รายงาน : 11 ปีในจีนโอกาสทองสหยูเนี่ยน โรงไฟฟ้า-สิ่งทอสู่เป้า 2.2 หมื่นล้าน
(กรุงเทพธุรกิจ วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547)
การลงทุนอย่างต่อเนื่องตลอด 11 ปี ของสหยูเนี่ยนในประเทศจีน เริ่มจากธุรกิจขนาดใหญ่ด้านโรงผลิตไฟฟ้า ภายใต้ชื่อ บริษัท ยูเนี่ยน เอ็นเนอร์ยี่ (ไชน่า) จำกัด ตามด้วย สิ่งทอ และการลงทุนในตลาดการศึกษา ด้วยการเปิดโรงเรียนนานาชาติ ดอลลิช เซี่ยงไฮ้
ล่าสุดคือ การประกาศแผนการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท ในจีนเมื่อเร็วๆ นี้ นับเป็นการลงทุนที่ท้าทายไม่น้อยในสายตาของคนทั่วไป ขณะที่มีการประมาณการรายได้ จากการดำเนินธุรกิจของสหยูเนี่ยนในจีน ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจาก 5,600 ล้านบาทในปี 2546 เป็น 7,800 ล้านบาท ในปี 2547 นั้น นับเป็นโอกาสทางธุรกิจที่มีแนวโน้มขยายตัวที่ไม่เลวทีเดียว
การขยายการลงทุน ยังคงเป็นสิ่งที่ท้าทายในมุมมองของ วัชรพงษ์ ดารกานนท์ รองกรรมการผู้จ้ดการ กลุ่มเทคโนโลยี บริษัท สหยูเนี่ยน จำกัด (มหาชน) ซึ่งทายาทสหยูเนี่ยน กล่าวว่า การเพิ่มน้ำหนักการลงทุนของสหยูเนี่ยน ในประเทศจีน เพิ่มขึ้นนั้น มีอยู่หลายปัจจัย
ปัจจัยแรกก็คือ แม้รัฐบาลจีนจะอนุญาตให้บริษัทต่างชาติ ที่เข้าไปร่วมลงทุนสามารถนำกำไร กลับมายังประเทศได้ แต่ในส่วนที่เป็นเงินลงทุนนั้นไม่สามารถนำกลับมาได้ ดังนั้นจึงต้องใช้วิธีการลงทุนใหม่
ปัจจัยต่อมาก็คือ ความรุ่งเรืองของประเทศจีนในหลายด้าน รวมถึงด้านเศรษฐกิจ และการลงทุนนับว่าจีนเป็นประเทศที่มีโอกาส และมีศักยภาพไม่แพ้ใคร นี่คือ ช่องทาง และโอกาสที่ทำให้บริษัท เบนเข็มมายังประเทศจีนมากขึ้น ซึ่งรายได้หลักยังคงมาจากธุรกิจโรงผลิตไฟฟ้า
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มการลงทุนดังกล่าว ส่วนหนึ่งยังคงมาจากความพยายาม ในการชดเชยรายได้ที่หดหายไปจากตลาดสิ่งทอ ซึ่งถือว่ากำลังอยู่ในช่วงขาลง ซึ่งอนาคตของสิ่งทอไทยจะเป็นอย่างไรนั้น คงต้องรอลุ้นในวันที่ 1 ม.ค.2548 ซึ่งจะเป็นวันที่ประเทศสหรัฐ จะมีนโยบายเกี่ยวกับสิ่งทอออกมา ถึงวันนั้นบริษัทคงหันมาดู และทบทวนทิศทางธุรกิจกันใหม่
สหยูเนี่ยนถือเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมสิ่งทอของเมืองไทย เคยมีรายได้จากอุตสาหกรรมนี้ถึงปีละกว่า 3,000 ล้านบาท แต่ภายหลังจากวิกฤติเศรษฐกิจต่อเนื่องมา อุตสาหกรรมสิ่งทอของบริษัทถือเป็นธุรกิจที่ไม่ขยายตัวนักอาจเรียกได้ว่าอยู่ในช่วงขาลงซึ่งตลาดหดตัวไปกว่า 30% อันเป็นผลมาจากปัจจัยการผลิตที่เปลี่ยนแปลง ส่งผลให้เจ้าของแบรนด์สินค้า หันไปสั่งสินค้าจากจีนแทน และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมาทางบริษัท ได้มีปรับปรุงเรื่องประสิทธิภาพการผลิต นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้มากขึ้น และพยายามส่งสินค้าขายเข้าประเทศจีนให้ได้มากขึ้น
จากการที่ได้เริ่มเข้าไปทำธุรกิจโรงผลิตไฟฟ้า ในชื่อบริษัท ยูเนี่ยน เอ็นเนอร์ยี่ (ไชน่า) จำกัด ในจีนในช่วง 11 ปีที่ผ่านมานั้น บริษัทเริ่มเห็นรายได้ที่เด่นชัดขึ้น และธุรกิจมีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้นด้วย เศรษฐกิจของจีนมีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 8-9% เท่ากับอัตราการขยายของเศรษฐกิจไทย ก่อนวิกฤติเศรษฐกิจ และรายได้จากจีนจะเข้ามาชดเชยรายได้สิ่งทอในไทยที่ลดลงไปได้
สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย จากนี้ไปจะให้ความสำคัญในกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์เพิ่มขึ้น ตามการเติบโต และขยายตัวของอุตสาหกรรม ที่คาดว่าจะมีรายได้จากกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ประมาณ 1,700 ล้านบาท เทียบกับสิ้นปี 2546 ที่มีรายได้รวม 1,300 ล้านบาท
ขณะที่กลุ่มสหยูเนี่ยนจะมีรายได้รวม 22,800 ล้านบาท แยกเป็นรายได้จากบริษัทในไทย 15,000 ล้านบาท และรายได้จากบริษัทในจีน 7,800 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นเติบโตเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เมื่อเทียบกับรายได้รวมของบริษัทในสิ้นปี 2546 ซึ่งมีราว 20,500 ล้านบาท แยกเป็นบริษัทในไทย 14,900 ล้านบาท และรายได้จากบริษัทในจีน 5,600 ล้านบาท
สหยูเนี่ยน เน้นย้ำถึงแผนการลงทุนในจีน โดยจะดูจากโอกาสทางธุรกิจและการเปิดกว้างทางการค้าของประเทศจีนต่อไปอย่างต่อเนื่อง โดยได้จับตาเฝ้าติดตาม และเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด อันเป็นรูปแบบการลงทุนของบริษัทขนาดใหญ่ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่าง การลงทุนของบริษัทคนไทยที่มีมุมมอง ต่อการลงทุนนอกบ้านได้อย่างน่าสนใจ