มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ

การลงทุนอื่นๆนอกจากหุ้น วีไอ กองทุนรวมชนิดต่างๆ RMF LTFตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ อนุพันธ์ และเกษตรล่วงหน้า

โพสต์ โพสต์
Frankie
Verified User
โพสต์: 999
ผู้ติดตาม: 0

มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ต่อไปหากผมพบกระทู้ที่ผมคิดว่าน่าสนใจจากเว็บอื่น ๆ ผมจะนำมาอัพเดทที่กระทู้นี้นะครับ

สรุปกองทุน SCB ต่างๆ 2 เดือนย้อนหลัง

http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 07657.html[/url]
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
Frankie
Verified User
โพสต์: 999
ผู้ติดตาม: 0

มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ

โพสต์ที่ 2

โพสต์

เจออีกแล้วครับ กระทู้เกี่ยวกับกองทุน SCB อีกแล้ว (มีเรื่องที่ไปเกี่ยวกับบริษัท
SCNYL ด้วยนิดหน่อย)
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 06924.html
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
Frankie
Verified User
โพสต์: 999
ผู้ติดตาม: 0

มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ

โพสต์ที่ 3

โพสต์

อันนี้ไม่ใช่กระทู้แต่เป็นบทความจาก BIZWEEK ครับ

ธุรกิจดอทคอม "ตัวจริง" บนถนนออนไลน์

7 ปีที่แล้ว ธุรกิจบนดอทคอมของไทยเปิดตัวขึ้นมาอย่าง "หวือหวา" และกลับ "ล้มละลาย" ในชั่วข้ามปี
แต่ธุรกิจดอทคอมที่กลับมาในรอบนี้เป็นไปด้วยท่วงท่า ลีลา ที่สุขุม รอบคอบยิ่งขึ้น จากการเรียนรู้ประสบการณ์ในอดีต
การกลับมาในครั้งนี้ ผู้ประกอบการธุรกิจอีคอมเมิร์ซสรุปว่า เป็น "ของจริง" มีการซื้อขาย "จริง" เกิดธุรกรรม "จริง"
และเป็นการทำธุรกิจที่สามารถทำเงินได้จริง !!



หากยังจำกันได้ "บิล เกตส์" แห่งไมโครซอฟท์ ได้ทำนายอนาคตของ "ทีวี" ในการประชุมว่าด้วยเศรษฐกิจโลกที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เมื่อต้นปีว่า ภายใน 5 ปีจากนี้ คนจะหัวเราะกับสิ่งที่เรามี

ในความหมายดังกล่าว บิล เกตส์ ต้องการสื่อว่า ภายใน 5 ปีจากนี้ ทีวีจะถูกทดแทนโดย อินเทอร์เน็ต

ปรากฏการณ์ดังกล่าว มิใช่แค่ต่างประเทศ แต่ในประเทศไทยก็มีสิทธิเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน

เห็นได้จากธุรกิจต่างๆ เริ่มเบนทิศสู่ธุรกิจบน "ดอทคอม"

แต้มต่อที่อินเทอร์เน็ตกำลังจะมีเหนือกว่าทีวีสื่อจอตู้ คือ ไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลา-สถานที่ในการเข้าชม

พร้อมเมื่อไร คลิกได้ทุกเมื่อ

ดังนั้นในความเห็นของ ปรเมศวร์ มินศิริ นายกสมาคมผู้ดูแลเวบไทย จึงกล้าฟันธงลงไปว่า ในเมืองไทยปรากฏการณ์ "เหนือกว่า" ของอินเทอร์เน็ตมาแน่ !

เพราะโลกใบนี้กำลังจะขยับไปสู่ยุคที่เขาเรียกว่า ปฏิวัติดิจิทัล ทำนองเดียวกับการเกิดขึ้นของยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมซึ่งปัจจุบันไทยได้รับอานิสงส์ โดนหางเลขเข้าให้แล้วเช่นกัน

โดยมี ผู้ใช้ บีบคั้นให้ธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต้องปรับตัว

แต่ละธุรกิจตอนนี้เริ่มตระหนักว่า จะเอาอินเทอร์เน็ตเข้ามาช่วยได้อย่างไร เห็นได้ชัดมาก เพราะผู้ใช้เป็นตัวขับดันเรื่องการปฏิวัติดิจิทัล ผมว่าในเมืองไทยกำลังมา ขณะที่ในเมืองนอกมาแล้ว" นายกสมาคมผู้ดูแลเวบไทยเผย

ปรเมศวร์ยกตัวอย่างให้เห็นว่า เมื่อผู้ใช้ซื้อกล้องดิจิทัล ทำให้บริษัทฟิล์มและร้านค้าต้องปรับตัว ลูกค้าซื้อ iPod เพื่อฟังเพลง หรือ Flat Drive ที่ฟังเพลงได้ ค่ายเพลงจึงต้องหันมาปรับตัวเช่นกัน และสิ่งเหล่านี้ล้วนเชื่อมโยงบริการบนอินเทอร์เน็ต

นอกจากนี้วัฒนธรรมที่กำลังจะตามมากับการปฏิวัติดิจิทัล คือ วัฒนธรรมคลิก (Click Culture)

หลายคนได้เห็นข่าวสาร หรือเรื่องราวจากการคลิก เช่น ดูทีวีไม่ทัน ก็ต้องมาเปิดอินเทอร์เน็ตดู หลายคนเริ่มเสพคลิปวิดีโอสั้นๆ เหล่านี้เป็นชั่วโมงๆ เพราะว่าเขาสนใจ เราเริ่มเข้ามาอยู่ในช่วงนี้แล้ว เพราะอุปกรณ์ต่างๆ ในปัจจุบัน มีอินเทอร์เน็ตเป็นตัวเข้ามาเล่น ปรเมศวร์ให้ทัศนะ

เขายังเห็นว่า อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (Broadband) คือ เครื่องมือ (Tool) สำคัญในการขับเคลื่อนยุคดังกล่าว เพราะคอนเทนท์หรือบริการที่หลากหลายในอินเทอร์เน็ต ย่อมต้องการการรองรับจากเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตที่ล้ำหน้าไปอีกขั้น

ในช่วง 2 ปีหลัง เห็นการเติบโตของบรอดแบนด์ การที่เราเป็นคนทำเวบเอง เราจะรู้ความเร็วของผู้ที่เข้ามาชมเวบ และตามหลักการตลาด การที่อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแพร่หลายมากขึ้น เพราะราคาถูกลงมาก

ขณะที่ "ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ" กรรมการผู้จัดการ บริษัทตลาด ดอท คอม ผู้ให้บริการเวบไซต์ www.thaisecondhand.com และ www.tarad.com และมีประสบการณ์อยู่ในวงการนี้ตั้งแต่ยุคบุกเบิก ก็บอกว่า แม้อีคอมเมิร์ซจะสะดุดไปช่วงเวลาหนึ่ง แต่เริ่มมีพัฒนาการที่ดี โมเดลของธุรกิจเริ่มฉายภาพชัด และค่อยๆ สดใสมากขึ้น

"ตอนนี้ดอทคอม คือ "ของจริง" ไม่ใช่การสร้างภาพลักษณ์เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป

อีคอมเมิร์ซตอนนี้ต้องเป็นอะไรที่ชัวร์ สร้างรายได้จริง"

ภาพสวย เวบดัง ตังค์ไม่มี นี่คือคำนิยามดอทคอมยุคฟองสบู่แตก แต่ยุคนี้ เวบไม่ดังไม่ว่า แต่ต้องมีตังค์

และเมื่อพิจารณาจาก ข้อมูลสถานะพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย ปี 2549 ของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) พบว่า ธุรกิจอีคอมเมิร์ซของไทยปี 2548 มีมูลค่า สูงถึง 220,924 ล้านบาท

เทียบกับปี 2546 ถือว่าเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 71.28%

หากตัดธุรกิจ B2G ที่มีสัดส่วนมากที่สุดถึง 65% หรือประมาณ 143,437 ล้านบาทออกแล้ว เนื้อในของธุรกิจดอทคอมมีมูลค่า 78,297 ล้านบาท (B2B 30% หรือ 66,095 ล้านบาท และธุรกิจ B2C 11,395 ล้านบาท)

แม้ว่า 3 ปี ตัวเลขของธุรกิจอีคอมเมิร์ซจะเติบโตเพียง 30-40% แต่ภาวุธถือว่าเป็นการเติบโตที่มีแนวโน้มดีขึ้น และเริ่มมีอิทธิพลกับนักช้อปออนไลน์มากขึ้น

"ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์" ผู้อำนวยการเนคเทค กล่าวว่า นักท่องเน็ตเริ่มยอมรับการจ่ายเงินซื้อของบนเวบมากกว่าการสำรวจครั้งก่อน โดยระบบการชำระเงินยอดนิยมคือ การชำระเงินผ่านระบบอินเทอร์เน็ตแบงกิ้ง (e-banking) สัดส่วน 20.28% จ่ายผ่านบัตรเครดิต 20.15% และจ่ายผ่านผู้ให้บริการกลาง 19.72%

เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะคนดอทคอมเริ่มทำธุรกิจเป็น ไม่เน้นการสร้างภาพ และไม่เน้นว่าต้องเป็นแหล่งชุมนุมผู้คนมากมาย ถึงคนจะน้อยหน่อย แต่เป็นคนยอมจ่าย ยอมซื้อจริง พวกเขาแฮปปี้กว่า

ธุรกิจดอทคอมยุคนี้จึงไม่เน้นการสร้างคอมมูนิตี้ แต่ ดาวรุ่ง ที่มาแรงส่วนใหญ่กลับกลายเป็นธุรกิจที่เจาะลึกลงแต่ละ เซ็กเมนท์ เข้าถึงไลฟ์สไตล์คนมากกว่า เช่นเวบสำหรับเด็กวัยทีน เวบเกม เวบชอปปิง กีฬา เวบข่าว หรือสารพัดดาวน์โหลด

เพราะว่าถ้าทำกว้างแล้วแข่งไม่ได้แล้ว โดนเจ้าตลาดกินหมด ภาวุธบอก

ในการจัดอันดับ "สุดยอดเวบไซต์" ของทรูฮิตส์ดอทเน็ตพบว่า ปีที่ผ่านมาเวบไซต์ที่มีคนเข้าชมมากที่สุดอันดับ 1 เป็นเวบไซต์ด้านบันเทิง 39.45% อันดับ 2 เวบไซต์ข่าวและสื่อ 7.64% อันดับ 3 เวบไซต์ประเภทบุคคล สังคม 7.16%

"ปีที่ผ่านมาเวบข่าวมาแรงมาก โดยเฉพาะในช่วงวันที่ประเทศไทยเกิดการรัฐประหาร เวบไซต์ข่าวเป็นเวบที่มีคนเข้าเยอะมากที่สุด โดยเฉพาะในวันที่ 20 กันยายน 2549 เราพบว่า มีคนเข้าชมเวบไซต์เกือบแสนคน เฉพาะวันนี้วันเดียว ถือว่าเป็นวันที่มีเพจวิวมากที่สุดของปี 2549 และน่าจะเป็นเทรนด์ปีนี้ด้วย" "ดร.ปิยะ ตัณฑวิเชียร" ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยพัฒนาบริการ สำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศภาครัฐ (สบทร.) หรือทรูฮิตส์ดอทเน็ต กล่าว

ส่วนปีนี้ดร.ปิยะ บอกว่า ให้จับตาเวบกลุ่มบันเทิง ข่าว และเวบ 2.0 หรือเวบบล็อกที่จะมาแรง

เช่นเดียวกับภาวุธที่เชื่อว่า ดาวรุ่งมาแรงสุดสุดที่ได้ใจวัยทีนต้องยกให้เวบบล็อก เวบไดอารี่ ที่มียอดฮิตกันถล่มทลาย เช่น exteen.com ที่มีบล็อกเกอร์แล้วกว่า 6-7 พันราย

ที่สำคัญทุกเวบต่างพยายามสร้าง สะพานเชื่อม สู่ ธุรกิจ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

อย่างไรก็ตามการที่ 5-6 ปีที่ผ่านมา ดอทคอมถูกปล่อยให้อยู่ในสุญญากาศ โมเดลธุรกิจอาจจะดีขึ้น แต่รูปแบบการหารายได้ยังไม่หลากหลายเท่าต่างประเทศ

การโฆษณาหรือแบนเนอร์ยังคงเป็นโครงสร้างหลักในการทำธุรกิจดอทคอม แต่แบนเนอร์ที่จะยอม แปะ ต้องเป็นเวบที่มีผู้คนเข้ามาเยี่ยมชมหนาตาพอสมควร เช่น พันทิป กระปุก

เพราะเมื่อคนเข้ามาเยอะ โอกาสที่โฆษณาจะผ่านตามีมาก

ภาวุธจึงตั้งข้อสังเกตว่า เม็ดเงินรายได้ของโฆษณาบนเวบยังกระจุกตัวในเวบดังๆ เท่านั้น อย่างสนุก กระปุก ผู้จัดการ กินแชร์ไป 60-70% ของโฆษณาบนเวบไซต์

ขณะที่ปรเมศวร์บอกว่า แนวโน้มใหม่ของ Banner จะมีเรื่องของวิดีโอเข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นสปอตโฆษณา ไม่ต่างกับการ ย่อส่วนทีวี

ปีนี้นอกจาก Banner จะมาแล้ว ตัวที่เป็นวิดีโอจะมาด้วย เพราะสามารถเอาสปอตโฆษณาเดิมที่อยู่บนโทรทัศน์ หรือเวอร์ชั่นที่ยาวกว่าในโทรทัศน์มาเล่นในอินเทอร์เน็ตได้ ให้คนได้พูดคุย ได้วิจารณ์

ตอนนี้เริ่มมีลูกค้าเริ่มทำแบบนี้แล้ว สปอนเซอร์สนใจ เพราะเราคลิกเข้าไปดูสปอตโฆษณาชิ้นนั้นได้เลย ดูเวลาไหนก็ได้ที่อยากดู

ไม่แน่ว่า เทรนด์ใหม่นี้ อาจจะทำให้รายได้จาก Banner ในภาพรวมสูงขึ้น จาก 2% มูลค่าประมาณ 200 ล้านบาท เมื่อเทียบกับรายได้จากโฆษณาทั้งระบบ

สมาคมโฆษณาประกาศสัดส่วน 2% น้อยมาก ในต่างประเทศโตน่าจะ 7-10% มองแนวโน้มโฆษณาบนเวบไซต์ ผมคิดว่าแนวโน้มดี แต่ขึ้นอยู่กับอินฟราสตรัคเจอร์ของอินเทอร์เน็ตบ้านเรา

ถ้าเรายังอยู่กับเทคโนโลยีเดิม โฆษณาก็จะไปได้ระดับเดียว แต่ถ้าวันหนึ่งมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ขึ้นมา เช่น 3G และคนจะมีอินเทอร์เน็ตใช้กันมากขึ้น ก็ยังเติบโตได้อีกสัก 5% ก็ดีใจแล้ว

ดังนั้นในความเห็นของปรเมศวร์ คิดว่า Banner ยังไม่ถึงทางตัน มีแต่จะโตขึ้น

นอกจากเรื่องของวิดีโอแล้ว ปรเมศวร์ระบุว่า เวบที่เป็นสังคมออนไลน์ในต่างประเทศจะมีลูกเล่นถึงขั้นที่จะเลือกแบนเนอร์ในการสื่อสารกับผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่มีความแตกต่างกัน

เวบพวกนี้จะเก็บโพรไฟล์ของผู้ใช้ทั้งหมด เพศ อายุ ชอบอะไร พอล็อกอินเข้าไป จะเลือก Banner ที่สื่อสารกับเขา เพราะฉะนั้นสินค้าแคมเปญเดียวกัน อาจจะมีแบนเนอร์ 5 แบบ สำหรับคน 5 โพรไฟล์ ทำให้สามารถสื่อสารกับผู้หญิงอายุมากได้อย่างหนึ่ง ผู้หญิงอายุน้อยอย่างหนึ่ง คนกรุงเทพฯ แบบหนึ่ง คนต่างจังหวัดก็เลือกสื่อสารอีกอย่างหนึ่ง อินเทอร์เน็ตตอบโจทย์พวกนี้ได้

นอกจากนี้ เขายังเห็นว่า รูปแบบการสื่อสารกับผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่จะสร้างรายได้ให้กับเจ้าของเวบไซต์ นั่นคือ การใช้มีเดียในลักษณะที่เป็น เอ็นเตอร์เทนเมนท์ หรือซอฟท์เซลล์มากกว่า ฮาร์ดเซลล์

ขณะที่เรื่องพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) ยังเป็นเรื่องที่ไกลตัวเกินไป สำหรับคนเอเชีย

ในเอเชีย โดยเฉพาะญี่ปุ่น อะไรที่เล่นเพื่อความสนุกสนานจะบูมมาก เช่น เกมออนไลน์ กระปุกจึงเปิดบริการแนวเอ็นเตอร์เทนเมนท์ขึ้นมาก่อน

ความบันเทิงเข้าสู่บ้านคน คือ เวลาเราพูดถึงตลาดเอ็นเตอร์เทนเมนท์ใหญ่มาก เมื่อก่อนเม็ดเงินจะไปตกกับโรงภาพยนตร์ ไปตกกับศูนย์การค้า หรือทีวี วันหนึ่งตัวเลขพวกนี้จะไหลเข้าสู่อินเทอร์เน็ต

ตอนนี้มันไหลเข้ามาแล้วในรูปของเกมออนไลน์ ทำเงินเป็นร้อยๆ ล้าน เผลอๆ จะถึงพันล้าน ใหญ่กว่าตลาดโฆษณาอีก

เราถึงมองว่า นอกจากเราจะเข้าตลาดโฆษณาแล้ว เราควรจะเข้าสู่ตลาดความบันเทิงออนไลน์ ให้ผู้ใช้ซื้อบริการซึ่งเป็นบริการเอ็นเตอร์เทนเมนท์ที่เป็นตลาดหนึ่งที่จะโตมาก แล้วตัวเราเชื่อใน เอ็นเตอร์เทนเมนท์ในรูปแบบของ Non-Game ว่าจะโตได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเกมออนไลน์เสมอไป

โฆษณายุคนี้ต้องควรจะปรับไปในเรื่องของเอ็นเตอร์เทนเมนท์ ให้ความบันเทิงหรือเอ็นเตอร์เทนผู้ชม เพื่อดึงดูดความสนใจ ซึ่งจะไปกันได้ดีกับการ Banner ในลักษณะวิดีโอ

วิดีโอ ออนไลน์ ก็มีการแฝงโฆษณาในรูปแบบของรายการสั้นๆ พอดูแล้ว หัวเราะหรือซึ้ง เสร็จแล้วก็ขึ้นโฆษณาชอตหนึ่ง มีแบบนี้กันแล้วปรเมศวร์กล่าว

อย่างไรก็ตาม เขาเชื่อว่าโฆษณาบนอินเทอร์เน็ต ยังคงทำหน้าที่ เสริม โฆษณาหลักในสื่ออื่น มากกว่าจะเป็นตัวนำ

อีกธุรกิจดอทคอมที่น่าจับตามอง คือ การ "กลายพันธุ์" ลงมือถือมากขึ้น และเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งกับไลฟ์สไตล์ของนักท่องเน็ตมากขึ้น

ไม่เพียงแค่การดาวน์โหลดริงโทน เกม วอลเปเปอร์ แต่การจับมือของกูเกิลกับยาฮูทำให้ใครๆ ก็ท่องโลกอินเทอร์ผ่านมือถือได้สบายๆ

"แนวโน้มนี้เริ่มเห็นชัดที่ญี่ปุ่น เพราะตลอดเวลาการเดินทางเขาจะใช้มือถือตลอด แต่สำหรับประเทศไทยคงต้องอาศัยระยะเวลา

ที่ผ่านมาโมบายไลฟ์จับมือเอไอเอส เพื่อพยายามสร้างคอมมูนิตี้บนมือถือ หรือทรูที่ใช้กลยุทธ์คอนเวอร์เจนท์ เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือ เหล่านี้เริ่มชัดมากขึ้น" ภาวุธกล่าว

เขาเชื่อว่าการแข่งขันบนโลกอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยยังไม่รุนแรง และยังมีโอกาสมากมายในหลายเซ็กเมนท์ ขอเพียงมองให้ลึก เจาะให้ถึงไลฟ์สไตล์ของลูกค้า คนน้อยไม่สำคัญ แต่ต้องเป็นคนที่ "ใช่"

ขณะที่ปรเมศวร์มองว่า อัตราเติบโตธุรกิจดอทคอมในไทยจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง บางเวบไซต์มีอัตราเติบโตในแง่ของคนเข้าชม (เพจวิว) มากกว่า 100% ติดต่อกัน

อัตราเติบโต เข้าใจว่าโตตามอัตราเติบโตผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ซึ่งปัจจุบันในเมืองไทยมีประมาณ 10 ล้านคน

ผมคิดว่าบางเวบไซต์เติบโตมากกว่า 100% ก็มีขึ้นอยู่กับสัดส่วนคนชมเดิมว่านานเท่าไร เช่น เวบไซต์สนุกตั้งมาเป็นสิบปี แต่บางเวบไซต์เพิ่งตั้งใหม่ฐานคนดูน้อยก็เติบโตสูง

เพราะฉะนั้นอัตราเติบโต 100% เป็นเรื่องปกติของธุรกิจอินเทอร์เน็ต เยอะกว่านี้เป็น 500% ก็มีมาแล้ว
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
Frankie
Verified User
โพสต์: 999
ผู้ติดตาม: 0

มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ

โพสต์ที่ 4

โพสต์

บทความอีกแล้วครับจากแหล่งเดิมคือ BIZWEEK

วางแผนภาษี จตุคาม ฟีเวอร์

อมรศักดิ์ พงศ์พศุตม์ [email protected]
ฮอตที่สุดในวงการพระเครื่อง ณ ชั่วโมงนี้ต้องเป็น จตุคาม รามเทพ เท่านั้น!
ซึ่งห้อยกันทั้งครอบครัวก็ว่าได้ ตั้งแต่ พ่อ-แม่-ลูกชาย-ลูกสาว-หลานเหลน ก็ยังต้องคล้องคอไว้บูชานัยว่าเพื่อ ความรวย โดยสังเกตได้จากจำนวนรุ่นที่สร้างกันตั้งแต่ต้นปี 2550 ล่วงมาถึงขณะนี้ นับได้เป็นร้อยๆ รุ่น ร้อยวัด ร้อยพิธีกรรม จนแม้กระทั่งเกจิอาจารย์ขมังเวท ก็ยังต้องหันมาปลุกเสก จตุคาม รามเทพ เท่านั้น! (จึงจะได้เงินเข้าวัดอย่างรวดเร็ว ง่ายดาย และเป็นกอบเป็นกำแฮ่ๆ)


ในสนามพระ/ตลาดพระเครื่องแทบทุกแห่ง ได้เปลี่ยนมาวางแผนซื้อขายวัตถุมงคล จตุคาม รามเทพ เท่านั้น จึงจะเซ็งลี้ฮ้อ คนมุงเนืองแน่นร้าน!

ความแรง (มากๆ) ของ จตุคาม รามเทพ วันนี้ ได้เบียดพระเครื่องทุกชนิดลงข้างทางไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพระชุดเบญจภาคี เหรียญยอดนิยม ปิดตายอดนิยมฯ ก็ยังต้องปิดตาหลับสนิท!

ดังนั้น ถ้าคอลัมน์นี้ไม่เขียนถึง จตุคาม รามเทพ ก็คงเป็นผู้ตก trend และ out มากๆ เชียวแหละ!

1.พลิกปูมจตุคาม รามเทพ

สัมพันธ์ ทองสมัคร (อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์) เล่าให้นิตยสาร Tax & Business Review ว่า

ความเป็นมาของจตุคาม รามเทพ มีอยู่ว่า เมื่อเริ่มตั้งเมืองใหม่ๆ มีเจ้าเมืองหรือกษัตริย์ปกครอง เรียกว่า องค์ดำ หรือราชันดำ ซึ่งเราสันนิษฐานว่าสืบเชื้อสายมาจากอินเดีย เพราะพระพุทธศาสนาเข้ามาจากอินเดีย ทั้ง พราหมณ์ พุทธ อิสลาม ฮินดู พวกอินเดียที่มาเผยแพร่ศาสนาจะเป็นวรรณะกษัตริย์ ซึ่งองค์ดำออกบริหารงานบ้านเมืองจนได้รับพระรามาธิปไตยจากการสรรเสริญเยินยอของประชาชนว่า จันทรภานุ

จันทรภานุ ก็คือผู้ที่ให้ความสว่างเปรียบประดุจดวงอาทิตย์ในเวลากลางวัน และพระจันทร์ในเวลากลางคืน จันทรภานุบำเพ็ญธรรม 6 ประการ เป็นการปฏิบัติเพื่อมาชี้แนะประชาชนให้ปฏิบัติเพื่อดำรงชีวิตอย่างมีความสุข และได้มีการปฏิบัติตนต่อไปอีก 4 ประการ เรียกว่า ภูมิธรรม บำเพ็ญเพียรบารมี รวมเป็น 10 ประการ ซึ่งผู้ที่บำเพ็ญธรรมครบ 10 ประการนี้ เขาถือว่าเป็นเทวโพธิสัตว์ คือเป็นเทวดา แต่บำเพ็ญ 6 ประการนั้นเขาเรียกว่าเป็นมนุษย์โพธิสัตว์ ยังไม่เป็นเทพ

ดังนั้น จึงถือว่าจันทรภานุเป็นพระโพธิสัตว์ เปรียบเหมือนพระนารายณ์อวตาร เขาจึงสลักรูปจำลองของจตุคาม รามเทพ ที่บานประตูในห้องพระ เรียกว่าภาพจำแลงของจันทรภานุ ซึ่งขุนพันธรักษ์ราชเดช นำภาพจำลองนี้มาไว้ที่ศาลหลักเมืองเป็นจตุคาม รามเทพ

โดยจตุคามเก่งด้านการปกครองบ้านเมือง การรบ ศึกสงคราม จตุคาม คือเทพจำแลงของจันทรภานุ

ส่วนรามเทพ เป็นผู้ที่เก่งทางด้านสุขภาพอนามัย เป็นหมอ รู้ฤๅษีดัดตน รู้เรื่องสมุนไพร ทั้งหลาย

ซึ่งเวลาสร้างหลักเมือง ขุนพันธรักษ์ราชเดชได้เอาจิตวิญญาณของจตุคาม รามเทพ มารวมไว้ด้วยกัน แล้วเรียกว่า จตุคาม รามเทพ ปรากฏเป็นรูปเทพอยู่คู่กันที่เสาหลักเมือง โดยมีดวงตรา (ลัญจกร) ของจันทรภานุ เรียกว่า ดวงตราสุริยัน จันทรา (เป็นวงกลม)

วัตถุมงคลของ จตุคาม รามเทพ มี 9 ชนิด เช่น เศียรองค์จตุคาม ผ้ายันต์ ขี้ผึ้งศรีวิชัย พระผงหลักเมือง พระผงพุทธสิหิงค์ เป็นต้น

วัตถุมงคลที่แพร่หลายที่สุด คือ พระเนื้อผงสุริยัน-จันทรา ซึ่งสร้างขึ้นในโอกาสประกอบพิธีเบิกเนตรหลักเมืองศรีวิชัย 12 นักษัตร ระหว่างวันที่ 3-5 มีนาคม 2530 โดยประกอบด้วยมวลสารมงคล คือ ผงไม้ตะเคียน-ทองหลักเมือง ปูนเปลือกหอย ปูนหิน ดินสังเวชนียสถาน 4 ดิน 7 ป่าช้า แร่ 7 เหมือง ข้าวสุก 7 นา ผลกะลาตาเดียว เกสรดอกไม้ 108 ว่านมงคล 108 น้ำตาลอ้อย น้ำผึ้งหลวง กล้วย เกลือ อับเพชร เนย น้ำศักดิ์สิทธิ์ 7 บ่อ ผงอิทธิเจ เงิน ทอง นาก

รูปแบบประดิษฐ์เป็นรูปวงกลมวัฏจักรตามอุดมคติศิลปศาสตร์ศรีวิชัย ทำรูปพญาราหูอมจันทร์รายล้อมทั้ง 8 ทิศ กงจักรล้อมดวงตรา 12 นักษัตร ตรงกลางปฏิมากรรมพระเทวะโพธิสัตว์แห่งทะเลใต้เป็นองค์ประธาน ด้านหลังสลักยันต์หัวใจธรณี หัวใจมนุษย์ หัวใจพระคาถากำกับธาตุตามคติธรรมชาวศรีวิชัย ประกอบพิธีปลุกเสกกลางทะเลลึก ปลุกเสกบนภูเขาขุนพนม ปลุกเสกกลางทุ่งนา ครบถ้วนตามภูมิ 3 คือ ภาคพื้นดิน ภาคพื้นน้ำ และนภากาศ และอาราธนาพระอาจารย์แห่งสำนักเขาอ้อ ปลุกเสกสาธยายมนต์ ตามประเพณีชาว 12 นักษัตร จึงศักดิ์สิทธิ์ ฤทธิแรงกล้าในทุกด้าน!

2.พุทธพาณิชย์ VS สรรพากร

เมื่อครั้งที่ผู้เขียนสะสมพระเครื่องใหม่ๆ จำได้ว่าความนิยมจะอยู่ในกลุ่ม พระชุดเบญจภาคี เหรียญยอดนิยม พระปิดตายอดนิยม และพระเนื้อชิน (เงิน, ตะกั่ว) เป็นต้น โดยสนนราคาเช่าบูชาจะลดหลั่นกันลงไปตั้งแต่หลักสิบล้าน หลักแสน หลักหมื่นล้าน จนถึงหลักร้อย เช่น

พระสมเด็จวัดระฆัง (หรือบางขุนพรหม) ของเจ้าประคุณสมเด็จโต สภาพสวยๆ ก็ต้องควักกระเป๋านับล้านถึงหลายสิบล้านบาทก็มี

พระเครื่อง จิตรลดา ซึ่งในหลวงทรงสร้างแจกแก่ทหาร ตำรวจ และข้าราชบริพาร นั้น ความนิยมก็พุ่งถึง 1-3 ล้านบาทแล้ว

พระเครื่อง หลวงปู่ทวด-วัดช้างไห้ นั้น ถ้าเป็นเนื้อว่านพิมพ์ใหญ่ A ก็ต้องจ่ายกัน 2-3 ล้านบาท ส่วนเหรียญก็ต้องบูชากันหลักหมื่นถึงหลายๆ แสน

ส่วนเหรียญคณาจารย์ยอดนิยม เช่น หลวงพ่อกลั่น (วัดพระญาติ) หลวงพ่อคง (วัดบางกะพร้อม) หลวงปู่เอี่ยม (วัดหนัง) ก็ต้องจ่ายกันหลายๆ แสนถึงล้านบาทก็มีแล้ว

วันนี้! ดั่งที่ร่างทรงของเสด็จพ่อ จตุคาม รามเทพ เคยตรัสเมื่อปี 2530 ว่า วัตถุมงคลทั้งหลายของกู อีก 10-15 ปี จะโด่งดังไม่มีวันจบสิ้น!การณ์นั้น ได้ปรากฏขึ้นแล้วโดยกระแส จตุคาม ฟีเวอร์ โดยปรากฏว่า 5 ที่สุดของวัตถุมงคล จตุคาม รามเทพ ได้มีราคาพุ่งพรวดไปแล้วดังนี้

พร ะเนื้อผง สุริยัน จันทรา (ปี 2530) เนื้อเขียว ราคาซื้อขายล่าสุด 1-3 ล้านบาท

เหรียญพังพกาฬ (เนื้อทองคำ) ราคาทะลุ 2 ล้านบาท ไปแล้ว

พระบูชา 7 เศียร (รุ่น 1 ปี 2530) ราคาประเมิน คือ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป

มีดจตุคาม (มีดฟ้าฟื้น - ปี 2530) ซึ่งสร้างเพียง 9 เล่ม (เท่านั้น) ราคาประเมินค่ามิได้

ธงสุริยัน จันทรา (ผืนใหญ่สุด) ซึ่งสร้าง 8 ผืนยักษ์ ในพิธีแห่องค์จตุคามฯ นั้น ก็มิ อาจประเมินราคาได้เช่นกัน

พระเครื่องแพงลิ่วอย่างนี้สรรพากรต้องนั่งตาปริบๆ แน่นอน!

เป็นเรื่องแปลกแต่จริง! ที่ว่าสรรพากรมักจะไม่ค่อยได้เข้าไปข้องแวะกับ พุทธพาณิชย์ ในวงการพระเครื่องเหล่านั้นเลย ฤๅนี่จะเป็นด้วยอภินิหารและความขลังขององค์พระเครื่องทั้งหลาย ที่มีอยู่มากมายในตลาดแต่ละแห่ง เรียกว่าใครเดินเข้าไปในสนามพระอาจเหมือนต้องมนต์ คือกลายเป็นสรรพากรใจดีไปเสียนี่! เทียบได้กับภาพยนตร์เรื่อง เรือนมยุรา ซึ่งถูกคาถาอาคมกำบังมิให้ใครผู้ใดเห็นบ้านของนางเอก ทั้งๆ ที่ตัวบ้านก็ตั้งอยู่ตรงนั้น แต่วนหาอย่างไรก็ไม่เจอ ไม่พบ ไม่เห็น

สมัยที่ผู้เขียนยังรับราชการอยู่ที่กรมสรรพากร ก็ได้เคยคิดที่จะเข้าไปตรวจสอบแผงพระเครื่องในตลาดพระท่าพระจันทร์ และตลาดพระวัดราชนัดดา ตั้งใจว่าหลังตรวจสอบกลุ่มแม่ค้าตลาดสดศาลเจ้าพ่อเสือ กลุ่มร้านค้าสังฆภัณฑ์ย่านเสาชิงช้า และกลุ่มร้านเพชรย่านบ้านหม้อแล้ว ก็จะถึงคิวของเหล่าเฮียๆ พุทธพาณิชย์ ทั้งหลาย แต่วันเวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่าจนออกจากราชการ ก็ยังไม่มีโอกาสได้ขยับอะไร พอนึกจะเข้าตรวจทีไรก็จะต้องมีงานทับถมเข้ามาจนล้นมือทุกทีไป แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เชื่อได้อย่างไรว่าเป็นด้วยอำนาจลี้ลับขององค์พระเหล่านั้น ที่ช่วยคุ้มครองเหล่าพ่อค้าในวงการพระเครื่อง ให้หลุดรอดปากเหยี่ยวปากกามาได้จนทุกวันนี้

สมมติว่าจะมีสรรพากรท่านใดเข้าไปตรวจสอบภาษีของแผงพระเหล่านั้น ก็คงจะเกิดปัญหาในการประเมินรายได้เป็นแน่ เพราะพระเครื่องราคาสูงๆ มักจะไม่มีการโชว์ไว้ตามตู้ แต่จะเปลี่ยนมือเร็ว เพราะมีใบจอง (waiting list) ยาวเหยียด แถมยังค้ากันด้วยเงินสด หรือเช็คเงินสด ซึ่งโอนเปลี่ยนมือได้ไว ดั่ง "นินจาล่องหน" อีกต่างหาก!

ทุกวันนี้วัตถุมงคล จตุคาม ได้พุ่งแรงแซงกำไรพระเครื่องแทบทุกชนิด โดยซื้อขาย ใบจอง ผ่านมือก่อนปลุกเสก จตุคาม เสร็จ ก็ยังสามารถฟันกำไรเป็นเท่าตัวทีเดียว

3.วางแผนภาษีแด่ พุทธพาณิชย์

พุทธพาณิชย์ ทั้งหลายเอย ท่านรู้หรือไม่ว่า การซื้อขายพระเครื่องทุกชนิดนั้น เข้าลักษณะเป็นเงินได้ตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร โดยมีสิทธิเลือกหักค่าใช้จ่ายได้ 2 แบบ คือ หักแบบเหมา (80%) หรือหักรายจ่ายตามจริงก็ได้ (แต่ต้องสำแดงบิล) นอกจากนั้น ยังต้องเสีย VAT 7% ด้วยนะจ๊ะ!

แฮ่ๆถามว่าจะวางแผนประหยัดภาษีได้อย่างไรรึครับ?

ผู้เขียนขอให้คาถาพอสังเขปไว้เสกใส่สรรพากรสัก 2 ข้อ ดังนี้ครับ

ให้ซื้อขายโดยวิธี consignment (ฝากขาย) โดยเสียภาษีจากค่านายหน้า (ม.40 (2)) จะทำให้ฐานภาษีเล็กลงได้

การมีรายได้จาก ค่านายหน้า จะทำให้ฐานภาษี VAT ถึง 1.8 ล้านบาทได้ยาก ทำให้ไม่ต้องจดทะเบียนเข้าสู่ระบบ VAT จ้า!

โชคดี ร่ำรวย และเสียภาษีต่ำกันถ้วนหน้านะครับ!
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
Frankie
Verified User
โพสต์: 999
ผู้ติดตาม: 0

มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ

โพสต์ที่ 5

โพสต์

บทความจาก Bizweek อีกแล้วครับ

เซ็กเมนท์ ไดเร็คทอรี่ เทรนด์ใหม่ 'คลาสซิฟายด์'

กลายเป็นงานยาก เมื่อสมุดโทรศัพท์รวบรวมรายชื่อธุรกิจการค้าแบบทั่วไป เริ่มไม่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้คน "เซ็กเมนท์ ไดเร็คทอรี่" หรือหนังสือไดเร็คทอรี่เฉพาะทาง ได้เป็นตลาดทางเลือก ...รายได้งามที่ แฟรนไชส์ โฟกัส



ภาพสะท้อนของเทรนด์ที่เกิดขึ้น เห็นได้จากหนังสือไดเร็คทอรี่ "โอกาสธุรกิจแอนด์แฟรนไชส์" ซึ่งปีนี้ออกเป็นเล่มที่ 6 ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยพัฒนาจากการเป็นหนังสือรายสองปี มาสู่หนังสือรายปี ทั้งยังมองในแง่การเติบโตของฐานข้อมูลจากเล่มแรกที่มีเพียง 200 กว่ารายชื่อ มาสู่กว่า 600 รายชื่อธุรกิจในปีนี้

สมจิตร ลิขิตสถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท แฟรนไชส์โฟกัส จำกัด เปิดเผยถึงเทรนด์ของหนังสือไดเร็คทอรี่ คู่มือการทำธุรกิจ ว่า ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะผู้ประกอบการต้องการข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น กว่าที่ปรากฏอยู่บนสมุดโทรศัพท์หน้าเหลืองทั่วไป ซึ่งแจกฟรี อีกทั้งในสมุดหน้าเหลืองยังเน้นหนักไปทางด้านงานอุตสาหกรรมและขายโฆษณาเสียมากกว่าจะให้ข้อมูลที่ลูกค้าต้องการ

"หนังสือไดเร็คทอรี่ เป็นแหล่งข้อมูลที่ไม่ใช่ว่าใครอยากจะทำก็ลุกขึ้นมาทำได้เลย เพราะจะต้องอาศัยการสั่งสมข้อมูลและฐานลูกค้ามาได้นานพอสมควร อย่างการที่เราทำโอกาสธุรกิจแอนด์แฟรนไชส์นั้น ก็เป็นการต่อยอดจากตัวนิตยสารซึ่งทำอยู่ก่อน"

สำหรับหนังสือ โอกาสธุรกิจแอนด์แฟรนไชส์ ประจำปีนี้นั้น เป็นหนังสือที่รวบรวมรายชื่อของธุรกิจแฟรนไชส์ทั้งหมดในประเทศไทยและโอกาสทางธุรกิจอื่นๆ ได้แก่ การหาตัวแทน , ไลเซ่น, การจำหน่ายอุปกรณ์สำหรับร้านค้าและอุปกรณ์เพื่อการประกอบอาชีพ, ซอฟต์แวร์บริหารงาน, บริการออกแบบ, โรงเรียนสอนอาชีพและโอกาสธุรกิจอื่นๆ ทั้งสิ้นกว่า 600 รายชื่อ/ข้อมูล ในราคาที่ 450 บาท

ปัจจุบันไดเร็คทอรี่ที่ผลิตโดยบริษัท แฟรนไชส์ โฟกัส มีอยู่ 2 เล่ม ได้แก่ โอกาสธุรกิจแอนด์แฟรนไชส์ และหนังสือรวบรวมข้อมูลธุรกิจเกี่ยวกับความงาม

โดยในปีหน้ามีแผนจะเปิดอีกหนึ่งเล่ม คือ คู่มือค้นหาสำหรับร้านค้าและสำนักงาน นอกจากนี้ยังมีไดเร็คทอรี่ ประเภทออกตามรายสะดวกอย่างเล่มที่กล่าวมาอีกด้วย

ทั้งนี้ ในเรื่องความเชี่ยวชาญในข้อมูลที่จัดทำ เป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับหนังสือไดเร็คทอรี่ตามความเห็นของสมจิตร เพราะจากที่ศึกษาตลาดดูก็พบว่าความต้องการข้อมูลที่เกี่ยวกับการทำธุรกิจด้านรถยนต์ก็ถือเป็นตลาดที่ใหญ่และมีความต้องการมาก แต่เนื่องจากไม่ใช่ความเชี่ยวชาญของแฟรนไชส์ โฟกัส จึงยังไม่บุกเข้ามาในเซ็กเมนท์นี้

เกี่ยวกับพอร์ตธุรกิจของบริษัท แฟรนไชส์ โฟกัส จำกัด ปัจจุบันแบ่งเป็น 3 ส่วน มีงานสิ่งพิมพ์เป็นธุรกิจหลัก ในสัดส่วน 40% หลักๆ แล้วได้แก่ นิตยสาร และงานหนังสือไดเร็คทอรี่ รวมถึงพอคเก็ตบุ๊คแนะนำวิธีการทำธุรกิจ

อีกสองธุรกิจซึ่งมีสัดส่วนที่เท่ากัน ได้แก่ งานเอ็กซิบิชั่น และ งานประชาสัมพันธ์ ซึ่งมีส่วนแบ่งรายได้คิดเป็น 30% เท่ากัน

แม้ว่าตัวธุรกิจสิ่งพิมพ์จะไม่ได้สร้างผลกำไรที่มากมายนัก แต่สมจิตรก็ยังยืนยันว่าจะยังคงให้น้ำหนักกับธุรกิจนี้อยู่ เนื่องจากทำมานานแล้ว อีกทั้งโอกาสธุรกิจแอนด์แฟรนไชส์ ก็ถือเป็นแบรนด์ที่แข็งแรงแล้ว ทำให้สามารถไปต่อยอดสู่ธุรกิจอื่นๆ ได้ อาทิเช่น งานเอ็กซิบิชั่น

ขณะเดียวกัน ในส่วนของงานประชาสัมพันธ์ ก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่สมจิตรจะเพิ่มน้ำหนักให้มากขึ้น โดยแม้ว่าแฟรนไชส์ โฟกัส จะทำธุรกิจนี้มานานถึง 6 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่กระจายการรับรู้สู่ตลาดในวงกว้างมากนัก เพราะที่ผ่านมาขาดการทำธุรกิจในเชิงรุก ลูกค้าที่ใช้บริการอยู่ก็เป็นลูกค้าที่เดินมาหาเอง อาทิเช่น แบล็คแคนยอน, ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และการเป็นตัวแทนประชาสัมพันธ์ให้กับงาน โกลบอล แฟรนไชส์ ซึ่งจัดขึ้นที่สิงคโปร์

"งานเอ็กซิบิชั่น แม้จะมีมูลค่าสูง แต่ก็ต้องใช้เงินลงทุนสูงด้วย ทำให้เราไม่สามารถจัดงานได้มาก ขณะที่งานประชาสัมพันธ์ เป็นงานที่ต้นทุนไม่สูง อาศัยกำลังสมองและกำลังคน ซึ่งเราเชื่อในจุดแข็งเรื่องการตอบสนองข้อมูลซึ่งนักข่าวต้องการจะได้ ทำให้มองว่าธุรกิจนี้น่าจะมีอนาคต" สมจิตร กล่าว

ในส่วนแผนงานปีนี้ หน่วยงานประชาสัมพันธ์ของแฟรนไชส์โฟกัส จะถูกแยกออกมาเป็นอีกหน่วยธุรกิจ เพื่อให้สามารถเดินหน้าทำธุรกิจได้อย่างจริงจังได้ โดยจะมุ่งหาลูกค้าที่เป็นธุรกิจขนาดใหญ่มากกว่าจะจับลูกค้าเอสเอ็มอี ทั้งๆ ที่เป็นฐานลูกค้าเดิมของธุรกิจสิ่งพิมพ์อยู่แล้ว แต่ลูกค้ากลุ่มนี้ยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับงานประชาสัมพันธ์มากนัก เป็นเหตุทำให้บริษัทมองหาลูกค้าที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่แทน
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
Frankie
Verified User
โพสต์: 999
ผู้ติดตาม: 0

มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ

โพสต์ที่ 6

โพสต์

จากนสพ.ประชาชาติธุรกิจ

ถอดรหัส "Cool Factory" ทำไมใครๆ ไปหาไอเดียใหม่ที่ "ญี่ปุ่น"

รายงาน

หลังจากสร้างชื่อให้ "ก็อดซิลล่า" "เฮลโล คิตตี้" และเกมโชว์ "สมรภูมิกระทะเหล็ก" เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก คราวนี้ก็มาถึงคิวของเสื้อยืดที่ปล่อยวิตามิน C ให้กับผิว คาราโอเกะในถังร้อน และร้านอาหารที่จัดธีมให้ระลึกถึงพระคริสต์

แน่นอนว่า เจ้าของไอเดียของสินค้าและบริการข้างต้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือ "ญี่ปุ่น" ยักษ์ใหญ่เอเชียที่ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศผู้นำเทรนด์ใหม่ๆ แห่งหนึ่งของโลก ไม่ว่าจะเป็น "โซนี่ วอล์กแมน" "ฮอนด้า ซีวิค" "ทามาก็อตจิ" หรือแม้กระทั่งภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่กำลังได้รับความ นิยมสุดๆ ในขณะนี้

วอลล์สตรีต เจอร์นัล นำเสนอบทความเกี่ยวกับการที่ญี่ปุ่นผงาดขึ้นเป็น "คูล แฟ็กทอรี่" ของโลกว่า การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้ญี่ปุ่นสามารถขยับจากผู้สร้างเทรนด์เครื่องจักรกลมาเป็นผู้นำในอุตสาห กรรมด้านการสร้างสรรค์ (creative industries) ของโลกได้ เนื่องจากเศรษฐกิจที่เริ่มกลับมาโตอีกครั้ง ทำให้ธุรกิจนี้กลายเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีการขยายตัวมากที่สุดในปัจจุบัน

จึงไม่น่าแปลกใจที่เราจะเห็นสารพัดสินค้าแปลกใหม่วางขายอยู่ทั่วกรุงโตเกียว ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า อุปกรณ์เครื่องใช้ และคลับรูปแบบต่างๆ อาทิ รองเท้าคอนเวิร์สที่ประดับประดาด้วย จิวเวลรี่ปลอมที่วางขายในราคาตั้งแต่ 160-1,800 ดอลลาร์ ตุ๊กตาเด็กที่สร้างไว้เป็นเพื่อนเล่นสำหรับคนสูงอายุ เครื่องรางห้อยมือถือเอาไว้ตรวจจับยูเอฟโอ ร้านอาหารที่ตกแต่งบรรยากาศเลียนแบบคุกอัลคาทราซ เสื้อเชิ้ตรุ่น "แอร์คอนดิชั่น" ที่มีพัดลมไฟฟ้าอันเล็กๆ ติดอยู่ และเครื่องแคะหูอิเล็กทรอนิกส์ที่มีหน้าจอแสดงภาพขี้หูที่ซ่อนอยู่

การเป็นแหล่งเพาะไอเดียของโลกทำให้บรรดาผู้ที่คร่ำหวอดในแวดวงพ็อปคัลเจอร์จากประเทศต่างๆ ทั่วโลกต้องเดินทางมาญี่ปุ่น เพื่อหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ ทั้งจากรูปแบบเสื้อผ้า การออก แบบของเล่น ไปจนถึงลาเต้ชาเขียวของสตาร์บัคส์ และซอส edamame ที่ใส่ในสลัดของแมคโดนัลด์

ยังไม่นับที่มิวสิกวิดีโอเพลง "จัมพ์" ของมาดอนน่าที่มาถ่ายทำในโตเกียว การที่วอลต์ ดิสนีย์ เปิดตัวการ์ตูนกระต่ายหูยาวตัวใหม่ "ออสวอลด์" และขอให้บริษัท "กอม เดส์ การ์ซองส์" (Comme des Garcons) ของญี่ปุ่นสร้างสรรค์เสื้อยืดราคา 90 ดอลลาร์ออกมาวางขาย

นอกจากญี่ปุ่นจะเป็นแหล่งกำเนิดไอเดียเจ๋งๆ ของโลกแล้ว ยังเป็นแหล่งเพาะเทรนด์แห่งสำคัญด้วย แมแต "แอ็บโซลูด วอดก้า" ก็ยังเลือก "โต เกียว" เป็นทำเลแรกที่สร้างบาร์น้ำแข็งนอกยุโรป

"สเวน คีเลียน" ประธาน บริษัทซีสเกาต์ เจแปน บริษัทวิจัยผู้บริโภคและการตลาด ซึ่งมักจะพาผู้บริหารบริษัทจากตะวันตกมาดูงานที่ญี่ปุ่น กล่าวว่า โตเกียวเหมือนดิสนีย์แลนด์สำหรับเทรนด์ต่างๆ ลูกค้าของบริษัท อาทิ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ และซีเมนส์ ต่างสนใจที่จะมาดูงานเกี่ยวกับการใช้จอ 3 มิติในการแสดงภาพรถยนต์รุ่นต่างๆ ซึ่งเหมาะสำหรับโชว์รูมขนาดเล็ก ส่วนบางบริษัทก็สนใจจะมาดูธุรกิจเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ที่เอาใจผู้บริโภคอายุน้อย

เบื้องหลังการบ่มเพาะความเป็นคูล แฟ็กทอรี่ ของญี่ปุ่นนั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่เริ่มต้นในช่วงต้นทศวรรษ 90 และดำเนินมากว่า 10 ปี ทำให้ธุรกิจหลักๆ ต้องปรับลดพนักงานลง และแรงงานจำนวนมากต้องหันหน้าไปพึ่งธุรกิจแฟชั่น แอนิเมชั่น และเพลงแทน

จากข้อมูลของ "มารุเบนิ รีเสิร์ช อินสติติวต์" ระบุว่า จำนวนของพนักงานในอุตสาหกรรมด้านการสร้างสรรค์เพิ่มขึ้น 16% อยู่ที่ 1.4 ล้านคน ในช่วงระหว่าง 2539-2544 ขณะที่พนักงานในอุตสาหกรรมโดยรวมลดลง 4.3%

และนับจากนั้นผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นก็เริ่มสนใจ สินค้าไอเดียแปลกๆ ที่บ่งบอกความเป็นเอกลักษณ์ส่วนบุคคลกันมากขึ้น

ส่วนการที่พ็อปคัลเจอร์ของญี่ปุ่นแพร่หลายในต่างประเทศ ต้องยกความดีให้ "อินเทอร์เน็ต" และการแสวงหาทางเลือกใหม่ๆ ของผู้บริโภคที่ต้องการความแปลกใหม่ นอกเหนือจากวัฒนธรรมอเมริกัน

ข้อมูลของรัฐบาลญี่ปุ่นระบุว่า การส่งออกสินค้าและบริการที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมของญี่ปุ่น ซึ่งรวมถึงแฟชั่น เพลง และการ์ตูน เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า ไปอยู่ที่ 20 พันล้านดอลลาร์ ในช่วง 2538-2548 ส่วนการส่งออกโดยรวมขยายตัวราว 58% ในช่วงเดียวกันไปอยู่ที่ 62 พันล้านดอลลาร์

แต่เทรนด์สินค้าของญี่ปุ่นบางอย่างก็สร้างความวิตกให้แก่สังคม เช่น ร้านอาหารธีมแปลกๆ และสิ่งของที่ทำจากสัตว์สตัฟฟ์ทั้งหลาย

สาเหตุที่สินค้าและบริการคอนเซ็ปต์แปลกๆ สามารถขายได้ เพราะการยอมรับเทรนด์ที่เข้ามาใหม่นี้เท่ากับเป็นทางออกให้กับผู้คนได้แสดงตัวตนของตัวเองออกมา ซึ่งเหมือนเป็นช่องทางที่ช่วยให้ผู้คนหลีกหนีจากแรงกดดันจากสังคมได้บ้าง

ร้านอาหารสไตล์แปลกๆ ถึงผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดในญี่ปุ่น อาทิ ร้านอาหารที่สร้างสรรค์ธีมของร้านให้ระลึกถึงพระเยซูที่มีชื่อว่า "คริสตัน คาเฟ่" ที่ตั้งอยู่ในย่านชิบูยะ เน้นตกแต่งร้านให้มีบรรยากาศเหมือนคุกใต้ดินที่มีเทียนสีแดงวางไว้ตลอดขั้นบันไดอิฐ ประดับด้วยไม้กางเขนใหญ่ยักษ์ และมีภาพพระคริสต์ถูกตรึงกางเขน ส่วนเมนูเด็ดของทางร้าน คือ ค็อกเทล "small devil" ที่มีครีมสตรอว์เบอร์รี่ และ "ก็อด-เมด แฮมเบอร์เกอร์" ที่มีส่วนผสมของมีตบอล ชีส และข้าว

นอกจากนี้ยังมีไอเดียที่ให้คอเดียวกันแต่งตัวในคอนเซ็ปต์เดียวกันด้วย ซึ่งรู้จักกันในชื่อ cosplay หรือ costume play ที่เปิดโอกาสให้คนที่ชอบแต่งตัวตามแอนิเมชั่นและการ์ตูนญี่ปุ่นได้รวมตัวกัน และ cosplay ยังแพร่หลายไปยังร้านอาหารต่างๆ ด้วย อาทิ "เมด คาเฟ่" ที่จะมีบริกรแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำและขาวสไตล์พ่อบ้านฝรั่งเศสตามอย่างการ์ตูน โดยบริกรเหล่านี้จะพูดต้อนรับแขกที่มาเยือนใหม่อย่างกันเองเหมือนต้อนรับคุณผู้ชายกลับบ้านหลังจากทำงาน ซึ่งจะคิดค่าบริการลูกค้า 5 ดอลลาร์ สำหรับการกระดกหลอดจากแก้วให้ถึงปาก หรือเขียนชื่อลูกค้าบนไข่ออมเล็ตด้วยซอส

แหล่งรวมสาวกการ์ตูนเมด คาเฟ่ ของบรรดาหนุ่มๆ จะอยู่ที่ย่านอากิฮาบาระ ซึ่งมีคาเฟ่แนวนี้ผุดขึ้นหลายสิบแห่ง ส่วนลูกค้าสาวๆ จะอยู่ที่ย่านอิเคบุเคโระ ซึ่งมีคาเฟ่สำหรับแฟนการ์ตูนสาวๆ อาทิ "สวอลโลเทล" ซึ่งลูกค้าจะได้รับการบริการจากหัวหน้าพ่อบ้านที่สวมชุดทักซิโดสุดเนี้ยบ

คาเฟ่เวอร์ชั่นที่มีพ่อบ้านคอยให้บริการเหมือนอยู่ในบ้านตัวเองนี้ไม่เพียงแต่ได้รับความนิยมในญี่ปุ่น แต่เมื่อปีที่แล้วได้ขยายไปเปิดบริการในต่างประเทศ อาทิ ไต้หวัน สิงคโปร์ และโทรอนโต

เป็นที่รู้กันว่า เทรนด์ เจ-พ็อปได้แพร่หลายไปยังประเทศต่างๆ ในเอเชียอย่างรวดเร็ว วัยรุ่นทั้งในไทเป โซล และเซี่ยงไฮ้ ต่างรับอิทธิพลแฟชั่นมาจากญี่ปุ่นทั้งสิ้น แม้แต่ในตะวันตก กระแสญี่ปุ่นก็เข้าไปถึงเช่นกัน อาทิ แอนิเมชั่น ซึ่งพลอยทำให้ขนมขบเคี้ยวอย่าง "ป๊อกกี้" ขายดิบขายดีไปด้วย เพราะในการ์ตูนแอนิเมชั่นมักปรากฏภาพขนมชนิดนี้บ่อยครั้ง

น่าสนใจว่า กว่าที่ญี่ปุ่นขึ้นมาเป็นเทรนด์เซต เตอร์ที่ยิ่งใหญ่ได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะคนญี่ปุ่นเปลี่ยนใจง่าย ซึ่งทำให้วงจรของเทรนด์แต่ละเทรนด์ไม่ยาวนานนัก ดูอย่างกระแส "คาราโอเกะ" ที่เคยฮิตทั่วบ้านทั่วเมือง ตอนนี้ก็ต้องงัด กลเม็ดเด็ดพรายขึ้นมาดึงความสนใจของลูกค้า

ร้านคาราโอเกะในญี่ปุ่นบางร้านจัดเตรียมกระดิ่งและนกหวีดเอาไว้บริการลูกค้าที่สนใจจะใช้ประกอบจังหวะการร้อง หรือบางแห่งก็สรรหาอุปกรณ์เสริมการแต่งกาย อาทิ หมวกคาวบอย และแต่งร้านด้วยธีมต่างๆ เช่น เฮลโล คิตตี้

บางร้านก็แหวกแนวไปเลย เช่น เลิฟเน็ต ร้านให้เช่าจัดปาร์ตี้ในย่านรปปงหงิที่เก็บค่าบริการ 250 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง เพื่อแลกกับห้องคาราโอเกะที่มีถังน้ำร้อนไว้บริการ รวมถึงชุดว่ายน้ำ เสื้อคลุม และผ้าเช็ดตัว แต่จะเตือนไม่ให้ลูกค้าเอาไมค์ไปสัมผัสกับน้ำจะได้ไม่เกิดอาการไฟชอร์ต

อีกส่วนหนึ่งที่มาแรงสุดๆ คือ เทรนด์แฟชั่นของญี่ปุ่น ซึ่งเริ่มมานานนับ 10 ปีแล้วกับสไตล์ที่เรียกว่า "คาวาอี้" ที่แปลว่าน่ารัก แต่ปัจจุบันเพิ่มความหลากหลายขึ้น โดยแตกหน่อไปเป็น "อีโร-คาวาอี้" หรือที่มาจากการผสมคำว่า "อีโรติก" กับ "คาวาอี้" อาทิ แบรนด์บูติคอย่าง "แมกซี่โบกู" ที่สร้างสรรค์รองเท้าขนกระต่ายปุกปุยสีชมพูส้นสูง 10 เซนติเมตรมาวางขายในราคา 400 ดอลลาร์ นอกจากนี้ยังมีคำว่า "คิโม คาวาอี้" หรือแปลว่าน่ารักแบบชวนขนลุก อาทิ แบรนด์เสื้อผ้า "เน็ต-เน็ต" ที่ขายเสื้อผ้าที่เหมือนถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ก่อนนำมาเย็บอีกครั้ง

แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกเทรนด์ของญี่ปุ่นจะประสบความสำเร็จทั้งหมด บางอย่างก็ไม่สามารถแจ้งเกิดในตลาดต่างประเทศได้ อย่างบูทถ่ายรูป "ปุริกุระ" ที่กินแหวในตลาดสหรัฐ ทั้งที่วัยรุ่นญี่ปุ่นคลั่งไคล้กันมาก เพราะเด็กๆ สามารถสร้างภาพเพื่อพรินต์สติกเกอร์เอง และยังนำรูปถ่ายดังกล่าวใส่ไว้ในมือถือ หรือเก็บรวบรวมไว้เป็นอัลบั้มพิเศษได้ แต่วัยรุ่นอเมริกันกลับเห็นว่าเป็นแฟชั่นเก่า และไม่รู้จะเอาสติกเกอร์ไปติดไว้ที่ไหนดี

หรืออย่าง "แอร์ สต็อกกิ้ง" สเปรย์พ่นสำหรับผู้หญิงที่ทำให้ดูเหมือนสวมกางเกงยืดแนบเนื้อ ซึ่งเป็นแฟชั่นที่ฮิตมากในหมู่สาวออฟฟิศญี่ปุ่นช่วงปี 2546 แต่พอไปถึงตลาดสหรัฐกลับล้มไม่เป็นท่า เพราะผู้หญิงอเมริกันไม่ค่อยนิยมสวมกางเกงแบบนี้ และถึงที่สุดแล้วมันก็เป็นแค่สเปรย์พ่นเท่านั้น
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
Frankie
Verified User
โพสต์: 999
ผู้ติดตาม: 0

มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ

โพสต์ที่ 7

โพสต์

หายไปหลายวัน ตอนนี้กลับมาพร้อมกับกระทู้จากเว็บเพื่อนบ้านพันทิปครับ
เรื่องแรก ใครรู้เรื่องลงทุน 7-Eleven บ้างครับ
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 46495.html

เรื่องที่สอง ขอคำชี้แนะเรื่องการเงินคับ
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 46263.html
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
Frankie
Verified User
โพสต์: 999
ผู้ติดตาม: 0

มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ

โพสต์ที่ 8

โพสต์

เจออีกกระทู้ที่น่าสนใจครับ
เรื่อง กองทุนTMB JUMBO25/ ทหารไทย SET50/ ทหารไทย SET50 ปันผล
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 41231.html
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
Frankie
Verified User
โพสต์: 999
ผู้ติดตาม: 0

มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ

โพสต์ที่ 9

โพสต์

อีกกระทู้จากเว็บพันทิปครับ
เรื่อง :ท่านใดพอมีความเห็นเกี่ยวกับกองทุนโกลด์ของ kbank มั่งครับ
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 55057.html
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
Belffet
Verified User
โพสต์: 1211
ผู้ติดตาม: 0

มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ

โพสต์ที่ 10

โพสต์

คุณ Frankie

คุณ
สะ
สะ
สะ
สะ
สะ
สะ

สุดยอดดดดดด!!! 8)
Frankie
Verified User
โพสต์: 999
ผู้ติดตาม: 0

มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ

โพสต์ที่ 11

โพสต์

ขอบคุณครับ
ต่อเนื่องจากหัวข้อกระทู้ครับ

บทความจาก bizweek ครับ
สร้าง"ฮอบบี้"เป็นเงินล้าน

ความชอบในการสร้างสรรค์ผลงานสักชิ้น อาจให้เรามากกว่าแค่ความสนุกและภาคภูมิใจ เมื่อผลิตผลจากงานอดิเรกเหล่านั้นกลายเป็นเม็ดเงินงอกเงย ปูทางผู้ประกอบการได้อย่างสวยหรู สิ่งที่ท้าทายไปกว่าทำผลงานเข้าตาลูกค้ากลุ่มใหญ่ คือ แรงขับเคลื่อนอย่างผู้ประกอบการที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งทำให้เจ้าของผลงานแปรเป็นเจ้าของกิจการได้อย่างเต็มภาคภูมิ


การทำธุรกิจ สิ่งสำคัญ คือ ทำในสิ่งที่เรารัก และเป็นตัวของเราเอง นั่นก็มีรากฐานแทบจะไม่ต่างจากงานอดิเรก

เพราะเป็นการทำในสิ่งที่รัก งานอดิเรกของบางคน อย่างเช่น วาดภาพ ร้อยสร้อย ปักครอสติช งานปั้น อาจจะเป็นงานยามว่าง ความสุขทางใจ แต่สิ่งดังกล่าวคือ "ธุรกิจ" ของบางคน

เพราะฉะนั้นจะดีแค่ไหน หากได้ทำในสิ่งที่ชอบ และยังสร้างเงินได้ด้วย การขยายตัวของกิจกรรมจำพวก "งานอดิเรก" สู่ธุรกิจ มีมากน้อยแค่ไหน เห็นได้จาก "ตลาดวิชา" โครงการอบรมให้ความรู้ ต่อยอดงานฝีมือ การสร้างเทคนิคใหม่ๆ ไอเดียแปลกๆ ที่ผุดขึ้นมากมาย ทั้งในศูนย์การค้า สถาบัน โรงเรียนที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้ความรู้ด้านนี้

กระทั่งร้านค้าเล็กๆ ที่เปิดขายสินค้าและไม่หวงวิชา ก็เลือกที่จะ "จัดคลาส" เล็กๆ ถ่ายทอดความรู้ซะเลย

ปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง มันกระทบต่อความเชื่อมั่นลูกค้า ยิ่งพอเน้นถึงเรื่องพอเพียง คนก็ไม่อยากใช้เงินกันอีก

เมื่อมีเวลาเหลือ คนก็จะกลับมาศึกษาสิ่งที่อยากทำ ตลาดวิชาจึงเกิด ภูมิปัญญามันจะเกิดมากในช่วงนี้ เพราะคนจะเริ่มคิดแล้วว่า เราจะทำอะไรดี หรือจะทำอะไรขาย" "พิรุณ ศรีเอี่ยมสะอาด" เจ้าของโรงเรียน "Bangkok Puppet" ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงเรียนฝึกการฝีมือที่ช่วยเติมฝีมือ

โดย Bangkok Puppet เปิดสอนงานประดิษฐ์ ตั้งแต่งานปั้นผลไม้ ปั้นหุ่น จัดดอกไม้ และงานฝีมือต่างๆ

ขณะที่ "หลิน-สมร วงศ์เมธานุเคราะห์" เจ้าของแบรนด์ Country -R-us เฟอร์นิเจอร์ของตกแต่งบ้าน แนว Country ตุ๊กตา Country doll และ Teddy bear ที่ได้เปิดหน้าร้านที่จตุจักร เพื่อรับสอนทำตุ๊กตาผ้า Country doll และ Teddy bear ในวันเสาร์-อาทิตย์

การสอนแบบวันเดียวจบทำให้ลูกค้าชื่นชอบมาก มีลูกค้าหมุนเวียนอาทิตย์ละ 3-4 คน

"ในช่วงภาวะเศรษฐกิจไม่ดี คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะแม่บ้าน รวมไปถึงกลุ่มวัยรุ่นที่ต้องการทำของขวัญด้วยตัวเอง ก็มาเลือกเรียนเพื่อทำเป็นงานอดิเรก และเมื่อมีฝีมือพอ ก็จะออกไปทำขายเองได้ ซึ่งเราก็ไม่ได้หวงวิชา แต่มองว่ามันจะสามารถกระตุ้นตลาดนี้ให้โตต่อไปได้" สมรกล่าว

ขณะที่ "อภิชัย สินธุ์พูล" ผู้ผลิตงานหัตถกรรมฝีมือดี อาทิเช่น งานปั้นดินเผา งานเรซิน งานแกะสลักไม้ งานจิตรกรรมไทย งานหัวโขน และบาร์บี้ประยุกต์ ที่สวมหมวกอีกใบในฐานะอาจารย์ประจำแผนกช่างฝีมือ วิทยาลัยในวังชาย ในพระบรมมหาราชวัง แหล่งผลิตช่างฝีมืองานศิลป์จำนวนมากที่ "บ่มเพาะ" ความสามารถในวิชาศิลปะแขนงต่างๆ จนนำความรู้มาเป็นเครื่องมือทำมาหากินได้อย่างน่าสนใจ

เขาบอกว่า นักศึกษาที่มาเรียนที่นี่ล้วนมีฝีมือ สร้างผลงานชิ้นดีๆ ขาดแต่เวทีจะแสดงผลงาน และนั่นคือที่มาของการออกมาประกอบธุรกิจของตัวเขาเอง เพื่อดึงความรู้ความสามารถของผู้เรียนออกมาเป็นผลงานที่ตลาดต้องการได้จริงนั่นเอง

นอกจากนี้ยังมี โรงเรียนผู้ใหญ่พระตำหนักสวนกุหลาบ (วิทยาลัยในวัง) ที่ถ่ายทอดศิลปวัฒนธรรมไทยให้กับคนที่สนใจ และที่น่าสนใจยิ่งคือ วิทยาลัยในวังสอน "ฟรี" แก่ผู้ที่ต้องการไปประกอบวิชาชีพ

การเรียนแต่ละวิชานั้นจะใช้เวลา 1 ปี สำหรับวิชาเอก และ 5 เดือนหรือ 1 เทอมสำหรับวิชาเลือก โดยผู้สมัครจะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปี และต้องชำระเงินค่าอุปกรณ์การเรียนต่างๆ ของตนเอง

โดยวิทยาลัยในวังชาย เปิดสอนวิชางานเขียน งานแกะสลัก งานลงรักปิดทอง งานลายรดน้ำ งานปั้นปูนสด งานเบญจรงค์ งานปักจักรอุตสาหกรรม ฯลฯ

ส่วนวิทยาลัยในวังหญิง เปิดสอน 3 วิชาคือ อาหารไทยในวัง ซึ่งรวมถึงการแกะสลักผักผลไม้ งานดอกไม้สด สอนการประดิษฐ์ดอกไม้ ร้อยมาลัยและงานใบตอง ส่วนงานปักสะดึง จะเป็นการสอนปักด้วยมือแบบโบราณ

เป็นรูปแบบกิจกรรมยามว่างที่สามารถแปรเป็น "เงินร้อยกระทั่งเงินล้าน" ได้ทั้งสิ้น แต่งานอดิเรกกับธุรกิจ ก็มีความต่างกันอยู่บ้างตรงที่ธุรกิจมีเรื่องกำไร-ขาดทุน มีลูกค้า มีคู่ค้า มีคู่แข่ง มีใครอีกหลายๆ ฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้อง

จึงต้องการความเอาจริงเอาจัง ความมีวินัย การจัดการ การเข้าใจลูกค้า ความรู้ด้านการเงิน ฯลฯ

จะค้นหาว่างานอดิเรกอะไรที่เหมาะกับเรา แมทช์กับเรา เป็นงานอดิเรกที่มีศักยภาพสามารถเปลี่ยนเป็นธุรกิจ และวิธีการสร้างธุรกิจจากงานอดิเรก เรียนรู้ได้จากเขาเหล่านี้...

"เขียนหนังสือ" ชื่อเสียงเหนือเม็ดเงิน

งานอดิเรกอย่าง "เขียนหนังสือ" กลับมาสร้างกระแสนิยมอีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมากับแฟชั่น "ดารา" เขียนหนังสือ ไล่มาจนคนในแวดวงต่างๆ ที่อาจไม่มีพรสวรรค์ด้านงานเขียนแต่มีเรื่องราวชีวิตและหลากความคิดที่น่าสนใจ ก็เริ่มเข้าสู่เวที "พอคเก็ตบุ๊ค"

โดยเฉพาะเมื่อช่องทางโชว์ผลงานในปัจจุบันเริ่มมากขึ้น ไม่เพียงเสนอผ่านสำนักพิมพ์โดยตรงอย่างในอดีตอีกต่อไป สื่อยอดนิยมอย่างเวบไซต์ ยังผลิตนักเขียนฝีมือดีได้นักต่อนัก

แม้ค่าลิขสิทธิ์งานเขียนจะไม่สูงนัก แต่สิ่งที่ได้จากการมีหนังสือเล่มของตัวเอง ยังหมายรวมถึงความภาคภูมิใจ และความสุขเล็กๆ ในงานอดิเรกแสนสุขนี้อีกด้วย

"ถือศีล ดิฐวัฒน์โยธิน" อาจารย์สอนโยคะชื่อดัง เป็นอีกคนหนึ่งที่แปลงความรู้มาเป็นงานเขียน โดยเขามีผลงานหนังสือพอคเก็ตบุ๊คมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีอยู่ถึง 10 เล่ม และเล่มแรกที่เกี่ยวกับการเรียนโยคะก็ตีพิมพ์ไปแล้วถึง 13 ครั้ง

ถือศีลบอกว่า การมาจับปากกาเขียนหนังสือในครั้งแรก เป็นเพียงวิธีผลิตสื่อเพื่อสื่อสารกับนักเรียนได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น แต่ด้วยภาษาที่อ่านง่าย อ่านสนุก ภาษาเป็นเอกลักษณ์ ทำให้งานของถือศีลได้รับการตอบรับอย่างต่อเนื่อง

จากหนังสือทำมือ เมื่อเป็นที่ต้องการมากขึ้น จึงตัดสินใจทำออกมาเป็นรูปเล่มผ่านสำนักพิมพ์สารคดี และถูกตีพิมพ์ซ้ำถึง 13 ครั้ง

การพัฒนางานเขียนให้มีความหลากหลาย สร้างความน่าสนใจให้งานของถือศีลมากขึ้น ไม่เพียงศาสตร์ความรู้ด้านโยคะที่เธอเข้าใจดีเท่านั้น หากยังรวมถึงศาสตร์ความรู้ด้านอื่นๆ ที่เกิดจากการชอบค้นคว้าและเรียนรู้ของตนเอง

การศึกษาจากตำราทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงประสบการณ์ต่างๆ ทำให้เธอสามารถเขียนหนังสือที่เข้าถึงคนอ่านได้ทุกกลุ่ม

อย่างเรื่องการลดน้ำหนัก การใช้ชีวิตในบั้นปลาย หนังสือแนวจิตวิทยา เรื่องสุขภาพ เป็นต้น

"แฟนหนังสือมีทุกกลุ่มเลย เพราะเขียนค่อนข้างหลากหลาย เรียกว่าอยากรู้เรื่องอะไรก็ไปศึกษาข้อมูลตัวนั้น ต้องอ่านให้มาก เพราะถ้าไม่อ่านก็ไม่รู้จะเอาอะไรมาเขียน บางทีก็เอามาจากประสบการณ์โดยตรง

อย่างเรื่องล่าสุด "คู่มือสงบศึกวัยรุ่น & พ่อแม่" ก็ได้มาจากเวลาที่พ่อแม่มาปรึกษาเรื่องลูก ที่มาเรียนโยคะกับเรา เลยมีความเข้าใจทั้งมุมของเด็กและผู้ใหญ่ จึงเขียนหนังสือเล่มนี้ออกมา"

ถือศีลบอกตามตรงว่า การเขียนหนังสืออาจไม่ได้สร้างเม็ดเงินก้อนโตให้กับนักเขียน เท่างานอดิเรกประเภทอื่น แต่มันเป็นช่องทางสำคัญที่จะทำให้บุคคลนั้นได้สื่อสารสิ่งที่ตัวเองรู้และสนใจ รวมถึงสิ่งที่จะเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆ ออกไปได้

หากได้รับการตอบรับที่ดีและนักเขียนยังพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง ก็จะสามารถผลิตผลงานที่ดีในเวทีนี้ได้ยาวนานตามไปด้วย

ขณะที่ "อภิสิทธิ์ อภิสุขสิริ" นักเขียนร่วมคนสนิทของ "พิชัย ปิตุวงศ์" จากหนังสือ "สปอร์ตบ่มีไกด์" ที่คอกีฬาตัวจริงรู้จักดี ใช้งานเขียนเป็นอีกเวทีสร้างกลุ่มคนคุ้นเคยให้กับเขา นอกเหนือจากงานพิธีกรรายการโทรทัศน์ จัดรายการวิทยุสปอร์ตเรดิโอ FM 99

เขาแบ่งเวลาส่วนหนึ่งมาเขียนคอลัมน์ให้กับหนังสือพิมพ์กีฬาคิกออฟ พัฒนาการด้านงานเขียนที่ได้ทั้งแบบสาระล้วนๆ และแนวตลก ขำๆ ไม่เป็นทางการ รวมถึงคอลัมน์แสดงความเห็นที่มีแนวคิดของตัวเองชัดเจน

ทำให้วันนี้เขามีงานอดิเรกชิ้นใหม่อย่างการเขียนพอคเก็ตบุ๊ค

"ทำงานมา 20 ปี เพิ่งได้ทำหนังสือเล่มแรก ซึ่งด้วยความที่เขียนกันสองคน ก็จะมานั่งคุยกันก่อน ว่าเราจะเขียนกันแนวไหน เลยมาดูว่าเวลาเราจัดรายการ เสน่ห์ของเราคือชอบเถียงกัน คนหนึ่งพูดไปทาง อีกคนพูดไปอีกทาง ชอบเถียงกัน ก็มาคิดว่าทำหนังสือแนวนี้นี่แหละ โดยพยายามเขียนให้สนุกๆ อาศัยที่ผมชอบกีฬามาตั้งแต่เด็ก ชอบทุกอย่าง ดูทุกอย่างเลย

นอกจากชอบดูกีฬา ผมยังชอบอ่านหนังสือด้วย และอ่านไม่เลือก อ่านทุกอย่าง ซึ่งพอเวลาเราเอามาเขียนหนังสือเอง เราก็สามารถเอามาปรับใช้ได้ ชอบแนวของใครก็ลองเอามาปรับใช้ดู ผมว่าทุกคนที่รักการอ่านก็สามารถเขียนได้หมดครับ"

อภิสิทธิ์ บอกเราว่าการเลือกงานอดิเรกเป็นงานเขียน ใครๆ ก็น่าจะทำได้ เพียงแต่ใครคนนั้น ต้องกลับมาดูว่าตนเอง มีดีที่ตรงไหน มีอะไรที่นำเสนอได้ แล้วคนให้ความสนใจ

ที่สำคัญคือต้องรู้ดีในสิ่งที่เขียน ก็จะสามารถสร้างสรรค์ผลงานออกมาได้ดีน่าติดตามขึ้นนั่นเอง

และอีกหนึ่งบทความที่ผมชอบครับ
'ทำเลทอง' ธุรกิจ 'ทำมือ'

จีราวัฒน์ คงแก้ว cheerawat @ nayiongroup.com
นอกจากความสามารถในการสร้างสรรค์ผลงานแล้ว "เวที" เปิดตัวสินค้าเพื่อ "แจ้งเกิด" มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกัน P-Place หรือ "ทำเล" เป็นหนึ่งในสี่ห้อง "หัวใจ" ของการตลาด ยิ่งเป็นสินค้าที่ต้อง "พรีเซนท์" หากใครสามารถเลือกและยึดทำเลทองได้ก่อน เป็นการสร้างความได้เปรียบตั้งแต่เริ่มออกตัว ที่สำคัญทำเลจะต้อง "ลงตัว" สอดรับกับสินค้าและไลฟ์สไตล์ลูกค้า


กรุงเทพธุรกิจ BizWeek พาไป "แกะรอย" สุดยอดทำเลที่สร้างความสำเร็จให้กับธุรกิจงานอดิเรกของเขาและเธอ

จากการสำรวจพบว่า ทำเลทองเหล่านั้นได้แก่

สวนจตุจักร

ร้านค้าออนไลน์

และตลาดนัดหน้าห้าง/ออฟฟิศ

เป็น 3 สุดยอดทำเลที่เหล่า "มือสมัครเล่น" ไม่ควรพลาด เพราะเวทีนี้ปั้นผู้ประกอบการมือใหม่กลายเป็น "ตัวจริง" มานักต่อนัก

"ตลาดนัดจตุจักร"

บ่มเพาะผู้ประกอบการรุ่นกระเตาะ

ต้องเรียกว่าเป็น "สุดยอดของสุดยอด" สำหรับตลาดนัดสวนจตุจักร แหล่งชอปปิงอมตะของขาช้อปทั้งในและต่างประเทศ และยังผลิตนักธุรกิจหน้าใหม่มานักต่อนัก หลายรายที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามในวันนี้ ล้วนเริ่มกิจการมาจากทำเลทองดังกล่าวทั้งสิ้น

เช่นเดียวกับร้านขายเสื้อเล็กๆ ที่มีลูกค้าหมุนเวียนเข้าออกร้านอยู่ตลอดเวลา ผลผลิตของผู้ประกอบการวัยกระเตาะ "ปรัชญา จันทร์เชียร" หรือ เดี่ยว นักศึกษาคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปี 1 และเพื่อนสนิท ไอซ์ "ณัฐสิน ตรีเพ็ชร" คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปี 3 เด็กรุ่นใหม่ไฟแรงสองคนที่อยากใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์

สองผู้ประกอบการนี้เริ่มต้นในฐานะขาช้อปสวนจตุจักรตัวยง น้องเดี่ยวบอกว่า การไปเดินสวนจตุจักรทุกสัปดาห์ และชอบใช้เสื้อผ้าสไตล์จตุจักร จึงค่อยๆ บ่มความคิดอยากเป็นผู้ประกอบการทีละเล็กละน้อย

แต่เมื่อที่นี่เป็นศูนย์รวมของขาช้อปจากทั้งในและต่างประเทศ การจะทำสินค้าให้ซ้ำใครๆ คงไม่ใช่แต้มต่อในเวทีนี้

สิ่งที่วัยรุ่นทั้งสองเลือกทำคือ ทำเสื้อผ้าลวดลายดีไซน์เองออกวางขาย

"ผมอยากเปิดร้านขายเสื้อผ้า ที่เป็นลวดลายของเราเอง เรียกว่าทำตามใจตัวเอง เคยเห็นเด็กที่เรียนศิลปกรรมออกแบบเสื้อผ้าใส่เองด้วย เลยคิดที่จะทำเองบ้าง

พอคุยกับเพื่อนที่คิดแบบเดียวกัน เราเลยเริ่มธุรกิจนี้ขึ้นมา ใช้ชื่อร้าน "Ether" Irresistible Desire ผมว่าหาอะไรทำเวลาว่าง ยังดีกว่าไปทำอย่างอื่นที่ไร้สาระ"

แล้วหน้าที่ก็ถูกแบ่งกันทำแบบง่ายๆ น้องเดี่ยวดูแลเรื่องเงิน ระบบบัญชี และการวางแผน น้องไอซ์ดูแลเรื่องการออกแบบ

แม้จตุจักรจะรวมขาช้อปที่หลากหลายวัย แต่พวกเขาเลือกที่จะเจาะตลาดวัยรุ่นมหาวิทยาลัย เพื่อนวัยเดียวกันเป็นหลัก แน่นอนว่าความใกล้ชิดด้านอายุ ทำให้รู้เทรนด์ของวัยรุ่นกลุ่มนี้ได้ดี

"เนื่องจากพวกเราตามเทรนด์อยู่แล้วจึงรู้ความต้องการของวัยรุ่นได้ดี เสื้อผ้าที่ออกแบบส่วนมากจะเป็นแนวทางสีเรียบง่ายดูสบายตา หากเป็นสีฉูดฉาดก็จะแรงๆ ไปเลย นอกจากนั้นในเรื่องของขนาด ก็จะมีขนาดที่เล็กกว่าไซส์ปกติที่ขายในบางร้าน เพื่อให้คนที่มีขนาดตัวเล็กๆ ได้มีแนวทางในการซื้อเสื้อผ้ามากขึ้น โดยมีทั้งเสื้อกล้าม เสื้อเชิ้ต เสื้อที่ดีไซน์แปลกๆ และชุดแซ็ค ราคาอยู่ที่ 150-700 บาท โดยส่วนใหญ่แล้วเสื้อกล้ามจะขายดี รองลงมาก็เป็นเสื้อเชิ้ต"

ความเหมือนๆ กันของหน้าร้านจตุจักร ถูกทำให้แตกต่างด้วยการจัดดิสเพลย์ที่สะดุดตา เพื่อผลักให้สินค้ามีความน่าสนใจมากขึ้น สร้าง "แรงดึงดูด" ให้ลูกค้าเข้าร้าน

บวกกับการนำหุ่นมาตั้งโชว์ และจับใส่เสื้อผ้าหุ่นให้ Mix and Match จึงทำให้คนซื้อสามารถนึกได้ว่า ซื้อไปแล้วจะนำไปใส่ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร

การเลือกทำเลดี ออกแบบสินค้าได้โดนใจกลุ่มเป้าหมาย ทำให้ร้านเล็กๆ ได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างน่าสนใจ

พวกเขาผลิตเสื้อผ้าได้ประมาณ 200 ตัวต่อเดือน แตกต่างกันไปตามชนิดของเสื้อผ้าแต่ละตัวที่มีความยากง่ายในการทำต่างกัน ซึ่งเริ่มดำเนินกิจการมาได้ประมาณ 3 เดือนแล้ว ด้วยเงินลงทุนกว่าแสนบาท โดยมีค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนอยู่ที่ 20,000 บาท แบ่งออกเป็น ค่าเช่าที่ 15,000 บาท ค่าอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการตัดเสื้อ 5,000 บาท ค่าจ้างตัดเสื้ออีกตัวละประมาณ 30-100 บาท

แต่สามารถทำกำไรได้ต่อเดือนประมาณ 15,000 บาท น้องๆ บอกเราว่ากำไรถือว่ายังไม่ดีนัก แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะคืนทุนได้อีกประมาณ 4 เดือนเท่านั้น

ร้านค้าออนไลน์

รับกระแสไอทีบรรเจิด

ท่ามกลางกระแส อี-คอมเมิร์ซที่จุดพลุขึ้นอีกครั้งในเวลานี้ เปิดตลาดผู้ประกอบการมือใหม่ มีเวทีแสดงผลงานมากขึ้น งานอดิเรกที่ว่าเล่นๆ ก็สามารถสร้างลูกค้ากลุ่มใหญ่ได้ไม่รู้ตัว

เวบไซต์ที่ทำขึ้นมาอย่างเรียบง่ายของ www.fancybkk.com มีรูปตัวอย่างสินค้า ข้อมูลผลิตภัณฑ์ ประเทศที่ส่งออก และที่อยู่ติดต่อของผู้บริหารหน้าละอ่อน "ศรีฟ้า โพธิวิเชียร" คือตัวอย่างของเวทีเปิดตัวงานอดิเรก "เครื่องประดับจากลูกปัด" ที่ทำรายได้ให้เธออย่างงามในตลาดโลก

ศรีฟ้าบอกเราว่า เพิ่งเริ่มเปิดเวบไซต์เมื่อปีที่ผ่านมา หลังจากธุรกิจแฮนด์เมด ที่เคยทำเป็นแค่งานอดิเรก เริ่มเติบโตเป็นที่รู้จักมากขึ้นกับลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ เนื่องจากได้มีการออกงานเสดงสินค้าในต่างประเทศอย่างสม่ำเสมอ กับกรมส่งเสริมการส่งออก และมีหน้าร้านในประเทศ รวมถึงตัวแทนจำหน่ายมากขึ้น

จากสินค้าหลักสิบชิ้น เพิ่มขึ้นมาหลายร้อยชิ้น หลายร้อยแบบ

ปัญหาที่ตามมาคือ ไม่สามารถตั้งชื่อเรียกสินค้าได้หมด มีความยุ่งยากเมื่อลูกค้าขอสั่งซื้อสินค้า

ในช่วงจังหวะที่ยังไม่พร้อมลงทุนมากนัก สุดท้ายจึงตัดสินใจเปิดตัวเวบไซต์ โดยให้รุ่นพี่ที่รู้จักกันเป็นคนทำให้ การลงทุนไม่มาก ค่าจดโดเมนเนมเพียง 450 บาท และค่าเวบไซต์อีกจำนวนหนึ่ง เพื่อช่วยบริหารสต็อกและการจัดซื้อ

แต่ผลตอบรับกลับทำให้ลูกค้าต่างชาติเห็นสินค้าได้มากขึ้น และสามารถสั่งซื้อสินค้าผ่านแค็ตตาล็อกออนไลน์ได้ง่ายดายและรวดเร็วขึ้น ขยับขยายพันธมิตร Fancy BKK กระจายไกลทั่วมุมโลก

"การเปิดเวบไซต์นับว่าช่วยเราได้มาก ก่อนหน้านี้เวลาลูกค้าสั่งออเดอร์แต่ละที ก็จะบอกแค่ว่า เอาสร้อยยาวๆ สีเขียว สีเหลือง ที่ผูกตรงปลายๆ น่ะ ซึ่งมันสื่อสารกันลำบากมาก เพราะสินค้าของเรามีหลายร้อยแบบ พอใช้การใส่รหัส และทำเป็นระบบออนไลน์ ไม่ว่าลูกค้าจะอยู่ที่ประเทศไหนเขาก็เลือกดูได้หมด

แต่สินค้าที่เอาขึ้นเวบไซต์ จะเลือกเฉพาะที่เรามีสต็อกเท่านั้น เพราะหากลูกค้าเลือกสั่งสินค้าที่เราทำออกมาน้อยชิ้น หรือแค่สินค้าเทสต์ตลาด แล้วเราไม่มีของให้ ก็จะเสียชื่อเราไปด้วย"

จากงานอดิเรกปัจจุบัน Fancy BKK มีลูกค้าอยู่ทั่วโลก มีกำลังผลิตสินค้าในแต่ละเดือนถึงหมื่นชิ้น โดยมีหน้าร้านออนไลน์ทั่วโลกเป็น "แรงขับ" สำคัญ

เช่นเดียวกับตุ๊กตาไหมพรมทำมือไอเดียเก๋ Yes I Doo ของ "อ้อม-ตรีนุช ชาววงศ์จันทร์" นักเขียนบทฝีมือดีที่ผันตัวเองมาทำธุรกิจส่วนตัว พลิกบทบาทของงานอดิเรกมาเป็นธุรกิจได้อย่างน่าสนใจ

เธอเลือกใช้หน้าเวบไซต์ www.yesidoo.com เปิดตัวสินค้าทำมือ ด้วยการลงทุนที่ไม่สูงนัก และสามารถสร้างสรรค์ให้เวบไซต์ได้หลากรูปแบบ พอที่จะดึงดูดความสนใจจากสาวกคอออนไลน์ได้

การแปลงหน้าเวบไซต์ให้เป็นเหมือนไดอารี่ส่วนตัวที่คอยสื่อสาร เชื่อมโยงระหว่างเจ้าของชิ้นงาน และลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ จากเพียงแค่หน้าเวบไซต์ประสาร้านค้าออนไลน์ทั่วไป ก็ถูกพัฒนาลูกเล่นเอาใจคอไซเบอร์

ทั้งการมีเวบบอร์ด ไดอารี่ออนไลน์ เพิ่มเติมมาจากแกลอรีสินค้าที่จัดวางไว้ได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ จุใจขาช้อป ช่องทางติดต่อและชำระเงินผ่านข้อความอารมณ์ดีประสานักเขียนเก่า บวกกับสีสันของเวบไซต์ที่สดใสและมีการอัพเดทหน้าตาอยู่สม่ำเสมอ ทำให้มีคนเข้าไปเยี่ยมเยียนเวบบอร์ดของ Yes I Doo อย่างต่อเนื่อง และกระจายกระแสนิยมของธุรกิจที่ทำง่ายๆ จากในบ้านให้กลายเป็นของดีที่ตลาดต้องการได้ไม่ยากเย็น

อ้อมตัดสินใจใช้เงินลงทุนเปิดเวบไซต์ไปประมาณ 2 พันบาท ทำเวบ Yes I doo ขึ้นมา เรียกว่าเวบนี้มันรวมทุกอย่างที่เป็นอ้อมไว้ทั้งหมด บางทีบางอย่างเราคิดได้ แต่พูดกับใครไม่ได้ ในขณะที่บางเวลาเราก็อยากสื่อสารกับตัวเองและคนอื่น อ้อมเลยใช้วิธีเขียนลงไปในนี้เหมือนไดอารี่ส่วนตัว

ตอนแรกก็ไม่มั่นใจว่าจะมีคนเข้ามาอ่านเยอะแค่ไหน ก็จะคอยเช็คๆ ดู ปรากฏว่ามีคนสนใจพวกเรามากขึ้น จากเวบไซต์ที่ทำออกไป

ตลาดนัดหน้าห้าง/ออฟฟิศ

ทำเลทองใกล้ตัว

ใครที่ไม่ถนัดเรื่องไอที แต่อยากมีเวทีให้งานอดิเรกของตัวเองเป็นเงินเป็นทองขึ้นมาได้ ตลาดนัดหน้าห้างสรรพสินค้า รวมไปถึงตลาดนัดหน้าตึกสำนักงานต่างๆ ยังน่าสน จากค่าเช่าพื้นที่ที่ไม่สูงนัก บางรายอาจใช้การฝากขายได้ ขณะที่มีขาช้อปเดินเข้าออกตลอดเวลา เงินหมุนเวียนสะพัดชนิดที่คาดไม่ถึง

แหล่งชอปปิงใกล้ตัวเหล่านี้ถือว่ามีศักยภาพ ไม่น่ามองข้าม

อย่างเช่นวันที่ช่างตัดเย็บฝีมือดีอยากหางานอดิเรกยามว่างจากการเลี้ยงลูกช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัว สมาชิกครอบครัว "จิรโสภณ" ตัดสินใจขนตุ๊กตาหมีทำมือไปวางขายตลาดนัดใกล้บ้านอย่างเมืองไทย-ภัทร ถนนรัชดา ซึ่งมีขาช้อปไม่เพียงคนไทยแต่ยังรวมถึงนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นและเกาหลี อีกด้วย

กลายเป็นตลาดสำคัญเปิดประตูให้สินค้าทำมือได้อย่างน่าสนใจ

"พลากร จิรโสภณ" บอกว่า การเลือกแหล่งที่จะไปประเดิมวางสินค้า ต้องดูกลุ่มเป้าหมายของสินค้าก่อน อย่างตุ๊กตาหมีที่พวกเขาทำขึ้นมา กลุ่มที่สนใจจะเป็นนักท่องเที่ยวเกาหลี ญี่ปุ่น เรียกว่าเครซี่เลยก็ได้ "อย่างเกาหลีถึงขนาดมีเท็ดดี้แบร์ มิวเซียม เลยทีเดียว"

"ที่เมืองไทย-ภัทร มีนักท่องเที่ยวมาลงเยอะ และมีพวกร้านขายของกิ๊ฟท์ช็อปอยู่ด้วย เราเริ่มจากไปฝากขายตามร้าน และตั้งราคาไม่สูง เพราะเพิ่งเปิดตัว เลยยังไม่มั่นใจเท่าไร ปรากฏว่ากลับขายดีมาก ทำส่งอาทิตย์ละประมาณ 20-30 ตัว"

หลังจากเปิดตัวเพื่อทดสอบตลาดจนสร้างความเชื่อมั่นให้กับพวกเขา ก็ตัดสินใจจดทะเบียนบริษัทและเปิดตัวแบรนด์ Four Bears ขึ้นมาในปี 2002 เอาฤกษ์เอาชัยจากปีที่เท็ดดี้แบร์ครบรอบ 100 ปีพอดี

ทำเลใกล้เคียงกันนี้ มีตุ๊กตาไล่ฝนการบูร แบรนด์ Bo Bo Membo ของน้องไพ "อำไพ โฮมสองชั้น" ที่เลือกเปิดตลาดอย่างง่ายๆ ประสาแม่ค้ามือใหม่ ที่ตลาดนัดหน้าห้างสรรพสินค้า ด้วยเหตุผลสำคัญคือเป็นงานอดิเรก โดยเธอใช้เวลาหลังเลิกเรียนคือหลัง 5 โมงเย็น มาขายของ ซึ่งตลาดประเภทนี้จะเริ่มครึกครื้นตั้งแต่ 17.30 น. ไปจนถึงประมาณ 21.30 น.

"หนูไม่เคยขายของมาก่อนเลย ตอนแรกที่เริ่มขาย ก็เลือกที่ที่มีคนเยอะๆ ตามตลาดนัดหน้าห้างสรรพสินค้า เริ่มจากคาร์ฟูร์รัชดา โดยใช้วิธีไปขอที่เจ้าของแผงเดิมขาย แล้วแลกเปลี่ยนด้วยการช่วยเขาขายของไปด้วย ทำให้ไม่ต้องเสียค่าที่ และก็ขายสินค้าเราไปได้ด้วย"

เพราะพื้นที่ขายจำกัด น้องไพเลยเลือกหาอุปกรณ์เสริมอย่างไม้แขวนผ้าในบ้าน ที่มีที่แขวนหลายๆ อันในชิ้นเดียว นำมาแขวนตุ๊กตา แล้วผูกติดกับคอไว้ ตุ๊กตามากมายเลยอวดโฉมให้ลูกค้าเห็นเต็มตัวคนเล็กๆ ประหยัดเวลาพรีเซนท์สินค้าไปได้มาก

จากทำเลที่ใกล้ทั้งแหล่งทำงาน บ้านพัก และสถานที่ท่องเที่ยว ทำให้ลูกค้าที่วนเวียนแวะชมสินค้าของน้องไพ มีทั้งกลุ่มวัยรุ่น แม่บ้าน สาวทำงาน ไล่ไปจนนักท่องเที่ยวต่างชาติ อย่างจีน ไต้หวัน และญี่ปุ่น

น้องไพบอกว่า ขายของลูกค้ากลุ่มนี้ต้องเตรียมใจรับการต่อมหาโหด แต่ยังถือเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่น่าสนใจในย่านนี้

สำเพ็ง-วัดสน-พาหุรัด-เตาปูน ศูนย์รวมวัตถุดิบอินเทรนด์

ถึงจะเป็นแค่ธุรกิจงานอดิเรก แต่การบริหารต้นทุนการผลิตผู้ประกอบการ "มือใหม่" ห้ามมองข้าม

เพราะการ "เข้าถึง" แหล่งวัตถุดิบ "แท้จริง" เป็นอีกเดิมพันว่า โอกาสจะเปลี่ยนจากสิ่งที่รักเป็น "ธุรกิจ" มีมากแค่ไหน

ผู้คร่ำหวอดในวงการอย่าง "ศรีฟ้า โพธิวิเชียร" เจ้าของเครื่องประดับลูกปัด Fancy BKK บอกว่า คิดอะไรไม่ออกให้เดินไปที่ "สำเพ็ง" เพราะที่นั่นจะมีของแทบทุกอย่างให้เลือกซื้อในราคาถูก

"เราเริ่มต้นจากสำเพ็ง เพราะที่นี่มีทุกอย่าง เรียกว่าเป็นที่เริ่มต้นธุรกิจได้ดีมาก อยากได้อะไรล่ะ ผ้า กระดุม ซิป เครื่องประดับ ลูกปัด อะไรก็มีหมด เรียกว่า ขนาดแก้ผ้าเข้าไปแล้วกลับมาคุณก็ได้ทุกอย่างครบ"

นอกจากสำเพ็งจะเป็นแหล่งวัตถุดิบชั้นเลิศให้กับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจโดยเฉพาะงานแฟชั่นแล้ว ที่นี่ยังมีการหมุนเวียนเข้าออกของขาช้อปที่หลากหลายทั้งในและต่างประเทศอีกด้วย

นั่นทำให้ Fancy BKK ตัดสินใจเปิดหน้าร้านของตัวเองที่นี่ ขยายฐานลูกค้าไปอีกทางด้วย

ส่วนแหล่งผ้ายืด "พลากร จิรโสภณ" เจ้าของงานอดิเรกจับตุ๊กตาหมีแต่งตัว จนกลายเป็นแบรนด์ "Four Bears" บอกว่าวัตถุดิบสำคัญ สำหรับเสื้อผ้าตุ๊กตาหมี ต้องที่ "วัดสน" แถวสุขสวัสดิ์ โดยจะซื้อแบบยกพับเพื่อราคาที่ถูกกว่า ขณะที่ผ้ายีนส์ ไม่มีแหล่งตายตัว เพราะสามารถซื้อจากที่ไหนก็ได้ ไม่แตกต่างกัน

ใครที่สนใจธุรกิจเสื้อผ้า น้องเดี่ยว "ปรัชญา จันทร์เชียร" เจ้าของร้านเสื้อผ้าดีไซน์เองที่สวนจตุจักร แนะแหล่งคุ้นหูอย่าง "พาหุรัด" และ "เตาปูน" พวกเขาบอกว่า ที่นี่มีสินค้าให้เลือกหลากหลาย ในราคาไม่สูงนัก ถือเป็นแหล่งเสื้อผ้าที่น่าสนใจ ใกล้ๆ ตัว หาซื้อได้ง่ายสะดวก ทั้งเสื้อผ้าและอุปกรณ์ในการทำพร้อมเพรียง
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
Frankie
Verified User
โพสต์: 999
ผู้ติดตาม: 0

มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ

โพสต์ที่ 12

โพสต์

กระทู้นี้ขึ้นเป็นกระทู้แนะนำด้วยครับ จากเว็บเพื่อนบ้าน พันทิป
เรื่อง :ผู้เริ่มสนใจลงทุนในกองทุนรวม อ่านซักนิด ก่อนคิดจะลงทุน
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 67330.html

อีกเรื่องจากเว็บเพื่อนบ้าน พันทิป เช่นกัน
เรื่อง :แนะนำการลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงิน


http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 74433.html
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
Frankie
Verified User
โพสต์: 999
ผู้ติดตาม: 0

มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ

โพสต์ที่ 13

โพสต์

กระทู้เกี่ยวกับบัตรเครดิตครับ ซึ่งผมเองก็เคยคิดแบบเดียวกับเจ้าของกระทู้ แต่ไม่ได้ลงมือทำตามที่คิด
เรื่อง : ถ้าผมจะสะสมบัตรเครดิตเป็นงานอดิเรกนี่มันจะมีผลเสียตามมารึเปล่าครับ
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 09902.html
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
Frankie
Verified User
โพสต์: 999
ผู้ติดตาม: 0

มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ

โพสต์ที่ 14

โพสต์

อีกกระทู้ครับ จากพันทิป
เรื่อง ช่วยตอบด้วย มันคืออะไร? เวลาทองของกองทุนรวมตราสารหนี้ !!! Jungwa

http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 25921.html
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
Frankie
Verified User
โพสต์: 999
ผู้ติดตาม: 0

มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ

โพสต์ที่ 15

โพสต์

จากเว็บ บางกอกบิสนิวส์ครับ
"1577 คอลล์เซ็นเตอร์" ทางเลือก "SMEs" ยุคลูกค้า "ไม่ออกจากบ้าน"
24 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 18:24:00



หลายครั้งที่เอสเอ็มอีอาจต้องเจ็บช้ำจากการถูก "ห้างโมเดิร์นเทรด" เมิน ด้วยไม่สามารถสู้ค่าแรกเข้างบก้อนมหึมา วันนี้...ทางเลือกใหม่ของ SMEs คือ "1577 คอลล์เซ็นเตอร์" ที่เคลมตัวเองว่าเป็น "เครื่องมือ" ในการกระจายสินค้าที่มีต้นทุนต่ำกว่า และยังต่อยอดทำ CRM ได้ในอนาคต

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :

         ธุรกิจ "คอลล์เซ็นเตอร์" ในบ้านเรามีอัตราการเติบโตอย่างน่าสนใจ และมีมูลค่าหลายพันล้านบาทในแต่ละปี

           ปัจจุบัน "คอลล์เซ็นเตอร์" มีหลายรูปแบบ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการรับโทรศัพท์แบบ fixed line หรือการใช้วิธีการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่ออย่างโทรทัศน์ แต่ยังไม่มี "คอลล์เซ็นเตอร์" รายใดที่ตั้งตัวเองเป็น "ช่องทางการจำหน่ายสินค้า" ให้กับเจ้าของโปรดักท์ต่างๆ ดังเช่นที่ "จุล โชติกะวรรณ" กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเทค จำกัด กำลังจะเล่าถึงความเป็นมาของธุรกิจการกระจายสินค้าผ่านคอลล์เซ็นเตอร์ 1577 ให้ฟังว่า

         "คอลล์เซ็นเตอร์ส่วนใหญ่จะเป็นโทรศัพท์บ้านธรรมดา ซึ่งหากมีลูกค้าโทรมาแต่ไม่ได้รับหรือสายไม่ว่าง ก็จะเสียลูกค้าไปทันที แต่เราจะใช้ระบบไอทีที่เรียกว่า Computer-Telephone Integration หรือ CTI เป็นการเชื่อมระหว่างคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์ ทำให้เราสามารถเก็บทุกเลขหมายที่โทรเข้ามาได้หมด"

           คอนเซปต์ของธุรกิจ "1577 คอลล์เซ็นเตอร์" เป็นผู้ให้บริการเกี่ยวกับช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าอย่าง "ครบวงจร" ให้แก่ทุกขนาดขององค์กร ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของบุคลากร ขั้นตอนการทำงาน และเทคโนโลยี ทั้งนี้เพื่อเอื้อประโยชน์ในการทำธุรกิจอย่างสูงสุด

           หากยังนึกภาพไม่ออกว่าโมเดลธุรกิจ "คอลล์เซ็นเตอร์" นี้ทำงานอย่างไร...ลองนึกถึงรายการขายสินค้าทางโทรทัศน์ ที่แวะมาเยี่ยมเยียนผู้ชมในยามดึกอย่างสม่ำเสมอ ที่ชักชวนให้โทรมาสั่งซื้อสินค้าราคาพิเศษภายใน 10 นาที "1577 คอลล์เซ็นเตอร์" ก็มีลักษณะการสั่งซื้อที่คล้ายกัน เพียงแต่จะไม่มีการโหมโฆษณาทางโทรทัศน์ แต่จะเป็นการลงโฆษณาตามหน้าหนังสือพิมพ์แทน ซึ่งจะอยู่ได้นานกว่า       เช่น หากบริษัทผู้ผลิตเครื่องสำอางรายหนึ่ง (ผู้ขาย) เพิ่งเปิดตัวสินค้าและยังไม่มี "ช่องทางการจำหน่าย" ใดๆ ทั้งยังไม่มีงบประมาณก้อนโต้เพื่อเข้าห้างโมเดิร์นเทรดที่เสียค่าวางสินค้าต่อรายการ (SKU) เป็นจำนวนมหาศาล ในกรณีนี้ผู้ขายสามารถใช้ "1577 คอลล์เซ็นเตอร์" เพื่อเป็นสื่อกลางระหว่าง "ผู้ขาย" และ "ผู้ซื้อ" ได้

           "สิ่งที่เราจะแนะนำผู้ขายก็คือ การที่เขาต้องลงโฆษณาสินค้าทางสื่อสิ่งพิมพ์ด้วย แล้วก็ลงเบอร์สั่งซื้อคือ 1577 คอลล์เซ็นเตอร์ ซึ่งเมื่อมีลูกค้าโทรเข้ามาเราก็จะทำตั้งแต่ให้ข้อมูลสินค้า ตลอดจนการโน้มน้าวให้เกิดการตัดสินใจซื้อในที่สุด และเมื่อลูกค้าสั่งซื้อเราก็จะจัดส่งสินค้าให้ โดยไม่ต้องโอนเงินผ่านธนาคารก่อน แต่ลูกค้าจะจ่ายก็ต่อเมื่อได้รับสินค้าแล้วเท่านั้น เป็นการเก็บเงินปลายทาง โดยที่ลูกค้าไม่ต้องเสียเวลาเดินทางแต่อย่างใด"

           เขากล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันกลยุทธ์ทางการตลาดและช่องทางการจำหน่ายสินค้านับเป็นหัวใจสำคัญทางการตลาด ทุกๆ การติดต่อเป็นการสร้างโอกาสในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ทางธุรกิจ

         "1577 คอลล์เซ็นเตอร์  เป็นเหมือนผู้ช่วยด้านการตลาด เพราะเรามีกลไกที่จะช่วยในการขาย ตลอดจนการเก็บบันทึกรายละเอียดของลูกค้า และการ follow-up เพื่อการทำ CRM ต่อไปในอนาคต เช่น เราอาจดูว่าสินค้ารายการหนึ่งมีระยะเวลาการใช้เท่าไร เมื่อเราประมาณการว่าช่วงนี้ลูกค้าน่าจะใช้หมดแล้ว เจ้าหน้าที่คอลล์เซ็นเตอร์ของเราก็จะโทรไปหาลูกค้ารายนั้นเพื่อเสนอขายเพื่อให้เกิดการซื้อซ้ำ รวมถึงวิเคราะห์ลูกค้า ยอดผู้สนใจ ยอดการซื้อซ้ำ และแนวโน้มยอดขายให้แก่ผู้ขายในทุกๆ เดือนด้วย"

           "จุล" เล่าต่อไปถึงการทำธุรกิจร่วมกันว่า ผู้ขายไม่จำเป็นต้องให้เครดิต เพราะทางคอลล์เซ็นเตอร์ 1577 จะเคลียร์เงินค่าสินค้าให้ภายในครึ่งเดือน หรือ 15 วัน ทำให้มีเงินไปหมุนเวียนในกิจการโดยไม่ต้องไปจมกับค่าสต็อกสินค้า และการวางเครดิตที่มีเวลานานหลายวัน

         ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ที่จะใช้ "1577 คอลล์เซ็นเตอร์" ควรเป็นสินค้าคุณภาพ "เกรดเอ" ที่ต้องมีอัตราการซื้อซ้ำ (Repeat rate) ไม่ต่ำกว่า 30-80% (เช่น หากเดือนแรกขายได้ 10,000 ชิ้น เดือนต่อมาถึงแม้ว่าหากไม่มีการทำตลาดก็มีการซื้อซ้ำจากลูกค้าเดิมประมาณ 3,000-8,000 ชิ้น) อาทิเช่น ผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม ครีมบำรุงผิว อาหารเสริม เป็นต้น

           "สินค้าควรมีราคาไม่ต่ำกว่าหลักพันบาทขึ้นไป ทั้งนี้เพื่อความคุ้มค่าในการจัดส่งแต่ละครั้ง เพราะเราจัดส่งทั่วประเทศ ชิ้นเดียวก็ไป ดังนั้นควรเป็นของที่มีราคาหน่อย ไม่ถึงขนาดว่าเป็นของใช้ประจำวันที่หาซื้อได้ทั่วไปตามห้างโมเดิร์นเทรด หรืออย่างเช่นเหล้า เบียร์ ที่โฆษณาทางโทรทัศน์ไม่ได้ หลังๆ ก็มาใช้บริการจากเรามากขึ้น"

           "จุล" กล่าวว่า กลุ่มผู้ขายที่เหมาะกับการใช้ 1577 คือ ผู้ขายที่มีผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ยังไม่เคยทำตลาดมาก่อน หรือเป็นเอสเอ็มอีที่มีงบการตลาดน้อย สู้ค่าแรกเข้าของโมเดิร์นเทรดไม่ไหว และไม่มีทีมขาย

         "ผู้ขายเหล่านี้สามารถให้เราช่วยขายให้ได้ หรืออาจเป็นกลุ่มผู้ประกอบการที่มีตลาดแล้ว แต่ต้องการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้หลากหลายมากขึ้น ผู้ขายบางรายก็ต้องการให้เราดูแลลูกค้าให้ทั่วประเทศ บางทีหากมีลูกค้าจากต่างจังหวัดโทรมาเราก็จะแนะนำให้ไปที่ตัวแทนจำหน่ายของสินค้านั้นๆ ในจังหวัดของเขาก็มี"

         ค่าใช้จ่ายที่เกิดกับผู้ขายสินค้าที่ต้องการใช้บริการ "1577 คอลล์เซ็นเตอร์" ก็คือ ค่าแรกเข้าประมาณ 2 แสนบาท ซึ่งจะเป็นการติดตั้งฐานข้อมูลและซอฟต์แวร์เพื่อเชื่อมระหว่าง 1577 และผู้ขาย (ทั้งนี้จะแยกผู้ขายแต่ละรายออกจากกันอย่างชัดเจน) และมีค่าบริการโดยการหักส่วนแบ่งจากราคาขาย โดยจะอยู่ที่ประมาณ 40-50% ของราคาสินค้าที่ขายได้

           "เราคิดค่า set-up fee ต่อแบรนด์ ไม่ใช่ต่อ  SKU เหมือนห้างโมเดิร์นเทรด และคิดส่วนแบ่งประมาณ 40-50% ของราคาสินค้า ส่วนห้างโมเดิร์นเทรดจะคิดประมาณ 37-45% แต่ยังไม่รวมค่าขนส่ง ค่าสต็อกสินค้า ซึ่งถ้ารวมทั้งหมดแล้วก็จะอยู่ที่ประมาณ 45-60% แต่ของเราไม่มีค่าใช้จ่ายอย่างอื่นแล้ว

           ถ้าเป็นการโฆษณาสินค้าทางทีวี จะคิดส่วนแบ่งประมาณ 60-65% ของราคาขาย ดังนั้นจึงเหมาะกับสินค้าที่มีราคาแพงมากๆ เพราะไม่สามารถทำตลาดได้ทุกตัว ต้องเลือกทำเฉพาะสินค้าที่มีมาร์จินสูงๆ"

           เขากล่าวถึง "จุดเด่น" ของ "1577 คอลล์เซ็นเตอร์" ว่า เป็นหมายเลขพิเศษที่โทรได้ทั้งโทรศัพท์บ้านและมือถือ และโทรได้ทั่วประเทศในอัตราเดียว และมีคู่สายรองรับเป็นจำนวนมาก มีพนักงานคอลล์เซ็นเตอร์ที่ทำงานเป็นกะ ไม่ต่ำกว่า 40-50 คน จึงแน่ใจได้ว่าสามารถรองรับลูกค้าได้ หากผู้ขายโหมทำการโฆษณาอย่างต่อเนื่อง

           "นอกจากนี้ เรายังมีความแตกต่างจากคอลล์เซ็นเตอร์ทั่วไป ตรงที่เรามีระบบไอทีรองรับ ก็คือ CTI ที่เรานำเข้ามาจากอเมริกา ซึ่งเป็นระบบที่เชื่อมโยงกับเบอร์ที่โทรเข้ามาได้เลย รายละเอียดต่างๆ จะขึ้นมาทางหน้าจอ แต่หากเป็นเจ้าอื่น อย่างเช่น รายการสั่งซื้อทางโทรทัศน์ จะมีคนรับสายเป็นเครื่องๆ ไม่ได้เชื่อมกับคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ ในการสั่งซื้อทางโทรทัศน์ ช่วงที่ออกอากาศจะมีสายโทรเข้ามามากหลายร้อยสาย บางรายก็โทรไม่ติด แต่ภายหลังจากจบรายการก็แทบไม่มีโทรเข้ามาอีกเลย แต่ของเราจะเน้นการโฆษณาทางสื่อสิ่งพิมพ์ ซึ่งจะอยู่ได้นานกว่า และมีสายโทรเข้ามาอย่างต่อเนื่อง"

         นอกจากนี้ จุดเด่นที่ "จุล" กล่าว ยังทำให้ 1577 คอลล์เซ็นเตอร์ แตกต่างจาก "โมเดิร์นเทรด" ที่มักจะมีพนักงานขายยืนเชียร์สินค้าที่ตัวเองรับผิดชอบ แต่สำหรับคอลล์เซ็นเตอร์ ลูกค้าที่โทรมาคือลูกค้าที่สนใจผลิตภัณฑ์นั้นๆ อยู่แล้ว เจาะจงว่าสนใจผลิตภัณฑ์นี้ จึงไม่มีปัญหาเรื่องการ Cross-selling

           "เราจะมีการเทรนพนักงานอย่างต่อเนื่อง โดยก่อนจะเริ่มขาย บริษัทผู้ขายต้องส่งคนมาบรีฟความรู้เกี่ยวกับสินค้าให้พนักงานคอลล์เซ็นเตอร์ของเรา หรือที่เรียกว่า Agent จากนั้นเราจะทำการทดสอบ หากสอบไม่ผ่านก็จะไม่ได้เป็น Agent ของสินค้านั้นๆ และ Agent จะมีไอดีเพื่อล็อกอินเข้ามาทำรายการทุกครั้ง

           โดย Agent จะมีรายได้จากคอมมิชชั่นส่วนหนึ่งด้วย ซึ่งเราจะมีแคมเปญให้ Agent ของเราทำยอดขาย หากถึงเป้าก็จะมีการพาไปเที่ยวต่างจังหวัด หรือมีของรางวัลจูงใจให้ เช่น ทีมงานของสินค้าแบรนด์นี้หากทำยอดขายได้มากกว่า 12 ล้านบาท ก็จะมีรางวัลให้ทั้งทีม เป็นต้น"  

           เนื่องจาก "พร็อพเทค" เป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านระบบคอลล์เซ็นเตอร์มาก่อน รายได้ต่อปีจึงเข้าสู่หลักร้อยล้านบาท และในอนาคต "จุล" กล่าวว่าเขาพยายามจะขยายจำนวนผู้ขายกับ "1577 คอลล์เซ็นเตอร์" ให้มากขึ้น โดยตั้งเป้าไว้ที่ประมาณ 30-40 ราย ภายในปีนี้ จากปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 10-20 ราย

         "ช่องทางนี้โตเร็วมาก ผู้ขายบางรายมีสินค้าใหม่ที่ยังไม่เคยทำตลาดมาก่อน แต่ภายในระยะเวลา 6 เดือน ก็มียอดขายถึง 20 ล้านบาท โดยใช้ 1577 เป็นช่องทางการจำหน่ายเพียงช่องทางเดียว ผลตอบรับถือว่าค่อนข้างดี มี Inbound call คือ ลูกค้าโทรมาประมาณวันละ 5,000-10,000 สาย แล้วแต่ช่วงว่าช่วงไหนผู้ขายออกสื่อมากหรือน้อย ส่วน Outbound call ก็มีบ้างแต่ไม่มาก จะเป็นกรณีที่ต้องการเสนอขายให้ลูกค้าสั่งซื้อซ้ำอีก"  

           เขากล่าวถึงแนวโน้มของธุรกิจคอลล์เซ็นเตอร์ทั่วโลกว่า ปัจจุบันผู้ผลิตสินค้าไม่ต้องการสร้างคอลล์เซ็นเตอร์เอง เพราะมีต้นทุนสูงมาก การทำคอลล์เซ็นเตอร์อย่างน้อยต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 3-5 ล้านบาท ด้วยเหตุนี้ในประเทศที่พัฒนาแล้วจึงนิยมการเอาท์ซอร์สคอลล์เซ็นเตอร์ไปยังนอกประเทศ เพราะคอลล์เซ็นเตอร์มืออาชีพจะดูแลให้หมด และสำหรับในประเทศไทย ธุรกิจคอลล์เซ็นเตอร์ก็เติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยส่วนใหญ่มักเป็นองค์กรใหญ่ที่ทำคอลล์เซ็นเตอร์เอง

           "ส่วนคอลล์เซ็นเตอร์ที่เป็นช่องทางการจำหน่าย หรือ Distribution Center (DC) แบบเราก็เริ่มมีบ้าง เช่น รายการขายสินค้าทางโทรทัศน์ หรือไม่ก็ทำเป็นคอลล์เซ็นเตอร์ที่ขายสินค้าของเขาเอง แต่สัดส่วนช่องทางการจำหน่ายผ่านคอลล์เซ็นเตอร์ตอนนี้ยังคิดเป็นสัดส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับช่องทางการจำหน่ายหลักๆ อย่างโมเดิร์นเทรด นี่เป็นโอกาสที่ทำให้ยังโตได้อีกมาก

           ตอนนี้สภาพเศรษฐกิจก็เริ่มมีผลให้คนไม่ออกจากบ้าน ทำให้เป็นโอกาสของธุรกิจคอลล์เซ็นเตอร์เช่นกัน เพราะคนจะอยู่บ้านและโทรมาสั่งซื้อสินค้ามากขึ้น ผมพบว่าในปีที่ผ่านมาคอลล์เซ็นเตอร์บางรายโตถึง 300% จึงคิดว่าเป็นช่องทางน่าสนใจมาก" จุล กล่าว

          "1577 คอลล์เซ็นเตอร์" อีกหนึ่งโอกาสของ SMEs ในการสร้างเงินสร้างรายได้ ด้วยการขยาย "ช่องทางการจำหน่าย" แบบที่ไม่ต้องไปรบราฆ่าฟันในศึกโมเดิร์นเทรดอีกต่อไป...

 

 

ขายของผ่าน "1577 คอลล์เซ็นเตอร์"

๐ มีต้นทุนต่ำกว่าช่องทางการจำหน่ายอื่น เช่น โมเดิร์นเทรด หรือรายการซื้อสินค้าทางโทรทัศน์

๐ พนักงานจะทำการดูแลลูกค้าอย่างต่อเนื่อง และเก็บบันทึกข้อมูลของลูกค้าเพื่อการทำ CRM

๐ เน้นการขายสินค้าคุณภาพดีและมีราคา เพื่อความคุ้มค่าในการจัดส่งแต่ละครั้ง

๐ มีโอกาสเกิดความล้มเหลว หากผู้ขายไม่ทำการโฆษณาตามสื่อสิ่งพิมพ์ให้ลูกค้ารู้จักอย่างเพียงพอ



กมลวรรณ มักการุณ
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
ภาพประจำตัวสมาชิก
xcha
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 171
ผู้ติดตาม: 0

มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ

โพสต์ที่ 16

โพสต์

ขอบคุณสำหรับบทความดีๆนะครับ
คุณ Frankie  :D
Frankie
Verified User
โพสต์: 999
ผู้ติดตาม: 0

มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ

โพสต์ที่ 17

โพสต์

ยินดีครับ หวังว่าจะชอบและติดตามอ่านเรื่อย ๆ นะครับ
อันนี้เป็นบทความจากประชาธุรกิจครับ
เศรษฐกิจสุราษฎร์ฯขยายตัวรื่น ยางพารา-ปาล์ม-ท่องเที่ยวโต

ประธานสภาอุตฯสุราษฎร์ฯ เผยเศรษฐกิจเมืองสุราษฎร์ยังขยายตัวดี ได้อานิสงส์ท่องเที่ยว ราคาปาล์ม ยางพาราดีต่อเนื่อง มีเพียงธุรกิจ ส่งออกเท่านั้นที่เริ่มชะลอตัว เพราะเจอพิษเงินบาทแข็ง

นายเพชร ศรีหล่มสัก ประธานสภาอุตสาห กรรมจังหวัดสุราษฎร์ธานี เปิดเผย "ประชา ชาติธุรกิจ" ถึงภาพรวมเศรษฐกิจในจังหวัด สุราษฎร์ธานีในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2550 ว่า โดยรวมยังมีสภาพดีกว่าหลายๆ จังหวัด และยังเป็นจังหวัดที่มีอัตราการขยายตัวของภาคธุรกิจอยู่ในระดับต้นๆ ของพื้นที่ภาคใต้ตอนบน

ปัจจัยหลักน่าจะมาจากศักยภาพภายในของจังหวัดที่มีความหลากหลายด้านทรัพยากรที่เอื้อต่อการประกอบอาชีพ และการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรที่มีทั้งอาหารทะเล แปรรูปยางพารา ปาล์มน้ำมัน ตลอดจนธุรกิจด้านการท่องเที่ยวและที่สำคัญกำลังเริ่มดำเนินการและไปได้ดี คือ ธุรกิจพลังงาน ทั้งในส่วนของกลุ่มทักษิณปาล์ม การผลิตไบโอก๊าซ และโรงงานผลิตไบโอดีเซลขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานี

ทั้งนี้ในส่วนของธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับยางพารา ไม่ว่าจะเป็นน้ำยางข้น ยางแผ่นรมควัน และยางอัดแท่ง รวมทั้งธุรกิจไม้ยางพาราก็ยังเป็นธุรกิจที่มีอัตราการขยายตัวต่อเนื่อง และราคาผลผลิตยังดีอยู่ แต่มองว่าธุรกิจยางแท่งจะมีภาษีดีกว่าธุรกิจยางทุกตัว

ที่สำคัญคือจังหวัดสุราษฎร์ธานีมีผลผลิตหลากหลายชนิดที่สามารถนำมาแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าเพิ่มได้ ซึ่งที่ผ่านมาทำรายได้ปีละนับหมื่นล้านบาท นอกจากนี้ยังมีธุรกิจเกี่ยวเนื่องด้านการท่องเที่ยวที่ยังเติบโตต่อเนื่องแม้ว่าการขยายตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวจะไม่มากก็ตาม แต่ในระยะหลังนี้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพ คือ ระยะเวลาการพักยาวนานขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดรายได้ที่แน่นอนในระดับหนึ่ง แต่ภาคธุรกิจที่มีปัญหามากในเวลานี้คือภาคการส่งออก ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งไม่เกี่ยวกับรัฐบาลแต่อย่างใด

นายเพชรกล่าวถึงแนวโน้มธุรกิจจังหวัด สุราษฎร์ธานีในช่วงครึ่งปีหลังว่า น่าจะต้องมีการปรับตัวโดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก แต่ธุรกิจอื่นๆ ก็อาจมีการชะลอตัวลงเล็กน้อยเพื่อรอดูสถานการณ์เศรษฐกิจ แต่ทั้งนี้มองว่าธุรกิจที่จะมีการขยายตัวต่อไปคือ ธุรกิจภาคการเกษตร
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
Frankie
Verified User
โพสต์: 999
ผู้ติดตาม: 0

มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ

โพสต์ที่ 18

โพสต์

เจอเรื่องน่าสนใจอีกแล้วครับ จากหนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นครับ
เรื่อง : ซื้อกับเช่า ต่างกันอย่างไร

คุณอังคณา  จาก พหลโยธิน กทม. ถามว่า กองทุนอสังหาฯ แบบซื้อกับเช่า ต่างกันอย่างไร เพราะ บลจ.ที่ขายหน่วยลงทุนไม่เคยพูดให้ฟังเลยสักราย แต่พอเพื่อนๆ มาบอกถึงข้อเสียของกองทุนอสังหาริมทรัพย์จะมีมูลค่าเป็นศูนย์เมื่อครบสัญญา จึงไม่กล้าลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์อีกเลย เลยขอรบกวนด๊อกเตอร์ช่วยตอบข้อข้องใจดังกล่าวด้วยค่ะ

ผมขอเข้าเรื่อง และพูดแบบสั้นๆ เผื่อนักลงทุนคนอื่นด้วยแล้วกันโดยกองทุนอสังหาฯ แบ่งได้ 2 ประเภท คือ ประเภทที่ไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แบบซื้อขาด  หรือFree  Hold  กับอีกแบบคือ  เช่าสิทธิ์ หรือ Lease Hold ซึ่งกองทุนทั้ง 2 ประเภทจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ด้วยกันหลายกอง

กองทุนรวมประเภทซื้อขาดหมายถึงกองทุนรวมที่ระดมเงินจากผู้ลงทุนเพื่อไปซื้ออสังหาริมทรัพย์มาเป็นเจ้าของ เช่น หากอสังหาริมทรัพย์นั้นเป็นอาคารสำนักงาน ก็หมายถึงกองทุนรวมจะไปซื้ออาคารนั้นมาเป็นกรรมสิทธิ์ และบริหารเพื่อให้มีรายได้มาจ่ายเป็นเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยในกองทุนรวมนั้น ดังนั้น จึงอาจพอกล่าวได้ว่าผู้ถือหน่วยในกองทุนรวมประเภทนี้เสมือนเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์นั้นจริง ๆ เพราะหากต้องมีการยุบเลิกกองทุนรวม ผู้ถือหน่วยก็มีโอกาสที่จะได้รับเงินลงทุนคืนจากหน่วยลงทุนที่ถืออยู่ ณ วันเลิกกองทุนรวมด้วย

ยิ่งถ้ามูลค่าอสังหาริมทรัพย์ตอนที่ขายออกเมื่อสิ้นสุดโครงการนั้นสูงขึ้นกว่าตอนที่กองทุนรวมเข้าไปซื้อตอนแรกด้วยแล้ว โอกาสจะได้รับเงินลงทุนตามสัดส่วนเพิ่มขึ้นก็ยิ่งสูงขึ้นไปอีก

ส่วนกองทุนอสังหาฯ แบบเช่าซื้อ คือกองทุนที่ไม่ได้ไปซื้ออสังหาริมทรัพย์มาเป็นกรรมสิทธิ์   แต่จะซื้อสิทธิการเช่ามาบริหาร  ในระยะหลังจะเริ่มมีกองทุนรวมประเภทนี้มากขึ้นนะครับ

อาจเป็นได้ทั้งกรณีที่กองทุนรวมไปเช่าพื้นที่ในอาคาร หรือซื้ออาคารบนที่ดินซึ่งเช่ามาอีกทีหนึ่งก็ได้

ดังนั้กรรสิทธิ์ในพื้นที่หรือที่ดินที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่จึงไม่ได้ตกเป็นของกองทุนรวมแต่อย่างใด

เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่า กองทุนรวมจะต้องส่งมอบพื้นที่ที่เช่าหรือที่ดินที่อาคารนั้นตั้งอยู่คืนเจ้าของไป และก็ไม่มีสิทธิที่จะหาประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์นั้นอีกต่อไปนะครับ

ตรงนี้คือความแตกต่างของทั้ง 2 กองทุน และผมไม่ขอแสดงความคิดเห็นว่ากองทุนแบบไหนดี กองทุนแบบไหนไม่ดี

เนื่องจากนักลงทุนต้องเป็นคนตัดสินใจกันเอาเองว่าตัวเองชอบกองทุนแบบไหน

ที่สำคัญต้องถามผู้จัดการกองทุนว่า เงินปันผลที่ได้รับจากกองทุนอสังหาริมทรัพย์แต่ละประเภทนั้น อันไหนสูงกว่ากัน และคงที่มากกว่ากันด้วยนะครับ

เนื่องจากกฎของการลงทุนระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ต้องลงทุนในหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด ควบคู่กับความเสี่ยงต่ำสุด และการถามข้อข้องใจตรงๆ กับคนขายหน่วยลงทุนน่าช่วยให้นักลงทุนอย่างเราๆ  ท่านๆ  สบายใจขึ้นไม่มากก็น้อย รวมทั้งทำให้รู้ว่าคนที่มาขายหน่วยลงทุนมีความรู้มากน้อยเพียงใดอีกด้วย
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
มือกาว
Verified User
โพสต์: 404
ผู้ติดตาม: 0

มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ

โพสต์ที่ 19

โพสต์

เป็นประโยชน์อย่างมากครับ
ขอบคุณครับ..
Becoming an Automatic Millionaire on Just a Few Bahts a Day..
My blog: http://nutsiri.bloggang.com
Frankie
Verified User
โพสต์: 999
ผู้ติดตาม: 0

มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ

โพสต์ที่ 20

โพสต์

มาเกาะกระแสอีโค คาร์กันนิดนึงครับ
กับบทความจาก BIZWEEK ครับ
เรื่อง เกียร์1 "อีโค คาร์ " หนังยาวของรถแห่งความหวัง

สินธุ์ชัย ภมรพล
ในที่สุดเรื่องของอีโค คาร์ที่ยืดเยื้อมายาวนาน นับตั้งแต่มีการริเริ่มโครงการเมื่อปี 2546 ก็มีความคืบหน้าอีกระดับหนึ่ง เมื่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติมาตรการภาษีสรรพสามิตเพื่อสนับสนุนการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล เมื่อวันอังคารที่ 5 มิถุนายน 2550 ที่ผ่านมา


ทั้งนี้ความเคลื่อนไหวรอบใหม่ของอีโค คาร์ ที่ดูจริงจังนั้น เกิดขึ้นหลังจาก นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ประชุมร่วมกับ นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีช่วยฯ อธิบดีกรมสรรพสามิต ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ เมื่อวันพุธที่ 7 มีนาคม 2550 เพื่อขอให้กระทรวงการคลังสนับสนุนนโยบายส่งเสริมรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล และให้มีการแต่งตั้งคณะทำงานเจรจาและพิจารณาข้อเสนอการลงทุน

หลังจากนั้นนายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ประชุมร่วมกับที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และคณะทำงานฯ โดยรับฟังความคิดเห็นของผู้ประกอบการผลิตรถยนต์ เพื่อนำข้อมูลมาประกอบการพิจารณา เรื่อง โครงสร้างอัตราภาษีรถยนต์และเงื่อนไขอื่นๆ เกี่ยวกับรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากลด้วย ในวันที่ 18 พฤษภาคม 2550 ก่อนที่จะนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม ครม.โดยแสดงเหตุผลประกอบการเสนอก็คือ สถานการณ์การใช้น้ำมันของไทยและโลก เพิ่มขึ้น ทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น ทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์จำเป็นต้องพัฒนา และปรับตัวสู่การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และไทยซึ่งเป็นประเทศอุตสาหกรรมประกอบรถยนต์ที่สำคัญก็ควรจะต้องปรับตัว ซึ่งนำมาซึ่งมาตรการส่งเสริมในที่สุด นั่นคือการกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตพิเศษ 17% ขณะที่อัตราภาษีสำหรับรถยนต์นั่งในปัจจุบันที่ต่ำที่สุดอยู่ที่ 30%

การปรับลดภาษีดังกล่าว คลังคาดว่า จะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ภาษีสรรพสามิตประมาณ 7 หมื่นบาท/คัน แต่สิ่งที่ได้รัฐจะได้รับประโยชน์ คือ การประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง และการลดต้นทุนทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีมูลค่าสูงกว่ารายได้ที่สูญเสียไป

ทั้งนี้สำหรับมาตรการส่งเสริมที่ผ่านครม.มีรายละเอียดที่สรุปได้ ก็คือ เครื่องยนต์ มี 2 ตัวเลือกคือ เครื่องยนต์เบนซิน ซึ่งจะต้องมีปริมาตรกระบอกสูบไม่เกิน 1,300 ซีซี และเครื่องยนต์ดีเซล จะต้องมีปริมาตรกระบอกสูบไม่เกิน 1,400 ซีซี ซึ่งประเด็นนี้เป็นเพราะรัฐต้องการสร้างความแตกต่างกับตลาดที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน คือ บี คาร์ ซึ่งคือกลุ่มรถซับ คอมแพคท์ ที่ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1,500 ซีซี ซึ่งจะทำให้ภาคการผลิตไม่มีผลกระทบต่อกัน

อย่างไรก็ตามขนาดของเครื่องยนต์เบนซิน 1,300 ซีซี นั้นบางคนมองว่า อาจจะทำให้ตลาดรถเล็กเดินซ้ำรอยเดิม เหมือนที่ฮอนด้า ซิตี้ และโตโยต้า โซลูน่า ที่เปิดตัวเครื่องยนต์ 1.3 ลิตรในปี 2539 และไม่ประสบความสำเร็จ จนต้องปรับขนาดให้ใหญ่ขึ้นเป็น 1,500 ซีซี ในที่สุด

แต่บางคนก็เชื่อว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเงื่อนไขที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะเงื่อนไขของภาษี ที่ทำให้ราคาถูกลง ก็อาจจะทำให้ผู้บริโภคเลิกคิดถึงตัวเลข 1,300 ซีซี ลงได้

ส่วนเครื่องยนต์ดีเซล ถือว่าเป็นตลาดใหม่ แต่ก็หลายคนเชื่อว่าจะได้รับความสนใจจากผู้ผลิต เนื่องจากเป็นเครื่องที่สร้างแรงบิดได้มากกว่า ทำให้ช่วยเพิ่มความคล่องตัวกับการใช้งานในเมืองที่ต้องการแรงบิดมากกว่า และที่สำคัญอาจจะพัฒนาเรื่องของความประหยัดได้ง่ายกว่าเครื่องยนต์เบนซิน

ส่วนข้อกำหนดอื่นๆ ก็คือมีอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงไม่เกิน 5 ลิตร/100 กิโลเมตร (20 กม./ลิตร) มาตรฐานมลพิษอยู่ในระดับ EURO 4 ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่ปล่อยจากท่อไอเสียไม่เกิน 120 กรัม/กิโลเมตร และมีมาตรฐานความปลอดภัยในด้านการชนของ UNECE ข้อ 94 และข้อ 95 หรือสูงกว่า

ซึ่งข้อกำหนดทั้งหมดนี้ ผู้ประกอบการเห็นว่าสิ่งที่จะทำได้ยากที่สุดก็คือ อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมัน 20 กิโลเมตร/ลิตร เนื่องจากว่าในปัจจุบัน เครื่องยนต์ที่ใช้กันทั่วโลก ผ่านมาตรฐานนี้แค่ 5% เท่านั้น ซึ่งใน 5% ที่ว่านี้ รวมถึงรถยนต์ไฮบริด (hybrid) เข้าไว้ด้วย

อย่างไรก็ตาม อีโค คาร์ จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2552 เป็นต้นไป แต่ก็มีเงื่อนไขอย่างหนึ่งก็คือ กระทรวงการคลังจะประกาศใช้ ก็ต่อเมื่อ ได้รับหนังสือยืนยันจาก บีโอไอ ว่ามีผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุน และมีการลงทุนเพื่อผลิตและจำหน่ายอย่างเป็นรูปธรรมเท่านั้น ซึ่งการกำหนดข้อนี้ก็หมายความว่า เป็นการปิดช่องว่างที่หลายคนเป็นห่วงว่ารถต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน อินเดีย หรือแม้แต่เพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย จะใช้สิทธิดังกล่าวเข้ามาตีตลาดรถไทย

และอีกประเด็นหนึ่งที่คนในวงการเป็นห่วงกันก่อนหน้านี้ก็คือ การที่ภาครัฐจะประกาศให้สิทธิพิเศษกับรถที่ใช้เอทานอลเป็นส่วนผสม 20% (E20) ซึ่งแต่เดิมกำหนดภาษีพิเศษที่ 20% จะทำให้ผู้ประกอบการหันไปพัฒนาอี 20 แทน อีโค คาร์ เนื่องจากไม่ต้องลงทุนมาก และทำได้ง่ายกว่า อีกทั้งไม่มีข้อกำหนดยากๆ คือ อัตราการสิ้นเปลือง แต่ก็ดูเหมือนว่าคลังและอุตสาหกรรมก็จะอุดช่องว่างนี้เอาไว้ด้วยเช่นกัน ด้วยการขยับอัตราภาษีอีโค คาร์ เพิ่มขึ้น ตามขนาดปริมาตรกระบอกสูบ ที่ 25,30,35 และ 50% ตามลำดับ

ตัวเลขและมาตรการของอีโค คาร์ มีความชัดเจนมากขึ้น อย่างไรก็ตามก็ต้องติดตามดูต่อไปว่า ค่ายรถจะตอบรับมากน้อยเพียงใด เพราะล่าสุดมีความคิดเห็นที่หลากหลาย ทั้งเห็นด้วย ทั้งที่ยังไม่แน่ใจ ซึ่งทั้งหมดคงต้องใช้เวลาในการตัดสินใจอีกระยะ อย่างไรก็ตามผู้บริโภคจะเห็นผลได้ไม่เกิน 2 ปี กับ 4 เดือน ซึ่งถือว่าไม่ช้าเกินไป เมื่อเทียบกับที่เรารอมาแล้วมากกว่า 3 ปี โดยไม่มีความคืบหน้าแม้แต่น้อย

ไซด์บาร์ 1.

คุณลักษณะของรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล

1. รถยนต์ที่ใช้หรือสามารถใช้น้ำมันเชื้อเพลิงต้องมีอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงไม่เกิน 5 ลิตร/100 กิโลเมตร

2. มาตรฐานมลพิษอยู่ในระดับ EURO 4 ตามที่สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ประกาศกำหนด

3. ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่ปล่อยจากท่อไอเสียไม่เกิน 120 กรัม/กิโลเมตร

4. มีมาตรฐานความปลอดภัยในด้านการชนของ UNECE ข้อ 94 และข้อ 95 หรือสูงกว่า

ไซด์บาร์ 2

โครงสร้างภาษีรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ อี 20

1. รถยนต์ที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 2,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร และมีกำลังเครื่องยนต์ไม่เกิน 220 แรงม้า (HP) ปรับอัตราภาษีตามมูลค่าจากร้อยละ 20 เป็นร้อยละ 25

2. รถยนต์ที่มีความจุของกระบอกสูบเกิน 2,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร แต่ไม่เกิน 2,500 ลูกบาศก์เซนติเมตร และมีกำลังเครื่องยนต์ไม่เกิน 220 แรงม้า (HP) ปรับอัตราภาษีตามมูลค่าจากร้อยละ 20 เป็นร้อยละ 30

3. รถยนต์ที่มีความจุของกระบอกสูบเกิน 2,500 ลูกบาศก์เซนติเมตร แต่ไม่เกิน 3,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร และมีกำลังเครื่องยนต์ไม่เกิน 220 แรงม้า (HP) ปรับอัตราภาษีตามมูลค่าจากร้อยละ 20 เป็นร้อยละ 35

4. รถยนต์ที่มีความจุของกระบอกสูบเกิน 3,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร หรือมีกำลังเครื่องยนต์เกิน 220 แรงม้า (HP) เห็นควรให้คงอัตราภาษีตามมูลค่าคงเดิม คือ ร้อยละ 50

ไซด์บาร์ 3

อีโคคาร์สิทธินี้มีแต่รายใหญ่

ดูเหมือนขั้นตอนต่อไปของ โครงการอีโคคาร์จะอยู่ที่ผู้ผลิต และใครจะเป็นผู้ได้เปรียบในครั้งนี้

แน่นอนว่า โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ประกาศทันทีว่า พร้อมเดินหน้า ศึกษา เพราะเงื่อนไขภาษีสรรพสามิต 17% ถือว่าจูงใจมากพอ ที่ค่ายรถทั้งที่มีฐานผลิตในไทย หากเทียบกับราคารถซับคอมแพคท์ปัจจุบัน ภาษีใหม่ทำให้ถูกลงมากกว่า 6 หมื่นบาท(ภาษีอีโคคาร์ 17% ลดลงจากภาษีรถยนต์นั่ง เดิมที่เก็บ 30% ) ซึ่งโตโยต้า คาดว่าจะสรุปผลได้ในเวลา 18 เดือน ในขณะที่บริษัท เอเชี่ยนฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ ฮอนด้า ออโตโมบิล ประเทศไทยก็ดูว่า จะพอใจและพร้อม เข้าโครงการนี้อย่างเต็มที่ เพราะเห็นว่าเป็นแนวทางที่มีความเป็นไปได้สูง ในด้านการผลิตและการตลาด

"การจะส่งเสริมของภาครัฐ จำเป็นจะต้องให้เกิดการผลิต ซึ่งการผลิตได้จะต้องมีตลาดรองรับ และการจะมีตลาดก็ต้องมีราคาที่เหมาะสม ซึ่งราคาก็มาจากต้นทุนการผลิต และต้นทุนการผลิตอย่างหนึ่งก็คือเรื่องของภาษี ทั้งนี้ภาษีที่ลดจาก 30% เหลือ 17% ถือว่าอยู่ในวิสัยที่น่าจะมีตลาดรองรับ"

ลองมองที่การ วิเคราะห์ของ ผู้ที่อยู่ในวงการ มาอย่างช่ำชอง อย่างไพบูลย์ ภู่เจริญ ประธาน กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เห็นว่าการตัดสินใจลงทุนนั้นจะต้องดูเงื่อนไขของบีโอไออีกส่วนหนึ่งซึ่งภาษีที่กำหนดไว้จะทำให้เกิดการลงทุนหรือไม่ ผู้ผลิตจะต้องใช้เวลาในการพิจารณา ปัจจัยสำคัญหลายประการ เช่น ตลาด พฤติกรรมของผู้ซื้อและต้นทุนที่แท้จริง

"หากผู้ผลิตรายเดิม ไม่ลงทุนใหม่แต่ทำ ราคารถรุ่นเดิม ออกขาย สูงกว่ารถในโครงการอีโคคาร์ 4-5 หมื่นบาท/คัน แต่ว่า ผู้ผลิตเหล่านั้นมีเครือข่ายการบริการที่ครอบคลุม มีแบรนด์ลอยัลตี้สูง ผู้ซื้ออาจจะไม่ซื้อรถที่ราคาต่ำ ก็เป็นไปได้ ทั้งนี้ในทางกลับกัน หากผู้ผลิตที่พร้อมอยู่แล้ว ทั้งเครือข่ายและแบรนด์ลอยัลตี้ ซึ่งก็หมายถึงค่ายใหญ่อย่าง โตโยต้า ฮอนด้า กระโดดเข้ามาต่อยอด ด้วยแรงจูงใจของภาษีที่ลดลง ค่ายไหนๆ ก็ไม่อาจจะสู้ 2 ค่ายนี้ได้เลย "
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
Frankie
Verified User
โพสต์: 999
ผู้ติดตาม: 0

มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ

โพสต์ที่ 21

โพสต์

จากนสพ.ข่าวหุ้นฉบับวันนี้ครับ
เรื่อง ค่าธรรมเนียมแพง

คุณจารวรรณ  จาก อ.เมือง จ.นครสวรรค์ ถามว่า ทำไมค่าธรรมเนียมกองทุนแต่ บลจ.

ถึงไม่เท่ากัน  เพราะบางที่ก็คิดแพงมาก  ขณะที่บางแห่งก็คิดถูกมาก จึงต้องการทราบว่า

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการกำหนดขอบเขตค่าธรรมเนียมที่คิดจากลูกค้าระดับไหน  เพราะเห็นเพื่อนที่ซื้อหน่วยลงทุนบอกว่า คิดแพงกว่าค่าธรรมเนียมซื้อขายหุ้น

หากคุณติดตามอ่านข่าวสารความเคลื่อนไหวต่างๆ ทางด้านตลาดทุนจะรู้ว่า กลต. ไม่ได้กำหนด ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ บลจ. เรียกเก็บจากผู้ถือหน่วย เพราะเป็นข้อมูลที่ต้องเปิดเผยกันอยู่แล้วนะครับ

รวมทั้งไม่ได้เข้าไปกำหนดขั้นต่ำหรือกำหนดเพดานไว้ เพราะต้องการปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด บลจ. แต่ละแห่งจะคิดแค่ไหนก็ต้องเปิดเผยให้ผู้ลงทุนทราบอย่างชัดเจน

โดยค่าธรรมเนียมโดยทั่วไปแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ

1)  ค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บจากผู้ถือหน่วยลงทุนโดยตรง ประกอบด้วยค่าธรรมเนียมตอนขาเข้า   (หรือที่เรียกว่าค่าธรรมเนียมการขายหน่วยลงทุน)  หรือขาขาย  (เรียกว่าค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน) บางแห่งอาจมีโปรโมชัน เช่น ถ้าซื้อหน่วยลงทุนตอนทำ IPO ก็อาจยกเว้นค่าธรรมเนียมขาเข้าให้ก็ได้ หรือถ้าเป็นตอนจะขายคืนก็อาจยกเว้นสำหรับผู้ถือหน่วยลงทุนที่ถือหน่วยมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง

หรือจะเป็นค่าธรรมเนียมตอนโอนหน่วยลงทุน สับเปลี่ยนหน่วยลงทุน (เปลี่ยนกองภายใต้ บลจ. แห่งเดียวกัน) หรือค่าปรับถ้าขายคืนก่อนครบกำหนดเวลาที่ บลจ. กำหนดไว้

เป็นต้น เหล่านี้คือส่วนที่ บลจ. เรียกเก็บกับผู้ที่ทำธุรกรรมเป็นครั้ง ๆ ไป

2) ค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บจากตัวกองทุนรวม ส่วนนี้เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเนื่องจากการดำเนินงานของกองทุนรวม เช่น ค่าบริหารกองทุนรวม ค่าธรรมเนียมที่จ่ายให้แก่ผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุนรวม รวมทั้งค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์กองทุนรวม เป็นต้น ซึ่งค่าใช้จ่ายส่วนนี้ก็จะหักออกจากสินทรัพย์ของกองทุนรวม (ซึ่งก็จะทำให้ NAV ลดลงตามสัดส่วน)

ส่งผลให้กองทุนรวมแต่ละ  บลจ. มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมที่ไม่เท่ากันได้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้ถือหน่วยที่ต้องศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจว่าจะซื้อกองทุนรวมกองใด ซึ่งข้อมูลอัตราค่าธรรมเนียมนี้ก็จะมีเปิดเผยให้เห็นเด่นชัดในหนังสือชี้ชวนของกองทุนรวมนั้น ๆ

ถ้าเทียบให้เห็นเด่นชัดก็จะเป็นกรณีกองทุนรวมหุ้นแบบ active กับกองทุนรวมแบบ passive เพราะกองแบบ active ผู้จัดการกองทุนจะต้องทำงานมากกว่า และก็เป็นธรรมดาที่กองทุนรวมหุ้นค่าธรรมเนียมจะสูงกว่ากองทุนรวมตราสารหนี้ ซึ่งค่าธรรมเนียมในการบริหารของกองทุนรวมหุ้นจะอยู่ในช่วง 12% ของ NAV ในขณะที่ถ้าเป็นกองตราสารหนี้จะอยู่ที่ประมาณ 0.5-1%

อย่าลืมว่าก่อนตัดสินใจลงทุนในตราสารอะไรก็ควรต้องรู้จักประเมินตนเอง  ต้องดูฐานะและความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ และก็ต้องรู้จักตัวสินค้า จะได้ไม่ช้ำใจเวลาเกิดอะไรขึ้นมานะครับ
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
Frankie
Verified User
โพสต์: 999
ผู้ติดตาม: 0

มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ

โพสต์ที่ 22

โพสต์

จาก นสพ.ประชาชาติธุรกิจครับ
เรื่อง 'โลจิสติกส์' ช่วยเพิ่ม หรือลดต้นทุนกันแน่?  
คิดว่าหลายคนคงเข้าใจบ้างแล้วว่า "ลอจิสติกส์" ไม่ใช่เพียงแค่การขนส่ง แต่มีความหมายที่กว้างกว่านั้น แต่ผมคิดว่าคงจะมีอยู่จำนวนไม่น้อยที่กำลังสับสนว่า "ลอจิสติกส์" จริง ๆ แล้ว เป็นกิจกรรมที่ช่วยเพิ่มต้นทุน หรือลดต้นทุนกันแน่ เพราะจากตำราหรือบทความหลาย ๆ แห่ง ก็มักจะกล่าวว่า ลอจิสติกส์ เป็นเครื่องมือที่เข้ามาเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ในสภาวะที่มีการแข่งขันกันรุนแรงเกิดขึ้นทั่วโลก และเป็นกิจกรรมที่ทำให้เกิดต้นทุนต่ำ


แต่ถ้าหากเรามีการพิจารณาดี ๆ แล้วก็จะพบว่า เครื่องมือ อุปกรณ์ เทคโนโลยี และระบบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ลอจิสติกส์ ล้วนต้องจ่ายแพงมาก ๆ แทบทั้งสิ้น จนทำให้หลายกิจการที่มีเงินลงทุนน้อยแทบจะถอยกรูดและพร้อมที่จะหันหลังให้ทันที เพราะไม่แน่ใจว่าอีกสักกี่ปีถึงจะได้ทุนคืน ที่สำคัญก็มีหลาย ๆ บริษัทที่เจ๊งเพราะมีการลงทุนที่ผิดประเภทมาให้เห็นคาตากันมากแล้ว ทำให้หลายหน่วยงานเกิดความกล้า ๆ กลัว ๆ ในการริเริ่มที่จะนำระบบลอจิสติกส์มาใช้


ทีนี้ลองมาพิจารณาถึงวัตถุประสงค์หลักของลอจิสติกส์ดู พบว่าจริง ๆ แล้ว "ลอจิสติกส์" นั้นไม่ได้มีวัตถุประสงค์หลักเกี่ยวกับการลดต้นทุน แต่จะเน้นในเรื่องของการประสานงานและการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล และการประสานงานที่ดีก็จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย อาทิเช่น ระบบคลังสินค้าอัตโนมัติ RFID เป็นต้น ซึ่งทุกคนก็ทราบดีว่าสิ่งเหล่านี้มีราคาแพง และต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง


จากแนวทางเหล่านี้ทำให้ผมหวนนึกถึงสมัยก่อนที่ผมเป็นพนักงานในบริษัทประกอบรถยนต์ของญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง เคยมีการถกเถียงกันในหมู่เพื่อนฝูงถึงระบบการผลิตแบบทันเวลาพอดี (just in time) ซึ่งผมและเพื่อน ๆ คิดว่าถ้ามีเงินหนาก็นำระบบ just in time มาใช้ได้เพราะทุกอย่างใช้เงินซื้อมาทั้งสิ้น แต่ผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้เงินก็คือ บริษัทนั้นจะเกิดต้นทุนมหาศาลทำให้ตั้งราคาขายไม่ได้ ลูกค้าไม่ซื้อ ซึ่งจะส่งผลให้ธุรกิจนั้นล้มละลายหายไปจากตลาดในที่สุด


การที่จะใช้ just in time ได้อย่างยั่งยืน ก็สมควรที่จะเข้าใจถึงคู่ของมันที่มักจะถูกลืมไปด้วย (เหมือนกับศาสตร์ของหยินหยาง) นั่นก็คือ kaizen หรือการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพราะ just in time เป็นตัวใช้เงิน แต่ kaizen เป็นตัวที่ช่วยให้ประหยัดเงิน ซึ่งบางครั้งสามารถประหยัดได้มากกว่าเงินที่ลงทุนไปเสียอีก ตัวอย่างที่เคยทำจริงและเป็นเรื่องง่าย ๆ ก็คือ การลดปริมาณการใช้ถุงมือโดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ กล่าวคือ พนักงานประกอบจะสวมถุงมือผ้าฝ้าย 2 ชั้นในขณะทำงาน โดยมีการเบิกใช้ในช่วงเช้า 2 คู่ และถอดทิ้งเมื่อพักกลางวันซึ่งถุงมือก็มีสภาพที่สมควรทิ้งได้ และเมื่อทำงานช่วงบ่ายก็จะเบิกอีก 2 คู่และถอดทิ้งเมื่อเลิกงาน สรุปว่าพนักงานจะใช้ถุงมือวันละ 4 คู่


แต่เมื่อพิจารณาอย่างถ้วนถี่พบว่าถุงมือที่สมควรทิ้งก็คือถุงมือคู่ที่อยู่ชั้นนอกส่วนถุงมือที่อยู่ชั้นในยังสามารถใช้ต่อได้ ดังนั้นจึงทำการเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ให้เหลือการใช้วันละ 2 คู่ โดยการเบิกใหม่ช่วงเช้าบ่ายยังคงเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนคือ เมื่อทิ้งถุงมือให้ทิ้งเฉพาะคู่นอกที่สกปรกแล้ว ส่วนคู่ในที่ยังขาวอยู่ให้เก็บไว้ และเบิกใหม่เช้าบ่ายเพียงครั้งละ 1 คู่ และให้สวมคู่ใหม่ไว้ข้างในคู่เก่าไว้ด้านนอกเสมอ


เท่านี้ก็สามารถลดอัตราการใช้ถุงมือได้วันละ 2 คู่ต่อคน ถ้าถุงมือคู่ละ 1 บาทก็ประหยัดได้วันละ 2 บาทต่อคน หากมีพนักงาน 100 คน จะประหยัดได้ประมาณปีละ 60,000 บาท และถ้าพนักงาน 100 คนช่วยกันคิดแบบนี้คนละ 1 เรื่อง ปีนั้นจะช่วยให้บริษัทประหยัดเงินได้ถึง 6,000,000 บาท อย่าลืมว่านี่เป็นเพียงการคิดคนละ 1 เรื่องต่อปีเท่านั้น ถ้าหากคิดทุกคน เดือนละเรื่อง หรือสัปดาห์ละเรื่อง หรือวันละเรื่องจะเกิดอะไรขึ้น


หากองค์การนำเงินที่ประหยัดได้เหล่านี้มาลงทุนก็จะไม่ส่งผลกระทบการตั้งราคาขายและกำไรของธุรกิจอย่างแน่นอน เมื่อเราคิดให้ดีก็จะพบว่า "ลอจิสติกส์" ก็เหมือนกับ "just in time" คือเป็นแนวทางที่ดีมาก ๆ และจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนสูง แต่เงินลงทุนที่ควรนำมาใช้นั้นควรจะเป็นเงินที่องค์การสามารถประหยัดได้ จึงจะทำให้การดำเนินงานเป็นไปได้ด้วยความราบรื่นและยั่งยืน สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ถ้าธุรกิจสามารถดำเนินการเช่นนี้ได้ก็จะทำให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์หลักของลอจิสติกส์ได้ไม่ยาก เพราะพนักงานทุกคนมีส่วนร่วมกันในการคิดและการทำงาน มีความเข้าใจระบบลอจิสติกส์อย่างชัดเจนก่อให้เกิดการประสานงานและการเชื่อมโยงที่ดี


ดังนั้น "ลอจิสติกส์" จึงไม่ใช่เพีงแค่กระบวนการที่ลดต้นทุนโดยตรงอย่างที่เข้าใจกัน แต่เป็นกระบวนการที่ต้องการให้ทุกคนมีส่วนร่วม ทำงานประสานกันอย่างเป็นระบบ มองหาจุดบกพร่องในการทำงานและนำมาแก้ไขปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานโดยมุ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด


การทำงานในอดีตที่ผ่านมาของธุรกิจไม่ได้ให้ความสำคัญในการปรับปรุงการทำงานอย่างจริงจัง ชอบแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเป็นส่วนใหญ่ ส่งผลให้มีการดำเนินงานที่ไร้ประสิทธิภาพเป็นจำนวนมาก จึงมีการจ่ายเงินโดยไม่จำเป็นอย่างสม่ำเสมอ เมื่อมีการนำระบบลอจิสติกส์มาใช้จึงเกิดการพิจารณาการดำเนินงานอย่างจริงจังทำให้มองเห็นถึงกระบวนการที่ไม่จำเป็นและทำการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เป็นผลให้องค์การสามารถเก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน (ที่ตัวเองทำหล่นไว้) ได้เป็นจำนวนมาก นี่คืออีกหนึ่งผลงานจากกิจกรรมลอจิสติกส์ที่ช่วยในการลดต้นทุนให้กับองค์การได้นั่นเอง
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
Frankie
Verified User
โพสต์: 999
ผู้ติดตาม: 0

มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ

โพสต์ที่ 23

โพสต์

โทษทีครับ อ้างแหล่งที่มาผิด พอดีอ่านมาหลายฉบับแล้วมึน ๆ  :D
จริง ๆ แล้วมาจากนสพ.ฐานเศรษฐกิจครับ
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
Frankie
Verified User
โพสต์: 999
ผู้ติดตาม: 0

มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ

โพสต์ที่ 24

โพสต์

จาก BIZWEEK ครับ
เรื่อง :ไอเดียเด็ดแต่งหน้าร้านงานแฟร์ เรียกแขก + ปิดการขาย

จีราวัฒน์ คงแก้ว cheerawat @ nationgroup.com
เมื่องานแฟร์ เป็นหนึ่งในช่องทาง "หลัก" เจรจาธุรกิจ BizWeek เก็บไอเดียดีไซน์ "เก๋กู๊ด" โดนใจเหล่านักธุรกิจ ขาช้อป เพื่อ "ปิดการขาย" แบบสบายๆ ในเวลาอันแสนสั้น



ชุดเก้าอี้หินอ่อนดีไซน์อินเทรนด์ ประดับประดาด้วยของตกแต่งเข้าบรรยากาศ อย่างที่ใส่ไวน์เก๋ไก๋ ขวดเกลือ พริกไทย รูปทรงแปลกตา ใกล้ๆ กันมีขบวนเฟอร์นิเจอร์ของแต่งบ้าน อวดโฉมงานศิลปะจากหิน ทั้งโคมไฟ บ้านสุนัข ด้านบนมีโคมไฟหินห้อยระย้า เติมแต่งต้นไม้จริงสร้างบรรยากาศอีกนิด จนให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในบ้าน

ผลงานตกแต่งบูธ "ได้ใจ" ขาช้อปที่เห็น เป็นไอเดียของ "อมร เอี่ยมสอาด" และ "คามินท์ เลิศขจรสุข" ผู้ก่อตั้งธุรกิจ และดีไซเนอร์ประจำ บริษัท ชบา อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (Chaba international) ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ของตกแต่งบ้านและสวนจากหินอ่อน แบรนด์ "Chaba"

ความไฉไลไม่เหมือนใครของบูธ "Chaba" เมื่อครั้งออกงาน BIG&BIH 2007 ดึงดูดนักธุรกิจทั้งชาวไทยและต่างชาติ ให้แวะเข้ามาในบูธของพวกเขาได้จำนวนมาก หลายรายที่ไม่ได้มีจุดมุ่งหมาย มาช้อปเฟอร์นิเจอร์หินแต่แรก สุดท้ายก็พ่ายความแปลกตา เดินเข้ามาชมสินค้าในบ้านและสวน "จำลอง" ใกล้ๆ เมื่อยก็นั่งพัก กวาดสายตาเห็นผลิตภัณฑ์มีการใช้งานจริง จากเก้าอี้โชว์ก็เปลี่ยนบทบาทเป็นโต๊ะเจรจา แล้ว "คนเยี่ยม" เลยเปลี่ยนสถานะเป็น "ลูกค้า" ได้ในที่สุด

เขาบอกที่มาของไอเดียปรับหน้าร้านให้เป็นบ้านจำลองว่า มาจากการคิดวิธีที่จะนำเสนอสินค้าให้เข้าถึงลูกค้ามากที่สุด เมื่อผลิตภัณฑ์เป็นเฟอร์นิเจอร์หินและของตกแต่งสวน วิธีเดียวที่จะให้ลูกค้าจินตนาการออกว่าจะเอาของพวกนี้ไปใช้อย่างไร คือต้องจำลองสถานที่จริงขึ้นมา ซึ่งจะดีกว่าการวางโชว์ในเชลฟ์เท่านั้น

"การคิดคอนเซปต์ก็มาตีโจทย์จากสินค้า ที่เป็นเฟอร์นิเจอร์ และของตกแต่งจากหิน ทำให้เราคิดว่าบรรยากาศมันต้องมืดๆ จึงจะโชว์ผลงานออกมาได้อย่างกลมกลืนกับชีวิตประจำวันที่สุด และจะทำให้ชิ้นงานโดดเด่นขึ้นมาด้วย จึงคิดออกมาเป็นห้อง แล้วมาวางตำแหน่งว่าจะโชว์สินค้าอย่างไรให้เด่น และลูกค้าจะรู้ทันทีว่าจะเอาไปทำอะไรได้บ้าง โดยมีส่วนที่เป็นพื้นที่รับแขก เพื่อให้ลูกค้าที่มาติดต่อ ได้เจรจาธุรกิจอย่างสะดวก เหมือนนั่งอยู่ในบ้าน ขณะที่มีสินค้าของเราประดับอยู่รอบๆ ตัว"

กุศโลบายของการเปิดโต๊ะเจรจาในบูธ ดึงลูกค้าตัวจริงกระเป๋าหนัก จำพวก สปา โรงแรม และเอ็นยูสเซอร์ ทั้งคนไทยและชาวต่างประเทศ ให้คุยธุรกิจได้คล่องคอขึ้น จากราคาสินค้าหลักร้อยไล่ไปจนหลักแสนบาท ถูกตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น และให้ไอเดียลูกค้าจากการมองเห็นการใช้งานจริง ได้สั่งสินค้าต่อยอดมากขึ้นด้วย เช่นของใช้บนโต๊ะอาหาร สินค้ากลุ่มใหม่ที่พวกเขากำลังพัฒนาออกมาในเวลานี้

นอกจากไอเดียของการแต่งบูธให้เห็นการใช้งานจริงแล้ว การสร้างความแปลก สะดุดตา ยังเป็นตัวดึงความสนใจได้ดียิ่ง สิ่งที่บูธ "Chaba" ทำ คือการดึงเอาความเป็นธรรมชาติจากต้นไม้จริงมาประดับประดา โดยมีแนวคิดง่ายๆ แค่ให้มัน "ง่าย" ในการดูแลรักษาเข้าว่า และสามารถนำบางส่วนไปใช้ในครั้งต่อไปได้ด้วย

"ยอมรับว่าถ้าบูธเราเรียบเกินไป ก็คงไม่มีใครรู้ว่าเราคือใคร เราจึงต้องสร้างความแปลกใหม่ โดยเราจะไม่เปิดบูธทั้งหมด แต่ใช้การตัดเป็นช่องหน้าต่าง เพื่อให้คนสนใจที่จะมองเข้ามาว่ามันเป็นอะไร และแต่ละมุมเราทำให้ต่างกันไป มองมาจากทางไหนก็เห็นความต่าง

รวมถึงการใช้ต้นไม้จริงมาประดับตกแต่ง ที่จะไม่ทำให้มีขยะเหลือทิ้ง เพราะสามารถนำไปเลี้ยงต่อได้ และการเก็บรักษาก็ไม่ยากด้วย ในขณะที่ความสดของมันดึงความสนใจจากคนได้เช่นกัน"

สำหรับความสวยงามที่เห็น ใช้เงินค่าตกแต่งไปประมาณ 50,000 บาท ซึ่งเมื่อเทียบกับผลตอบรับที่ได้ พวกเขาบอกเพียงคำเดียวว่า "คุ้มค่า"

กลวิธีจัดเฟอร์นิเจอร์ให้เป็นโต๊ะเจรจาธุรกิจ ไม่เพียงแบรนด์ "Chaba" เท่านั้นที่เห็นโอกาส สำหรับ เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้านจากกะลามะพร้าวและไม้ตาล ของ "บ้านกะลา" (Bann Kala) ก็มีไอเดียดีๆ ไม่ต่างกัน

"พิมพ์พิชญา ศิลป์ประเสริฐชัย" บอกเราว่า หลังจากทำธุรกิจมาได้ระยะหนึ่ง พวกเธอตัดสินสร้างแบรนด์ให้กับสินค้า ซึ่งเป็นของตกแต่งบ้านที่ทำจากกะลามะพร้าวและไม้ตาล โดยใช้ชื่อแบรนด์ "Bann Kala" และอาศัยการออกงานแสดงสินค้า เพื่อเปิดตัวแบรนด์ครั้งแรกด้วย ดังนั้นการตกแต่งหน้าร้านจึงต้องให้โดดเด่น โดยใช้คอนเซปต์เย็นใจอย่าง "อบอุ่น"

ขบวนของตกแต่งอย่างโคมไฟกะลา ในรูปต้นมะพร้าวยักษ์ โคมไฟตกแต่งหลากสไตล์ ตู้ปลา และของประดับงดงาม ถูกจัดวางไว้อย่างลงตัว ในบูธที่เนรมิตออกมาให้เป็นบ้านมีสไตล์ โชว์ภาพสินค้า OTOP ให้กลายเป็นเฟอร์นิเจอร์หรู หลากดีไซน์

สิ่งที่แทรกซึมเข้ามาคือ "โต๊ะไม้" ที่เข้ากับเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้น แน่นอนว่าพวกเธอไม่ได้ขายชุดรับแขกไม้ แต่การเอามันมาวางในบูธ ไม่เพียงทำให้บ้านหลังนี้ดูสมจริง หรือกลมกลืนไปกับเฟอร์นิเจอร์กะลาเท่านั้น แต่นี่คือโต๊ะเจรจาธุรกิจที่น่าสนใจยิ่ง

"เราให้ทีมดีไซน์มานั่งออกแบบ โดยใช้คอนเซปต์นั่งคุยกันสบายๆ ตอนแรกคิดว่าน่าจะมีน้ำพุด้วย แต่พื้นที่ไม่พอ เลยเอาเป็นอ่างปลาขนาดเล็ก มาวางแทน ส่วนด้านหน้าก็โชว์สินค้าใหม่ คือโคมไฟต้นมะพร้าวขนาดใหญ่ ซึ่งบรรยากาศที่จัดขึ้นนอกจากจะให้ลูกค้ามองเห็นว่าสินค้าของเราเอาไปทำอะไรในบ้านในสวนของเขาได้แล้ว การมีโต๊ะเก้าอี้ ก็ให้ลูกค้าที่จะคุยธุรกิจเข้ามานั่งพูดคุยกับเราได้ ในแบบเป็นกันเองอีกด้วย"

"บ้านกะลา" ใช้เวลา 2 วัน ในการตกแต่งบูธให้สวยเช้ง รวมค่าออกแบบและตกแต่งใช้เงินไป ประมาณ 6-7 หมื่นบาท แม้กระแสตอบรับจะไม่หวือหวาเท่าที่ควรจากสภาวะเศรษฐกิจที่ทำให้ยอดขาช้อปซบลง แต่กับการสร้างแบรนด์ให้คนรู้จัก ก็ถือว่าสร้างชื่อได้ตั้งแต่แรกเห็น

นอกจากเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน ผลิตภัณฑ์ตกแต่งสวนสวยๆ อย่างม่านน้ำฝนเลียนแบบหินและไม้ ของบริษัท FS PROJECT จำกัด ก็ใช้ไอเดียเดียวกันได้ เพียงเปลี่ยนเวทีเจรจาให้ไปหลบอยู่ในสวนสวยๆ ก็เข้าคอนเซปต์ที่ต้องการแล้ว

"วสันต์ สุพงศ์พิภัทร" ผู้ออกแบบบูธม่านน้ำฝน บอกเราว่า การตกแต่งบูธที่สำคัญที่สุด คือสามารถนำเสนอสินค้าให้โดดเด่น และเห็นการนำไปใช้จริงได้ ด้วยผลิตภัณฑ์ที่เน้นสีธรรมชาติเป็นหลัก เขาจึงสร้างความลงตัว ด้วยการเพิ่มสีสันให้มันฉูดฉาดขึ้นโดยของตกแต่งสวนที่สดใส ใช้สีที่แรง เพื่อขับชิ้นงานให้สะดุดสายตา โดยเรียงชิ้นงานที่ใหญ่เอาไว้ด้านหลัง และชิ้นเล็กวางไว้ด้านหน้า ขณะที่ชิ้นงานโปร่งๆ ก็ให้หันหลังชนกัน เพื่อปิดบังส่วนที่ไม่ต้องการให้เห็น

"การออกแบบบูธที่ดี มันจะทำให้คนสนใจเรามากขึ้น ความโดดเด่นของบูธนี้อยู่ที่สินค้าอย่างม่านน้ำฝนซึ่งมีความเคลื่อนไหว และมีเสียงน้ำอยู่ตลอดเวลา เรียกความสนใจคนได้ ตัวม่านน้ำเองมีแสงที่เด่น สวยงามในตัวเองอยู่แล้ว เราเพียงจัดออกมาเหมือนการจัดสวนทั่วไป โดยปล่อยทางเข้า 2 ทาง ตามทางเดินก็มีหินเรียงราย มีต้นไม้เล็กๆ แล้วให้ตัวสินค้าจะเรียกลูกค้าให้เราเอง"

สำหรับโต๊ะเจรจาในสวนสวย เป็นเพียงชุดโต๊ะเก้าอี้แสนธรรมดา เพราะความน่าสนใจถูกบรรยากาศเย็นสบายท่ามกลางสวนดึงดูดไว้ได้หมดแล้ว เหลือเพียงการพูดคุยในบรรยากาศสบายๆ เพื่อตกลงธุรกิจกันด้วยดีเท่านั้นเอง

ความถี่ของการออกงานแสดงสินค้า เดือนละ 1 ครั้ง ทำให้การออกแบบทำได้รวดเร็ว และสามารถเคลื่อนย้ายไปใช้ในงานต่อๆ ไปได้ง่าย รวมถึงประหยัดงบประมาณในการตกแต่ง ที่ใช้ต่อครั้งเพียง 10,000 บาทเท่านั้น

นอกจากนั้น "สีสัน" ฉูดฉาด สะดุดตา เป็นอีกไอเดีย "เรียกแขก" ได้ดี ซึ่ง At Club Design ไลเซนซ์ คาแรคเตอร์ตัวการ์ตูน และสติกเกอร์ติดเสื้อผ้าสำเร็จรูป แบรนด์ "ครอปมาร์ค" (Crop Mark) โดย "ศริญญา โรจนภิญโญสถิต" Production Manager บริษัท โพลีเพรส จำกัด ใช้คอนเซปต์นี้

เธอบอกว่า แนวคิดการออกแบบบูธ คือใช้ความใหญ่ดึงดูดสายตาให้มากที่สุด อย่างหากเจ้าของงาน กำหนดให้ความสูงของบูธไม่เกิน 5 เมตร พวกเธอก็จะทำที่สูงสุดคือ 5 เมตร แล้วพริ้นต์รูปคาแรคเตอร์ที่จะนำเสนอในช่วงเวลานั้นๆ มากระชากสายตาลูกค้า

ความใหญ่ยักษ์ ดึงคนเข้ามาในครั้งแรก กับดักต่อมาก็บรรดาผลิตภัณฑ์สุดฮิพของพวกเขาที่รายเรียงอยู่บนเชลฟ์เก๋ๆ ด้านข้างก็ตั้งโต๊ะเก้าอี้สำหรับเอาไว้พูดคุย ในบรรยากาศเหมือนอยู่ในโชว์รูมจริงๆ

"การตกแต่งเราใช้เวลาไม่นาน เพียงคืนเดียวก็ได้แล้ว เพราะพวกโครงสร้างต่างๆ อย่างฉากหลังเรามีโครงไว้แล้ว และใช้ในหลายๆ งาน ส่วนพวกโต๊ะ ชั้นวาง บางส่วนมีของเก่า บางส่วนก็ซื้อใหม่ ทุกครั้งที่ออกงานก็มีที่ถอดชิ้นเก่าหลังจบงานแรก แล้วประกอบใหม่สำหรับใช้ในงานต่อไป โดยค่าตกแต่งประมาณ 1 แสนบาท เพราะรูปค่อนข้างใหญ่ แต่ถือว่าได้รับผลตอบรับที่ดีพอสมควร เพราะคนให้ความสนใจเข้ามาชมบูธ และสนใจเรื่องของไลเซ่นเยอะขึ้น เรียกว่าแม้คนที่ไม่รู้จักเรามาก่อนก็ต้องแวะมาบูธนี้แน่ๆ"

นี่คือไอเดียของเหล่าเอสเอ็มอีที่ยึดงานแฟร์เป็นเวทีติดต่อธุรกิจ บางทีการลงทุนเพิ่มอีกนิด เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศชั้นโชว์สินค้าแข็งทื่อ ให้เป็นมุมเจรจาที่แสนจะอบอุ่น กลยุทธ์ "เรียกแขก" และ "ปิดการขาย" พร้อมๆ กัน

........................

Key to success

ไอเดียแต่งบูธเพื่อปิดการขาย

๐ สร้างบรรยากาศให้เห็นการใช้งานจริง

๐ จัดเรียงผลงานที่ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้

๐ ออกแบบบูธให้สะดุดตาแต่แรกเห็น

๐ ใช้อุปกรณ์ที่รักษาง่าย-ใช้ซ้ำได้

๐ มีโต๊ะเจรจาในมุมสบาย ปิดการขายได้ทันใจ
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
Frankie
Verified User
โพสต์: 999
ผู้ติดตาม: 0

มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ

โพสต์ที่ 25

โพสต์

จาก นสพ.ฐานเศรษฐกิจครับ
เรื่อง "ข่าวดีของ ผู้ที่ฝันอยากมีบ้าน เป็นของตนเอง"
ภายหลังจากที่ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ได้มีการออกเปิดตัวสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี 4.99% มาตั้งแต่วันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีลูกค้าเข้ามายื่นความประสงค์ที่จะขอใช้บริการเงินกู้กับธนาคารเป็นวงเงินทั้งสิ้นกว่า 2,000 ล้านบาท แต่มีการอนุมัติสินเชื่อออกไปแล้วเพียง 1,200 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนเพียง 5% ของวงเงินลงทุนที่ธนาคารจัดเตรียมไว้ถึง 20,000 ล้านบาท

สาเหตุที่โครงการนี้ไม่ค่อยจะเวิร์กเท่าไร ทั้งๆ ที่โค้ดดอกเบี้ยลูกค้าต่ำกว่าธนาคารพาณิชย์ทั่วไป น่าจะมาจากการไปกำหนดเงื่อนไขที่เข้มงวดเกินไปจนทำให้โอกาสที่ลูกค้าดีๆ สักรายจะหลุดเข้ามาใช้บริการสินเชื่อ เป็นไปได้ยาก

ล่าสุด นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธอส. ได้รับทราบปัญหาดังกล่าวแล้วและกำลังหาทางผ่อนปรนเงื่อนไขในการปล่อยกู้ เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการโครงการ สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.99% กันเยอะ โดยการเพิ่มวงเงินในการปล่อยกู้ จากเดิมปล่อยกู้รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท ขยับขึ้นเป็นรายละไม่เกิน 3 ล้านบาท แถมยังไม่จำกัดว่าจะต้องเป็น กรณีของการซื้อบ้านหลักแรกเท่านั้น ใครอยากที่จะกู้ซื้อบ้านมือสอง หรือกู้เพื่อไปรีไฟแนนซ์ ก็มีสิทธิเข้ามาใช้บริการสินเชื่ออัตราดอกเบี้ย คงที่ 4.99% ได้เหมือนกัน

และถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ในวันที่ 25 มิถุนายนนี้ ทางธนาคารจะมีการเปิดแถลงข่าวชี้แจงในเรื่องนี้ ถ้าหากมีการผ่อนปรนเงื่อนไขในการปล่อยกู้โครงการดอกเบี้ยคงที่ 3 ปีตามที่ กล่าวมาข้างต้น ธนาคารคาดว่าจะสามารถปล่อยสินเชื่อได้หมด 20,000 ล้านบาท ภายใน 3 เดือน

ขณะนี้แนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศใกล้มาถึงจุดต่ำสุดแล้ว เนื่องจากดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาวที่สหรัฐอเมริกาเริ่มปรับตัวสูงขึ้นกว่า 5% น่าจะส่งผลให้ทิศทางของอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศอยู่ในระดับที่ทรงตัวและไม่น่าจะลดลงไปถึง 0.5% ตามที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้

ดังนั้นในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในครั้งต่อไปน่าจะประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้อีกแค่ 0.25% และเชื่อว่าน่าจะเป็นครั้งสุดท้าย

สำหรับผู้ที่กำลังจะตัดสินใจซื้อบ้านในช่วงนี้คงจะไม่ต้องลังเล หรือ นั่งรอให้ดอกเบี้ยมันลดลงให้สุดๆ ก่อน แล้วค่อยเดินเข้ามาใช้บริการกู้เงินกับธนาคาร ช่วงนี้ถือว่าเป็นจังหวะที่ดีที่สุด ผู้กู้ควรที่จะรีบตัดสินใจได้แล้ว เพราะถ้าปล่อยให้อัตราดอกเบี้ยลงมาถึงจุดต่ำสุดเมื่อไรแล้ว จากนั้นจะมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และเมื่อเวลานั้นมาถึง เกรงว่าจะเดินเข้ามากู้เงินกับ ธอส.ไม่ทัน เพราะวงเงินที่เตรียมไว้อาจจะหมดก่อน เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือนนะ
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
Frankie
Verified User
โพสต์: 999
ผู้ติดตาม: 0

มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ

โพสต์ที่ 26

โพสต์

กระทู้แนะนำจากเว็บ พันทิป ครับ
เรื่อง $$$$$.....มาดูกันว่าวิธีลงทุนแบบถัวเฉลี่ย (DCA) ในรอบครึ่งปีแรกปี 2550 กับกองทุนบัวแก้ว ผลจะออกมาเป็นเช่นไร.....$$$$$

ตามลิ้งค์นี้เลยครับ
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 49347.html
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
Frankie
Verified User
โพสต์: 999
ผู้ติดตาม: 0

มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ

โพสต์ที่ 27

โพสต์

ทำไมวันนี้เขาจัดหน้าแปลก ๆ ต้องตกแต่งเพิ่มนิดนึงก่อนโพสต์ครับ :?:
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2230 28 มิ.ย. - 30 มิ.ย. 2550
 
เรื่อง :การสร้างรายได้แบบฟ้าผ่า ตอน... คู่รัก คู่แค้น
การสร้างรายได้แบบฟ้าผ่า จากลูกค้าของเรา ครั้งที่แล้ว เรา มีวิธี เปลี่ยนกลุ่มสนใจให้เป็นลูกค้าให้เร็วที่สุด และสองคือ เปลี่ยนลูกค้าให้เป็นขาประจำให้ได้ ในฉบับนี้เรามาว่ากันตอนอีก 3 ยุทธวิธี

1. เปลี่ยนขาประจำให้เป็นแฟนพันธุ์แท้ หรือคู่รัก เราเคยสร้างระบบสมาชิกให้ลูกค้าไหม เราเคยสร้างกิจกรรมการซื้อต่อเนื่องให้ลูกค้าไหม นิตยสารให้ทำสมาชิกราย2-3 ปี สปาขายระบบสมาชิกล่วงหน้า เก็บเงินล่วงหน้า อาหารเสริม นม ยาคูลท์ ขายระบบสมาชิกรายเดือน เก็บเงินรายเดือน หรือตัดบัตรรายเดือน

บริการล้างเครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า เครื่องกรองน้ำดื่ม เก็บค่าสมาชิกดูแลรายปี ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านขายเพลงและหนัง สร้างระบบสมาชิก หลักการ คือ ลูกค้ามีมูลค่าหัว ที่เราเรียก มูลค่าหัวตลอดชีพ Life Time Value LTV
หากเราดูแลเขาแบบ คู่รัก สนใจเอาใจใส่เขา เขาจะอยู่กับเราตลอดไป ลองนึกดู หากลูกค้ามาทานอาหารที่ร้าน เดือนละ 2 ครั้ง ครั้งละ 1,200 บาท หนึ่งปี เขาให้เงินเราถึง 28,800 บาท ร้านใดมีแฟนพันธุ์แท้สัก 50 คน คุณจะมีเงินนอนมา 1.44 ล้านบาท ต่อปี ดีกว่าฝากเงินอีก สปาลูกค้ามาสัปดาห์ละครั้ง ใช้เงิน 1,000 บาท หนึ่งปี 52,000 บาท มีสมาชิกให้ได้ 200 คน คุณจะมีเงิน 10.4 ล้านบาท

เทคนิคคือขายระบบสมาชิกล่วงหน้าที่คุ้มค่าให้เขาก่อน เมื่อเขาติดใจแล้วเงินจะลอยมาเอง ร้านกาแฟ ให้สมาชิกทาน สัปดาห์ละ 4 วัน วันละ แก้ว แก้วละ 60 บาท หนึ่งปี สมาชิกให้รายได้ 12,480 บาท ร้านมีสมาชิก 150 คน มีรายได้เกือบ 2 ล้านบาท
จากข้อมูลที่ผมเก็บ รายได้จากแฟนพันธุ์แท้ควรจะอยู่ประมาณครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งหมด หากคุณต้องการยอดขาย 6 ล้านบาทต่อจุดขาย จุดขายนั้นตอนมีรายได้จากแฟนพันธุ์แท้ 3 ล้านบาท

2. คืนดีกับลูกค้าที่หายไป ลูกค้าหายไปไม่ต้องไปแจ้งความ พบว่าเขาหายไปเพราะ หนึ่งขาดการติดต่อหรือติดตามจากเรา สองไม่พอใจการให้บริการเราจนกลายเป็นคู่แค้น

กลุ่มแรกนั้นดึงกลับมาง่ายเพียงแค่เราให้ข้อเสนอพิเศษนิดหน่อย เช่น ในช่วงวันเกิด เขา หรือเรามีสินค้าใหม่บริการใหม่ที่อยากให้เขาลองด้วยสิทธิพิเศษหรือฟรี เรามีกิจกรรมที่อยากให้มาร่วมเพื่อฟื้นฟูความทรงจำดีๆให้กลับมา

ส่วนกลุ่มสองนั้นยากสักหน่อย แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะพนักงานเราพูดจาไม่ดี ไม่รับผิดชอบ ผิดสัญญาที่ให้ไว้ เราต้องมีประวัติการซื้อลูกค้า ผู้บริหารอาจต้องติดต่อลูกค้ากลุ่มนี้เอง สอบถามความขัดข้องใจ ผ่านทางโทรศัพท์ อีเมล์ หรือจดหมายที่ขอโทษลูกค้า ว่าหากเราหรือลูกน้องเราทำอะไรที่ไม่พอใจ พร้อมกับเสนอสินค้าหรือบริการที่เขาเคยซื้อเคยใช้ ในอัตราที่แสนจะพิเศษเพื่อเป็นการขอโทษ เราจะได้กลุ่มลูกค้านี้กลับมา หากเขาถูกใจก็จะยิ่งซื้อเพิ่มไปใหญ่

3.รวมพลคนรักเรา เราต้องสร้างกิจกรรมรวมกลุ่มคนรักเรา ให้เขาพาเพื่อนญาติมา Member party หรือ Family Party ตัวอย่างเช่น อาหารสุนัข จัดรวมพลคนรักตูบ มอเตอร์ไซด์จัดรวมพลคนชอบซิ่ง รวมพลคนรักลูกสำหรับผลิตภัณฑ์เด็ก หรือจัดรายการ สมาชิกแนะนำสมาชิก เพื่อนบอกเพื่อน Member Get Member -MGM หรือให้เขาแนะนำรายชื่อเพื่อนหรือคนรู้จักสัก 3 รายชื่อ Referral

อันนี้ก็จะช่วยให้เราขยายฐานลูกค้า ที่มีโอกาสจะมีบุคลิก นิสัย ความชอบคล้ายๆกับลูกค้าของเรา ซึ่งคาดว่าน่าจะกลายมาเป็นขาประจำและแฟนพันธุ์แท้ได้เหมือนกัน

ก็เป็นอันว่า ครบถ้วนขบวนความสำหรับ 5 ยุทธวิธีสร้างรายได้แบบฟ้าผ่า จากลูกค้า เรา ชนิดไม่ปล่อยให้ลูกค้าลอยนวล นับว่าเป็นวิธีสร้างรายได้ได้เร็วที่สุด ครับ !!
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
Frankie
Verified User
โพสต์: 999
ผู้ติดตาม: 0

มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ

โพสต์ที่ 28

โพสต์

บทความจากกรุงเทพธุรกิจ BIZWEEK ครับ
เรื่อง
"เบนซ์มาร์ค"ราคาคอนโดพุ่ง แรงหนุนหลัก"รถไฟฟ้าฯ-เก็งกำไร"

ราคามาตรฐานคอนโดกรุงเทพฯ ถึงจุดเปลี่ยน คอนโดระดับกลางไต่ระดับจ่อขายเฉียด 1 แสนบาท/ตารางเมตร เทียบชั้นไฮเอนด์ ขณะที่คอนโดไฮเอนด์ทิ้งห่างจ่อขาย 2 แสนบาท/ตารางเมตร คนวงในคาดไม่เกิน 2 ปี "เบนซ์มาร์ค" ราคาคอนโดเกาะแนวรถไฟฟ้าอยู่ที่ 1 แสนบาท/ตารางเมตร เตือนนักลงทุนรายย่อยเงินกู้ ไม่ต้องเก็งกำไรของแพง รอซื้อคอนโดทำเลใหม่เกาะทำเลส่วนต่อขยาย



ระดับราคาคอนโดมิเนียมเกาะแนวรถไฟฟ้าหลายทำเล ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง จากความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยปกติแล้วราคาขายต่อตารางเมตรในแต่ละโครงการ จะปรับตัวขึ้นประมาณ 5-7% จากราคาเปิดขายช่วงแรก และย่านสุขุมวิท สีลม สาทร ยังคงเป็นย่านที่มีราคาขายต่อตารางเมตรสูงสุด มีบางโครงการเปิดขายสูงถึง 2 แสนบาทต่อตารางเมตร เพราะเป็นย่านที่สามารถทำตลาดต่างประเทศ ขายให้กับลูกค้าชาวต่างชาติได้ ในขณะที่ทำเลอื่น แม้ว่าจะมีรถไฟฟ้าผ่าน แต่ราคายังไม่สามารถขยับไปถึงระดับแสนบาทต่อตารางเมตรได้เท่า 3 ทำเลที่กล่าวมา

แนวโน้มของระดับราคาคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้าที่เปิดให้บริการ ในเส้นทางที่นอกเหนือจากสุขุมวิท สีลม สาทร เริ่มมีโอกาสที่จะขยับไปถึงระดับแสนบาทต่อตารางเมตรได้ไม่ยาก ด้วยหลายปัจจัยที่สนับสนุน ทั้งความต้องการของคนในกรุงเทพฯ คนต่างจังหวัดที่ย้ายเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ มากขึ้น กลุ่มต่างชาติที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ บนทำเลที่เดินทางสะดวก

ความต้องการที่อยู่อาศัยที่แท้จริง ของทั้งชาวไทยและต่างชาติ ส่งผลให้ตลาดนักลงทุนซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อ "ขายต่อ" และ "ปล่อยเช่า" ขยายตัวมากขึ้น โดยมีกลุ่มนักลงทุนชาวไทยที่มี "เงินเย็น" จำนวนมาก สนใจหันมาซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อการลงทุน เพราะหากเป็นทำเลที่ดีแล้ว ไม่ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันจะเป็นอย่างไร โอกาสที่มูลค่าจะสูงขึ้นเท่าตัวมีสูงมาก เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวอีกครั้ง กลุ่มที่มีเงินสดในมือ ซื้อทรัพย์สินด้วยเงินสด จึงพร้อมจะลงทุนซื้อที่อยู่อาศัยเกาะแนวรถไฟฟ้า อาจจะซื้อหลายยูนิต หลายโครงการ กระจายทำเล แต่เลือกทำเลที่ดี รอจังหวะให้ราคาดีที่สุดแล้วจึงปล่อยต่อ หรืออาจจะทำรายได้ระยะยาวด้วยการปล่อยเช่าในอนาคต ย่อมมีทางเลือกหลายทาง

นอกจากนี้ กลุ่มนักลงทุนต่างชาติ ทั้งชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ประเทศไทย และกลุ่มที่เข้ามาติดต่อธุรกิจในไทย ก็เป็นกลุ่มที่ลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ทำเลดี เพื่อสร้างมูลค่าต่อเนื่อง ซึ่งอาจจะทำมานานแล้ว แต่ปัจจุบันขยายตัวมากขึ้น เห็นได้ชัดเจนมากขึ้น เพราะกลุ่มคนต่างชาติจะมองว่า ราคาขายคอนโดมิเนียมต่อตารางเมตรในทำเลทองของกรุงเทพฯ ถูกกว่าทำเลทองในสิงคโปร์ ฮ่องกงมาก ทำให้หลายโครงการที่มีต่างชาติสนใจเข้ามาซื้อแบบยกฟลอร์มากขึ้น

"คอนโดมิเนียมในสิงคโปร์ ฮ่องกง ราคาสูงมาก ขายกันที่ตารางเมตรละ 1 ล้านบาท เมื่อเทียบกับของไทย ถ้าเป็นคอนโดมิเนียมระดับกลาง ราคาต่อตารางเมตรยังไม่ถึง 1 แสนบาทเลย หรือถ้าเป็นพรีเมียมมากๆ ราคาก็อยู่ที่ 2 แสนบาทต่อตารางเมตรเท่านั้น ต่างชาติจึงสนใจมาซื้อคอนโดมิเนียมในไทยมากขึ้น" อนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าว

เขายังกล่าวด้วยว่า ราคาคอนโดมิเนียมทำเลดีๆ เดินทางสะดวก มีโอกาสที่ดีเสมอ แม้ในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี ราคาอาจจะปรับตัวลงเล็กน้อย หรือไม่ก็คงที่ แต่พอภาวะตลาดดีขึ้น ราคาจะเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว อย่างโครงการปทุมวัน รีสอร์ต เปิดขายเมื่อตอนปี 2540 ที่ราคา 42,000 บาทต่อตารางเมตร มาช่วงปี 2541 ราคาหล่นมาอยู่ที่ 35,000 บาทต่อตารางเมตร แต่ปัจจุบันราคาปรับตัวขึ้นไปมากกว่า 70,000 บาทต่อตารางเมตรแล้ว

โอกาสที่ราคาคอนโดมิเนียมระดับกลางตามแนวรถไฟฟ้า ใกล้แหล่งชอปปิงต่างๆ จะปรับราคาขายขึ้นไปถึงระดับ 1 แสนบาทต่อตารางเมตรภายใน 1-2 ปีนี้ มีสูงมาก ทั้งจากที่ตั้งขายเริ่มแรก และราคาตลาดรีเซล

ปัจจุบันราคาขายต่อตารางเมตรของคอนโดมิเนียม นอกเหนือจากเส้นสุขุมวิท สาทร สีลม ที่น่าสนใจ คือ เส้นรัชดา-ลาดพร้าว ที่ราคาขายเริ่มต้นสูงถึง 6 หมื่น-7 หมื่นบาทต่อตารางเมตรแล้ว อย่างโครงการเดอะ รูม รัชดา-ลาดพร้าว ของแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ก็เปิดขายที่ราคาแตะ 7 หมื่นบาทต่อตารางเมตร, ไอวี่ รัชดา ของกลุ่มพฤกษา เรียลเอสเตท ก็เปิดราคาขายที่ 53,000-59,000 บาทต่อตารางเมตร หรือล่าสุดที่กลุ่มเอพีเปิดขายคอนโดมิเนียมไลฟ์ที่ราคา 6.3 หมื่นบาทต่อตารางเมตร และโครงการใหม่คาดว่าจะเปิดขายที่ 6.5 หมื่น-8 หมื่นบาทต่อตารางเมตร

ราคาดังกล่าว เป็นราคาขายเริ่มต้น ยังไม่พูดถึงราคา "รีเซล" ที่บรรดานักลงทุนนำมาขายต่อ ระหว่างโครงการก่อสร้าง ช่วงใกล้เสร็จ และช่วงคอนโดมิเนียมก่อสร้างเสร็จแล้ว ราคาจะยิ่งปรับตัวสูงขึ้นไปอีกหลายเท่า จากเมื่อ 2-3 ปีก่อน ราคาย่านรัชดา-ลาดพร้าว ซึ่งไม่ใช่ทำเลยอดนิยมมากนัก ราคาขายเริ่มต้นก่อนก่อสร้าง ยังอยู่ที่ระดับ 3 หมื่น-4 หมื่นบาทต่อตารางเมตรเท่านั้น ผ่านไปเพียงไม่กี่ปี ราคาคอนโดมิเนียมต่อตารางเมตรย่านนี้พุ่งขึ้นสูงหลายเท่าแล้ว

ส่วนตลาดคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ ที่มีทั้งความต้องการของคนไทยและต่างชาติ จะยิ่งมีฐานราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นไปอีก มีความเป็นไปได้ที่ราคาขายเริ่มต้นที่จะขยับไปสูงกว่า 2 แสนบาทต่อตารางเมตร ราคาระดับนี้ จะประเดิมด้วยย่านหลังสวน, ถนนวิทยุ, ราชดำริ, สาทร อย่างโครงการของกลุ่มโรงแรมสุโขทัย, คอนโดมิเนียมใหม่ของกลุ่มไรมอนแลนด์ ก็เริ่มต้นที่ไม่น้อยกว่า 2 แสนบาทต่อตารางเมตรแล้ว

ธีระชน มโนมัยพิบูลย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ระบบสาธารณูปโภคมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงราคาที่ดินมานานแล้ว ไม่เฉพาะรถไฟฟ้า ในช่วงที่มีการตัดถนนใหม่ ตัดเส้นทางใหม่ ราคาที่ดินบริเวณใกล้เคียงย่านนั้นก็ปรับตัว อย่างกรณีการก่อสร้างมอเตอร์เวย์ ราคาที่ดินทำเลใกล้เคียงปรับตัวสูงขึ้นจากเดิมที่ราคา 4-5 ล้านบาทต่อไร่ เป็น 8-9 ล้านบาทต่อไร่ แต่ถนนจะมีผลต่อที่ดินรอบนอกเมือง มีผลต่อการพัฒนาบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์

รถไฟฟ้าจะมีผลต่อที่ดินในเมือง ที่อยู่อาศัยในเมือง ฐานราคาคอนโดมิเนียมในเมืองจึงปรับตัวไปตาม ปริมาณการใช้รถไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น จากช่วงแรกที่มีปริมาณการใช้เพียง 1.5 แสนต่อวัน เพิ่มเป็น 6 แสนต่อวัน และปัจจุบันมีการขยายเส้นทางส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าทั้งอ่อนนุชไปแบริ่ง จากตากสินไปท่าพระ ที่ดินบริเวณส่วนต่อขยายก็ปรับเพิ่มขึ้น อย่างกรณีของท่าพระจะเห็นชัดเจนมาก จากยุคแรกที่กลุ่มเพอร์เฟคเข้าไปเริ่มพัฒนาที่ดินตัดใหม่ราชพฤกษ์-สาทร พัฒนาเป็นแนวราบ มูลค่าโครงการอยู่ที่ 1,900 ล้านบาท แต่ด้วยทำเลดังกล่าวใกล้รถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย จึงพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมได้ และทำให้มูลค่าโครงการเพิ่มขึ้นไปถึง 9,000 ล้านบาท

สำหรับราคาขายคอนโดมิเนียมใกล้แนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย จะขยับขึ้นไปตามความสำเร็จของงานก่อสร้าง โดยตั้งแต่ช่วงเริ่มเซ็นสัญญาว่าจะมีการก่อสร้าง ราคาที่ดินปรับขึ้นไป 10% จากราคาพื้นฐานเดิม และจะขยับขึ้นอีกประมาณ 30% ในช่วงเริ่มก่อสร้าง และช่วงระหว่างการก่อสร้าง จนการก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จ ราคาจะเป็นช่วงพีคที่สุด เพิ่มขึ้นเฉลี่ยที่เกือบ 100% จากฐานราคาเดิม และเมื่อรถไฟฟ้าเริ่มวิ่ง ราคาจะขยับขึ้นต่อเนื่อง แต่ไม่ก้าวกระโดดเหมือนช่วงก่อนหน้านี้แล้ว เพราะฐานราคาเริ่มสูงขึ้นจนกลายเป็นฐานราคาใหม่แล้ว

ขณะที่ วิศิษฐ์ เลาหพูนรังษี กรรมการผู้จัดการ บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การซื้อขายที่ดินของสถานทูตอังกฤษและกลุ่มเซ็นทรัลในราคาตารางวาละเกือบ 1 ล้านบาท มีส่วนให้ราคาซื้อขายที่ดินมาตรฐานของเส้นสุขุมวิทปรับตัวสูงขึ้น ราคาขายต่อตารางเมตรของคอนโดมิเนียมย่านนี้ก็จะปรับขึ้นไปด้วย ราคาขายเริ่มต้นมาตรฐานของคอนโดมิเนียมที่ไม่ใช่พรีเมียมก็มีโอกาสจะขยับขึ้นไปแตะ 1 แสนบาทต่อตารางเมตรก่อนทำเลอื่น อย่างชิดลม-ทองหล่อ จากปัจจุบันอยู่ที่ 70,000 บาทต่อตารางเมตร ในอีกไม่นานเชื่อว่าจะพุ่งขึ้นไปที่ 1 แสนบาทต่อตารางเมตรแน่นอน

สำหรับคนที่ไม่มีเงินเย็น ต้องใช้เงินกู้ในการลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ไม่เหมาะที่จะเก็งกำไรคอนโดมิเนียมในช่วงนี้ เพราะยังมีทำเลใกล้รถไฟฟ้าที่มีราคาต่อตารางเมตรเริ่มต้นไม่สูงเหมือนย่านดังกล่าวเกิดใหม่อีกหลายทำเล

ทั้งนี้ รศ.มานพ พงศทัต อาจารย์คณะสถาปัตยกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเสริมว่า "รถไฟฟ้าไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำให้ราคาคอนโดมิเนียมปรับตัวสูงขึ้น แต่เป็นผลมาจากการที่มีกลุ่มทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมากด้วย"

ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยใด ที่มีผลให้ราคาคอนโดมิเนียมปรับตัวสูงขึ้น แต่มีความชัดเจนแล้วว่า ราคาคอนโดมิเนียมเกาะแนวรถไฟฟ้าที่เปิดให้บริการอยู่ นับจากนี้จะไม่จำกัดเฉพาะโครงการไฮเอนด์เท่านั้น ที่ราคาจะพุ่งขึ้นไปแตะ 1 แสนบาทต่อตารางเมตร แต่คอนโดมิเนียมระดับกลางที่ทุกวันนี้ ราคาขายเริ่มต้นที่ 5-7 หมื่นบาทต่อตารางเมตร จะขยับไปใกล้เคียง 1 แสนบาทต่อตารางเมตรได้เช่นกัน
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
Frankie
Verified User
โพสต์: 999
ผู้ติดตาม: 0

มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ

โพสต์ที่ 29

โพสต์

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2233 08 ก.ค.  - 11 ก.ค. 2550
   
เรื่อง :ของแถมดีไหม ???
ตำราหลาย ๆ เล่ม กล่าวว่า ลอจิสติกส์ ทำให้แน่ใจว่าองค์กรได้นำผลิตภัณฑ์ไปถึงมือลูกค้าได้อย่างดีครบ 7 ประการ คือ

1. ถูกผลิตภัณฑ์ the RIGHT product
2. ถูกจำนวน in the RIGHT quantity,
3. ถูกสภาพ in the RIGHT condition,
4. จัดส่งถูกลูกค้า is delivered to the RIGHT customer
5. ถูกสถานที่ at the RIGHT place,
6. ถูกเวลา at the RIGHT time,
7. ถูกต้นทุน at the RIGHT cost.

ทุกข้อไม่มีใครสงสัย ยกเว้นข้อเดียวก็คือ "ถูกจำนวน" มีหลายท่านได้สอบถามผมมาว่าถ้าได้มากกว่าที่ต้องการ หรือการได้ของแถมเป็นสิ่งที่ดีไม่ใช่หรือ เพราะทำให้เราประหยัดต้นทุนได้มาก และใคร ๆ ก็ชอบของแถม ดังนั้นการที่ ลอจิสติกส์ กล่าวมาเช่นนี้ถูกต้องหรือเปล่า ดูจะเข้าใจยาก และน่าสงสัย

ผมตอบได้เลยว่าของแถมเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่ควรเกินกว่าที่ต้องการ งงไหมครับ คือ ผมต้องการให้เราบริหารของแถมให้เป็น เช่น เราต้องการสินค้า 12 ชิ้น แต่ถ้าสินค้านั้น ซื้อ 10 แถม 2 ก็เป็นเรื่องที่ควรรับไว้ต้นทุนเราประหยัดขึ้นแน่นอน แต่ถ้าเราต้องซื้อสินค้านั้น 15 ชิ้น แล้วจึงจะได้ของแถม 5 ชิ้น โดยที่เราต้องการเพียง 12 ชิ้น อย่างนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะสินค้าที่เหลือเกินกว่าที่ต้องการนั้นจะก่อให้เกิดปัญหาขึ้นภายหลัง

ขอยกตัวอย่างในชีวิตประจำวันก็แล้วกัน สมมติว่า ที่บ้านของผมผมสบู่หมด ต้องการสบู่มาใช้ 1 ก้อน จึงเดินเข้าไปหาในซุปเปอร์มาร์เก็ต หยิบสบู่มา 1 ก้อน ราคา 20 บาท แต่สายตาก็เหลือบไปมองเห็นสบู่ชนิดเดียวกันแต่ขายเป็นแพ็ค 4 ก้อน แถม 1 ก้อน ราคา 80 บาท เฉลี่ยในใจได้ก้อนละ 16 บาท ประหยัดไปก้อนละ 4 บาท ก็เลยเปลี่ยนใจไปซื้อเป็นแพ็คที่มีของแถม เมื่อกลับมาถึงบ้าน ผลก็คือ ผมได้แกะสบู่ออกมาใช้ 1 ก้อน ส่วนอีก 4 ก้อนที่เหลือผมก็ต้องหาที่เก็บ

ปัญหาตามมาแล้วก็คือ จะเก็บที่ไหนดี ??? ตู้ที่เคยใส่ก็ใกล้เต็มแล้ว ต้องเสียเวลารื้อตู้แล้วจัดเข้าที่ใหม่ ถ้าไม่อยากเสียเวลา ก็ต้องหาซื้อตู้ใบใหม่มาใช้ ต้นทุนก็สูงเข้าไปอีก หรือไม่ก็กอง ๆ ไว้ก่อนแล้วค่อยมาจัดการภายหลัง ปัญหาไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น ถ้ากองไว้แล้วรู้สึกเกะกะ เราก็ต้องย้ายที่ เก็บ อาจถูกของใช้อย่างอื่นทับให้เสียหาย อาจถูกเท้าเตะกระเด็นไปใต้ตู้ และปัญหาอื่น ๆ อีกมาก

เมื่อสบู่หมดอีกครั้ง เราอาจหาสบู่อีก 4 ก้อน ไม่เจอ หรือไม่ก็ลืมว่าเก็บไว้ที่ไหน คิดว่าของหมด หรือไม่ก็อยู่ในสภาพที่ใช้ไม่ได้ ต้องไปซื้อใหม่ ผลลัพธ์ก็คือ แทนที่เราจะประหยัดไป 4 บาทต่อก้อน กลายเป็นเราใช้สบู่แค่ก้อนเดียวราคา 80 บาท แพงไป 60 บาท เพราะอีก 4 ก้อนที่เหลือเราดันหาไม่เจอหรือใช้ไม่ได้ อย่างนี้จะเรียกได้ว่าเป็นการประหยัดต้นทุนได้หรือ

ที่สำคัญเรายังไม่ได้คิดค่าแรง ในการจัดตู้ใหม่เพื่อเก็บสบู่ 4 ก้อนที่ได้มาจนหายไป หรือค่าขนย้ายที่ย้ายที่เก็บไปเรื่อย ๆ จนถึงเวลาต้องการจะใช้แล้วจำไม่ได้ว่าเก็บที่ไหน เรื่องแบบนี้มีให้พบเห็นได้ในสถานประกอบการทั่วไป โดยเฉพาะในคลังสินค้าที่มีของเกินของขาดเป็นประจำ มีการจัดวางสินค้าใหม่เมื่อมีสินค้าเข้า มีการเคลื่อนย้ายที่เก็บของสินค้าบ่อย ๆ หาของไม่เจอ นึกว่าของหมดจึงสั่งของเข้ามาใหม่แล้วถึงพบว่าสินค้านั้นยังอยู่ในคลังอีกมาก ใช้จนถึงสิ้นปีก็ไม่หมด

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการได้สินค้าเกินจำนวนที่ต้องการนั้นไม่ส่งผลดีต่อกิจการเลย กลับก่อปัญหาตามมาอย่างมาก จึงควรทำการพิจารณาอย่างรอบคอบถึงของแถมที่ได้รับ เพราะมูลค่าที่ประหยัดได้ อาจไม่คุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ที่กิจการมักจะมองข้ามไป ที่สำคัญบางครั้งอาจเกิดการบริหารงานที่ผิดพลาดก็คือ ให้รางวัลกับฝ่ายจัดซื้อที่ได้ของแถมหรือราคาถูกแต่ต้องซื้อจำนวนมาก แต่กลับทำโทษฝ่ายคลังสินค้าที่มีต้นทุนสูง ทั้ง ๆ ที่สาเหตุของปัญหานี้มาจากฝ่ายจัดซื้อ ของแถมจึงเปรียบเสมือนกับน้ำตาลเคลือบยาพิษเลยทีเดียว
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
ตาหมูอ้วน.
Verified User
โพสต์: 511
ผู้ติดตาม: 0

มีกระทู้น่าสนใจจากเว็บเพื่อนบ้านครับ

โพสต์ที่ 30

โพสต์

บทความเยี่ยมมากเลยครับ คุณ Frankie :)
VI ฝึกหัด
โพสต์โพสต์