http://www.bangkokbiznews.com/2005/07/1 ... s_id=21264
ผลตอบแทนตราสารหนี้พุ่ง 0.30% สัญญาณชัดแนวโน้มดอกเบี้ยขึ้น
12 กรกฎาคม 2548 19:46 น.
ไทยบีดีซีเผยตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค.มา ผลตอบแทนตราสารหนี้ระยะสั้นเพิ่มขึ้นแล้วกว่า 0.30% แถมยังมีแนวโน้มขึ้นต่อเนื่อง ชี้ผลจากสัญญาณดอกเบี้ยขยับขึ้นชัดเจน
ขณะที่ 2 แบงก์ใหญ่ "กสิกรไทย-กรุงศรีฯ" นำร่องขึ้นก่อนหน้าแล้ว แถมยังหมดฤดูกาลส่งเงินเข้ากองทุนฟื้นฟู ด้านผู้ถือหน่วยเตรียมเฮ หลังผลตอบแทนผ่านกองทุนตราสารหนี้จ่อคิวขยับตาม
ดร.พบพนิต ภุมราพันธุ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและพัฒนา ศูนย์ซื้อขายตราสารหนี้ไทย (ไทยบีดีซี) เปิดเผยถึงภาวะการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ช่วงที่ผ่านมาว่า ตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค.เป็นต้นมา พบว่าอัตราผลตอบแทนในตลาดตราสารหนี้ระยะสั้นได้ปรับขึ้นมาแล้วประมาณ 0.30% และยังมีแนวโน้มว่าจะปรับเพิ่มอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ผลตอบแทนในตลาดตราสารหนี้ระยะสั้นที่ปรับขึ้นนั้น มีสาเหตุหลักจากการออกมาส่งสัญญาณเรื่องอัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนพันธบัตร (อาร์พี) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่มีแนวโน้มว่าจะปรับเพิ่มขึ้นให้สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ รวมทั้ง ธปท.ยังได้ขออนุมัติคณะรัฐมนตรีออกขายพันธบัตรเพื่อดูดซับสภาพคล่องซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 2 แสนล้านบาท
ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 2 แห่ง คือ ธนาคารกสิกรไทยและธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้ประกาศขึ้นดอกเบี้ยไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนสะท้อนชัดว่าดอกเบี้ยมีทิศทางขาขึ้นทำให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดตราสารหนี้ขยับขึ้นตาม
นอกจากนี้ ยังพบว่าหลังผ่านช่วงเดือน มิ.ย.ซึ่งเป็นช่วงที่ธนาคารพาณิชย์ต้องส่งเงินจากส่วนแบ่งเงินฝากเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ได้มีเม็ดเงินบางส่วนไหลออกจากตราสารระยะสั้นกลับเข้าไปอยู่ในรูปเงินฝาก ทำให้มูลค่าคงค้างในตลาดลดลงไปและมีผลต่ออัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ด้วย
"หลังผ่านเดือน มิ.ย. ซึ่งเป็นช่วงส่งเงินเข้ากองทุนฟื้นฟู ภาวะตราสารหนี้ก็กลับเข้าสู่ปกติ และเทรนด์ในตอนนี้ดอกเบี้ยมันเริ่มขยับขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นเพราะผู้ลงทุนคาดการณ์กันว่าดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์จะขยับขึ้นอย่างแน่นอน หลัง ธปท.ออกมาส่งสัญญาณชัดเจน รวมทั้งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ธนาคารกรุงศรีอยุธยาและธนาคารกสิกรไทยก็เริ่มมีการขึ้นดอกเบี้ยให้เห็นแล้ว" ดร.พบพนิต กล่าว
เขากล่าวว่า สำหรับตราสารหนี้ระยะยาวนั้น ผลตอบแทนเริ่มปรับลดลงมาบ้าง แต่ไม่มากนัก ซึ่งการลดลงดังกล่าวเกิดจากสัญญาณดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ลงทุนบางส่วนหันมาลงทุนในตราสารระยะสั้นก่อนเพื่อรอดูสถานการณ์ดังกล่าว
นายกำพล อัศวกุลชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ธนชาต จำกัด กล่าวว่า การเพิ่มขึ้นของผลตอบแทนในตราสารหนี้ระยะสั้น ทำให้ผู้ลงทุนในกองทุนที่จัดตั้งขึ้นใหม่จะได้รับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม หากเป็นกองทุนเก่าที่เป็นกองทุนเปิดแล้ว เชื่อว่าผู้จัดการกองทุนจะหันไปลงทุนในตราสารที่มีอายุสั้นลง เพื่อลดความเสี่ยงจากแนวโน้มดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น
ส่วนผลกระทบต่อตลาดหุ้นนั้น เชื่อว่าคงมีบ้างถ้าผู้จัดการกองทุนขนาดใหญ่ที่ลงทุนยาว เห็นว่าผลตอบแทนในตราสารหนี้เริ่มจูงใจมากกว่าการลงทุนในตลาดหุ้น ก็อาจปรับนโยบายการลงทุนใหม่โดยเน้นลงทุนในตราสารหนี้มากขึ้นและปรับลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดทุนลง แต่ผลกระทบตรงนี้คงไม่มากนัก เพราะปัจจุบันกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมีสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นแค่เล็กน้อยอยู่แล้ว
"ตลาดตราสารหนี้มักจะผูกกับตลาดหุ้นอยู่แล้ว แต่ประเทศไทยภาพตรงนี้ยังไม่ชัดสำหรับผู้ลงทุนรายย่อย เพราะที่ผ่านมาจะเห็นว่าคนที่หันมาลงทุนในตราสารหนี้เพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่มาจากผู้ฝากเงินแบงก์ แต่ถ้าเป็นคนที่ลงทุนในหุ้นและโยกมาอยู่ในตราสารหนี้ถือว่ามีน้อยมาก ยกเว้นจะเป็นนักลงทุนสถาบันซึ่งนักลงทุนกลุ่มนี้เขาจะมีการประเมินอยู่ตลอดว่าผลตอบแทนในหุ้นเทียบกับตราสารหนี้อย่างไหนจูงใจกว่ากัน" นายกำพล กล่าว