เกิดแค่ไม่กี่วันใน1ปี)
กลยุทธ์ของพี่หมอ คือ การฟัง อ่าน และ คิดให้มากไว้
ฟังผู้บริหารพูดใน opp day หรือ AGM
อ่านรายงานประจำปี หรือข่าวที่บริษัทให้ข่าว
และ นำมาคิดเพื่อวางแผนในการลงทุน
ทุกบริษัท ก็มีวันที่หุ้นถูกขายออกมามาก ทำให้มีโอกาสเก็บในราคาถูก (ถ้าเราทำการบ้านมาก่อน)
ส่วนหุ้นที่หา ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทขนาดเล็กจนถึงขนาดกลาง ถ้าเราเจอตอนที่คนไม่สนใจ ราคาถูก
เข้าไปลงทุน และ ถือจนทุกคนเริ่มเห็นว่าดี ราคาก็ปรับขึ้นมา
กลยุทธ์ในการถือ และ เปลี่ยนตัวหุ้น
พี่หมอบอกว่า ต้องดูว่า บริษัทยังขยายหรือเติบโตได้อีกไหม ดูจาก
1.ดูช่องว่างของธุรกิจว่ายังสามารถขยายตัวได้อีกไหม
2.ความสามารถในการขยายไปในธุรกิจใหม่ ธุรกิจใหม่ไม่จำเป็นต้องอยู่ในอุตสาหกรรมใหม่
แต่เป็นธุรกิจที่ไปdisruptธุรกิจเดิมได้
3.ผู้บริหาร ซึ่งบางท่านมีความสามารถในการขยายธุรกิจเดิมไปยังธุรกิจใหม่ ถือว่าเป็น exceptional
หรือ หา S-curve ใหม่ให้กับบริษัท ถ้าเขาทำสำเร็จ เราก็ไปกับเขาด้วย ถือหุ้นต่อไป
แต่ถ้าเติบโตช้าลง เราก็หาธุรกิจใหม่ที่เติบโตต่อเพื่อลงทุน แต่ถ้าหาในประเทศไม่เจอ ก็อาจไปลงทุนในต่างประเทศ
ซึ่งตอนนี้พี่หมอ ลงทุนในเวียดนาม แต่ไม่ถึง 1%ของพอร์ต
พี่หมอบอกว่า ผู้บริหารที่ดีต้องมีความสามารถadaptได้ ซึ่งหาผู้บริหารแบบนี้ได้ยาก มีไม่เกิน10คน
พี่หมอชอบลงทุนในหุ้นGrowth มากกว่า หุ้นvalueที่มั่นคงแต่ไม่เติบโต
ข้อดี คือ บริษัทเติบโตได้เรื่อยๆ กำไรต้องเป็นsustain growth อย่างน้อย3-5ปี และ มีrunwayที่ยาวๆ ซึ่งดีกว่า ลงในหุ้นvalue ซึ่งถือหุ้นถึงจุดนึง ก็ต้องเปลี่ยนหุ้นไปเรื่อยๆ
สำหรับนักลงทุนรุ่นใหม่ที่พึ่งเข้าตลาดมา
พี่หมอบอกว่า สำหรับนักลงทุนมืออาชีพ มีpassion ต้องสนุกับการลงทุน และ ชอบอ่านข้อมูลเยอะๆ
ถือเป็นเกมส์ ซึ่งสนุกกับมันทุกวัน ถือว่าเป็น Passion
Mindset เป็นเรื่องสำคัญ มีpassionและสนุกกับมัน แต่ถ้าไม่ชอบ ก็ไปซื้อกองทุนแทน
ไม่แนะนำให้ลอกหุ้นที่เซียนหุ้นถืออยู่ เพราะไม่ได้มีการเรียนรู้ถึงวิธีการลงทุน
แนะนำว่า เราต้องเรียนรู้ และชำนาญในอุตสาหกรรมที่เราจะลงทุน มีprocessที่ถูกต้อง และ สามารถทำซ้ำๆได้
แต่ถ้าจะตามเซียนหู้นก็สามารถตามได้นิดหน่อย และ พยายามเรียนรู้ว่าเซียนหู้นเขาคิดอะไร ที่เข้าไปถือหุ้นตัวนี้
ไม่ควรลงตามเยอะ เพราะเขาอาจผิดก็ได้
เรื่อง Bitcoin , High Technology นั้น พี่หมอบอกว่า ยังอยู่ในช่วงที่กำลังศึกษา เลยบอกไม่ได้ว่า
ดีหรือไม่ ในตอนนี้ ส่วนเรื่องที่Bitcoin ไม่มีกระแสเงินสดออกมา ก้เลยไม่สามารถหามูลค่าที่แท้จริงได้
ไม่เห็นด้วยกับคำพูดนี้ เพราะ แม้แต่ รูปภาพ ก็ไม่มีcash flow ออกมา แต่ก็ยังมีการตีราคาจากdemand,supply
ส่วนธุรกิจ Hitech นั้น ส่วนใหญ่บริษัท Hitech จะไม่ประสบความสำเร็จ ยังตอบไม่ได้ว่าน่าสนใจไหม เพราะยังไม่เข้าใจ
ดังนั้นต้องศึกษาดูว่า เราเข้าใจธุรกิจหรือไม่ และ ไม่ได้กะเกณฑ์ว่าต้องใช้เวลากี่ปีในการศึกษา
แต่ถ้าศึกษาแล้วสู้คนอื่นไม่ได้ ก็อาจไม่ไป หรืออาจไปลงทุนผ่านกองทุนรวมก็ได้
สุดท้ายขอขอบคุณ พี่หมอ พงศ์ศักดิ์ ดร ไพบูลย์ และ ดร นิเวศน์ มากๆครับ