ช่วงนี้น่าจะ FIF เห็นด้วยหรือไม่ครับ ???
- ply33
- Verified User
- โพสต์: 592
- ผู้ติดตาม: 0
ช่วงนี้น่าจะ FIF เห็นด้วยหรือไม่ครับ ???
โพสต์ที่ 1
ต้องโยกเงินไปต่างประเทศโดยลงทุนผ่าน FIF น่าจะให้ผลตอบแทนดีกว่าอยู่ในประเทศ(ตอนนี้) เห็นด้วยไหมครับ เพราะ
1. อัตราผลตอบแทนในหุ้นต่ำกว่าที่อื่น
2. อัตราดอกเบี้ยเริ่มลดลงแล้วทำให้พันธบัตรและตราสารหนี้ลดตาม
3. ปัญหาการเมืองท่าทางจะไม่คลี่คลายโดยง่ายจนกว่าจะปลายปี
4. ค่าเงินบาทแข็งมากทำให้ใช้เงินน้อยลงในการลงทุน(อาจจะได้กำไรจากการแลกเปลี่ยนในอนาคตด้วย)
ในขณะที่ต่างประเทศโดยเฉพาะ Emerging Market มีผลตอบแทนสูงมาก แต่ความเสี่ยงก็สูงด้วย จะให้ดีหน่อยก็ตราสารหนี้และพันธบัตรในต่างประเทศที่ยังไม่ลดดอกเบี้ย
เห็นด้วยไหมครับ VI ทั้งหลาย
1. อัตราผลตอบแทนในหุ้นต่ำกว่าที่อื่น
2. อัตราดอกเบี้ยเริ่มลดลงแล้วทำให้พันธบัตรและตราสารหนี้ลดตาม
3. ปัญหาการเมืองท่าทางจะไม่คลี่คลายโดยง่ายจนกว่าจะปลายปี
4. ค่าเงินบาทแข็งมากทำให้ใช้เงินน้อยลงในการลงทุน(อาจจะได้กำไรจากการแลกเปลี่ยนในอนาคตด้วย)
ในขณะที่ต่างประเทศโดยเฉพาะ Emerging Market มีผลตอบแทนสูงมาก แต่ความเสี่ยงก็สูงด้วย จะให้ดีหน่อยก็ตราสารหนี้และพันธบัตรในต่างประเทศที่ยังไม่ลดดอกเบี้ย
เห็นด้วยไหมครับ VI ทั้งหลาย
0--- ฉลามเสือดาว ล่องลอยไปในทะเลกว้างใหญ่ ---0
-
- Verified User
- โพสต์: 30
- ผู้ติดตาม: 0
ช่วงนี้น่าจะ FIF เห็นด้วยหรือไม่ครับ ???
โพสต์ที่ 3
ว่ากันตามทฤษฎีแล้ว การลงทุนในต่างประเทศ เป็นแค่ตัวเลือกหนึ่งในการลงทุนเท่านั้นนะครับ
ตามทฤษฏีการเงินสมัยใหม่ ไม่ว่าตำราเล่มไหน ก็ให้การสนับสนุนว่า นักลงทุนควรมีการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน โดยการเลือกลงทุนสินทรัพย์ประเภทต่างๆมากกว่า 1 ชนิดขึ้นไป (Asset Allocation) เพื่อให้โอกาสที่ผลตอบแทนคาดหวังจะคลาดเคลื่อนนั้นน้อยลง และลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนโดยรวม ซึ่งส่วนตัวแล้วผมก้เห็นด้วยกับหลักการคิดดังกล่าว
กลับมาตอบคำถามที่ว่า .... แล้วควรกระจายการลงทุนอย่างไรดี??
สิ่งสำคัญที่สุดคือ วัดระดับความเสี่ยงที่ตัวนักลงทุนรับได้ก่อน จะรบ เราก็ควรรู้ว่า เราถนัดอะไร และไม่ถนัดอะไร ถูกไหมครับ ใครรับความเสี่ยงได้มาก ก็สามารถลงทุนใน Risky Asset ได้สูงหน่อย ถ้าได้น้อยลงก็ตามสัดส่วนกันไป สำหรับ Finansa นั้น เคยจัดพอร์ตการลงทุนตามช่วงอายุของคนให้กับนักลงทุนดู ซึ่งก็ถือว่าใช้ได้ระดับหนึ่ง (เมื่ออายุคนเราสูงขึ้น เราจะรับความเสี่ยงได้น้อยลง) ลองดูแล้วกันครับ ว่าตัวเองรับความเสี่ยงได้แค่ไหน
สำหรับนักลงทุนในห้อง VI ผมแน่ใจว่าเกินครึ่ง ไม่ได้ลงทุนเฉพาะหุ้นไทยเพียงอย่างเดียว เหตุผลก็ไม่ต้องอ้างหลักอะไรข้างต้นมาก้พอจะเข้าใจได้ เพราะนักลงทุนทุกคนมีข้อจำกัดเหมือนกันคือ ยังมีความกลัวความเสี่ยงอยู่ เพราะหากไม่กลัว เราคงลงทุนเหมือนเล่นพนัน และหมดตัวกันไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น FIF จึงถือเป็นการกระจายความเสี่ยงที่ดีวิธีหนึ่ง ซึ่งตอบไม่ได้ว่า ควรลงทุนหรือยัง เพราะตามความเห็นของผมนั้น ไม่ว่าช่วงไหนของการลงทุน FIF จำเป็นต่อการจัดพอร์ตการลงทุนทั้งสิ้น อยู่ที่ว่า จะเลือกลงทุนในอะไร และมากน้อยแค่ไหน ก็เท่านั้น
ลองมองอย่างนี้ไหมครับ
ไม่ว่าเราจะอยู่ส่วนไหนของ Time Line ในช่วงชีวิต ปัญหาระดับมหภาคนั้นเกิดขึ้นตลอด แรงบ้าง เบาบ้าง แต่เราก็ผ่านมาได้ ทั้งดีบ้าง และพอไปได้บ้าง แต่สรุปเราก็ผ่านมาได้ ปัญหาด้านการเมืองเนี่ย ประเทศ Emerging Market เจอกันหมด ประเทศที่พัฒนาแล้ว ก็เคยมาก่อนทั้งนั้น เราน่าจะผ่านไปได้ หากมองในระยะยาว ปัญหาที่น่าเป็นห่วงมากกว่าคือ ทำอย่างไร ตลาดหุ้นไทยถึงจะมีเสถียรภาพมากกว่าที่เป็นอยู่... พอคิดถึงจุดนี้ เราก็บอกกับตัวเองว่าเป็นไปได้ยาก ถ้าอย่างนั้น FIF ก็น่าจะช่วยเพิ่มความสบายใจในการลงทุนให้เรามากขึ้น
ส่วนจะลงทุนใน FIF ที่มีกลยุทธ์อะไรบ้างนั้น แล้วแต่จริตนิสัยของนักลงทุนแล้วครับ
ยังชอบลงทุนในหุ้น ก็เลือกตามภูมิภาค ว่าจะลงทุนในภูมิภาคไหน หรือถ้าอยากได้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก แต่รับความผันผวนระดับกองทุนหุ้นไม่ได้ ก็คงต้องดูเป็น FIF ลงทุนในตราสารหนี้แทน ส่วนเรื่องประเด็นค่าเงินบาทนั้น เราต้องไปดูอีกทีครับว่า กองทุนที่เราไปลงทุนนั้น หลักๆเป็นสกุลอะไร และมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านค่าเงินหรือเปล่า
--------------------------
โชคดีในการลงทุนครับ
ตามทฤษฏีการเงินสมัยใหม่ ไม่ว่าตำราเล่มไหน ก็ให้การสนับสนุนว่า นักลงทุนควรมีการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน โดยการเลือกลงทุนสินทรัพย์ประเภทต่างๆมากกว่า 1 ชนิดขึ้นไป (Asset Allocation) เพื่อให้โอกาสที่ผลตอบแทนคาดหวังจะคลาดเคลื่อนนั้นน้อยลง และลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนโดยรวม ซึ่งส่วนตัวแล้วผมก้เห็นด้วยกับหลักการคิดดังกล่าว
กลับมาตอบคำถามที่ว่า .... แล้วควรกระจายการลงทุนอย่างไรดี??
สิ่งสำคัญที่สุดคือ วัดระดับความเสี่ยงที่ตัวนักลงทุนรับได้ก่อน จะรบ เราก็ควรรู้ว่า เราถนัดอะไร และไม่ถนัดอะไร ถูกไหมครับ ใครรับความเสี่ยงได้มาก ก็สามารถลงทุนใน Risky Asset ได้สูงหน่อย ถ้าได้น้อยลงก็ตามสัดส่วนกันไป สำหรับ Finansa นั้น เคยจัดพอร์ตการลงทุนตามช่วงอายุของคนให้กับนักลงทุนดู ซึ่งก็ถือว่าใช้ได้ระดับหนึ่ง (เมื่ออายุคนเราสูงขึ้น เราจะรับความเสี่ยงได้น้อยลง) ลองดูแล้วกันครับ ว่าตัวเองรับความเสี่ยงได้แค่ไหน
สำหรับนักลงทุนในห้อง VI ผมแน่ใจว่าเกินครึ่ง ไม่ได้ลงทุนเฉพาะหุ้นไทยเพียงอย่างเดียว เหตุผลก็ไม่ต้องอ้างหลักอะไรข้างต้นมาก้พอจะเข้าใจได้ เพราะนักลงทุนทุกคนมีข้อจำกัดเหมือนกันคือ ยังมีความกลัวความเสี่ยงอยู่ เพราะหากไม่กลัว เราคงลงทุนเหมือนเล่นพนัน และหมดตัวกันไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น FIF จึงถือเป็นการกระจายความเสี่ยงที่ดีวิธีหนึ่ง ซึ่งตอบไม่ได้ว่า ควรลงทุนหรือยัง เพราะตามความเห็นของผมนั้น ไม่ว่าช่วงไหนของการลงทุน FIF จำเป็นต่อการจัดพอร์ตการลงทุนทั้งสิ้น อยู่ที่ว่า จะเลือกลงทุนในอะไร และมากน้อยแค่ไหน ก็เท่านั้น
ลองมองอย่างนี้ไหมครับ
ไม่ว่าเราจะอยู่ส่วนไหนของ Time Line ในช่วงชีวิต ปัญหาระดับมหภาคนั้นเกิดขึ้นตลอด แรงบ้าง เบาบ้าง แต่เราก็ผ่านมาได้ ทั้งดีบ้าง และพอไปได้บ้าง แต่สรุปเราก็ผ่านมาได้ ปัญหาด้านการเมืองเนี่ย ประเทศ Emerging Market เจอกันหมด ประเทศที่พัฒนาแล้ว ก็เคยมาก่อนทั้งนั้น เราน่าจะผ่านไปได้ หากมองในระยะยาว ปัญหาที่น่าเป็นห่วงมากกว่าคือ ทำอย่างไร ตลาดหุ้นไทยถึงจะมีเสถียรภาพมากกว่าที่เป็นอยู่... พอคิดถึงจุดนี้ เราก็บอกกับตัวเองว่าเป็นไปได้ยาก ถ้าอย่างนั้น FIF ก็น่าจะช่วยเพิ่มความสบายใจในการลงทุนให้เรามากขึ้น
ส่วนจะลงทุนใน FIF ที่มีกลยุทธ์อะไรบ้างนั้น แล้วแต่จริตนิสัยของนักลงทุนแล้วครับ
ยังชอบลงทุนในหุ้น ก็เลือกตามภูมิภาค ว่าจะลงทุนในภูมิภาคไหน หรือถ้าอยากได้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก แต่รับความผันผวนระดับกองทุนหุ้นไม่ได้ ก็คงต้องดูเป็น FIF ลงทุนในตราสารหนี้แทน ส่วนเรื่องประเด็นค่าเงินบาทนั้น เราต้องไปดูอีกทีครับว่า กองทุนที่เราไปลงทุนนั้น หลักๆเป็นสกุลอะไร และมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านค่าเงินหรือเปล่า
--------------------------
โชคดีในการลงทุนครับ