กลยุทธ์การลงทุน สไตล์ "ทาร์เก็ตฟันด์" การลงทุนที่เน้นส่งมอบผลตอบแทนตามเป้าหมาย หรือ “Return Delivery”อาจเหมาะกับภาวะตลาดผันผวนเช่นนี้
การลงทุนในตลาดหุ้นไทย ให้ประสบความสำเร็จนับว่าไม่ง่ายนัก จากข้อมูลผลการดำเนินงานของกองทุนหุ้นในปี 2552 ที่ผ่านมา พบว่า ในขณะที่ “ดัชนีตลาดหลักทรัพย์” ให้ผลตอบแทน 63.25% และ “ดัชนีตลาดหลักทรัพย์รวม (รวมเงินปันผล)” ให้ผลตอบแทน 71.35% นั้น “กองหุ้นทั่วไป” 104 กองทุน ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 60.48% มี 37 กองทุน คิดเป็นสัดส่วน 35.58% ที่ชนะดัชนีตลาดหุ้นไทย และมีเหลือเพียง 13 กองทุน คิดเป็นสัดส่วน 12.50% หรือลดลง 64.86% ที่สามารถชนะดัชนีตลาดรวมได้
เช่นเดียวกับ “กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF)” จำนวน 52 กองทุน ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 51.79% โดยมีอยู่ 13 กองทุน คิดเป็นสัดส่วน 25.00% ที่เอาชนะดัชนีหุ้นปกติได้ และมีเหลือเพียง 4 กองทุน คิดเป็นสัดส่วน 7.69% หรือลดลง 69.23% ที่สามารถจะเอาชนะดัชนีตลาดหุ้นรวมได้
“ไม่ต่างอะไรกับ “กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)” ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นจำนวน 9 กองทุน ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 56.07% โดยมี 6 กองทุน คิดเป็นสัดส่วน 31.58% ที่เอาชนะดัชนีหุ้นไทยได้ และมีเหลือเพียง 3 กองทุน คิดเป็นสัดส่วน 15.79% หรือลดลง 50.00% ที่สามารถจะเอาชนะดัชนีตลาดหุ้นรวมได้”
แม้อุตสาหกรรมกองทุนรวมจะมี บลจ.อยู่ 20 บลจ. ในปัจจุบัน แต่ “กองทุนทาร์เก็ตฟันด์” นี้ไม่ใช่ บลจ.ไหนคิดจะออกก็ออกได้ง่ายๆ เหมือนกองทุนตราสารหนี้ทั่วไป เพราะเป็นกองทุนที่ต้องใช้ทักษะในการบริหารจัดการกองทุนของทีมผู้จัดการกอง ทุนมากพอสมควรทีเดียว
“กองทุนทาร์เก็ตฟันด์บาง กองก็ไม่ฮิตผลตอบแทนตามที่ตั้งเป้าไว้จำเป็นต้องปิดกองคืนเงินให้ผู้ถือ หน่วยเมื่อครบอายุกองทุน บางกองก็ฮิตเป้าหมายได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว บางกองก็กำลังรอพิสูจน์ตัวเองอยู่เพราะยังมีเวลาเหลือให้ได้สร้างผลงานให้ ปรากฏ และบางกองก็อาจจะกำลังรอจังหวะในการออกกองทุนอยู่ อะไรที่ทำให้กองทุนทาร์เก็ตฟันด์ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในหมู่นักลงทุนไทย วันนี้มีคำตอบจากผู้จัดการกองทุนมือโปรมาฝากกัน”
@ นักลงทุนต้องการผลตอบแทนที่ชัดเจน
“มนรัฐ ผดุงสิทธิ์” กรรมการผู้จัดการ บลจ.วรรณ บอกว่า แม้นักลงทุนจะเข้าใจว่าการลงทุนในหุ้นจะเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงมากกว่า เมื่อเทียบกับการลงทุนในตราสารหนี้หรือเงินฝากก็ตาม แต่โดยส่วนใหญ่แล้วนักลงทุนก็ปรารถนาจะเห็นผลลัพธ์ที่ดีจากการลงทุนในหุ้น เช่นกัน ปัจจุบันนักลงทุนบางส่วนไม่ต้องการเห็นผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนหุ้นของ ตัวเองแค่ดีกว่าดัชนีเทียบวัด (Benchmark) เท่านั้น โดยเฉพาะในปีที่เกิดวิกฤติดัชนีหุ้นติดลบมากนั้น บางครั้งการที่มานั่งอธิบายนักลงทุนว่ากองทุนหุ้นของบริษัทมีผลตอบแทนที่ดี กว่าดัชนีเทียบวัดจึงไม่เพียงพอ ตลาดหุ้นตก 50% กองทุนหุ้นของเราตก 45% ชนะดัชนีหุ้นอยู่ 5% ซึ่งส่วนที่ชนะไม่รู้ว่ามาจากเงินปันผลที่ได้รับมาด้วยหรือไม่ ซึ่งบางครั้งสิ่งที่นักลงทุนต้องการคือผลตอบแทนที่ดีไม่ใช่แค่เพียงชนะ Benchmark เท่านั้น
“ถ้าตลาดหุ้นตกมาติดลบ 50% แล้วกองทุนหุ้นได้ผลตอบแทนเป็นบวกเล็กน้อยหรือติดลบเล็กน้อยน่าจะเป็นสิ่ง ที่นักลงทุนพึงพอใจมากกว่า มากกว่าที่จะมาบอกนักลงทุนว่าตลาดหุ้นลบไป 50% กองหุ้นเราชนะดัชนีอยู่ 5% ติดลบไปเพียง 45% เท่านั้น นักลงทุนบางกลุ่มไม่ต้องการเช่นนั้น กองทุนในลักษณะของทาร์เก็ตฟันด์จึง เกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์นักลงทุนกลุ่มนี้ เขาไม่สนว่าตลาดหุ้นจะบวกไป 100% หรือตกลงไป 50% แต่เขาสนใจว่าในช่วงระยะเวลาที่ลงทุนในหุ้นจะ 1 ปี หรือ 2 ปี ก็ตาม เขาจะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนคาดหวังประมาณนี้ 10% หรือ 20% ก็แล้วแต่จะกำหนด แต่เขาพอใจในผลตอบแทนที่มีโอกาสจะได้รับซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามภาวะ ตลาด”
มนรัฐ ยังบอกอีกว่า กองทุนทาร์เก็ตฟันด์จะมีประโยชน์มากในช่วงที่ตลาดหุ้นไม่ดี เพราะในช่วงที่ตลาดหุ้นดีตลาดหุ้นวิ่งขึ้นขาเดียวในลักษณะนั้น การลงทุนในกองทุนทาร์เก็ตฟันด์กับ ลงทุนด้วยตัวเองอาจจะไม่ค่อยเห็นความแตกต่างเท่าไร โดยเฉพาะช่วงที่หุ้นทุกตัวในตลาดพาเหรดกันยกขบวนขึ้นลักษณะนั้น นักลงทุนก็สามารถจะทำผลตอบแทนได้ดีเช่นเดียวกัน อาจจะไม่จำเป็นต้องมาทำผ่านกองทุน หรือสามารถจะไปลงทุนผ่านกองทุนหุ้นปกติทั่วไปแล้วนักลงทุนกำหนดเป้าหมายที่ จะออกเองได้ เช่น 10% หรือ 20% เมื่อกองทุนหุ้นปรับตัวขึ้นมาถึงเป้าหมายที่นักลงทุนต้องการก็สามารถขายทำ กำไรออกมาเองได้ นั่นเป็นภาวะตลาดหุ้นขาขึ้น กองทุนทาร์เก็ตฟันด์อาจจะไม่น่าสนใจนัก แต่กองทุนทาร์เก็ตฟันด์จะมีประโยชน์มากในช่วงตลาดหุ้นไม่ดี เพราะถึงตอนนั้นการจะทำผลตอบแทน 10% หรือ 20% ในช่วงที่ตลาดหุ้นไม่ดีถือว่าไม่ง่าย กองทุนทาร์เก็ตฟันด์ก็จะเข้ามามีประโยชน์กับนักลงทุนมากขึ้นในภาวะตลาดหุ้นที่ลงทุนยากแบบนี้
@ ช่วยให้ลงทุนในหุ้นได้ง่ายขึ้น
ด้าน “วนา พูลผล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ยูโอบี (ไทย) บอกว่า กองทุนทาร์เก็ตฟันด์น่า จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักลงทุนทั่วไปที่สนใจจะเข้ามาลงทุนในหุ้นได้ เข้ามาใช้ในเบื้องต้นก่อน เพื่อที่จะมาเรียนรู้กับโอกาสในการสร้างผลตอบแทนในหุ้น ซึ่งนักลงทุนกลุ่มที่ไม่เคยลงทุนในหุ้นมาก่อนเลยและอาจจะคุ้นเคยกับการฝาก เงินเพียงอย่างเดียวในแง่ของผลตอบแทนในปัจจุบันอาจจะค่อนข้างต่ำ ซึ่งหากนักลงทุนการจัดสรรเงินลงทุนบางส่วนเพื่อมาแสวงหาผลตอบแทนจากการลงทุน ในหุ้นแล้ว กองทุนทาร์เก็ตฟันด์น่า จะช่วยตอบโจทย์ในเรื่องนี้ได้ง่ายขึ้น เพราะแม้จะเป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นแต่ก็มีการกำหนดผลตอบแทนและระยะ เวลาการลงทุนเอาไว้ชัดเจนแน่นอน เหมือนกับนักลงทุนได้ลองจัดสรรเงินมาเรียบร้อยแล้วว่าเงินจำนวนนี้สามารถรับ ความเสี่ยงได้บ้างก็เอามาทดลองดูผ่านกองทุนทาร์เก็ตฟันด์เหมือนกับลุ้นผลตอบแทนในช่วงเวลาที่ตัวเองสามารถรับได้
“หรือนักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นโดยตรงอยู่แล้วก็สามารถใช้กองทุนทาร์เก็ตฟันด์ให้เป็นประโยชน์ได้เช่นเดียวกัน โดยอาจจะแบ่งเงินที่ลงทุนในหุ้นบางส่วนมาลงทุนผ่านกองทุนทาร์เก็ตฟันด์เพื่อ ให้มั่นใจว่าในทุกภาวะตลาดหากการลงทุนส่วนตัวหุ้นที่ลงทุนไว้เกิดไม่วิ่งจะ ได้ไม่พลาดท่าตกรถไป หรือจะลงทุนเพื่อใช้เปรียบเทียบกับการลงทุนส่วนตัวของตัวเองดูในเบื้องต้นก็ ได้ เพื่อให้เกิดความคุ้นเคยกับการลงทุนในหุ้นผ่านกองทุนรวมในเบื้องต้นซึ่งอาจ จะทำให้นักลงทุนเกิดความมั่นใจแล้วขยับขยายมาสู่การลงทุนผ่านกองทุนรวมกับ กองทุนรวมนโยบายอื่นๆ ติดตามมาในอนาคตก็ได้”
@ จังหวะในการออกกองทุนสำคัญ
โดย “ดร.ศุภกร สุนทรกิจ” รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี อธิบายว่า การจะออกกองทุนทาร์เก็ตฟันด์ให้ประสบความสำเร็จ “จังหวะในการออกกองทุน” ถือว่ามีความสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นกองทุนทาร์เก็ตฟันด์หุ้น ในประเทศ หรือสินทรัพย์ในต่างประเทศไม่ว่าจะเป็น “น้ำมัน” หรือ “ทองคำ” หรือ “หุ้นในต่างประเทศ” ก็ตาม และนี่คือความยากของการทำกองทุนทาร์เก็ตฟันด์ เพราะ “จังหวะที่ดีในการลงทุน” มักจะไม่ใช่ “จังหวะที่ดีในการขายกองทุน” ดังนั้นกลุ่มลูกค้าที่จะมาลงทุนผ่านกองทุนทาร์เก็ตฟันด์จะ ต้องมีมุมมองเดียวกันกับผู้จัดการกองทุน มีความเชื่อที่สอดคล้องกันเกี่ยวกับทิศทางของตลาดและเป้าหมายที่จะมุ่งไปสู่ จึงไม่น่าแปลกใจว่ากองทุนทาร์เก็ตฟันด์มักจะเป็นกองทุนที่ไม่มีขนาดกองใหญ่มากนักก็ด้วยเหตุนี้ แต่กองทุนทาร์เก็ตฟันด์ที่ ออกถูกจังหวะการลงทุนก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้ กับนักลงทุนได้เช่นเดียวกันและถือเป็นอีกทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจสำหรับ นักลงทุนไทยในปัจจุบัน
“โดยเฉพาะกองทุนทาร์เก็ตฟันด์ที่ ไปลงทุนในทองคำ น้ำมัน หรือหุ้นต่างประเทศ การจับจังหวะการออกกองทุนถือว่ามีผลมากที่จะทำให้กองทุนมีโอกาสฮิตผลตอบแทน ภายในระยะเวลาที่กำหนดหรือไม่ โดยในปี 2552 ที่ผ่านมา กองทุนทาร์เก็ตฟันด์ของ บริษัทฮิตเป้าหมายไปถึง 6 กองทุน ตัวอย่าง กอง I-BRIC Recovery กองทุนแรกที่สร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหน่วยลงทุนได้ 14% จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 10% ภายในเวลาประมาณ 10 เดือน และกองทุนเปิด I-OIL 15S1 ที่ได้ผลตอบแทน 15% ตามเป้าหมายภายในเวลาประมาณ 2.5 เดือน รวมทั้งกองทุนเปิดเอ็มเอฟซีสปอท 10 ซีรีส์ 1 (SPOT10S1) ที่ฮิตผลตอบแทนเร็วที่สุด 10% ในระยะเวลาเพียง 1 เดือน 15 วัน เป็นต้น”
@ การกำหนดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นสำคัญ
นอกจากจังหวะในการออกกองทุนทาร์เก็ตฟันด์จะมีผลต่อโอกาสในความสำเร็จของกองทุนแล้ว “การเลือกหุ้นลงทุน” ก็สำคัญ โดยวนาบอกว่า กองทุนทาร์เก็ตฟันด์นี้ จะประสบความสำเร็จฮิตเป้าหมายได้หรือไม่นั้น การเลือกหุ้นมีส่วนสำคัญเช่นเดียวกัน ซึ่งตรงนี้ต้องอาศัยทักษะและความชำนาญของผู้จัดการกองทุนเป็นสำคัญ อย่างกองทุนยูโอบีซุปเปอร์สไตรค์ของบริษัทก็ฮิตไปถึง 2 กองทุน โดยกองซุปเปอร์สไตรค์1 ปิดกองภายใน 1 เดือนครึ่ง ด้วยผลตอบแทน 10.53% และกองทุนซุปเปอร์สไตรค์ 2 ปิดกองภายใน 2 เดือนกว่า ด้วยผลตอบแทน 10.63% โดยกลยุทธ์ที่สำคัญในการลงทุนของบริษัทจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1. การกำหนดสัดส่วนการลงทุนที่ถูกต้อง โดยพิจารณาจากปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจรวมที่สำคัญทั้งภายในประเทศและต่าง ประเทศ รวมทั้งการใช้จิตวิทยาในการลงทุนประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อให้ได้ผล ตอบแทนตามเป้าหมาย
2. การเลือกหุ้นเพื่อลงทุนโดยจะโฟกัสหุ้นประมาณ 10-15 ตัว เพื่อลงทุน โดยดูจากปัจจัยพื้นฐานและสถานะของบริษัท ระดับราคาเมื่อเทียบกับมูลค่าของบริษัทรวมทั้งทิศทาง แนวโน้ม รวมถึงข่าวและปัจจัยที่จะมีผลกระทบต่อบริษัท
“กองทุนทาร์เก็ตฟันด์นี้ การให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นถือว่ามีความสำคัญเช่นกัน ในบางครั้งที่ตลาดขึ้นมามากก็จำเป็นต้องขายหุ้นเพื่อเก็บกำไรเอาไว้ก่อน เพื่อรอโอกาสในการลงทุนครั้งใหม่ เป็นการสะสมแต้มไปเรื่อยๆ จนถึงเป้าหมาย อย่างกองทุนซุปเปอร์สไตรค์ของบริษัทนั้นจะกำหนดเป้าหมาย 10% ในปีแรก ถ้าไม่ฮิตจะเพิ่มเป็น 20% ในปีที่ 2 แต่ที่ผ่านมาก็สามารถปิดกองได้ก่อนครบกำหนดทั้ง 2 กองทุน และกำลังรอลุ้นกองซุปเปอร์สไตรค์ 3 ให้ฮิตผลตอบแทนอยู่เช่นเดียวกัน”
@ เน้นส่งมอบผลตอบแทนให้นักลงทุน
โดยมนรัฐบอกว่า กองทุนทาร์เก็ตฟันด์ไม่ใช่จะฮิตเป้าหมายไปทุกกองทุน แน่นอนว่ากองทุนทาร์เก็ตฟันด์มี ความมุ่งหมายที่จะส่งมอบผลตอบแทนตามที่ได้ตั้งใจไว้ให้กับนักลงทุนให้ได้ภาย ในระยะเวลาการลงทุนที่กำหนด หรือในกรณีที่ไม่ฮิตเป้าหมายที่ตั้งไว้ก็จะพยายามส่งมอบผลตอบแทนให้ใกล้ เคียงกับเป้าหมายให้มากที่สุดกับนักลงทุน เช่น ตั้งเป้าไว้ 20% แล้วทำได้ 15% แบบนี้นักลงทุนก็ยังพอใจและรับได้เป็นไปในทิศทางที่เขาคาดหวัง หรือในกรณีที่ตลาดหุ้นโดยรวมติดลบแต่กองทุนยังสามารถส่งมอบผลตอบแทนที่เป็น บวกกับนักลงทุนได้ เชื่อว่านักลงทุนก็จะพึงพอใจเช่นกัน แต่กองทุนทาร์เก็ตฟันด์โดย ลักษณะแล้วในที่สุดของโครงการผลตอบแทนไม่ควรติดลบแม้ว่าจะไม่ฮิตเป้าหมายก็ ตาม เพราะนั่นไม่ได้เป็นความคาดหวังของนักลงทุนที่เลือกเข้ามาลงทุนในกองทุน ประเภทนี้ อย่างน้อยที่สุดเงินต้นที่ลงทุนไว้ก็ควรจะอยู่ซึ่งตรงนี้คืองานของผู้จัดการ กองทุนที่ต้องทำให้ดีที่สุดในการบริหารกองทุนทาร์เก็ตฟันด์
ตัวอย่างกองทุนเปิดวรรณอิควิตี้ 20% ทริกเกอร์ ฟันด์ (ONE-TRIGGER) ของบริษัท มีเป้าหมายที่จะพยายามสร้างผลตอบแทนให้ได้ 20% ในระยะเวลา 1 ปี 6 เดือน ซึ่งเป็นสไตล์การลงทุนที่ไม่ได้เกาะไปกับดัชนีเทียบวัดหรือดัชนีตลาดหุ้นไทย แต่ประการใด แต่มุ่งเน้นสร้างผลตอบแทนให้ได้ตามเป้าหมายเป็นหลัก โดยการบริหารพอร์ตจะเป็นสไตล์ Bottom up Approach คือเน้นการคัดเลือกหุ้นเป็นสำคัญและไม่ได้เน้นการเปรียบเทียบกับ Benchmark โดยจะโฟกัสหุ้นลงทุนประมาณ 15 -20 ตัว และจะใช้ "กลยุทธ์การล็อกกำไร (Lock in Profit)"
“โดยผู้จัดการกองทุนจะเน้นทำกำไรเหมือนค่อยๆ หยอดกำไรใส่กระปุกไปจนครบ 20% ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุดในการลงทุนในปี 2553-2554 นี้ ในบางครั้งหุ้นที่ถืออยู่ขึ้นมา 3% เราก็พร้อมขายถ้ามองว่าทิศทางตลาดไม่ดีแล้วราคาหุ้นไปต่อไม่ได้ 3% ก็ต้องขายเอากำไรไว้ก่อน ประเด็นคือเราจะพยายามรักษากำไรและรักษาเงินต้นเอาไว้ไม่ให้เสียหาย”
@ ชูกลยุทธ์ลงทุนแบบ Absolute Return
โดยมนรัฐ ยอมรับว่า จังหวะในการออกกองทุนถือว่ามีส่วนสำคัญเช่นกัน แต่ที่สำคัญจะต้องมีกลยุทธ์การลงทุนที่ดีด้วย ซึ่งจุดเด่นของกองทุนทาร์เก็ตฟันด์คือ การลงทุนแบบโฟกัสหุ้นและ “ไม่เกาะไปกับ Benchmark” ในจังหวะที่เรามองว่าตลาดไม่ดีก็สามารถที่จะขายหุ้นทิ้งทั้งหมดมาถือเงินสด 100% ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งกองทุนหุ้นปกติจะทำลักษณะนี้ไม่ได้ เพราะต้องสร้างผลตอบแทนอิงกับ Benchmark ดังนั้นหุ้นที่มีผลต่อการคำนวณดัชนีกองทุนหุ้นทั่วไปจะต้องคงสัดส่วนการลง ทุนเอาไว้ตลอด ทำได้เต็มที่คือการเพิ่มหรือลดน้ำหนักหุ้นตัวนั้นให้มากกว่าหรือน้อยกว่า ดัชนีอ้างอิงเท่านั้น เพราะการที่จะมาไม่มีหุ้นที่มีผลต่อการคำนวณดัชนีเลยหากตลาดกลับทางผลตอบแทน ของกองทุนหุ้นกองนั้นอาจจะตามตลาดไม่ทันเลยก็ได้ แต่กองทุนทาร์เก็ตฟันด์สามารถทำได้นี่คือความยืดหยุ่นที่มีมากกว่ากองทุนหุ้นทั่วไป เราจะมีหุ้นตัวหนึ่งหรือไม่มีเลยก็ได้
“แต่ด้วยกลยุทธ์ที่วางไว้จะคงสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไว้ 85% และเงินสดประมาณ 15% เพื่อหาจังหวะในการลงทุน จากการศึกษาข้อมูลสถิติผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยในอดีตรายไตรมาสย้อนหลังไป 3 ปี 5 ปี 7 ปี และ 10 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาการลงทุนที่ครบวงจรเศรษฐกิจผ่านช่วงวิกฤติต่างๆ มามากมายนั้นพบว่า ในแต่ละไตรมาสของแต่ละช่วงเวลานั้นจะมีหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ให้ผลตอบแทน ดีกว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ทุกไตรมาสอย่างน้อย 3 กลุ่มอุตสาหกรรม ไม่ว่าสภาวะตลาดหุ้นจะเป็นเช่นไรก็ตาม เราเพียงแต่ต้องหาหุ้นให้ถูกกลุ่มและถูกตัวเพื่อลงทุนเท่านั้น โดยเราจะมีทั้ง Stop Gain และ Stop Loss เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางเอาไว้ให้ได้”
มนรัฐ ยังบอกอีกว่า ตลาดหุ้นไทยในปี 2553 ยังมีความน่าสนใจอยู่ จากการศึกษาการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทยย้อนหลัง 15 ปี พบว่าในช่วงวิกฤติที่ตลาดหุ้นมีการปรับตัวลงแรงประมาณ 50-80% เช่นในปี 2540, 2543 และ 2551 ตลาดหุ้นไทยจะมีการปรับตัวขึ้นค่อนข้างมากเมื่อมีสัญญาณในเชิงบวก เช่น ในปี 2541, 2546 และ 2552 โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากประมาณ 35 -100% และในภาวะปกติตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นลงเฉลี่ยประมาณ 5 - 20% ซึ่งในปี2553 นี้ บริษัทมองว่าตลาดหุ้นไทยจะมีการเคลื่อนไหวเป็นปกติ โดยจะมีผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นไทยประมาณ 15% เป็นส่วนของกำไรจากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น (Capital Gain) 11% และเงินปันผลอีก 4% ซึ่งกองทุน ONE-TRIGGER จะพยายามทำผลตอบแทน 15% แรกให้ได้ในปี2553 นี้ และอีก 5% ที่เหลือในอีก 6 เดือนของปี 2554
“โดยหุ้นทุกตัวที่ลงทุนจะต้องมีการเช็คตลอดระยะเวลาที่ลงทุน สมมติหุ้นที่ลงทุนมีผลตอบแทน 5% เราต้องมาดูต่อว่าหุ้นนั้นยังควรถือต่อไปมั้ย ถ้ามีโอกาสที่ราคาจะไปต่อก็ถือต่อ แต่ถ้าไม่ก็ต้องเปลี่ยนตัวลงทุนโดยขายตัวเก่าออกไปถือตัวใหม่ที่มีอัพไซด์ดี กว่า หรือกรณีที่หุ้นปรับตัวลงมาถึงระดับ 8% จะต้องมีการตัดขาดทุน (Cut Loss) ทันที เพราะจากสถิติของตลาดหุ้นไทยในอดีตบอกว่าที่ระดับ -8% ยังสามารถที่จะสร้างผลตอบแทนคืนมาได้ไม่ลำบากนัก ถือเป็นกลยุทธ์การลงทุนในลักษณะ Absolute Return เพื่อส่งมอบผลตอบแทนที่เป็นบวกตามเป้าหมายให้กับนักลงทุนให้ได้นั่นเอง”
เชื่อว่ากองทุนทาร์เก็ตฟันด์จะ ช่วยทำให้การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงของนักลงทุนไทยง่ายขึ้นได้ไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดของสินทรัพย์เสี่ยงค่อนข้างผันผวนเช่นนี้ การกระจายเงินลงทุนบางส่วนมาเพื่อลุ้นโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าน่าจะ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนไทยได้เป็นอย่างดี
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... B9%8C.html