กองทุนสำเร็จรูป พร้อมเสิร์ฟทุกโจทย์ของนักลงทุน โดย : สรวิศ อิ่มบำรุง
นักลงทุนที่ไม่ถนัดในการจัดสรรเงินลงทุน (Asset Allocation) ด้วยตัวเอง หรือไม่มีเวลาที่จะมานั่งติดตามการลงทุน กองทุนสำเร็จรูป น่าจะเป็นคำตอบ
การบริหารจัดการสินทรัพย์เพื่อสร้างความมั่งคั่ง (Wealth Management) ได้รับความนิยมมากในต่างประเทศ ทั้งในแถบตะวันตกและกำลังได้รับความสนใจมากขึ้นในเอเชีย โดย Wealth Management จะแตกต่างจากการลงทุนตรงที่มีเป้าหมายที่ชัดเจนในอนาคต ว่าจะออมเงินหรือลงทุนไปเพื่ออะไร และใช้เวลานานเพียงใด
@ Smart Wealth ตอบโจทย์ทุกระดับความเสี่ยง
ดร.พิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี บอกว่า บริษัทได้ทำกองทุนในกลุ่ม Smart Wealth Solution Family ขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนทุกไลฟ์สไตล์ ตั้งแต่วัยเริ่มทำงานจนกระทั่งวัยเตรียมเกษียณ บริษัทเล็งเห็นถึงความสำคัญในการออกแบบกองทุนให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ถือหน่วยลงทุนทุกประเภทจึงได้ทำการวิจัยเพื่อออกแบบกองทุนให้มีความเหมาะสมกับนักลงทุนแต่ละประเภทมากที่สุด โดยแต่ละกองทุนจะมีสัดส่วนการลงทุนขึ้นอยู่กับเกณฑ์การแบ่งจาก ระดับความเสี่ยง (Risk) และ สินทรัพย์ลงทุน (Wealth) ของลูกค้าเป็นสำคัญ
ทั้งนี้การเลือกหลักทรัพย์เพื่อที่จะลงทุนผ่านกองทุน Smart Wealth Solution Family นั้น บริษัทได้คิดค้นโปรแกรมวิเคราะห์ที่สามารถช่วยนักลงทุนวางแผนการลงทุนว่าควรจะลงทุนในกองทุนประเภทใด เป็นจำนวนเท่าไร เพื่อบรรลุเป้าหมายผลตอบแทนตามที่นักลงทุนต้องการในเวลาที่กำหนด (Target Date) ทั้งนี้การวิเคราะห์ยังคำนึงถึงความเสี่ยงเป็นหลัก เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ถือหน่วยลงทุน โดยผลตอบแทนที่ได้จะเป็นไปตามระดับความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้ และจะมีการกระจายการลงทุนในหลักทรัพย์ ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุด ณ วันรับผลตอบแทนตามกำหนด (Target Date)
โดยกองทุนในกลุ่ม Smart Wealth Solution Family แบ่งเป็น 4 กองทุน ตามระดับความเสี่ยงเรียงจากน้อยไปมาก ได้แก่
- กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี เดอะ สมาร์ท คอลเลคเตอร์ (The Smart Collector) เหมาะสำหรับนักลงทุนที่นิยม ความเสี่ยงในระดับปานกลาง และต้องการเก็บสะสมผลกำไรจากการลงทุนทีละน้อยแต่เป็นไปอย่างสม่ำเสมอ โดยคาดหวังผลตอบแทนมากกว่าอัตราผลตอบแทนจากดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร ซึ่งกองทุนนี้จะลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ
- กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี เดอะ สมาร์ท เอนแฮนซ์เซอร์ (The Smart Enhancer) เหมาะสำหรับกลุ่มคนทำงานระดับบริหาร ที่มีความ สนใจในการลงทุน แต่ไม่มีเวลา ว่างในการจัดสรรดูแลเรื่องการลงทุนด้วยตนเอง ยอม รับความเสี่ยงได้ในระดับปานกลางถึงค่อนข้างสูง ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนจากมูลค่าเพิ่มของการลงทุน (Capital Gain) กองทุนนี้จะลงทุนในตราสารหนี้ และหุ้นบลูชิพ (Blue Ship)
- กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี เดอะ สมาร์ท แอดเวนเจอร์ (The Smart Adventurer) เหมาะสำหรับกลุ่มนักลงทุนรุ่นใหม่ที่ ชอบความท้าทาย และประสบการณ์แปลกใหม่ตลอดเวลา สามารถ รับความเสี่ยงได้ในระดับค่อนข้างสูง ซึ่งกองทุนนี้จะลงทุนในตราสารหนี้ หุ้น หน่วยลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ
- กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี เดอะ สมาร์ท แมกซิไมเซอร์ (The Smart Maximizer) เหมาะสำหรับกลุ่มเจ้าของธุรกิจ นักลงทุนที่ กล้าได้กล้าเสีย ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนที่สูง และ รับความเสี่ยงในระดับสูง กองทุนนี้จะลงทุนในตราสารหนี้ หุ้น หน่วยลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ ตลอดจนการลงทุนในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ด้วย
จุดเด่นของกองทุนทั้ง 4 ในกลุ่ม Smart Wealth Solution Family คือการจัดสรรสินทรัพย์ในการลงทุน (Asset Allocation) ของแต่ละกองทุนอย่างชัดเจน สามารถสับเปลี่ยนโอนย้าย (Switching) ระหว่างกองทุนใน Family นี้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย รวมไปถึงการนำ Quantitative Model มาใช้ประกอบในการคัดเลือกหลักทรัพย์ให้เหมาะสมกับลักษณะของผู้ถือหน่วยลงทุน โดยสามารถบอกสัดส่วนการลงทุน เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่ดี พร้อมกันนี้กองทุนดังกล่าวยังเน้นการลงทุนที่สม่ำเสมอเพื่อเพิ่มผลตอบแทนมากขึ้น ทั้งนี้โปรแกรมดังกล่าวได้พัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่ตรงกับนักลงทุนแต่ละกลุ่มอย่างชัดเจน
@ K-Life Style ตอบโจทย์ทุกช่วงวัย
ด้าน บลจ.กสิกรไทยมาในกลุ่มกองทุน K-Life Style จำนวน 4 กองทุน ซึ่งเป็นกองทุนผสมที่ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทตราสารทุน ตราสารหนี้ พันธบัตร กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และ เงินฝาก ฯลฯ ในสัดส่วนที่แตกต่างกัน 4 ระดับ เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่ตอบสนองเป้าหมายทางการเงินของผู้ลงทุนในแต่ละช่วงวัย พร้อมให้ผลตอบแทนที่ไม่เสียภาษี ได้แก่
- กองทุนเปิดเค ไลฟ์สไตล์ 2500 (K-2500) เหมาะสำหรับผู้ที่อายุใกล้เคียง 50 ปี หรือเกิดก่อนหรือประมาณปี พ.ศ.2500 หรือผู้ที่รับความเสี่ยงได้ค่อนข้างต่ำ มีนโยบายลงทุนในหุ้น ไม่เกิน 20% หลักทรัพย์ในต่างประเทศ ไม่เกิน 25% ที่เหลือเป็นตราสารหนี้
- กองทุนเปิดเค ไลฟ์สไตล์ 2510 (K-2510) เหมาะสำหรับผู้ที่อายุใกล้เคียง 40 ปี หรือเกิดก่อนหรือประมาณปี พ.ศ.2510 หรือผู้ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง มีนโยบายลงทุนในหุ้น ไม่เกิน 30% หลักทรัพย์ในต่างประเทศ ไม่เกิน 25% ที่เหลือเป็นตราสารหนี้
- กองทุนเปิดเค ไลฟ์สไตล์ 2520 (K-2520) เหมาะสำหรับผู้ที่อายุใกล้เคียง 30 ปี หรือเกิดก่อนหรือประมาณปี พ.ศ.2520 หรือผู้ที่สามารถรับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงค่อนข้างสูง มีนโยบายลงทุนในหุ้น ไม่เกิน 45% หลักทรัพย์ในต่างประเทศ ไม่เกิน 25% ที่เหลือเป็นตราสารหนี้
- กองทุนเปิดเค ไลฟ์สไตล์ 2530 (K-2530) เหมาะสำหรับผู้ที่อายุ 20-30 ปี หรือเกิดก่อนหรือประมาณปี พ.ศ.2530 หรือผู้ที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูง มีนโยบายลงทุนในหุ้น ไม่เกิน 55% หลักทรัพย์ในต่างประเทศ ไม่เกิน 25% ที่เหลือเป็นตราสารหนี้
โดยสัดส่วนการลงทุนที่เหลือของแต่ละกองทุน จะลงทุนในเงินฝาก ตราสารหนี้ พันธบัตร หรือกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์
บลจ.กสิกรไทยได้คิดค้นและพัฒนากองทุนเปิดเค ไลฟ์สไตล์ทั้ง 4 กองทุนขึ้นมา เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ลงทุนได้เลือกลงทุนอย่างเหมาะสมตามไลฟ์สไตล์หรือความพึงพอใจทั้งในด้านผลตอบแทน และความสามารถในการรับความเสี่ยง โดยมีผู้จัดการกองทุนดูแลปรับพอร์ตการลงทุนที่นอกจากจะเหมาะสมกับปัจจัยแวดล้อมทางเศรษฐกิจแล้ว ยังปรับให้เหมาะกับช่วงวัย ความสามารถในการรับความเสี่ยงและผลตอบแทนที่คาดหวังของ ผู้ลงทุนที่เปลี่ยนไปตามระยะเวลาอีกด้วย
@ Life Cycle พาทุกช่วงวัยสู่เป้าหมายเกษียณ
โดย มาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) บอกว่า บริษัทพยายามจะนำเสนอโปรดักท์ที่แตกต่างให้กับผู้ลงทุนจึงได้นำเสนอกองทุนในกลุ่มซีรีส์ กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ไลฟ์ไซเคิล (ING Thai Lifecycle Fund) จำนวน 3 กองทุน โดยทั้ง 3 กองทุนถูกออกแบบการลงทุนให้เหมาะสมและสอดคล้องกับช่วงอายุของผู้ลงทุน โดยใช้ปีที่ผู้ลงทุนต้องการเกษียณอายุเป็นตัวกำหนดเป้าหมายการลงทุน โดยแต่ละกองทุนจะมีเป้าหมายของปีที่คาดว่าจะเกษียณไว้ ซึ่งผู้ลงทุนสามารถเลือกได้ว่าจะเกษียณประมาณปีใด จาก 3 กอง ได้แก่ ปี 2015 ปี 2020 และปี 2025
กองทุนทั้ง 3 กองนี้ถือเป็นความแตกต่างในด้านของวิธีในการจัดการบริหารกองทุนนับเป็นนวัตกรรมใหม่สำหรับทางเลือกการลงทุนก่อนวัยเกษียณ ซึ่งเป็นโปรดักท์ที่จะมาเติมเต็มในส่วนของกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ของบริษัทที่มีครบถ้วนแล้ว สำหรับลูกค้าที่ลงทุนผ่านกองทุน RMF เต็มเพดานแล้วก็สามารถจะมาลงทุนตรงนี้ได้ รวมถึงผู้ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ทางภาษีที่อยากจะวางแผนเกษียณก็สามารถจะลงทุนผ่านกองทุนทั้ง 3 นี้ได้เช่นเดียวกัน โดยกองทุนทั้ง 3 กอง ได้แก่
- กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ไลฟ์ไซเคิล 2015 มีอายุโครงการ 6 ปี 8 เดือน เป็นกองทุนที่เหมาะกับผู้ลงทุนที่มีอายุ 50-55 ปี ซึ่งคาดว่าจะเกษียณที่อายุประมาณในปี 2013-2023 ซึ่งในช่วงปีแรกจะลงทุนในหุ้นไม่เกินกว่า 30%
- กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ไลฟ์ไซเคิล 2020 มีอายุโครงการ 11 ปี 8 เดือน เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่มีอายุ 45-50 ปี โดยคาดว่าจะเกษียณที่อายุประมาณ 60 ปี ในปี 2018-2023 ซึ่งจะมีการลงทุนในหุ้นในช่วงปีแรกไม่เกินกว่า 45%
- กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ไลฟ์ไซเคิล 2025 มีอายุโครงการ 16 ปี 8 เดือน เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่มีอายุ 40-45 ปี และคาดว่าอยากจะเกษียณอายุในวัยประมาณ 60 ปี คือ ในปี 2023-2028 โดยจะมีสัดส่วนการลงทุนเน้นการลงทุนในหุ้นในช่วงปีแรกไม่เกินกว่า 55%
จุดเด่นของกองทุนอยู่ที่การออกแบบการจัดสรรพอร์ตลงทุนตามอายุของผู้ถือหน่วยลงทุน ซึ่งความเสี่ยงของกองทุนจะลดลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการวางแผนการเงินของตนเองเพื่อสร้างโอกาสการมีเงินใช้อย่างสบายในวัยเกษียณ โดยกองทุนทั้ง 3 กองทุน บริษัทจะมีการปรับสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลงทุกสิ้นปี ซึ่งจะทำให้สัดส่วนการลงทุนในหุ้นเหลือน้อยลงเมื่อใกล้สิ้นอายุโครงการและลดลงจนเหลือแต่ตราสารหนี้ระยะสั้นเพียงอย่างเดียวในปีสุดท้าย เพื่อลดความเสี่ยงลงตลอดอายุโครงการ ซึ่งสะดวกกับนักลงทุน
@ ลงทุนอย่างสม่ำเสมอคือหัวใจสำคัญ
กองทุนทั้ง 3 รูปแบบ 3 สไตล์ ของ 3 บลจ. นี้ เป็นกองทุนที่มีเป้าหมายในการลงทุนที่ชัดเจนให้ง่ายต่อผู้ลงทุนในการเลือกลงทุนให้ตรงกับความต้องการของตัวเอง อย่างไรก็ตาม วินัยการลงทุนเป็นสิ่งที่สำคัญ โดยมาริษยอมรับว่าด้วยกลยุทธ์การจัดพอร์ตการลงทุนของกองทุนในกลุ่ม ING Thai Lifecycle Fund จะช่วยผู้ลงทุนให้สามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินเพื่อวัยเกษียณได้ก็จริง แต่ที่สำคัญคือผู้ลงทุนจะต้องมีวินัยและใส่เงินลงทุนเข้ามาลงทุนอย่างสม่ำเสมอเครื่องมือตรงนี้จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด ดังนั้นผู้ลงทุนก็ต้องมีวินัยในการเข้ามาใช้เครื่องมือเหล่านี้ด้วยเช่นเดียวกัน
สมมติ ให้คุณเกษียณตอนอายุ 60 ปี และมีชีวิตอยู่ต่อไปเฉลี่ยอีก 15 ปี ถ้าปัจจุบันคุณอายุ 50 ปี คุณต้องการมีเงินใช้หลังเกษียณเดือนละ 15,000 บาท ไปอีก 15 ปี จะต้องใช้เงินออมทั้งหมด 3,808,617 บาท สำหรับใช้ชีวิตหลังเกษียณตามที่ต้องการ
นั่นหมายความว่า ถ้าวันนี้คุณอายุ 50 ปี และไม่มีเงินออมเลย คุณจะต้องออมทุกเดือนๆ ละ 24,573 บาท ที่อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 5% แต่ถ้าคุณมีเงินเก็บอยู่แล้ว 1 ล้านบาท คุณจะต้องออมเดือนละ 14,063 บาท และถ้าคุณมีเงินเก็บแล้ว 3 ล้านบาท คุณจะออมเพียงเดือนละ 3,554 บาท เป็นต้น
ผลตอบแทนคาดหวังของกองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย ไลฟ์ไซเคิล 2025 อยู่ที่ 7.10% ต่อปี กองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย ไลฟ์ไซเคิล 2020 อยู่ที่ 5.89% ต่อปี ส่วนกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ไลฟ์ไซเคิล 2015 อยู่ที่ 4.93% ต่อปี ซึ่งสามารถให้ผลตอบแทนคาดหวังจากการลงทุนเฉลี่ย 5% ต่อปีได้ โดยมีความเสี่ยงที่จะขาดทุนเฉลี่ยประมาณ 3% ทุกกองทุน ประเด็นคือตัวผู้ลงทุนหลังจากที่เลือกกองทุนเพื่อลงทุนได้แล้วจะต้องเริ่มลงทุนอย่างสม่ำเสมอให้สอดคล้องกับแผนการออมเพื่อเกษียณอายุของตัวเองด้วย ไม่เช่นนั้นเครื่องมือก็จะไม่มีประโยชน์ที่จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้
@ ช่วยให้การลงทุนง่ายขึ้น
จุมพล สายมาลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายธุรกิจกองทุนรวมและที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) มองว่า มีนักลงทุนเป็นจำนวนมากที่สนใจจะลงทุนในกองทุนรวมแต่ไม่รู้จะเลือกลงทุนกองทุนใดดีเพราะมีกองทุนรวมอยู่เป็นจำนวนมากหลายประเภทไม่รู้ว่าจะจัดสรรเงินลงทุนอย่างไร จะต้องลงทุนในระยะเวลาแค่ไหนและในจำนวนเงินเท่าไรจึงจะเหมาะสม แม้ว่าแต่ละ บลจ.จะมีเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำแต่ก็ได้เพียงภาพกว้างไม่ชัดเจนพอจะตัดสินใจว่าจะเลือกกองทุนประเภทไหนและจำนวนเท่าไรดีถึงจะเหมาะสมนั่นคือปัญหาของผู้ที่สนใจจะลงทุนในกองทุนต้องเจอ
และเมื่อตัดสินใจลงทุนแล้วก็ยังมีความผิดพลาดเกิดขึ้นตามมาได้อีกเช่นการเลือกลงทุนผิดเวลา การจัดสรรเงินลงทุนด้วยความคุ้นเคยจากความรู้สึกของตัวเองเป็นหลักโดยไม่สอดคล้องกับสถานการณ์การลงทุน การไม่ติดตามและปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ หรือการลงทุนโดยพิจารณาจากผลการดำเนินงานในอดีตเพียงอย่างเดียว หรือการจัดสรรเงินลงทุนไปในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยมากเกินไปจนไม่สามารถที่จะบรรลุเป้าหมายการลงทุนที่ตั้งใจไว้ได้
เหล่านี้คือปัญหาที่เกิดขึ้นกับนักลงทุนที่ลงทุนแล้วซึ่งการตัดสินใจที่ผิดพลาดย่อมหมายถึงโอกาสในการที่จะได้รับผลตอบแทนที่ลดลงไปด้วยซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย กองทุนรวมในลักษณะสำเร็จรูปเหล่านี้จึงช่วยตอบโจทย์นักลงทุนได้เป็นอย่างดี เพียงเลือกให้เหมาะสมกับเป้าหมายในการลงทุนของตัวเองเท่านั้น
กองทุนที่มีการจัดสำรับการลงทุนเอาไว้เสร็จสรรพพร้อมเสิร์ฟเช่นนี้น่าจะช่วยให้การลงทุนของคุณง่ายขึ้นอีกมากทีเดียว
++++++++++++++
"ของดี" แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยม
การบริหารจัดการสินทรัพย์เพื่อสร้างความมั่งคั่ง (Wealth Management) ได้รับความนิยมมากในต่างประเทศ ทั้งในแถบตะวันตกและกำลังได้รับความสนใจมากขึ้นในเอเชีย โดย Wealth Management จะแตกต่างจากการลงทุนตรงที่มีเป้าหมายที่ชัดเจนในอนาคต ว่าจะออมเงินหรือลงทุนไปเพื่ออะไร และใช้เวลานานเพียงใด กองทุนสำเร็จรูปในลักษณะนี้จึงได้รับความนิยมมากในต่างประเทศแต่อาจจะไม่ใช่ในประเทศไทย
วนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ยูโอบี (ไทย) ยอมรับว่า กองทุนที่มีการจัดสรรเงินลงทุนเอาไว้เพื่อตอบโจทย์คนในแต่ละช่วงวัยมีแนวคิดมาจากต่างประเทศเพื่อช่วยให้การลงทุนง่ายขึ้น ซึ่งโดยแนวคิดถือเป็นเรื่องที่ดีแต่จะเห็นว่าเมื่อนำมาทำการตลาดในเมืองไทยกลับไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไรนัก
ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะโปรดักท์ในการลงทุนของไทยไม่ได้มีความหลากหลายมากมายเหมือนในต่างประเทศ ทำให้นักลงทุนรู้สึกว่าตัวเองก็สามารถที่จะผสมสัดส่วนการลงทุนต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง จึงไม่มีความจำเป็นต้องลงทุนผ่านกองทุนในลักษณะนี้ที่มีการจัดสัดส่วนการลงทุนและมีผู้จัดการกองทุนคอยดูแลปรับสัดส่วนการลงทุนให้ นี่น่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้กองทุนประเภทนี้ไม่ค่อยได้รับความนิยมในไทย
อย่างไรก็ตามแนวคิดและเครื่องมือเป็นอีกทางเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุน แต่อาจจะเป็นโปรดักท์ที่ใหม่ในเมืองไทยซึ่งคงต้องใช้เวลาเพื่อให้นักลงทุนมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น