คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 511
พอดีที่บริษัทเลื่อนเดินทางเป็นพรุ่งนี้
เลยแวะเข้ามาทักทายเฉยๆครับ
วันนี้ตลาดลบไป 14 จุด
ลบต่อกันเป็นวันที่สอง
ถ้าลบอย่างนี้ไปอีกหลายๆวัน
ก็น่าจะเก็บของกันได้นะครับ
เอาบริษัทที่เล็งไว้
แล้วคนกลัวเทขายกันมากๆ
แต่อนาคตยังดี
ราคาไม่แพง
ถือไว้ได้สักสองสามปี
แล้วยังนอนหลับ
ถ้าจับพลัดจับพลู ราคาลงอีก
เรายังคงซื้อเพิ่มได้ทำนองนี้
ผมชอบมากๆเลย
เวลาที่ตลาดตกใจสุดขีดแบบนี้
โดยเฉพาะกราฟ" ท่าเรือดำน้ำ" ที่สวยงาม
ผมต้องเดินทางไปหลายวัน
จะกลับเข้าออฟฟิศอีกทีก็คงวันอังคารหน้า
คงหายไปหลายวัน
ช่วงนี้ก็โชคดีเก็บของตอนน้ำลดกันให้สนุกนะครับ
See U!!!
เลยแวะเข้ามาทักทายเฉยๆครับ
วันนี้ตลาดลบไป 14 จุด
ลบต่อกันเป็นวันที่สอง
ถ้าลบอย่างนี้ไปอีกหลายๆวัน
ก็น่าจะเก็บของกันได้นะครับ
เอาบริษัทที่เล็งไว้
แล้วคนกลัวเทขายกันมากๆ
แต่อนาคตยังดี
ราคาไม่แพง
ถือไว้ได้สักสองสามปี
แล้วยังนอนหลับ
ถ้าจับพลัดจับพลู ราคาลงอีก
เรายังคงซื้อเพิ่มได้ทำนองนี้
ผมชอบมากๆเลย
เวลาที่ตลาดตกใจสุดขีดแบบนี้
โดยเฉพาะกราฟ" ท่าเรือดำน้ำ" ที่สวยงาม
ผมต้องเดินทางไปหลายวัน
จะกลับเข้าออฟฟิศอีกทีก็คงวันอังคารหน้า
คงหายไปหลายวัน
ช่วงนี้ก็โชคดีเก็บของตอนน้ำลดกันให้สนุกนะครับ
See U!!!
-
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 513
ผมเห็นพวกพี่ๆชอบมองหาบริษัทที่มีค่า ROE สูงๆอยากทราบ ว่ามันดีกว่าค่า ROA อย่างไรครับ ทำไมเราถึงไม่ใช้ ROA ครับ หรือถ้าจะเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของทั้ง 2 ตัวยิ่งดีครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 514
แวะเข้ามาทักทายครับ
ยังไม่ได้กลับกรุงเทพเลยนะครับ
ตอนนี้ยังเร่ร่อนอยู่ต่างจังหวัด
พอดีมีเวลาเลยแวะเข้ามา
ผมหายไปสามสี่วัน
กระทู้นี้มีคนอ่านเพิ่มจากหมื่นสองเป็นหมื่นสี่พันครั้ง
เพิ่มขึ้นประมาณสองพันครั้ง
วันละประมาณ ห้าร้อยครั้ง
แสดงว่า
ตลาดเริ่มตกอีกครั้ง
ผู้คนเริ่มกลับมาสนใจใน VI
หลังจากที่พบว่า
การเก็งกำไรมันไม่ใช่สิ่งที่จีรังแน่นอน
วันนี้"ได้"พรุ่งนี้"เสีย"
พี่ผมที่เป็นนักเก็งกำไรมืออาชีพ
ตอนนี้พักงานแล้วครับ
บอกว่าตอนนี้สัญญานไม่ดีเยอะ
ต้องออกจากตลาด(ชั่วคราว)
มืออาชีพออกจากงานเลี้ยงแล้วนะครับ
ท่านมือสมัครเล่นทั้งหลาย
ก็อย่าเต้นรำจนเพลินละครับ
เมื่อวันศุกร์ กลต ประกาศ
ต้องมีหลักทรัพย์ 10% สำหรับวงเงินซื้อขาย
พร้อมยกเลิก Net Settlement
งานนี้ละครับ
ผมว่าอาทิตย์หน้าหุ้นลงแน่นอน
ผสมโรงพร้อมกับฝรั่งขายหุ้นทิ้ง
ปิดบัญชีปลายปี
เตรียมเที่ยวคริสมาส
ชาว VI เตรียมช้อนไว้เลยครับ
หลายๆคัน
ผมก็เริ่มเก็บบ้างแล้ว
แต่ผมซื้อแค่ตัวเดียวครับ
ไม่กระจายพอร์ต
อาจจะลดบางบริษัทลงด้วยครับ
เพื่อไม่ให้พอร์ตมีหุ้นมากตัวเกินไป
ตัวไหนดีกว่าก็เก็บไว้ครับ
บางตัวก็เปลี่ยนเป็นบริษัทที่ดีกว่าแทน
แต่ขายไม่มากหรอกครับ
ผมจะขายหุ้นด้วยเหตุผลแค่สองประการ
หนึ่ง พื้นฐานบริษัทเปลี่ยน
สอง ผมเห็นโอกาสที่ดีกว่า
ตอนแรก
ผมคิดว่า
ผมจะบอกว่าหุ้นในพอร์ตผมมีอะไรบ้าง
แต่คิดไปคิดมา
ผมว่าบางท่านที่ใช้หลักการแบบเดียวกันในกระทู้นี้
แต่ถือหุ้นไม่ซ้ำกับผม
บางท่านทำกำไรได้มากกว่าผมแน่นอนเลยครับ
และผมก็คิดว่าเราไม่ต้องถือหุ้นตัวเดียวกัน(นี่หว่า)
ก็เลยตัดสินใจคุยกันเรื่องหลักการต่อ
ผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นเป็นเท่าไหร่
เหมือนเอาเงินไปฝากแบงค์แล้ว
แบงค์ให้ผลตอบแทนเราเป็นดอกเบี้ย
แต่นี่เราเอาเงินไปให้ผู้บริหารบริษัท
แล้เขาทำกำไรให้เราได้เท่าไหร่
ROE เป็นตัวบอกความสามารถของบริษัทครับ
โดยเฉพาะความสามารถของผู้บริหาร
บางอุตสาหกรรมมี ROE ต่ำ
แต่บริษัทที่เยี่ยมๆอาจจะทำให้ ROE สูงได้
เช่น อุตสาหกรรมการบินพาณิชย์
บริษัทส่วนใหญ่จะมี ROE ต่ำเพราะต้องลงทุนสูง
เครื่องบินลำนึงหลายพันล้านบาท
ค่าบำรุงรักษามหาศาล
ไหนต้องจ้างกัปตันแพงๆ
แถมคู่แข่งก็เยอะ
ตัดราคากันเป็นว่าเล่น
ทำบริษัทให้อยู่รอดได้ก็เก่งแล้ว
ปรากฏว่า
มีบริษัท Southwest Airline ที่อเมริกาครับ
ทำกำไรได้ตลอด แถม ROE สูงกว่าชาวบ้านเยอะ
ถ้าผู้บริหารเก่งๆก็สามารถทำได้ครับ
แต่นานๆมีที
หน้าที่นักลงทุนอย่างเราก็คือ
หลีกเลี่ยงอุตสาหกรรมที่ไม่มีอนาคตเหล่านี้หละครับ
ยกเว้นจะมีบริษัทอย่าง Southwest Airline
ถึงจะยอมควักตังค์ไปลงทุน
ข้อดีอีกอย่างของ ROE ก็คือ
การที่บอกเราว่า
การเพิ่มกำไรของบริษัทนั้น
จะต้องเพิ่มส่วนผู้ถือหุ้นหรือเพิ่มเงินทุนเท่าไหร่
เช่น
บริษัท ก มี ROE =10%
หมายความว่า เดิมบริษัท ก มีกำไร 100 ล้านบาท
จากส่วนผู้ถือหุ้น 1000 ล้านบาท
ถ้าบริษัทต้องการเพิ่มกำไรเป็น 200 ล้านบาท
ก็จะต้องเพิ่มเงินลงทุนในส่วนผู้ถือหุ้นอีกพันล้านเป็น 2000 ล้านบาท
เพราะบริษัทนี้ทำ ROE ได้ 10%
ขณะเดียวกัน
บริษัท ข มี ROE =20%
หมายความว่า เดิมบริษัท ข มีกำไร 100 ล้านบาท
จากส่วนผู้ถือหุ้น 500 ล้านบาท
ถ้าบริษัทต้องการเพิ่มกำไรเป็น 200 ล้านบาท
ก็จะต้องเพิ่มเงินลงทุนในส่วนผู้ถือหุ้นอีก 500ล้านเป็น 1000 ล้านบาท
เพราะบริษัทนี้ทำ ROE ได้ 20%
บริษัท ข เพิ่มเงินลงทุนน้อยกว่าบริษัท ก
แต่ได้กำไรเท่ากัน
ถ้าเป็นเราเราชอบให้มีการเพิ่มทุนเยอะๆบ่อยๆหรือเปล่า
ถ้าใช่ก็ต้องเลือกบริษัทที่มี ROE ต่ำๆ
ถ้าไม่ชอบการแจกวอร์แรนต์ ไม่ชอบการเพิ่มทุน
ก็ต้องเลือกบริษัท ROE สูงๆ
เพราะไม่ต้องเพิ่มการลงทุนมากก็เพิ่มกำไรได้เท่ากัน
ผมว่า ROE สำคัญกว่าที่เราคิดครับ
แต่ต้องดูนะครับ
ว่า กำไรในงบบัญชีของบริษัทนั้นมีคุณภาพแค่ไหน
ระวังพวกจะเล่นแต่งบัญชี
ให้กำไรเยอะ ROEก็สูงได้ครับ
ถ้าให้ดู ต้องดูย้อนหลังหลายๆปี
ถ้า ROE สูงสม่ำเสมอ ก็ใช่เลย
ถ้าสูงบ้างต่ำบ้าง
ก็ต้องระวังว่าจะเป็นธุรกิจแบบ Cyclical
ถามว่าทำไม่ไม่ใช่ ROA
ก็เพราะ ROA รวมส่วน Current Liability เข้ามาด้วย
ซึ่งส่วนนี้จะตัดกับ Current Asset อยู่แล้ว
ทำให้ไม่ได้ภาพที่แท้จริงของเงินผู้ถือหุ้น
ถ้าให้ดี
ใช้ ROTC ดีกว่า
ก็คือ Return on Total Capital
= NIAT/(Longterm Debt + Equity)
เพื่อตัดปัญหาบริษัทที่มีหนี้เยอะแล้วทำให้ ROE สูงหลอกคนดู
ถ้าใช้ ROTC ละก็จับได้คาหนังคาเขาเลยละครับ
แต่ก่อนจบ
ก็อย่างที่พี่ Chatchai เคยแสดงไว้ให้ดูกันละครับ
ว่าการดูแค่ ROE อย่างเดียว
ไม่ได้บอกว่า บริษัทนั้นน่าลงทุนนะครับ
ต้องดูหลายๆอย่างประกอบกัน
บัญชีก็แต่งกันได้
ROE ก็หลอกกันได้ (โดยใช้เงินกู้เยอะๆ)
ก็ค่อยๆดูไปครับ
ค่อยๆศึกษา
ค่อยๆฝึกลงทุน
ไม่มีใครเกิดมาแล้วลงทุนเป็นเลยหรอกครับ
เพราะฉนั้น
ผมคิดอยู่เสมอว่า
ไม่มีใครแก่เกินเรียน
แล้วไม่มีวันสาย ถ้าเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้
อย่างสุภาษิตจีนบอกไว้ครับว่า
"ต้นไม้หนึ่งต้นใช้เวลายี่สิบปีกว่าจะโตจนได้ร่มเงา
ดังนั้นเวลาที่ดีที่สุดที่จะปลูกมัน ก็คือ...... วันนี้"
อ้อ ขอปรบมือให้คุณ Corner และคุณ Mon ด้วยครับ
ในฐานะสละเวลาส่วนตัว
นำเนื้อหาในกระทู้ไปรวมเล่ม
เพื่อให้ชาว TVI ทุกท่าน
ไม่ต้องเพ่งสายตาอ่านบนหน้าจอ
มาอ่านเป็นหนังสือแทน
ถ้ารวมเล่มแล้ว
ไม่มีสำนักพิมพ์ไหนพิมพ์
ผมว่าเราลงขันกัน
พิมพ์แจกชาว TVI กันเองซะเลย
จะได้มีไว้ประดับบ้าน
อ่านแก้เหงา (เวลาหุ้นขึ้น)
ถ้าให้ดี
ผมแนะนำไปแล้วว่า
ให้รวมบทความของคุณธันวาและคุณมน
ตอนสัมมนาที่ตลาดเข้าไปด้วย
จะได้ครบหลักสูตร
ส่วน Investor Guide ของคุณมน
ผมว่าพิมพ์แยกเล่มต่างหากดีกว่า
คุณมนจะได้ดังคนเดียว อิ อิ
เอาล่ะครับ
พบกันใหม่ อาทิตย์หน้าครับ
ช่วงนี้เดินสายครับ ไม่ค่อยว่างเข้ามา
แต่ก็หวังว่าแฟนๆก็ยังคงติดตามกันอยู่นะครับ
สวัสดีครับ
ยังไม่ได้กลับกรุงเทพเลยนะครับ
ตอนนี้ยังเร่ร่อนอยู่ต่างจังหวัด
พอดีมีเวลาเลยแวะเข้ามา
ผมหายไปสามสี่วัน
กระทู้นี้มีคนอ่านเพิ่มจากหมื่นสองเป็นหมื่นสี่พันครั้ง
เพิ่มขึ้นประมาณสองพันครั้ง
วันละประมาณ ห้าร้อยครั้ง
แสดงว่า
ตลาดเริ่มตกอีกครั้ง
ผู้คนเริ่มกลับมาสนใจใน VI
หลังจากที่พบว่า
การเก็งกำไรมันไม่ใช่สิ่งที่จีรังแน่นอน
วันนี้"ได้"พรุ่งนี้"เสีย"
พี่ผมที่เป็นนักเก็งกำไรมืออาชีพ
ตอนนี้พักงานแล้วครับ
บอกว่าตอนนี้สัญญานไม่ดีเยอะ
ต้องออกจากตลาด(ชั่วคราว)
มืออาชีพออกจากงานเลี้ยงแล้วนะครับ
ท่านมือสมัครเล่นทั้งหลาย
ก็อย่าเต้นรำจนเพลินละครับ
เมื่อวันศุกร์ กลต ประกาศ
ต้องมีหลักทรัพย์ 10% สำหรับวงเงินซื้อขาย
พร้อมยกเลิก Net Settlement
งานนี้ละครับ
ผมว่าอาทิตย์หน้าหุ้นลงแน่นอน
ผสมโรงพร้อมกับฝรั่งขายหุ้นทิ้ง
ปิดบัญชีปลายปี
เตรียมเที่ยวคริสมาส
ชาว VI เตรียมช้อนไว้เลยครับ
หลายๆคัน
ผมก็เริ่มเก็บบ้างแล้ว
แต่ผมซื้อแค่ตัวเดียวครับ
ไม่กระจายพอร์ต
อาจจะลดบางบริษัทลงด้วยครับ
เพื่อไม่ให้พอร์ตมีหุ้นมากตัวเกินไป
ตัวไหนดีกว่าก็เก็บไว้ครับ
บางตัวก็เปลี่ยนเป็นบริษัทที่ดีกว่าแทน
แต่ขายไม่มากหรอกครับ
ผมจะขายหุ้นด้วยเหตุผลแค่สองประการ
หนึ่ง พื้นฐานบริษัทเปลี่ยน
สอง ผมเห็นโอกาสที่ดีกว่า
ตอนแรก
ผมคิดว่า
ผมจะบอกว่าหุ้นในพอร์ตผมมีอะไรบ้าง
แต่คิดไปคิดมา
ผมว่าบางท่านที่ใช้หลักการแบบเดียวกันในกระทู้นี้
แต่ถือหุ้นไม่ซ้ำกับผม
บางท่านทำกำไรได้มากกว่าผมแน่นอนเลยครับ
และผมก็คิดว่าเราไม่ต้องถือหุ้นตัวเดียวกัน(นี่หว่า)
ก็เลยตัดสินใจคุยกันเรื่องหลักการต่อ
ROE เป็นตัวบอกว่าNum เขียน: ผมเห็นพวกพี่ๆชอบมองหาบริษัทที่มีค่า ROE สูงๆอยากทราบ ว่ามันดีกว่าค่า ROA อย่างไรครับ ทำไมเราถึงไม่ใช้ ROA ครับ หรือถ้าจะเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของทั้ง 2 ตัวยิ่งดีครับ
ผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นเป็นเท่าไหร่
เหมือนเอาเงินไปฝากแบงค์แล้ว
แบงค์ให้ผลตอบแทนเราเป็นดอกเบี้ย
แต่นี่เราเอาเงินไปให้ผู้บริหารบริษัท
แล้เขาทำกำไรให้เราได้เท่าไหร่
ROE เป็นตัวบอกความสามารถของบริษัทครับ
โดยเฉพาะความสามารถของผู้บริหาร
บางอุตสาหกรรมมี ROE ต่ำ
แต่บริษัทที่เยี่ยมๆอาจจะทำให้ ROE สูงได้
เช่น อุตสาหกรรมการบินพาณิชย์
บริษัทส่วนใหญ่จะมี ROE ต่ำเพราะต้องลงทุนสูง
เครื่องบินลำนึงหลายพันล้านบาท
ค่าบำรุงรักษามหาศาล
ไหนต้องจ้างกัปตันแพงๆ
แถมคู่แข่งก็เยอะ
ตัดราคากันเป็นว่าเล่น
ทำบริษัทให้อยู่รอดได้ก็เก่งแล้ว
ปรากฏว่า
มีบริษัท Southwest Airline ที่อเมริกาครับ
ทำกำไรได้ตลอด แถม ROE สูงกว่าชาวบ้านเยอะ
ถ้าผู้บริหารเก่งๆก็สามารถทำได้ครับ
แต่นานๆมีที
หน้าที่นักลงทุนอย่างเราก็คือ
หลีกเลี่ยงอุตสาหกรรมที่ไม่มีอนาคตเหล่านี้หละครับ
ยกเว้นจะมีบริษัทอย่าง Southwest Airline
ถึงจะยอมควักตังค์ไปลงทุน
ข้อดีอีกอย่างของ ROE ก็คือ
การที่บอกเราว่า
การเพิ่มกำไรของบริษัทนั้น
จะต้องเพิ่มส่วนผู้ถือหุ้นหรือเพิ่มเงินทุนเท่าไหร่
เช่น
บริษัท ก มี ROE =10%
หมายความว่า เดิมบริษัท ก มีกำไร 100 ล้านบาท
จากส่วนผู้ถือหุ้น 1000 ล้านบาท
ถ้าบริษัทต้องการเพิ่มกำไรเป็น 200 ล้านบาท
ก็จะต้องเพิ่มเงินลงทุนในส่วนผู้ถือหุ้นอีกพันล้านเป็น 2000 ล้านบาท
เพราะบริษัทนี้ทำ ROE ได้ 10%
ขณะเดียวกัน
บริษัท ข มี ROE =20%
หมายความว่า เดิมบริษัท ข มีกำไร 100 ล้านบาท
จากส่วนผู้ถือหุ้น 500 ล้านบาท
ถ้าบริษัทต้องการเพิ่มกำไรเป็น 200 ล้านบาท
ก็จะต้องเพิ่มเงินลงทุนในส่วนผู้ถือหุ้นอีก 500ล้านเป็น 1000 ล้านบาท
เพราะบริษัทนี้ทำ ROE ได้ 20%
บริษัท ข เพิ่มเงินลงทุนน้อยกว่าบริษัท ก
แต่ได้กำไรเท่ากัน
ถ้าเป็นเราเราชอบให้มีการเพิ่มทุนเยอะๆบ่อยๆหรือเปล่า
ถ้าใช่ก็ต้องเลือกบริษัทที่มี ROE ต่ำๆ
ถ้าไม่ชอบการแจกวอร์แรนต์ ไม่ชอบการเพิ่มทุน
ก็ต้องเลือกบริษัท ROE สูงๆ
เพราะไม่ต้องเพิ่มการลงทุนมากก็เพิ่มกำไรได้เท่ากัน
ผมว่า ROE สำคัญกว่าที่เราคิดครับ
แต่ต้องดูนะครับ
ว่า กำไรในงบบัญชีของบริษัทนั้นมีคุณภาพแค่ไหน
ระวังพวกจะเล่นแต่งบัญชี
ให้กำไรเยอะ ROEก็สูงได้ครับ
ถ้าให้ดู ต้องดูย้อนหลังหลายๆปี
ถ้า ROE สูงสม่ำเสมอ ก็ใช่เลย
ถ้าสูงบ้างต่ำบ้าง
ก็ต้องระวังว่าจะเป็นธุรกิจแบบ Cyclical
ถามว่าทำไม่ไม่ใช่ ROA
ก็เพราะ ROA รวมส่วน Current Liability เข้ามาด้วย
ซึ่งส่วนนี้จะตัดกับ Current Asset อยู่แล้ว
ทำให้ไม่ได้ภาพที่แท้จริงของเงินผู้ถือหุ้น
ถ้าให้ดี
ใช้ ROTC ดีกว่า
ก็คือ Return on Total Capital
= NIAT/(Longterm Debt + Equity)
เพื่อตัดปัญหาบริษัทที่มีหนี้เยอะแล้วทำให้ ROE สูงหลอกคนดู
ถ้าใช้ ROTC ละก็จับได้คาหนังคาเขาเลยละครับ
แต่ก่อนจบ
ก็อย่างที่พี่ Chatchai เคยแสดงไว้ให้ดูกันละครับ
ว่าการดูแค่ ROE อย่างเดียว
ไม่ได้บอกว่า บริษัทนั้นน่าลงทุนนะครับ
ต้องดูหลายๆอย่างประกอบกัน
บัญชีก็แต่งกันได้
ROE ก็หลอกกันได้ (โดยใช้เงินกู้เยอะๆ)
ก็ค่อยๆดูไปครับ
ค่อยๆศึกษา
ค่อยๆฝึกลงทุน
ไม่มีใครเกิดมาแล้วลงทุนเป็นเลยหรอกครับ
เพราะฉนั้น
ผมคิดอยู่เสมอว่า
ไม่มีใครแก่เกินเรียน
แล้วไม่มีวันสาย ถ้าเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้
อย่างสุภาษิตจีนบอกไว้ครับว่า
"ต้นไม้หนึ่งต้นใช้เวลายี่สิบปีกว่าจะโตจนได้ร่มเงา
ดังนั้นเวลาที่ดีที่สุดที่จะปลูกมัน ก็คือ...... วันนี้"
อ้อ ขอปรบมือให้คุณ Corner และคุณ Mon ด้วยครับ
ในฐานะสละเวลาส่วนตัว
นำเนื้อหาในกระทู้ไปรวมเล่ม
เพื่อให้ชาว TVI ทุกท่าน
ไม่ต้องเพ่งสายตาอ่านบนหน้าจอ
มาอ่านเป็นหนังสือแทน
ถ้ารวมเล่มแล้ว
ไม่มีสำนักพิมพ์ไหนพิมพ์
ผมว่าเราลงขันกัน
พิมพ์แจกชาว TVI กันเองซะเลย
จะได้มีไว้ประดับบ้าน
อ่านแก้เหงา (เวลาหุ้นขึ้น)
ถ้าให้ดี
ผมแนะนำไปแล้วว่า
ให้รวมบทความของคุณธันวาและคุณมน
ตอนสัมมนาที่ตลาดเข้าไปด้วย
จะได้ครบหลักสูตร
ส่วน Investor Guide ของคุณมน
ผมว่าพิมพ์แยกเล่มต่างหากดีกว่า
คุณมนจะได้ดังคนเดียว อิ อิ
เอาล่ะครับ
พบกันใหม่ อาทิตย์หน้าครับ
ช่วงนี้เดินสายครับ ไม่ค่อยว่างเข้ามา
แต่ก็หวังว่าแฟนๆก็ยังคงติดตามกันอยู่นะครับ
สวัสดีครับ
-
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 516
เนื่องจากได้แรงบันดาลใจจากกระทู้นี้ ซึ่งผมยังอ่านไม่จบหรอกครับ แต่แค่ 2 หน้าแรกก็ทำให้ผมต้องไปควานหาหนังสือการลงทุนในแบบของ Buffet มาอ่าน โชคดีที่ห้องสมุดมหาลัยที่ผมเรียนจบมีหนังสือ The WARREN BUFFET WAY ให้ยืม ตอนนี้ผมจึงตะลุยอ่าน พอผมอ่านมาถึงวิธีการหาค่า Intrinic value ของ Buffet มีอยู่หลายส่วนที่ผมไม่ค่อยจะเข้าใจ ( เนื่องด้วยความที่ผมไม่ค่อยจะมีพื้นฐานความรู้ทางด้านการเงิน และลองเปิดหาหนังสือเกี่ยวกับการเงินมาอ่านดู แต่ก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจนัก) จึงอยากให้พี่วิบูลย์ช่วยอธิบายเกี่ยวกับหลักการณ์ของ Buffet เริ่มตั้งแต่การหาค่า Owner Earnings ของบริษัทร่วมไปถึงการหาค่า Market Value ด้วยวิธีการ Discount cash flow ที่ปรากฎในหนังสือด้วยนะครับ ไม่รู้จะขอมากไปหรือเปล่านะครับ แต่ผมเพิ่งเปิดบัญชีซื้อขายได้ไม่นานและอยากลงทุนด้วยวิธีการที่จะทำให้ความเสี่ยงลดน้อยลงให้ได้มากที่สุด จึงต้องศึกษาวิธีการลงทุนที่จะช่วยลดความเสี่ยงได้ ก่อนหน้านี้ก็มองที่ตัว P/E กับ P/Bv เป็นหลัก พอได้อ่านกระทู้นี้รู้สึกว่าจริงมูลค่าของบริษัทไม่ควรมองแค่ค่า P/E หรือ P/Bv อย่างเดียว หวังให้พี่ช่วยให้ความการกระจ่างชัดเกี่ยวกับเรื่องที่ผมขอไว้ข้างบนให้ผมด้วยนะครับ
-
- ผู้ติดตาม: 0
พี่วิบูลย์ช่วยอธิบายตรงนี้หน่อยครับ
โพสต์ที่ 517
จากข้างบนนะครับ
"แต่ก่อนจบ
ก็อย่างที่พี่ Chatchai เคยแสดงไว้ให้ดูกันละครับ
ว่าการดูแค่ ROE อย่างเดียว
ไม่ได้บอกว่า บริษัทนั้นน่าลงทุนนะครับ
ต้องดูหลายๆอย่างประกอบกัน
บัญชีก็แต่งกันได้
ROE ก็หลอกกันได้ (โดยใช้เงินกู้เยอะๆ)
ก็ค่อยๆดูไปครับ "
ความหมายของตรงนี้ หมายความว่า กู้เงินเยอะๆแล้วหนี้ก็เยอะทำให้ทุนมีน้อยพอหา ROE ออกมาก็เลยได้ค่าที่สูง หรือมีมากกว่านี้อีกครับอ่านแล้วรู้สึกเหมือนมีอะไรลึกๆลงไปอีก
พี่วิบูลย์ครับ ผมนับถือในตัวพี่ครับ ผมว่าพี่เก่งนะครับเก่งจริงๆ
"แต่ก่อนจบ
ก็อย่างที่พี่ Chatchai เคยแสดงไว้ให้ดูกันละครับ
ว่าการดูแค่ ROE อย่างเดียว
ไม่ได้บอกว่า บริษัทนั้นน่าลงทุนนะครับ
ต้องดูหลายๆอย่างประกอบกัน
บัญชีก็แต่งกันได้
ROE ก็หลอกกันได้ (โดยใช้เงินกู้เยอะๆ)
ก็ค่อยๆดูไปครับ "
ความหมายของตรงนี้ หมายความว่า กู้เงินเยอะๆแล้วหนี้ก็เยอะทำให้ทุนมีน้อยพอหา ROE ออกมาก็เลยได้ค่าที่สูง หรือมีมากกว่านี้อีกครับอ่านแล้วรู้สึกเหมือนมีอะไรลึกๆลงไปอีก
พี่วิบูลย์ครับ ผมนับถือในตัวพี่ครับ ผมว่าพี่เก่งนะครับเก่งจริงๆ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 518
น้องderden- "ชม"ผมมากไปแล้วครับ
ผมเป็นแค่"นักลงทุนธรรมดา"คนหนึ่งเท่านั้นเอง
อาศัยอ่าน ศึกษา ทดลอง ปฏิบัติ
ตามคำสั่งสอนของอาจารย์สามท่าน
อาจารย์แกรแฮม
อาจารย์ฟิชเชอร์
และอาจารย์บัฟเฟต
อย่างเคร่งครัดเท่านั้นเองครับ
ทฤษฏีของผมก็อยู่บนสมมุติฐานง่ายๆครับ
ที่ว่า
"ไม่ว่าที่ไหนในโลก
ตลาดหุ้นก็เหมือนกันหมด
คือที่นั่นเต็มไปด้วย"ความโลภ" และ "ความกลัว"
หน้าที่ของเราในฐานะ "นักลงทุนคุณค่า"
ก็คือ
ใช้ประโยชน์จาก"ความโลภ" และ "ความกลัว"
ของเหล่านักลงทุนในตลาด
โดยที่เราต้องพยายามสะกดใจ
ใม่ให้ตกเป็นส่วนหนึ่งของฝูงชนเหล่านั้นเสียเอง"
ผมคิดเสมอว่า
ถ้าเรามองทุกอย่างในตลาดด้วยความจริง
โดยไม่ใช้อารมณ์ตัดสินปัญหา
เราก็สามารถสลัดตัวออกจากฝูงชนเหล่านั้นได้ครับ
ถ้าศึกษาทางพุทธรรมอาจจะบอกว่า
ถ้าเราละ " โลภ โกรธ หลง" ได้เมื่อไหร่
ตลาดหุ้นก็ทำอะไรเราไม่ได้ครับ
ผมตั้งเป้าหมายการลงทุนของผม
เพียงแค่ปีละ 15-20% เท่านั้นเอง
ถ้าทำได้มากกว่านั้นผมคิดว่าเป็น"โบนัส"ครับ
ผมคิดว่าทุกท่านที่ปฏิบัติตามคำสอนของอาจารย์ทั้งสาม
น่าจะทำได้แน่นอน
แต่การทำให้ได้ผลตอบแทนเท่านี้อย่างสม่ำเสมอ
เป็นสิ่งที่ท้าทายครับ
แต่ก่อนผมคิดว่า
ผมสามารถหา"สูตร"การลงทุนที่ได้ผลตอบแทนสูงๆได้
แต่ตอนนี้ผมคิดได้ว่า
"ไม่มีสูตร"ดังกล่าวครับ
ทุกอย่างต้องมาจากความรู้ ประสบการณ์
และความตั้งใจจริงเท่านั้นครับ
ผมเคยค้นคว้าค้นหา"วิธีการ"ลงทุนที่ดีที่สุด
สุดท้ายก็พบว่า
การลงทุนไม่ใช่"วิธีการ"ที่หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสองครับ
การลงทุนเป็นเรื่องของ"ศิลปะ"
เรื่องของการทำความเข้าใจตัวเราเอง
มากกว่าสิ่งอื่นใด
ถ้าเรายังไม่"เข้าใจ"ตัวเราเอง
แสดงว่าเรายังไม่เข้าใจ"ตลาดหุ้น"ครับ
ถ้าเรายังเอาชนะ"ใจ"ตัวเองไม่ได้
เราก็"ชนะ"ตลาดหุ้นไม่ได้ครับ
เพราะตลาดหุ้นก็คือตัวเราเองครับ
ท่านกฤษณมูรติบอกว่า We are the World
ผมก็อยากจะบอกว่า We are the Market ครับ
เอ.....นี่จะพูดเรื่องหุ้น หรือเรื่องอะไร(ว่ะ)เนี่ย
บางท่านอาจจะพูดในใจ
ก็ลองอ่านดูข้อความข้างบนอีกสักเที่ยวแล้วกันครับ
ผมไม่ได้ต้องการสอนอะไรนะครับ
อยากเล่าให้ฟังเฉยๆ
ที่นี้กลับมาที่เรื่องคำถามครับ
เข้าเรื่องกันสักที
หลังจากหลุดโค้งไปไกล
มี ROE เยอะๆ นักลงทุนจะได้สนใจ
ก็มีวิธีการหลายอย่าง
เช่น
ปั่นกำไรสุทธิให้สูงๆ
หรือ ใช้เงินกู้มากๆ
ยกตัวอย่างนะครับ
ROE=NIAT/Equity
NIAT=Net Income After Tax
Equity=Asset-(Current Liability-Longterm Debt)
ถ้ากำไรสุทธิสูง NIATก็จะสูง
ถ้าหนี้ระยะยาวเยอะๆ Equity ก็จะต่ำ
พอจับเข้าสูตรหา ROE
ROE ก็กระฉูด
วิธีการง่ายๆ แต่ได้ใจความ
แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาด
ไม่ค่อยสน ROE กันหรอกครับ
เขาสนกันแค่ว่า
NIAT หรือ กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมากแค่ไหน
ยิ่งกำไรมาก ราคาหุ้นก็จะสูงมากเป็นเงาตามตัว
จึงทำให้พวกผู้บริหารหัวใส
จับมือกับนักบัญชีขี้โกง
ทำตัวเลขกำไรสุทธิให้มากๆเข้าไว้
ด้วยการ"ซุก"ค่าใช้จ่าย
หรือใช้วิชามารทุกอย่างที่คิดได้
สุดท้ายคนที่เดือดร้อน
ก็คือ
คนที่ควักเงินซื้อหุ้นบริษัททุกครั้งไป
ROE มีไว้สำหรับนักลงทุนระยะยาวครับ
เพราะอย่างน้อยก็ต้องหนึ่งปี
กว่า ROE จะแสดงอิทธิฤทธิ์
ว่าบริษัทไหน"เจ๋ง"กว่าบริษัทไหน
แล้วนักลงทุนส่วนใหญ่จะรอได้เร้อ
ซื้อหุ้นมาหนึ่งวัน
ราคาไม่ขึ้น
ก็ตัดพ้อกันซะแล้ว
ประสาอะไรกับการรอตั้งเป็นปีๆกว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
พวกก็เล่นซื้อเช้าขายบ่าย
สบายกว่ากันเยอะ
อาจารย์เกรแฮม
กล่าวเอาไว้ว่า
นักลงทุนคือพวกที่สามารถรอคอยให้หุ้นของบริษัทที่ตัวเองถืออยู่แสดงศักยภาพออกมาได้
ขณะที่นักเก็งกำไร"รอ"ไม่ได้
จริงหรือเปล่า ผมไม่ทราบ
ต้องถามตัวท่านเองครับ
ส่วนคำถามของน้องtjs
ตอนนี้อ่านจบ 18 หน้าแล้วหรือยัง
ถ้ายัง ก็แถวๆหน้า 8-9 มั๊งมีเรื่องการหามูลค่าที่แท้จริงอยู่
ลองอ่านดูนะครับ
ว่าจะเข้าใจมากขึ้นหรือเปล่า
เรื่อง FCF และ DCF
คุณMon กำลังทำการบ้านมาคุยอยู่ครับ
ถ้าต้องการอ่านเอง ไม่อยากรอ
ผมขอแนะนำหนังสือ ราคาหุ้นและการปรับโครงสร้างทางการเงิน เล่มสอง
ของ สนพ FPM Consultant ครับ
ราคา 300กว่าบาท หาซื้อได้ที่ ซีเอ็ด ครับ
(ท่านผู้ถือหุ้นซีเอ็ดทั้งหลาย จ่ายค่าโฆษณาให้ผมด้วยนะครับ)จะมีการหามูลค่าหุ้นด้วย DCF อยู่ครับ
อ่านง่าย สบายๆ
ส่วนเรื่อง Owner Earning
เกิดขึ้นเพราะ
อาจารย์บัฟเฟตบอกว่า
กำไรสุทธิ (NIAT) ในงบกำไรขาดทุนที่เห็นกันอยู่
ไม่ได้เป็นตัวบอกถึงกำไรที่แท้จริงของผู้ถือหุ้นครับ
เพราะในนั้นไม่ได้หักเงินลงทุน (Capital Expenditure) ออก
บัฟเฟตบอกว่า
ถ้าได้กำไรสุทธิเยอะๆจริง
แต่ต้องจ่ายเงินลงทุนเยอะๆ
สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเหลือ
เช่น ธุรกิจสายการบิน
กำไรสุทธิเยอะจริง
แต่ต้องลงทุนซื้อเครื่องบินครั้งละหลายลำ
ลำละหลายพันล้าน
แล้วค่าเครื่องบินไปอยู่ในไหนของงบกำไรขาดทุนหล่ะ
ใครรู้ช่วยบอกที
ปรากฎว่า
ในมาตรฐานของการบัญชี
เรื่องการแสดงงบกำไรขาดทุน
ค่าเครื่องบินจะถูกลงเป็นค่าเสื่อมราคาครับ
เช่นทยอยตัดเป็นเวลาสามสิบปีเท่าๆกัน เป็นต้น
เป็นเช่นนี้
บัฟเฟตก็เลยบอกอีกว่า
เอ้า แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า
บริษัทมีตังค์พอจ่ายค่าเครื่องบิน
แล้วจริงๆ ปีนี้บริษัทมีเงินเหลือถึงเจ้าของจริงๆเท่าไหร่กันแน่
ถามอย่างนี้
นักบัญชีสมัยก่อนก็ถึงทางตันครับ
ถ้าสมัยนี้ก็ตอบด้วย งบกระแสเงินสด
สมัยก่อนยังไม่มีข้อกำหนดให้บริษัทจดทะเบียน
ทำงบกระแสเงินสดเปิดเผยถึงนักลงทุนครับ
ดังนั้นจึงเกิดคำว่า
Owner Earnings ขึ้นมา
โดยบัฟเฟตบอกว่า
Owner Earnings ก็คือเงินสดจริงๆที่เหลือสำหรับผู้ถือหุ้นครับ
คำนวณจาก
NAIT+Depreciation+Amortization-Capital Expenditure
อธิบายคร่าวๆก็คือ
เอากำไรสุทธิตั้ง
บวกกลับด้วยค่าเสื่อมราคาและค่าความนิยมตัดจ่าย
เพราะถือว่าเงินไม่ได้จ่ายออกไปจริง
หักด้วยเงินลงทุนในปีนั้น
ที่เหลือก็คือ กำไรส่วนของเจ้าของ หรือ Owner Earnings ครับ
ซึ่งใกล้เคียงกับกระแสเงินสดอิสระ (Free Cash Flow-FCF) ของบริษัท
ไม่ทราบพอจะเข้าใจมั๊ยครับ
การหามูลค่ากิจการก็โดย
คำนวณมูลค่าของ FCF หรือ Owner Earning ตลอดอายุของกิจการ
ในหนังสือมีรายละเอียดและตัวอย่างอยู่ครับ
ลองศึกษาดู
ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจก็สอบถามมาได้อีกครับ
ถ้าไม่เกินความสามารถ จะตอบให้ครับ
จะได้เข้าใจกัน
สำหรับวันนี้ พอแค่นี้แล้วกันครับ
พิมพ์มานาน ชักเหนื่อย
พบกันใหม่พรุ่งนี้ครับ
สวัสดีครับ
ผมเป็นแค่"นักลงทุนธรรมดา"คนหนึ่งเท่านั้นเอง
อาศัยอ่าน ศึกษา ทดลอง ปฏิบัติ
ตามคำสั่งสอนของอาจารย์สามท่าน
อาจารย์แกรแฮม
อาจารย์ฟิชเชอร์
และอาจารย์บัฟเฟต
อย่างเคร่งครัดเท่านั้นเองครับ
ทฤษฏีของผมก็อยู่บนสมมุติฐานง่ายๆครับ
ที่ว่า
"ไม่ว่าที่ไหนในโลก
ตลาดหุ้นก็เหมือนกันหมด
คือที่นั่นเต็มไปด้วย"ความโลภ" และ "ความกลัว"
หน้าที่ของเราในฐานะ "นักลงทุนคุณค่า"
ก็คือ
ใช้ประโยชน์จาก"ความโลภ" และ "ความกลัว"
ของเหล่านักลงทุนในตลาด
โดยที่เราต้องพยายามสะกดใจ
ใม่ให้ตกเป็นส่วนหนึ่งของฝูงชนเหล่านั้นเสียเอง"
ผมคิดเสมอว่า
ถ้าเรามองทุกอย่างในตลาดด้วยความจริง
โดยไม่ใช้อารมณ์ตัดสินปัญหา
เราก็สามารถสลัดตัวออกจากฝูงชนเหล่านั้นได้ครับ
ถ้าศึกษาทางพุทธรรมอาจจะบอกว่า
ถ้าเราละ " โลภ โกรธ หลง" ได้เมื่อไหร่
ตลาดหุ้นก็ทำอะไรเราไม่ได้ครับ
ผมตั้งเป้าหมายการลงทุนของผม
เพียงแค่ปีละ 15-20% เท่านั้นเอง
ถ้าทำได้มากกว่านั้นผมคิดว่าเป็น"โบนัส"ครับ
ผมคิดว่าทุกท่านที่ปฏิบัติตามคำสอนของอาจารย์ทั้งสาม
น่าจะทำได้แน่นอน
แต่การทำให้ได้ผลตอบแทนเท่านี้อย่างสม่ำเสมอ
เป็นสิ่งที่ท้าทายครับ
แต่ก่อนผมคิดว่า
ผมสามารถหา"สูตร"การลงทุนที่ได้ผลตอบแทนสูงๆได้
แต่ตอนนี้ผมคิดได้ว่า
"ไม่มีสูตร"ดังกล่าวครับ
ทุกอย่างต้องมาจากความรู้ ประสบการณ์
และความตั้งใจจริงเท่านั้นครับ
ผมเคยค้นคว้าค้นหา"วิธีการ"ลงทุนที่ดีที่สุด
สุดท้ายก็พบว่า
การลงทุนไม่ใช่"วิธีการ"ที่หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสองครับ
การลงทุนเป็นเรื่องของ"ศิลปะ"
เรื่องของการทำความเข้าใจตัวเราเอง
มากกว่าสิ่งอื่นใด
ถ้าเรายังไม่"เข้าใจ"ตัวเราเอง
แสดงว่าเรายังไม่เข้าใจ"ตลาดหุ้น"ครับ
ถ้าเรายังเอาชนะ"ใจ"ตัวเองไม่ได้
เราก็"ชนะ"ตลาดหุ้นไม่ได้ครับ
เพราะตลาดหุ้นก็คือตัวเราเองครับ
ท่านกฤษณมูรติบอกว่า We are the World
ผมก็อยากจะบอกว่า We are the Market ครับ
เอ.....นี่จะพูดเรื่องหุ้น หรือเรื่องอะไร(ว่ะ)เนี่ย
บางท่านอาจจะพูดในใจ
ก็ลองอ่านดูข้อความข้างบนอีกสักเที่ยวแล้วกันครับ
ผมไม่ได้ต้องการสอนอะไรนะครับ
อยากเล่าให้ฟังเฉยๆ
ที่นี้กลับมาที่เรื่องคำถามครับ
เข้าเรื่องกันสักที
หลังจากหลุดโค้งไปไกล
ก็บางบริษัทอยากให้ตัวเองดูดีderden- เขียน: "แต่ก่อนจบ
ก็อย่างที่พี่ Chatchai เคยแสดงไว้ให้ดูกันละครับ
ว่าการดูแค่ ROE อย่างเดียว
ไม่ได้บอกว่า บริษัทนั้นน่าลงทุนนะครับ
ต้องดูหลายๆอย่างประกอบกัน
บัญชีก็แต่งกันได้
ROE ก็หลอกกันได้ (โดยใช้เงินกู้เยอะๆ)
ก็ค่อยๆดูไปครับ "
ความหมายของตรงนี้ หมายความว่า กู้เงินเยอะๆแล้วหนี้ก็เยอะทำให้ทุนมีน้อยพอหา ROE ออกมาก็เลยได้ค่าที่สูง หรือมีมากกว่านี้อีกครับอ่านแล้วรู้สึกเหมือนมีอะไรลึกๆลงไปอีก
มี ROE เยอะๆ นักลงทุนจะได้สนใจ
ก็มีวิธีการหลายอย่าง
เช่น
ปั่นกำไรสุทธิให้สูงๆ
หรือ ใช้เงินกู้มากๆ
ยกตัวอย่างนะครับ
ROE=NIAT/Equity
NIAT=Net Income After Tax
Equity=Asset-(Current Liability-Longterm Debt)
ถ้ากำไรสุทธิสูง NIATก็จะสูง
ถ้าหนี้ระยะยาวเยอะๆ Equity ก็จะต่ำ
พอจับเข้าสูตรหา ROE
ROE ก็กระฉูด
วิธีการง่ายๆ แต่ได้ใจความ
แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาด
ไม่ค่อยสน ROE กันหรอกครับ
เขาสนกันแค่ว่า
NIAT หรือ กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมากแค่ไหน
ยิ่งกำไรมาก ราคาหุ้นก็จะสูงมากเป็นเงาตามตัว
จึงทำให้พวกผู้บริหารหัวใส
จับมือกับนักบัญชีขี้โกง
ทำตัวเลขกำไรสุทธิให้มากๆเข้าไว้
ด้วยการ"ซุก"ค่าใช้จ่าย
หรือใช้วิชามารทุกอย่างที่คิดได้
สุดท้ายคนที่เดือดร้อน
ก็คือ
คนที่ควักเงินซื้อหุ้นบริษัททุกครั้งไป
ROE มีไว้สำหรับนักลงทุนระยะยาวครับ
เพราะอย่างน้อยก็ต้องหนึ่งปี
กว่า ROE จะแสดงอิทธิฤทธิ์
ว่าบริษัทไหน"เจ๋ง"กว่าบริษัทไหน
แล้วนักลงทุนส่วนใหญ่จะรอได้เร้อ
ซื้อหุ้นมาหนึ่งวัน
ราคาไม่ขึ้น
ก็ตัดพ้อกันซะแล้ว
ประสาอะไรกับการรอตั้งเป็นปีๆกว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
พวกก็เล่นซื้อเช้าขายบ่าย
สบายกว่ากันเยอะ
อาจารย์เกรแฮม
กล่าวเอาไว้ว่า
นักลงทุนคือพวกที่สามารถรอคอยให้หุ้นของบริษัทที่ตัวเองถืออยู่แสดงศักยภาพออกมาได้
ขณะที่นักเก็งกำไร"รอ"ไม่ได้
จริงหรือเปล่า ผมไม่ทราบ
ต้องถามตัวท่านเองครับ
ส่วนคำถามของน้องtjs
ต้องถามว่าtjs เขียน: เนื่องจากได้แรงบันดาลใจจากกระทู้นี้ ซึ่งผมยังอ่านไม่จบหรอกครับ แต่แค่ 2 หน้าแรกก็ทำให้ผมต้องไปควานหาหนังสือการลงทุนในแบบของ Buffet มาอ่าน โชคดีที่ห้องสมุดมหาลัยที่ผมเรียนจบมีหนังสือ The WARREN BUFFET WAY ให้ยืม ตอนนี้ผมจึงตะลุยอ่าน พอผมอ่านมาถึงวิธีการหาค่า Intrinic value ของ Buffet มีอยู่หลายส่วนที่ผมไม่ค่อยจะเข้าใจ ( เนื่องด้วยความที่ผมไม่ค่อยจะมีพื้นฐานความรู้ทางด้านการเงิน และลองเปิดหาหนังสือเกี่ยวกับการเงินมาอ่านดู แต่ก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจนัก) จึงอยากให้พี่วิบูลย์ช่วยอธิบายเกี่ยวกับหลักการณ์ของ Buffet เริ่มตั้งแต่การหาค่า Owner Earnings ของบริษัทร่วมไปถึงการหาค่า Market Value ด้วยวิธีการ Discount cash flow ที่ปรากฎในหนังสือด้วยนะครับ ไม่รู้จะขอมากไปหรือเปล่านะครับ แต่ผมเพิ่งเปิดบัญชีซื้อขายได้ไม่นานและอยากลงทุนด้วยวิธีการที่จะทำให้ความเสี่ยงลดน้อยลงให้ได้มากที่สุด จึงต้องศึกษาวิธีการลงทุนที่จะช่วยลดความเสี่ยงได้ ก่อนหน้านี้ก็มองที่ตัว P/E กับ P/Bv เป็นหลัก พอได้อ่านกระทู้นี้รู้สึกว่าจริงมูลค่าของบริษัทไม่ควรมองแค่ค่า P/E หรือ P/Bv อย่างเดียว หวังให้พี่ช่วยให้ความการกระจ่างชัดเกี่ยวกับเรื่องที่ผมขอไว้ข้างบนให้ผมด้วยนะครับ
ตอนนี้อ่านจบ 18 หน้าแล้วหรือยัง
ถ้ายัง ก็แถวๆหน้า 8-9 มั๊งมีเรื่องการหามูลค่าที่แท้จริงอยู่
ลองอ่านดูนะครับ
ว่าจะเข้าใจมากขึ้นหรือเปล่า
เรื่อง FCF และ DCF
คุณMon กำลังทำการบ้านมาคุยอยู่ครับ
ถ้าต้องการอ่านเอง ไม่อยากรอ
ผมขอแนะนำหนังสือ ราคาหุ้นและการปรับโครงสร้างทางการเงิน เล่มสอง
ของ สนพ FPM Consultant ครับ
ราคา 300กว่าบาท หาซื้อได้ที่ ซีเอ็ด ครับ
(ท่านผู้ถือหุ้นซีเอ็ดทั้งหลาย จ่ายค่าโฆษณาให้ผมด้วยนะครับ)จะมีการหามูลค่าหุ้นด้วย DCF อยู่ครับ
อ่านง่าย สบายๆ
ส่วนเรื่อง Owner Earning
เกิดขึ้นเพราะ
อาจารย์บัฟเฟตบอกว่า
กำไรสุทธิ (NIAT) ในงบกำไรขาดทุนที่เห็นกันอยู่
ไม่ได้เป็นตัวบอกถึงกำไรที่แท้จริงของผู้ถือหุ้นครับ
เพราะในนั้นไม่ได้หักเงินลงทุน (Capital Expenditure) ออก
บัฟเฟตบอกว่า
ถ้าได้กำไรสุทธิเยอะๆจริง
แต่ต้องจ่ายเงินลงทุนเยอะๆ
สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเหลือ
เช่น ธุรกิจสายการบิน
กำไรสุทธิเยอะจริง
แต่ต้องลงทุนซื้อเครื่องบินครั้งละหลายลำ
ลำละหลายพันล้าน
แล้วค่าเครื่องบินไปอยู่ในไหนของงบกำไรขาดทุนหล่ะ
ใครรู้ช่วยบอกที
ปรากฎว่า
ในมาตรฐานของการบัญชี
เรื่องการแสดงงบกำไรขาดทุน
ค่าเครื่องบินจะถูกลงเป็นค่าเสื่อมราคาครับ
เช่นทยอยตัดเป็นเวลาสามสิบปีเท่าๆกัน เป็นต้น
เป็นเช่นนี้
บัฟเฟตก็เลยบอกอีกว่า
เอ้า แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า
บริษัทมีตังค์พอจ่ายค่าเครื่องบิน
แล้วจริงๆ ปีนี้บริษัทมีเงินเหลือถึงเจ้าของจริงๆเท่าไหร่กันแน่
ถามอย่างนี้
นักบัญชีสมัยก่อนก็ถึงทางตันครับ
ถ้าสมัยนี้ก็ตอบด้วย งบกระแสเงินสด
สมัยก่อนยังไม่มีข้อกำหนดให้บริษัทจดทะเบียน
ทำงบกระแสเงินสดเปิดเผยถึงนักลงทุนครับ
ดังนั้นจึงเกิดคำว่า
Owner Earnings ขึ้นมา
โดยบัฟเฟตบอกว่า
Owner Earnings ก็คือเงินสดจริงๆที่เหลือสำหรับผู้ถือหุ้นครับ
คำนวณจาก
NAIT+Depreciation+Amortization-Capital Expenditure
อธิบายคร่าวๆก็คือ
เอากำไรสุทธิตั้ง
บวกกลับด้วยค่าเสื่อมราคาและค่าความนิยมตัดจ่าย
เพราะถือว่าเงินไม่ได้จ่ายออกไปจริง
หักด้วยเงินลงทุนในปีนั้น
ที่เหลือก็คือ กำไรส่วนของเจ้าของ หรือ Owner Earnings ครับ
ซึ่งใกล้เคียงกับกระแสเงินสดอิสระ (Free Cash Flow-FCF) ของบริษัท
ไม่ทราบพอจะเข้าใจมั๊ยครับ
การหามูลค่ากิจการก็โดย
คำนวณมูลค่าของ FCF หรือ Owner Earning ตลอดอายุของกิจการ
ในหนังสือมีรายละเอียดและตัวอย่างอยู่ครับ
ลองศึกษาดู
ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจก็สอบถามมาได้อีกครับ
ถ้าไม่เกินความสามารถ จะตอบให้ครับ
จะได้เข้าใจกัน
สำหรับวันนี้ พอแค่นี้แล้วกันครับ
พิมพ์มานาน ชักเหนื่อย
พบกันใหม่พรุ่งนี้ครับ
สวัสดีครับ
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 519
นายตลาดขวัญหนีดีฝ่อครับ มุดลงดินลูกเดียวเลย ส่วนผมเก็บไม่ยั้งเลยเกีอบได้ที่แล้วครับ
ตอนนี้ในตลาดยังมีหุ้นบริษัทดีๆให้เลือกลงทุนอีกมากครับใช้หลักการที่คุณวิบูลย์แนะนำไปรับรองหาได้ไม่ยาก และยังมี ทีนี้จะเอาแบบคุณวิบูลย์เลยคือลงทุนแล้วคิดไปข้างหน้าไม่น้อยกว่า10ปี หรือเอาแบบก้นบุหรี่1-3ปีก็มีไม่น้อย
ส่วนผมขอผสมๆไปก่อนครับ
เดี๋ยวรอคุณวิบูลยืมาก่อนจะมาขอท้าแลกหมัดอีกซักหน่อย
ตอนนี้ในตลาดยังมีหุ้นบริษัทดีๆให้เลือกลงทุนอีกมากครับใช้หลักการที่คุณวิบูลย์แนะนำไปรับรองหาได้ไม่ยาก และยังมี ทีนี้จะเอาแบบคุณวิบูลย์เลยคือลงทุนแล้วคิดไปข้างหน้าไม่น้อยกว่า10ปี หรือเอาแบบก้นบุหรี่1-3ปีก็มีไม่น้อย
ส่วนผมขอผสมๆไปก่อนครับ
เดี๋ยวรอคุณวิบูลยืมาก่อนจะมาขอท้าแลกหมัดอีกซักหน่อย
-
- Verified User
- โพสต์: 7
- ผู้ติดตาม: 0
จะพยายามอย่างยิ่งครับ
โพสต์ที่ 520
ได้อ่านข้อความของพี่วิบูลย์ข้างบนแล้วรู้สึกพี่ยิ่งห่างจากผมมากไปอีกครับผมก็คงเหมือนกับนักเล่นหุ้นหน้าใหม่หลายๆคนที่พยายามหาวิธีการที่ดูว่าดีก็เผอิญว่าช่วงนี้กระแส vi ค่อนข้างจะมาแรงและเป็นที่รู้จัก เป็นอะไรที่เข้าใจได้ง่ายจากการเรียนรู้ แต่ผมยอมรับด้วยตัวผมเองว่าสิ่งที่ยากที่สุดคือความคิด และจิตใจที่ยังคงไม่ใช่ VI อย่างพี่ๆ ผมยังคงเคลียดเมื่อหุ้นที่ผมซื้อ (ครั้งแรกด้วย) ราคายังคงตกลงต่อเนื่อง แทนที่ผมจะดีใจที่จะได้ซื้อของถูก แต่จะให้ดีใจก็ไม่ได้เพราะเราก็ไม่รู้ว่าที่เราคิดที่เราวิเคราะห์มามันถูกต้อง หรือว่าที่เราคิดมันเข้าข้างตัวที่เราสนใจมากไป พอกลับมาคิดอีกทีว่าทำไมในตอนก่อนที่เราจะซื้อเราคิดอะไรเข้าไปบ้างจึงทำให้เห็นว่าราคา ณ ตอนนั้น มันมี ค่าความปลอดภัยสูงเอาการ จนตัดหุ้นตัวอื่นที่อยู่ใน ประเด็นที่เราเลือกไว้ออกไปหมด (ผมซื้อตัวเดียวโดดหมดหน้าตักด้วยครับ) พอ ณ ตอนนี้กลับมาวิเคราะห์ใหม่ก็จะเห็นมุมมองใหม่ สิ่งที่เป็นผลลบต่อหุ้นที่เราถือกลับมีมากขึ้น ก็เลยยังกังวลว่าจะ cut loss ดีไหม หรือจะซื้อต่อเพื่อลดค่าเฉลี่ยของต้นทุนดีไหม
ผมจะไม่บอกนะครับว่าหุ้นตัวที่ผมถือ อยู่คือตังไหน แต่ผมจะยกตัวอย่างหุ้นตัวที่ผมตัดออก จากประเด็นนะครับ
1.STANLY
2.IRC
3.PTTEP
สิ่งที่ผมเห็นใน STANLY และ IRC คือ 5 F แม้ว่า IRC จะมี เปอร์เซ็นต์ที่น้อยกว่า STANLY แต่ก็ยังถือว่าเป็นสินค้าที่ดี (เพราะผมก็ยังนึกว่า ยางมอเตอร์ไซด์ผมใช้ IRC แล้วดี ถ้าอยากได้ของดีก็ต้อง IRC ว่างั้นเถอะถึงแม้ว่าจะมี มิชลินซ์เข้ามา ผมยอมรับว่าของมิชลินซ์ดีจริงเรื่องคูณภาพ แต่ราคายังคงสูงอยู่ จะซื้อดี ถูกด้วยก็คงเป็น IRC) ยิ่งดูงบการเงินแล้วก็บอกว่าใช้ได้ แม้ใครจะบอกว่า BAFS ผูกขาดเรื่องบริการน้ำมันให้กับสายการบิน แต่ผมว่า STANLY นี่แหละผูกขาดเรื่องโคมไฟรถยนต์มากกว่า ไม่รวมเฉพาะรถยนต์ รวมทั้งมอเตอร์ไซด์ด้วย แม้จะมี KOITO เป็นคู่แข่งแต่ก็ยังถือว่าเป็นคู่แข่งที่ไม่ค่อยจะสมศักดิ์ศรี ผมมองว่าทั้งSTANLYและ IRC เป็นแฟรนไซด์ ณตอนนี้ครับแต่จะเป็น แฟรนไซด์อ่อนๆเมื่อไรนั้นผมไม่รู้ได้แต่ก็คงจะอีกนาน แต่ติดที่ผมมองว่าราคาสูงเกินไปจากการวิเคราะห์ของผมเอง ผมใช้การวิเคราะห์แบบ DCF 2 STAGE คล้ายกับที่ BUFFET ทำแหละครับแต่ GROWT & DISCOUNT ผมแปลงเอง ก็เห็นว่าราคาสูงเกินไปจริงๆผมยังงงว่าขึ้นมาได้ยังไง และผลย้อนกลับมาที่ตังผมเองว่าแสดงว่าเราคิดผิด เราวิเคราะห์ผิด..
สำหรับ PTTEP ธุรกิจแม้จะมองว่าเป็นธุรกิจ MONOPOLY แต่ก็ไม่ใช่โดยตรง ที่ใช่โดยตรงก็คงเป็น PTT งานของ PTTEP เงินลงทุนเป็นตัวสกัดกั้นคู่แข่งโดยตัวของมันเอง สินค้า MONOPOLY ก็ดีถ้า มีMARGIN &ROE & ฐานความนิยม และเงินลงทุนที่สูง ผมว่าก็อยู่ในข่ายที่ดี แต่ก็อย่างว่า แพงเกินไปสำหรับผม ผมไม่เอา
พี่คงนึกว่าตัวที่ผมเลือกมันจะเป็นอย่างไร ตัวที่ผมเลือกผลิตภัณฑ์ เป็นสิ่งจำเป็นต้องใช้ มีคู่แข่งเพี่ยง 1 รายและยังมีส่วนแบ่งในประเทศ เท่าๆกัน ความต้องการในประเทศยังคงมากกว่าความสามารถที่ผลิตได้ มี MARGIN & ROE ที่ 20-25 % แต่ผมลืมมองในด้านความคิดของผู้บริหาร ณ 1 ปีที่ผ่านมา ผมมาสกิดใจก็ต่อเมื่อได้ลงทุนไปแล้ว กลับไปเห็นสิงแปลกๆในแนวความคิด และการกระทำ (ไม่พยายามคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของกิจการ ไม่สามารถที่จะฝืนการถูกบังคับให้เป็นแบบสถาบันได้) แต่ผมก็ยังคงคิดในแงดีไว้ครับตอนนี้ว่าคณะกรรมการคงจะช่วยกันสอดส่อง หรือถ้าไม่งั้นผมก็คงต้องขอลาก่อนยอมขาดทุนดีกว่าจะร่วมลงทุนกับผู้บริหารที่ไม่โปร่งใส
ปล.เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวครับ
ผมจะพยายามเป็นแบบพี่วิบูลย์ให้ได้ครับ พี่ต้องยอมรับแล้วละครับว่าพี่เป็นต้อนแบบของมือให่อย่างผมที่ต้องเป็น VI พันธุ์แท้จริงๆ
ผมจะไม่บอกนะครับว่าหุ้นตัวที่ผมถือ อยู่คือตังไหน แต่ผมจะยกตัวอย่างหุ้นตัวที่ผมตัดออก จากประเด็นนะครับ
1.STANLY
2.IRC
3.PTTEP
สิ่งที่ผมเห็นใน STANLY และ IRC คือ 5 F แม้ว่า IRC จะมี เปอร์เซ็นต์ที่น้อยกว่า STANLY แต่ก็ยังถือว่าเป็นสินค้าที่ดี (เพราะผมก็ยังนึกว่า ยางมอเตอร์ไซด์ผมใช้ IRC แล้วดี ถ้าอยากได้ของดีก็ต้อง IRC ว่างั้นเถอะถึงแม้ว่าจะมี มิชลินซ์เข้ามา ผมยอมรับว่าของมิชลินซ์ดีจริงเรื่องคูณภาพ แต่ราคายังคงสูงอยู่ จะซื้อดี ถูกด้วยก็คงเป็น IRC) ยิ่งดูงบการเงินแล้วก็บอกว่าใช้ได้ แม้ใครจะบอกว่า BAFS ผูกขาดเรื่องบริการน้ำมันให้กับสายการบิน แต่ผมว่า STANLY นี่แหละผูกขาดเรื่องโคมไฟรถยนต์มากกว่า ไม่รวมเฉพาะรถยนต์ รวมทั้งมอเตอร์ไซด์ด้วย แม้จะมี KOITO เป็นคู่แข่งแต่ก็ยังถือว่าเป็นคู่แข่งที่ไม่ค่อยจะสมศักดิ์ศรี ผมมองว่าทั้งSTANLYและ IRC เป็นแฟรนไซด์ ณตอนนี้ครับแต่จะเป็น แฟรนไซด์อ่อนๆเมื่อไรนั้นผมไม่รู้ได้แต่ก็คงจะอีกนาน แต่ติดที่ผมมองว่าราคาสูงเกินไปจากการวิเคราะห์ของผมเอง ผมใช้การวิเคราะห์แบบ DCF 2 STAGE คล้ายกับที่ BUFFET ทำแหละครับแต่ GROWT & DISCOUNT ผมแปลงเอง ก็เห็นว่าราคาสูงเกินไปจริงๆผมยังงงว่าขึ้นมาได้ยังไง และผลย้อนกลับมาที่ตังผมเองว่าแสดงว่าเราคิดผิด เราวิเคราะห์ผิด..
สำหรับ PTTEP ธุรกิจแม้จะมองว่าเป็นธุรกิจ MONOPOLY แต่ก็ไม่ใช่โดยตรง ที่ใช่โดยตรงก็คงเป็น PTT งานของ PTTEP เงินลงทุนเป็นตัวสกัดกั้นคู่แข่งโดยตัวของมันเอง สินค้า MONOPOLY ก็ดีถ้า มีMARGIN &ROE & ฐานความนิยม และเงินลงทุนที่สูง ผมว่าก็อยู่ในข่ายที่ดี แต่ก็อย่างว่า แพงเกินไปสำหรับผม ผมไม่เอา
พี่คงนึกว่าตัวที่ผมเลือกมันจะเป็นอย่างไร ตัวที่ผมเลือกผลิตภัณฑ์ เป็นสิ่งจำเป็นต้องใช้ มีคู่แข่งเพี่ยง 1 รายและยังมีส่วนแบ่งในประเทศ เท่าๆกัน ความต้องการในประเทศยังคงมากกว่าความสามารถที่ผลิตได้ มี MARGIN & ROE ที่ 20-25 % แต่ผมลืมมองในด้านความคิดของผู้บริหาร ณ 1 ปีที่ผ่านมา ผมมาสกิดใจก็ต่อเมื่อได้ลงทุนไปแล้ว กลับไปเห็นสิงแปลกๆในแนวความคิด และการกระทำ (ไม่พยายามคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของกิจการ ไม่สามารถที่จะฝืนการถูกบังคับให้เป็นแบบสถาบันได้) แต่ผมก็ยังคงคิดในแงดีไว้ครับตอนนี้ว่าคณะกรรมการคงจะช่วยกันสอดส่อง หรือถ้าไม่งั้นผมก็คงต้องขอลาก่อนยอมขาดทุนดีกว่าจะร่วมลงทุนกับผู้บริหารที่ไม่โปร่งใส
ปล.เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวครับ
ผมจะพยายามเป็นแบบพี่วิบูลย์ให้ได้ครับ พี่ต้องยอมรับแล้วละครับว่าพี่เป็นต้อนแบบของมือให่อย่างผมที่ต้องเป็น VI พันธุ์แท้จริงๆ
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 521
คุณ derden ได้ทำอย่างVIพึงทำแล้วครับ เราพลาดได้ครับ แต่พลาดแล้วเอาเป็นประสบการณ์นะครับ แต่ผมว่ามันยังไม่จบนี่น่า ไม่ลองตรวจดูให้ละเอียดอีกหน่อยหรือครับ? ไปร่วมประชุมผู้ถือหุ้นและสอบถามผู้บริหารก่อนก็ได้นี่น่า....ว่าไหม?
หุ้นที่คุณยกมาสามบริษัท ผมดูแล้วสองคือ STANLY กับ PTTEP ผมวิจารณ์ตามความเห็นผมคนเดียวนะ คนอื่นอาจไม่เห็นอย่างผมก็ได้
STANLY เริ่มซื้อ Growthด้วยการลงทุนอย่างหนัก ลงทุนเท่าๆกับหรือมากกว่ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานแล้ว ผู้บริหารน่าจะมองว่าอนาคตยังเติบโตอีกมาก ผู้บริหารมั่นใจในกระแสเงินสดที่จะผลิตมาหล่อเลี้ยงGrowthได้อย่างสม่ำเสมอ แต่เนื่องจากธุรกิจนี้เป็นCylical ผมไม่มั่นใจอย่างนั้นครับ อนาคตอาจเปลี่ยนแปลงไปก็ได้ ผมดูแล้วหากผมลงทุนตอนนี้ผมคงนอนไม่หลับ Margin Of safety น้อยมากครับ P/E ที่ 22 เท่าน่าจะมองโลกในแง่ดีไปหน่อย แต่หากให้เดาราคาคงไปได้อีก อันนี้เดาเอานะครับจึงไม่กล้ารับประกัน
PTTEP กระแสเงินสดแกร่งมาก เท่าที่ดูมีมากกว่าหรือพอๆกับกำไรเลยทีเดียว อนาคตในระยะยาวน่าจะมั่นคงหากไม่รุกจนเกินไป แนวโน้มการใช้แก๊สธรรมชาติจะโดดเด่นในอนาคตมาก
เอาแค่นี้นะเดี๋ยวคุณวิบูลย์จะว่าเอา
--------------------------------------------------------------------------------------
คุณวิบูลย์และเพื่อนๆครับ ตอนนี้ถ้าเราไม่คุยกันเรื่อง Mr. Market เห็นจะไม่ได้ เขาว่าพักนี้แกใจร้ายจังเลย เพื่อนๆว่าไงบ้างครับ?
หุ้นที่คุณยกมาสามบริษัท ผมดูแล้วสองคือ STANLY กับ PTTEP ผมวิจารณ์ตามความเห็นผมคนเดียวนะ คนอื่นอาจไม่เห็นอย่างผมก็ได้
STANLY เริ่มซื้อ Growthด้วยการลงทุนอย่างหนัก ลงทุนเท่าๆกับหรือมากกว่ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานแล้ว ผู้บริหารน่าจะมองว่าอนาคตยังเติบโตอีกมาก ผู้บริหารมั่นใจในกระแสเงินสดที่จะผลิตมาหล่อเลี้ยงGrowthได้อย่างสม่ำเสมอ แต่เนื่องจากธุรกิจนี้เป็นCylical ผมไม่มั่นใจอย่างนั้นครับ อนาคตอาจเปลี่ยนแปลงไปก็ได้ ผมดูแล้วหากผมลงทุนตอนนี้ผมคงนอนไม่หลับ Margin Of safety น้อยมากครับ P/E ที่ 22 เท่าน่าจะมองโลกในแง่ดีไปหน่อย แต่หากให้เดาราคาคงไปได้อีก อันนี้เดาเอานะครับจึงไม่กล้ารับประกัน
PTTEP กระแสเงินสดแกร่งมาก เท่าที่ดูมีมากกว่าหรือพอๆกับกำไรเลยทีเดียว อนาคตในระยะยาวน่าจะมั่นคงหากไม่รุกจนเกินไป แนวโน้มการใช้แก๊สธรรมชาติจะโดดเด่นในอนาคตมาก
เอาแค่นี้นะเดี๋ยวคุณวิบูลย์จะว่าเอา
--------------------------------------------------------------------------------------
คุณวิบูลย์และเพื่อนๆครับ ตอนนี้ถ้าเราไม่คุยกันเรื่อง Mr. Market เห็นจะไม่ได้ เขาว่าพักนี้แกใจร้ายจังเลย เพื่อนๆว่าไงบ้างครับ?
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 522
ผมอ่านโพสของคุณ derden แล้วก็ยังงงๆ
ตกลงสามบริษัทที่ว่านั้นบอกมาเพื่ออะไรครับ
ไม่เข้าใจ
เอายังงี้ ผมแปลแล้วกันว่า
คุณ derden ซื้อหุ้นมาหนึ่งบริษัททั้งพอร์ตเลย 100%
ถืออยู่ตัวเดียว
แล้วราคามันลงใช่มั๊ยครับ
เลยกลัวว่า
จะกลายเป็นเราตัดสินใจผิด ใช่มั๊ยครับ
ถ้าป็นอย่างนั้น
ก็เอาคาถาของอาจารย์เกรแฮมไปสามข้อ
1) บริษัทที่ยอดเยี่ยมจะไม่มีประโยชน์ ถ้าราคาที่ซื้อสูงเกินไป
2) ในระยะสั้น ตลาดเป็นเครื่องลงคะแนนเสียง ในระยะยาว ตลาดเป็นเครื่องชั่งน้ำหนัก
(In the short term, Market is the voting machine. In the long term, it's the weighting machine)
3) การคำนวณมูลค่ากิจการด้วย DCF จะทำให้เกิดข้อผิดพลาดได้ง่ายที่สุด
ถ้าไม่เข้าใจก็บอกได้ครับ
จะอธิบายให้ฟังโดยละเอียดอีกที
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณ derden ซื้อตัวไหน
ก็เลยบอกรายละเอียดของบริษัทไม่ได้
เอาที่ผมเข้าใจแล้วกัน
Stanly ผมก็เคยคิดจะซื้อ แล้วก็ไม่ได้ซื้อ
IRC เคยมีคนบอกให้ซื้อ แต่ไม่ได้ซื้อ
PTTEP มีอยู่ในพอร์ตผมครับ ซื้อมานานแล้วยังไม่ได้ขายออกสักหุ้น
กะเก็บไว้สามสิบปี เอาไว้เป็นมรดกครับ
ถ้าคิดซื้อตอนนี้ ก็ดูราคาด้วยนะครับ
ถ้าเป็นผม ผมจะรอราคามันลงมาหนักๆก่อน
ผมเริ่มเผยหุ้นในพอร์ตแล้วนะครับ
บางทีมันก็อึดอัดนะ ถ้าไม่พูดชื่อหุ้นสักหุ้น
ไม่ได้เชียร์ให้ซื้อนะครับ
ลองดูคาถาข้อที่หนึ่งข้างบนดูก่อน
ผมเริ่มผ่อนกฏเกณท์ของผมแล้วล่ะ
ก็เริ่มพูดถึงชื่อบริษัทกันได้แล้วกันนะครับ
คุณMon ผมไม่ว่าแล้วครับ
ทีพวกปั่นหุ้นเห็นกันอยู่โต้งๆว่าใครทำ
กลต และ ตลาดยังไม่เห็นทำอะไรเลย
ได้แต่ออกข่าว ว่าจะ ว่าจะ
แต่ไม่เห็นมี action อะไร
ผมว่าถ้าปล่อยให้ VI ไปคิดกันเอง
คงไม่ทันพวกแมงเม่า แมงมุม
ก็ช่วยๆกันวิเคราะห็แล้วกันครับ
ว่าตัวไหนเป็นอย่างไร
ลงทุนได้หรือเปล่า
ผมว่าคุณderden ก็เหมือนผมช่วงแรกๆหละครับ
ซื้อแล้วราคามันลงทุกวัน
เรามาเช็คพื้นฐาน
ทำไมผลประกอบการมันดีวันดีคืน
แต่ราคามันกลับตกเอาตกเอา
คิดอยากจะ Cutloss
แต่พอคิดถึงคำอาจารย์ Fisher ขึ้นมา
ก็เลยตัดใจถือไว้
ถึงวันนี้
ผมบอกตัวเองว่า
ทำไมตอนนั้น ไม่ซื้อเพิ่มอีกเท่าตัว(ว่ะ)
ในระยะยาว
ราคาหุ้นจะสะท้อนผลประกอบการจริงๆ...ขอบอก
ดังนั้น ต้องอดทนครับ ต้องอดทน
เห็นอะไรขวางหูขวางตาไปหมด
ยิ่งแกกลัวมากๆ เทขายหุ้นดีๆราคาถูกๆ
ผมยิ่งชอบใหญ่
ส่วนตัวผมก็รอแกอารมณ์ร้ายกว่านี้ครับ
จะได้เก็บของถูกเลหลังจริงๆ
แล้วคุณมนและเพื่อนๆล่ะครับ
เก็บของไปได้เยอะหรือยัง?????
ตกลงสามบริษัทที่ว่านั้นบอกมาเพื่ออะไรครับ
ไม่เข้าใจ
เอายังงี้ ผมแปลแล้วกันว่า
คุณ derden ซื้อหุ้นมาหนึ่งบริษัททั้งพอร์ตเลย 100%
ถืออยู่ตัวเดียว
แล้วราคามันลงใช่มั๊ยครับ
เลยกลัวว่า
จะกลายเป็นเราตัดสินใจผิด ใช่มั๊ยครับ
ถ้าป็นอย่างนั้น
ก็เอาคาถาของอาจารย์เกรแฮมไปสามข้อ
1) บริษัทที่ยอดเยี่ยมจะไม่มีประโยชน์ ถ้าราคาที่ซื้อสูงเกินไป
2) ในระยะสั้น ตลาดเป็นเครื่องลงคะแนนเสียง ในระยะยาว ตลาดเป็นเครื่องชั่งน้ำหนัก
(In the short term, Market is the voting machine. In the long term, it's the weighting machine)
3) การคำนวณมูลค่ากิจการด้วย DCF จะทำให้เกิดข้อผิดพลาดได้ง่ายที่สุด
ถ้าไม่เข้าใจก็บอกได้ครับ
จะอธิบายให้ฟังโดยละเอียดอีกที
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณ derden ซื้อตัวไหน
ก็เลยบอกรายละเอียดของบริษัทไม่ได้
เอาที่ผมเข้าใจแล้วกัน
Stanly ผมก็เคยคิดจะซื้อ แล้วก็ไม่ได้ซื้อ
IRC เคยมีคนบอกให้ซื้อ แต่ไม่ได้ซื้อ
PTTEP มีอยู่ในพอร์ตผมครับ ซื้อมานานแล้วยังไม่ได้ขายออกสักหุ้น
กะเก็บไว้สามสิบปี เอาไว้เป็นมรดกครับ
ถ้าคิดซื้อตอนนี้ ก็ดูราคาด้วยนะครับ
ถ้าเป็นผม ผมจะรอราคามันลงมาหนักๆก่อน
ผมเริ่มเผยหุ้นในพอร์ตแล้วนะครับ
บางทีมันก็อึดอัดนะ ถ้าไม่พูดชื่อหุ้นสักหุ้น
ไม่ได้เชียร์ให้ซื้อนะครับ
ลองดูคาถาข้อที่หนึ่งข้างบนดูก่อน
ผมเริ่มผ่อนกฏเกณท์ของผมแล้วล่ะ
ก็เริ่มพูดถึงชื่อบริษัทกันได้แล้วกันนะครับ
คุณMon ผมไม่ว่าแล้วครับ
ทีพวกปั่นหุ้นเห็นกันอยู่โต้งๆว่าใครทำ
กลต และ ตลาดยังไม่เห็นทำอะไรเลย
ได้แต่ออกข่าว ว่าจะ ว่าจะ
แต่ไม่เห็นมี action อะไร
ผมว่าถ้าปล่อยให้ VI ไปคิดกันเอง
คงไม่ทันพวกแมงเม่า แมงมุม
ก็ช่วยๆกันวิเคราะห็แล้วกันครับ
ว่าตัวไหนเป็นอย่างไร
ลงทุนได้หรือเปล่า
ผมว่าคุณderden ก็เหมือนผมช่วงแรกๆหละครับ
ซื้อแล้วราคามันลงทุกวัน
เรามาเช็คพื้นฐาน
ทำไมผลประกอบการมันดีวันดีคืน
แต่ราคามันกลับตกเอาตกเอา
คิดอยากจะ Cutloss
แต่พอคิดถึงคำอาจารย์ Fisher ขึ้นมา
ก็เลยตัดใจถือไว้
ถึงวันนี้
ผมบอกตัวเองว่า
ทำไมตอนนั้น ไม่ซื้อเพิ่มอีกเท่าตัว(ว่ะ)
ในระยะยาว
ราคาหุ้นจะสะท้อนผลประกอบการจริงๆ...ขอบอก
ดังนั้น ต้องอดทนครับ ต้องอดทน
ผมชอบมากเลยเวลาคุณตลาดแกอารมณ์ไม่ดีMon Money เขียน: คุณวิบูลย์และเพื่อนๆครับ ตอนนี้ถ้าเราไม่คุยกันเรื่อง Mr. Market เห็นจะไม่ได้ เขาว่าพักนี้แกใจร้ายจังเลย เพื่อนๆว่าไงบ้างครับ?
เห็นอะไรขวางหูขวางตาไปหมด
ยิ่งแกกลัวมากๆ เทขายหุ้นดีๆราคาถูกๆ
ผมยิ่งชอบใหญ่
ส่วนตัวผมก็รอแกอารมณ์ร้ายกว่านี้ครับ
จะได้เก็บของถูกเลหลังจริงๆ
แล้วคุณมนและเพื่อนๆล่ะครับ
เก็บของไปได้เยอะหรือยัง?????
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 523
ข่าวล่าสุด
"แล้ววันนี้ก็มาถึง"
วันนี้ พุธที่ 19 พฤศจิกายน 2546
ปิดตลาด ดัชนีลบไป 18.54 จุด
เหลือ 618
พอร์ตผมบางตัวที่เพิ่งลงทุน
ก็ติดลบเหมือนกันครับ
แต่ตั้งใจไว้ว่า
จะซื้อเพิ่มครับ
ตอนนี้ คุณตลาดหน้ามืดตามัวแล้ว
กลัวสุดชีวิต
ไม่สนใจแล้วว่า
อะไรเป็นอะไร
ขายลูกเดียว
ไม่สนใจผลประกอบการกันแล้ว
นักลงทุนคุณค่าทั้งหลาย
ได้เวลาเก็บของถูกแล้วครับ
แต่เลือกดีๆนะครับ
ตาดีได้ ตาร้ายเสียนะครับ
พิถีพิถันกันหน่อย
อย่ามูมมามนะครับ
เดี๋ยวจะสำลัก
ค่อยๆทะยอยรับ
แล้วอมยาว
ลองคิดดูแล้วกันครับว่า
ในอนาคต
บริษัทที่ท่านเลือกจะเจริญขึ้นหรือเจริญลง
เทียบกับราคาตอนนี้แล้ว
คุ้มค่าหรือเปล่า
ผมละไม่เข้าใจนายตลาดซะจริงๆเลย
สอง-สามอาทิตย์ที่แล้วยังกระดี้กระด้าอยู่เลย
มาวันนี้
ยังกับคนละคน
อารมณ์แกแปรปรวนเหมือนที่คุณมนบอกไว้ไม่มีผิด
เอาล่ะครับ
ตอนนี้ก็
โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ
สวัสดีครับ
"แล้ววันนี้ก็มาถึง"
วันนี้ พุธที่ 19 พฤศจิกายน 2546
ปิดตลาด ดัชนีลบไป 18.54 จุด
เหลือ 618
พอร์ตผมบางตัวที่เพิ่งลงทุน
ก็ติดลบเหมือนกันครับ
แต่ตั้งใจไว้ว่า
จะซื้อเพิ่มครับ
ตอนนี้ คุณตลาดหน้ามืดตามัวแล้ว
กลัวสุดชีวิต
ไม่สนใจแล้วว่า
อะไรเป็นอะไร
ขายลูกเดียว
ไม่สนใจผลประกอบการกันแล้ว
นักลงทุนคุณค่าทั้งหลาย
ได้เวลาเก็บของถูกแล้วครับ
แต่เลือกดีๆนะครับ
ตาดีได้ ตาร้ายเสียนะครับ
พิถีพิถันกันหน่อย
อย่ามูมมามนะครับ
เดี๋ยวจะสำลัก
ค่อยๆทะยอยรับ
แล้วอมยาว
ลองคิดดูแล้วกันครับว่า
ในอนาคต
บริษัทที่ท่านเลือกจะเจริญขึ้นหรือเจริญลง
เทียบกับราคาตอนนี้แล้ว
คุ้มค่าหรือเปล่า
ผมละไม่เข้าใจนายตลาดซะจริงๆเลย
สอง-สามอาทิตย์ที่แล้วยังกระดี้กระด้าอยู่เลย
มาวันนี้
ยังกับคนละคน
อารมณ์แกแปรปรวนเหมือนที่คุณมนบอกไว้ไม่มีผิด
เอาล่ะครับ
ตอนนี้ก็
โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ
สวัสดีครับ
- MO101
- Verified User
- โพสต์: 3226
- ผู้ติดตาม: 1
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 524
อ่านถึงหน้าที่ 19 แล้วครับ
เห็นว่าคุณ ฉัตรชัย มีอิสระภาพทางการเงินแล้วอยากทราบว่า
ขณะนั้น สินทรัพย์เป็นเท่าไหร่ครับ และก็อายุเท่าไหร่ครับ
----------------------------------------
ก่อนรู้จักกับเว็บนี้ผมก็ตั้งเป้าไว้เหมือนคนธรรมดาๆ
1.งานที่ดี
2.บ้านเดียว
3.รถยุโรป
ตอนนี้เปลี่ยนเป้าเป็น อิสระภาพทางการเงินแล้วครับ
30 ล้านน่าจะพอไหม 30 ล้าน ผลตอบแทนแบบธรรมดา
สูงกว่าเงินเฟ้อสัก 3% ก็ 1 ล้าน อยู่สบายๆ เลย
เป้าหมายแบบนี้พี่คิดว่าไงครับ (ถามทุกคนเลย)
เห็นว่าคุณ ฉัตรชัย มีอิสระภาพทางการเงินแล้วอยากทราบว่า
ขณะนั้น สินทรัพย์เป็นเท่าไหร่ครับ และก็อายุเท่าไหร่ครับ
----------------------------------------
ก่อนรู้จักกับเว็บนี้ผมก็ตั้งเป้าไว้เหมือนคนธรรมดาๆ
1.งานที่ดี
2.บ้านเดียว
3.รถยุโรป
ตอนนี้เปลี่ยนเป้าเป็น อิสระภาพทางการเงินแล้วครับ
30 ล้านน่าจะพอไหม 30 ล้าน ผลตอบแทนแบบธรรมดา
สูงกว่าเงินเฟ้อสัก 3% ก็ 1 ล้าน อยู่สบายๆ เลย
เป้าหมายแบบนี้พี่คิดว่าไงครับ (ถามทุกคนเลย)
-
- Verified User
- โพสต์: 22
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 525
สวัสดีครับ คุณธันวา คุณMon Money คุณเจ๋ง คุณวิบูลย์(พระเอกยี่เกขวัญใจคนจนอย่างผม) เพื่อนๆและพี่ๆ นานๆถีงว่างเข้ามาทีครับ
พอร์ตผมบางตัวที่เพิ่งลงทุน
ก็ติดลบเหมือนกันครับ
แต่ตั้งใจไว้ว่า
จะซื้อเพิ่มครับ
ตอนนี้ คุณตลาดหน้ามืดตามัวแล้ว
กลัวสุดชีวิต
ไม่สนใจแล้วว่า
อะไรเป็นอะไร
ขายลูกเดียว
ไม่สนใจผลประกอบการกันแล้ว .....
ข้อความคุณวิบูลย์
หลายวันมานี้ผมคิดถึงคุณวิบูลย์มากที่สุด
เพราะพี่ Set อารมณ์บูด
ถึงเวลาของเราแล้วอุตสาเฝ้าลุงเบิร์ด(เรียกตามลูก)มานาน
ผมสะสมสามวันสามครั้งติด พอได้กอดลุงเบิร์ดแล้วก็อารมณ์
ผมร้องเพลง สบาย ...สบาย...ตลอด(เมื่อวานนี้) :lol:
พอมาวันนี้กลับมาตอนเย็น
อ้าว พี่ตลาด(Mr Market)ยังไม่หยุดโกรธ
เพิ่งปรับพอร์ตมา...เฮอ ถือเกิน 50เปอร์เซนต์ของปอด
สรุปปอดทั้งหมดจาก เขียวๆ กลายเป็นสีแดงอมชมพูทันที
แต่รู้สึกผิดหวัง...
ไม่ใช่ปอดผมเป็นสีแดงครับ
แต่.....
.....กระสุนหมดโธ่
ผมผิดหวังจริงๆ น่าจะเหลือกระสุนอีกนิดหน่อย
ไว้ซื้อช้อนชา...เอาไว้ช้อนลุงเบิร์ด อีกสักนิด
ให้สมอารมณ์หมาย
อุตสา รอพี่เขามาตั้งนาน
(ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณครับ)
ผมเห็นด้วยกับคุณวิบูลย์ครับว่า
ถึงเวลาพวก VIอย่างพวกเราตีเมืองขึ้นได้แล้วครับ
แต่ตอนนี้ถ้ามีกระสุนก้อนใหม่(สงสัยต้อง Over haul ตัวในพอร์ต
ที่ไม่ค่อยเข้าที มา Roll over)
แต่เป้าหมายไม่ใช่พี่เบิร์ดแล้วครับ
ต้องเป็นตัวที่อาจารย์ด๊อกเตอร์ให้คำจำกัดความไว้ว่า
พวกมีป้อม ค่ายและคูเมือง พวกพลังงานสักหนึ่งตัว
ช้อน ตัวที่ เวลา บริษัทหยุดเพื่อ ประท้วงแล้วชาว บ้านเดือดร้อน
(ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณ)
เอาไว้ประดับพอร์ต เพื่อตั้งการ์ด( Defensive)
แตจะมีโอกาสหรือเปล่าไม่รู้
ที่บ้านผมตอนนี้รับบริจาคกระสุนครับ ใครมี
กระสุนเย็นๆเหลือมั่งครับ อิ..อิ
ได้เวลาตีป้อมค่ายแล้วครับชาว VI
ที่เพ้อเจ้อ มาทั้งหมดนี่ ผมคิดว่าผมเป็นศิษย์ อาจารย์วิบูลย์
อีกคนครับ จะได้ทัน
พวกแมงเม่า...แมงมุม(มีด้วยเหรอ) ในตลาด
ผมคาดการณ์ว่า ประมาณ มีนา-เมษา ปีหน้า
พวกเราจะตีปีกครับ (รับปันผล)
ขอให้โชคดี รำรวย ถ้วนหน้าครับ
ด้วยใจจริงครับ
Tanapong
[/quote]
พอร์ตผมบางตัวที่เพิ่งลงทุน
ก็ติดลบเหมือนกันครับ
แต่ตั้งใจไว้ว่า
จะซื้อเพิ่มครับ
ตอนนี้ คุณตลาดหน้ามืดตามัวแล้ว
กลัวสุดชีวิต
ไม่สนใจแล้วว่า
อะไรเป็นอะไร
ขายลูกเดียว
ไม่สนใจผลประกอบการกันแล้ว .....
ข้อความคุณวิบูลย์
หลายวันมานี้ผมคิดถึงคุณวิบูลย์มากที่สุด
เพราะพี่ Set อารมณ์บูด
ถึงเวลาของเราแล้วอุตสาเฝ้าลุงเบิร์ด(เรียกตามลูก)มานาน
ผมสะสมสามวันสามครั้งติด พอได้กอดลุงเบิร์ดแล้วก็อารมณ์
ผมร้องเพลง สบาย ...สบาย...ตลอด(เมื่อวานนี้) :lol:
พอมาวันนี้กลับมาตอนเย็น
อ้าว พี่ตลาด(Mr Market)ยังไม่หยุดโกรธ
เพิ่งปรับพอร์ตมา...เฮอ ถือเกิน 50เปอร์เซนต์ของปอด
สรุปปอดทั้งหมดจาก เขียวๆ กลายเป็นสีแดงอมชมพูทันที
แต่รู้สึกผิดหวัง...
ไม่ใช่ปอดผมเป็นสีแดงครับ
แต่.....
.....กระสุนหมดโธ่
ผมผิดหวังจริงๆ น่าจะเหลือกระสุนอีกนิดหน่อย
ไว้ซื้อช้อนชา...เอาไว้ช้อนลุงเบิร์ด อีกสักนิด
ให้สมอารมณ์หมาย
อุตสา รอพี่เขามาตั้งนาน
(ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณครับ)
ผมเห็นด้วยกับคุณวิบูลย์ครับว่า
ถึงเวลาพวก VIอย่างพวกเราตีเมืองขึ้นได้แล้วครับ
แต่ตอนนี้ถ้ามีกระสุนก้อนใหม่(สงสัยต้อง Over haul ตัวในพอร์ต
ที่ไม่ค่อยเข้าที มา Roll over)
แต่เป้าหมายไม่ใช่พี่เบิร์ดแล้วครับ
ต้องเป็นตัวที่อาจารย์ด๊อกเตอร์ให้คำจำกัดความไว้ว่า
พวกมีป้อม ค่ายและคูเมือง พวกพลังงานสักหนึ่งตัว
ช้อน ตัวที่ เวลา บริษัทหยุดเพื่อ ประท้วงแล้วชาว บ้านเดือดร้อน
(ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณ)
เอาไว้ประดับพอร์ต เพื่อตั้งการ์ด( Defensive)
แตจะมีโอกาสหรือเปล่าไม่รู้
ที่บ้านผมตอนนี้รับบริจาคกระสุนครับ ใครมี
กระสุนเย็นๆเหลือมั่งครับ อิ..อิ
ได้เวลาตีป้อมค่ายแล้วครับชาว VI
ที่เพ้อเจ้อ มาทั้งหมดนี่ ผมคิดว่าผมเป็นศิษย์ อาจารย์วิบูลย์
อีกคนครับ จะได้ทัน
พวกแมงเม่า...แมงมุม(มีด้วยเหรอ) ในตลาด
ผมคาดการณ์ว่า ประมาณ มีนา-เมษา ปีหน้า
พวกเราจะตีปีกครับ (รับปันผล)
ขอให้โชคดี รำรวย ถ้วนหน้าครับ
ด้วยใจจริงครับ
Tanapong
[/quote]
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1011
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 526
เห็นด้วยกะคุณวิบูลย์ว่าวันนี้เป็นโอกาสซื้อ
ก็หวังว่าทุกคนศึกษามาอย่างดีและก้อใช้จังหวะนี้ลงทุนอย่างถูกต้อง
อ้อ เกือบลืม ผมชอบคาถาที่คุณวิบูลย์ยกมาจริงๆ
ไม่ว่าคุณวิบูลย์ไม่หมดมุขง่ายๆ หรอก เพียงแต่ไม่มีใครถามเท่านั้นเอง
ผมว่าคุณ darden นี่อนาคตไกลคนหนึ่งเลยนะครับ
นึกอย่างไรก็ไม่ทราบ ถึงยกหุ้นที่ผมถือมาวิจารณ์
ชอบความคิดของคุณ M0101 ครับ ผมว่าจุดหมายที่คิดไว้ดีมาก ขอสนับสนุนครับ สำหรับจุดที่พอนั้น ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้จ่ายของแต่ละคนครับ ถ้าไม่ได้มีภาระอะไรมาก ผมว่า 30 ล้านบาทนะจะพอ หาผมตอบแทน 10% ต่อปีผมว่าไม่น่ายาก ก็มีรายได้เกือบ 3 แสนต่อเดือนแล้วนะครับ
ไหนๆ คุณ M0101 ก็พูดถึงเงินเป็น 10 ล้านแล้ว ผมอยากยกตัวอย่างของผลตอบแทนทบต้นให้เพื่อนๆ พิจารณา
เงินเริ่มลงทุน 10 ล้านบาท (สามารถเทียบสัดส่วนลงมาแล้วแต่ความเหมาะสมครับ) เงินลงทุนเพิ่มเติมต่อเดือน 50,000 บาท จำนวนเงินที่ควรจะมีหากหาผลตอบแทนได้ 10% หรือ 15% ต่อปี
_ปี____อายุ____ผลตอบแทน 10%______15%
2013___n+10_________37 ล้าน______58 ล้าน
2015___n+12_________46 ล้าน______79 ล้าน
2018___n+15_________65 ล้าน_____127 ล้าน
คราวนี้ หากยังมีเงินเหลือจะลงทุนเพิ่มเติมเป็น 75,000 บาทจะได้เป็นดังนี้ครับ
_ปี____อายุ____ผลตอบแทน 10%______15%
2013___n+10_________42 ล้าน______65 ล้าน
2015___n+12_________53 ล้าน______89 ล้าน
2018___n+15_________75 ล้าน_____143 ล้าน
เพื่อนๆ ตั้งเป้าหมายไว้อย่างไรครับ
ขออนุญาติคุณวิบูลย์ และเพื่อนๆ พาออกนอกเรื่องสักนิดวันนี้ คงไม่ว่ากัน
ก็หวังว่าทุกคนศึกษามาอย่างดีและก้อใช้จังหวะนี้ลงทุนอย่างถูกต้อง
อ้อ เกือบลืม ผมชอบคาถาที่คุณวิบูลย์ยกมาจริงๆ
ไม่ว่าคุณวิบูลย์ไม่หมดมุขง่ายๆ หรอก เพียงแต่ไม่มีใครถามเท่านั้นเอง
ผมว่าคุณ darden นี่อนาคตไกลคนหนึ่งเลยนะครับ
นึกอย่างไรก็ไม่ทราบ ถึงยกหุ้นที่ผมถือมาวิจารณ์
ชอบความคิดของคุณ M0101 ครับ ผมว่าจุดหมายที่คิดไว้ดีมาก ขอสนับสนุนครับ สำหรับจุดที่พอนั้น ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้จ่ายของแต่ละคนครับ ถ้าไม่ได้มีภาระอะไรมาก ผมว่า 30 ล้านบาทนะจะพอ หาผมตอบแทน 10% ต่อปีผมว่าไม่น่ายาก ก็มีรายได้เกือบ 3 แสนต่อเดือนแล้วนะครับ
ไหนๆ คุณ M0101 ก็พูดถึงเงินเป็น 10 ล้านแล้ว ผมอยากยกตัวอย่างของผลตอบแทนทบต้นให้เพื่อนๆ พิจารณา
เงินเริ่มลงทุน 10 ล้านบาท (สามารถเทียบสัดส่วนลงมาแล้วแต่ความเหมาะสมครับ) เงินลงทุนเพิ่มเติมต่อเดือน 50,000 บาท จำนวนเงินที่ควรจะมีหากหาผลตอบแทนได้ 10% หรือ 15% ต่อปี
_ปี____อายุ____ผลตอบแทน 10%______15%
2013___n+10_________37 ล้าน______58 ล้าน
2015___n+12_________46 ล้าน______79 ล้าน
2018___n+15_________65 ล้าน_____127 ล้าน
คราวนี้ หากยังมีเงินเหลือจะลงทุนเพิ่มเติมเป็น 75,000 บาทจะได้เป็นดังนี้ครับ
_ปี____อายุ____ผลตอบแทน 10%______15%
2013___n+10_________42 ล้าน______65 ล้าน
2015___n+12_________53 ล้าน______89 ล้าน
2018___n+15_________75 ล้าน_____143 ล้าน
เพื่อนๆ ตั้งเป้าหมายไว้อย่างไรครับ
ขออนุญาติคุณวิบูลย์ และเพื่อนๆ พาออกนอกเรื่องสักนิดวันนี้ คงไม่ว่ากัน
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 528
ผมมีไม่ถึง 30 ล้านบาทหรอกครับ
การที่คณจะมีเงินเท่าไรถึงจะมีอิสระทางการเงินนั้นขึ้นอย่กับ 2 ปัจจัย คือ
1. ผลตอบแทนจากการลงทน
2. ค่าใช้จ่ายต่อเดือนของคณ
สำหรับผม ผมแน่ใจว่าผมสามารถมีลงทนได้ผลตอบแทนประมาณ 10% ต่อปี
และค่าใช้จ่ายของครอบครัวผมจริงๆแล้วก็ไม่ได้มากมายครับ เดือนหนึ่งก็ไม่ถึง 6 หมื่นบาท ปีหนึ่งก่อประมาณ 7 แสนบาท
ดังนั้นถ้ามีเงินลงทนแค่ 7 ล้านบาทก็โอเคครับ
แต่ผมก็มี Safety เผื่อไว้ครับ คือลงทนในพันธบัตร ร่นช่วยชาติครับ
การที่คณจะมีเงินเท่าไรถึงจะมีอิสระทางการเงินนั้นขึ้นอย่กับ 2 ปัจจัย คือ
1. ผลตอบแทนจากการลงทน
2. ค่าใช้จ่ายต่อเดือนของคณ
สำหรับผม ผมแน่ใจว่าผมสามารถมีลงทนได้ผลตอบแทนประมาณ 10% ต่อปี
และค่าใช้จ่ายของครอบครัวผมจริงๆแล้วก็ไม่ได้มากมายครับ เดือนหนึ่งก็ไม่ถึง 6 หมื่นบาท ปีหนึ่งก่อประมาณ 7 แสนบาท
ดังนั้นถ้ามีเงินลงทนแค่ 7 ล้านบาทก็โอเคครับ
แต่ผมก็มี Safety เผื่อไว้ครับ คือลงทนในพันธบัตร ร่นช่วยชาติครับ
-
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 529
จากการที่คุณตลาดอารมณ์บ่จอยในสองสามวันนี้ ทำให้ผมได้ข้อคิดครับ ว่าต้องเหลือเงินไว้ส่วนหนึ่ง จะได้ไม่เสียดายเหมือนอย่างช่วงนี้ ตอนแรกผมคิดว่า ช่วงตลาดขาขึ้นน่าจะซื้อๆไปให้หมดเลยดีกว่า เพราะมันกำลังขึ้น ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าคุณตลาดอารมณ์ยังไง และผมสังเกตได้ว่า เค้าไม่ค่อยดูข้อมูลในอดีต เช่นกำไรติดต่อกันทุกปี หนี้สินน้อยลง ผลประกอบการล่าสุดกำไรมากขึ้น แต่ราคาหุ้นกลับดิ่งลง แล้วเอาเงินไปซื้ออนาคตในบริษัทที่เพิ่งฟื้นจากขาดทุนมาเป็นกำไรเพียงแค่ไตรมาสนี้ เป็นอย่างนี้หรือเปล่าครับ ...
พี่วิบูลย์และท่านอื่นๆครับ ผมมีคำถามนะครับ คือในอดีตมีบ่อยไม๊ครับที่ให้ปันผลเป็นหุ้นนะครับ มันมีประโยชน์ยังไงเหรอครับ ทั้งที่ราคาที่คำนวณใหม่จะลดลง และจำนวนหุ้นมากขึ้นตัวหารมากขึ้น ถ้ากำไรพอๆกับปีที่แล้ว EPS ก้อลดลง ผมไม่ค่อยเข้าใจครับ
พี่วิบูลย์และท่านอื่นๆครับ ผมมีคำถามนะครับ คือในอดีตมีบ่อยไม๊ครับที่ให้ปันผลเป็นหุ้นนะครับ มันมีประโยชน์ยังไงเหรอครับ ทั้งที่ราคาที่คำนวณใหม่จะลดลง และจำนวนหุ้นมากขึ้นตัวหารมากขึ้น ถ้ากำไรพอๆกับปีที่แล้ว EPS ก้อลดลง ผมไม่ค่อยเข้าใจครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 7
- ผู้ติดตาม: 0
ยังคงเก็บไว้กินได้อีกนานครับพี่วิบูลย์
โพสต์ที่ 531
ถ้าจะพูดถึงตัวผลิตภัณฑ์น้ำมันและก๊าซธรรมชาติผมว่าก็คงจะเก็บไว้กินได้อีกนานครับพี่ ผมจำได้คร่าวๆในสมัยเมื่อสองปีที่แล้วที่ผมยังเป็นนักศึกษา วศบ เครื่องกล ในวิชา internal combustion เห็นอาจารย์เกริ่นว่าปริมาณน้ำมันใต้พื้นโลกจะยังคงสามารถใช้ได้อีกอย่างต่ำก็ 60 ปี ราวๆนี้แหละครับ ถ้าพี่เก็บไว้อีกสามสิบปีผมว่ากำลังดีเลยครับผมไม่รู้ว่าอีกสามสิบปีต่อไปบริษัทของพี่จะยังคงอยู่ดีหรือเปล่าเพราะคนเราก็จะใช้เชื้อเพลิงรูปแบบใหม่ที่หาได้ง่ายๆ มีแค่น้ำก็สามารถทำเป็นเชื้อเพลิงได้แล้วแม้ว่าจะผลิตได้ยาก ณ ปัจจุบัน แต่ในอนาคตสามสิบปีคงเป็นเรื่องไม่แน่ละครับพี่
มีคนเห็นพี่เป็นอาจารย์เหมือนกับที่ผมเห็นพี่เป็นอาจารย์แล้วครับ
ปล.เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัว
มีคนเห็นพี่เป็นอาจารย์เหมือนกับที่ผมเห็นพี่เป็นอาจารย์แล้วครับ
ปล.เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัว
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 532
เมื่อวานพี่ธันวา พี่ธนพงษ์ โทรมาคุย บอกว่านายตลาดแกโกรธสุดๆ ผมทำอะไรไปแล้วหรือยัง .....ยังครับ ยังเก็บไม่พอเลย และดูๆแล้วนายตลาดยังไม่หายโกรธ ขณะนี้นายตลาดตั้งราคาตลาดติดลบ 1.2 แล้วครับ
ของดีๆถูกๆมองหากันให้ดี ซื้อแล้วลงไม่ต้องกลัว นายตลาดมองโลกในแง่ร้ายก็แค่นั้น ความอดทนรอคอย เงินและเวลาจะเริ่มทำงานของมันแล้วครับ
VI จัดแถวได้แล้วครับ
ของดีๆถูกๆมองหากันให้ดี ซื้อแล้วลงไม่ต้องกลัว นายตลาดมองโลกในแง่ร้ายก็แค่นั้น ความอดทนรอคอย เงินและเวลาจะเริ่มทำงานของมันแล้วครับ
VI จัดแถวได้แล้วครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 533
รู้มั๊ยครับ
สิ่งที่ทำให้ผมดีใจที่สุด
ไม่ใช่หุ้นขึ้นหรือหุ้นลงครับ
แต่เป็นการที่มีพี่ๆเพื่อนๆมาตอบกระทู้แทนผม
แสดงว่ากระทู้นี้เริ่มเป็นของสาธารณะแล้วครับ
วันนี้เข้างานสาย
กลับมาเปิดเวปดู
มีเพื่อนๆโพสตอบแทนผม
แค่นี้ผมก็ชื่นใจแล้วครับ
ตอนนี้ไม่พูดพล่ำทำเพลง
ก็เริ่มตอบคำถามเลยครับ
เอาอะไรมากกับชีวิต
หาเงินมาก็ใช้ไป
มีงานทำ
มีรถขับ
มีบ้านอยู่
มีเงินใช้
แค่นั้นก็พอแล้ว
ปรากฎว่า
ผมมองไปรอบๆ
พบว่า
ผมเห็นผู้คนมากมายอายุมากแล้ว
แต่ยังต้องทำงานอยู่
เพราะหยุดทำงานไม่ได้
หยุดทำงานแล้วไม่มีเงินใช้
ต้องทนทำงานต่อไปเรื่อยๆ
ไม่ใช่ใครอื่น คนใกล้ตัวผมเป็นแบบนี้ก็เยอะแยะ
ทำให้ผมรู้สึกว่า
เราต้องไม่เป็นแบบนั้น
ยิ่งเจอกับตัวเองเรื่องหนี้สิน
เรื่องไม่มีเงินเก็บสักบาท
ทำให้เข้าใจเรื่องนี้ได้เร็วขึ้น
ดังนั้น
ผมก็หาวิธีที่จะทำอย่างไรให้มีอิสรภาพทางการเงินให้ได้
ก็มีวิธีการหลายอย่าง
บางท่านอาจจะถนัด อสังหาริมทรัพย์
บางท่านอาจจะถนัด ทำธุรกิจส่วนตัว
ส่วนผม หลังจากทดลองมาหลายอย่าง
ก็พบว่า การลงทุนเป็นสิ่งที่ผมน่าจะถนัดที่สุด
ก็เลยเลือกทางนี้
ลองศึกษา ลองทำดู ก็ได้ผลดี
ยิ่งเห็นหลายๆท่าน
มีอิสรภาพทางการเงินจากการลงทุน
ก็ยิ่งมีกำลังใจ
คำว่า "อิสรภาพทางการเงิน"
ผมเห็นเหมือนกับพี่ Chatchai ครับว่า
ขึ้นกับตัวแปรสองอย่าง
หนึ่ง ค่าใช้จ่ายส่วนตัวหลังเกษียณ
สอง อัตราผลตอบแทนที่ทำได้
เช่น
เราต้องมีเงินอย่างน้อยเดือนละ 100,000 บาทถึงจะอยู่สบายๆ
และเราทำผลตอบแทนการลงทุน (เช่น เงินปันผล) ได้ปีละ 6%
ดังนั้นแสดงว่า
เราต้องการเงินต้น = 100,000*12/0.06 = 20,000,000 บาท
ก็ขึ้นกับว่าคุณMO101
ต้องการเงินเดือนหลังเกษียณเท่าไหร่
และทำผลตอบแทนการลงทุนได้เท่าไหร่
แต่ละคนไม่เหมือนกันครับ
ถ้าผมใช้เงินเดือนละ 10,000 บาท
ผมสามารถลงทุนในหุ้นปันผล 10%
ดังนั้นผมต้องการเงินต้นแค่ 10,000*12/0.10 = 1,200,000 บาท
ผมก็มี "อิสรภาพทางการเงิน" แล้วครับ
เห็นมั๊ยครับ
เงินทุนสองอันนี้ต่างกันฟ้ากับดิน
ผมว่าอยู่ที่ตัวเราเองละครับ
ว่าจริงๆแล้วเราต้องการอะไรกันแน่
ยังไงก็ขออวยพรให้ คุณMO101
มี "อิสรภาพทางการเงิน" ไวๆ แล้วกันครับ
ที่ได้เป็นเจ้าของบริษัทที่ยอดเยี่ยม
ผมก็เก็บจนเกือบหมดกระสุนเหมือนกัน
เหลือติดรังเพลิงไว้นิดหน่อย
ไว้เผื่อเวลาข้าศึกเล่นกลยุทธ"เผาค่ายแล้วย้อนรอย"
Mr Market หลอกให้เราตายใจว่าถอยทัพแล้ว
แต่กลับมาถล่มขายใหม่อะไรอย่างนี้
ตอนนี้ก็นอนตีพุง
ฟังเพลง "คิดถึงฉันไหมเวลาที่เธอ...จุด จุด จดุ" ของ วงTaxi ไปพลางๆ
บริษัทที่พี่ถือนี้อะไรก็ดีหมดนะครับ
แต่เสียอย่างเดียว
เอากำไรสะสมไปจ่ายปันผลจนเกือบหมด
แล้วจะมีเงินไปลงทุนอย่างอื่นได้ยังไงเนี่ย
ผมก็ยังสงสัย
ไว้จะส่งสายสืบไปแอบถามเจ้าของบริษัทแล้วจะมาบอกครับ
ตอนนี้ผมก็แบ่งรับแบ่งสู้นะครับ
คงต้องให้เวลาพิสูจน์
ก็ใจเย็นๆแล้วกันครับ
ถ้าให้อาจารย์Mon ช่วยเศกคาถาอีกราย
รับรองชัวร์ปึ๊ก
ผมยังไม่แก่พอที่จะเป็น อาจารย์
เรียกกันว่า "พี่น้องร่วมสำนักเดียวกัน" ดีกว่าครับ อิ อิ
อ้ออีกอย่าง แมงมุมมีจริงครับ
แต่แมงมุมในตลาดหุ้นมีความสามารถพิเศษครับ
สามารถสุมไฟกองโตล่อให้แมงเม่าเข้าไปติดกับ
แล้วจับกิน ตายกันเป็นเบือได้ครับ
แต่ส่วนใหญ่แมงเม่าจะไม่เข็ด
เพราะชอบกองไฟครับ โดยเฉพาะพวกกอง Most Active
ดีนะครับ ที่ที่นี่ไม่ใช่เวป ThaiSpeculator.Com
ไม่งั้นผมเอาชื่อกองไฟมาสุมที่นี่ให้สนุกกันไปเลย ฮ่า ฮ่า
เรื่อง อิสรภาพทางการเงิน นี่ ไม่นอกเรื่องเลยครับ
เป็นเรื่องที่ผมคิดว่า สำคัญมาก
และเกี่ยวกับการลงทุนโดยตรง
เพราะ การลงทุนทำให้เรามี อิสรภาพทางการเงิน ได้แน่นอนครับ
จริงๆ ผมชอบพูดคุยเรื่องนี้มากกว่าเรื่องหุ้นซะอีก
เพราะหุ้นเป็นเพียงยานพาหนะหนึ่ง
ที่ทำให้เราไปถึงเป้าหมายเท่านั้นเองครับ
จริงๆการที่เราจะมี อิสรภาพทางการเงิน ก็ใช้ยานพาหนะอื่นก็ได้ครับ
เพื่อนผมบางคน ไม่เคยเล่นหุ้น ไม่เคยลงทุน
แต่ตอนนี้ก็มี อิสรภาพทางการเงิน ได้ครับ
มีทั้ง เจ้าของกิจการส่วนตัว
เจ้าของเวปไซค์
ทำธุรกิจขายตรง
อสังหาริมทรัพย์
ฯลฯ
มีหลายๆวิธีนะครับ
ที่ทำให้เราไปถึงเป้าหมายได้
ส่วนตัวผม
ถ้าผมทำผลตอบแทนการลงทุนได้มากกว่าเงินเดือนที่ได้รับอยู่ตอนนี้
ผมก็เลิกทำงานได้แล้วครับ
ก็กำลังพยายามอยู่ครับ
ตอนนี้ก็ยังเลิกไม่ได้ เพราะเงินเดือนสูง เฮ้อ เศร้า
เงินลงทุนก็เลยต้องสูงตามไปด้วย
อย่างนี้เขาเรียกว่า ทุกขลาภ หรือเปล่าไม่ทราบ
แล้วคุณธันวาละครับ
ต้องการเท่าไหร่ พันล้านพอมั๊ยครับ อิ อิ
ว่า Mr Market เขาจะซื้อหรือ "เล่น" หุ้นเฮงซวยยังไง
เราใช้ประโยชน์จากเฮียแกก็พอแล้ว
เฮียตลาด แกชอบเกร็งนะครับ
อะไรที่คิดว่าจะดี ก็เกร็งกันใหญ่
อาจารย์ Graham เลยบอกว่า
ถ้าจะประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น
ต้องไม่ทำตามที่คนส่วนใหญ่เขาทำกัน
เช่น คาดว่าจะเป็นยังงั้นยั้งงี้ ดียังงั้นยังงี้
เชื่อตัวเราเองดีที่สุดครับ
บริษัทไหนดีๆถูกเทขาย
นั่นเป็นโอกาสของเราละครับ
ส่วนเรื่อง จ่ายปันผลเป็นหุ้น
ผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
บริษัทที่ทำอย่างนั้นมีเหตุผลสองสามประการครับ
หนึ่ง เงินสดไม่พอจ่าย
สอง ปั่นราคาหุ้น
สาม ไม่คิดถึงอนาคต
ทำไมเหรอครับ
ถ้ามีเงินสด คงไม่มีบริษัทดีๆที่ไหนอยากจ่ายปันผลเป็นหุ้นหรอกครับ
เพราะ ทำให้จำนวนหุ้นมากขึ้น
ผู้ถือหุ้นก็เสียประโยชน์ระยะยาวเพราะมีคนมาหารกำไรมากขึ้น
อีกอย่าง มันเหมือนเอาอัฐยายซื้อขนมยาย
เปลี่ยนจาก กำไรสะสม(ทางบัญชี) เป็น ส่วนผู้ถือหุ้น
ดูๆไปแล้วก็ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไร
นอกจากออกข่าว แจกปันผลเป็นหุ้นแล้ว"ราคา"หุ้นขึ้น
เป็นเรื่องแปลกแต่จริง
ในระยะยาว ไม่ใช่เรื่องดีแน่
ถ้าบริษัทที่ผมถือหุ้นอยู่ แจกปันผลเป็นหุ้นเมื่อไหร่
ผมคงหาบริษัทเปลี่ยนทันที
ถ้าจะจ่ายปันผลเป็นหุ้น
ก็อย่าจ่ายปันผลซะเลยจะดีกับผู้ถือหุ้นมากกว่า
สามสิบปีเป็นอย่างไรไม่รู้
พี่รู้แต่ว่า
ในระยะสิบปีจากนี้ ก๊าซธรรมชาติจะเป็นพระเอกครับ
ไม่บอกเหตุผล ปล่อยให้งง ฮ่า ฮ่า
เอาเป็นว่า ลงทุนในธุรกิจที่เรารู้จัก เราเข้าใจ ดีที่สุดครับ
ก็อย่างที่บอกพี่Tanapong ละครับ
ว่าผมไม่แก่พอที่จะเป็นอาจารย์
เรียกกันว่า "ศิษย์ร่วมสำนักเดียวกัน" ดีกว่าครับ
ผมจะได้ไม่รู้สึกแก่
เอาละ วันนี้ลุงแจ่มก็ไขปัญหาหัวใจมาได้แก่เวลา
ก็เจอกันใหม่ เมื่อชาติต้องการนะครับ
ตอนนี้ ขอไปดูอาการนายตลาดก่อน
ว่ายังอารมณ์ไม่ดีอยู่หรือเปล่า
อ้อ อีกอย่าง ช่วงนี้ พี่ปรัชญาไม่ได้แวะเวียนมาหลายเพลา
ไม่ทราบว่า หุ้นตกๆอย่างนี้ พี่ปรัชญายังสบายดีอยู่หรือเปล่าครับ
ถามด้วยความเป็นห่วงนะครับ
สวัสดีทุกท่านครับ
สิ่งที่ทำให้ผมดีใจที่สุด
ไม่ใช่หุ้นขึ้นหรือหุ้นลงครับ
แต่เป็นการที่มีพี่ๆเพื่อนๆมาตอบกระทู้แทนผม
แสดงว่ากระทู้นี้เริ่มเป็นของสาธารณะแล้วครับ
วันนี้เข้างานสาย
กลับมาเปิดเวปดู
มีเพื่อนๆโพสตอบแทนผม
แค่นี้ผมก็ชื่นใจแล้วครับ
ตอนนี้ไม่พูดพล่ำทำเพลง
ก็เริ่มตอบคำถามเลยครับ
แต่ก่อนผมก็คิดแบบเดียวกับคุณMO101 หละครับMO101 เขียน:อ่านถึงหน้าที่ 19 แล้วครับ
เห็นว่าคุณ ฉัตรชัย มีอิสระภาพทางการเงินแล้วอยากทราบว่า
ขณะนั้น สินทรัพย์เป็นเท่าไหร่ครับ และก็อายุเท่าไหร่ครับ
----------------------------------------
ก่อนรู้จักกับเว็บนี้ผมก็ตั้งเป้าไว้เหมือนคนธรรมดาๆ
1.งานที่ดี
2.บ้านเดียว
3.รถยุโรป
ตอนนี้เปลี่ยนเป้าเป็น อิสระภาพทางการเงินแล้วครับ
30 ล้านน่าจะพอไหม 30 ล้าน ผลตอบแทนแบบธรรมดา
สูงกว่าเงินเฟ้อสัก 3% ก็ 1 ล้าน อยู่สบายๆ เลย
เป้าหมายแบบนี้พี่คิดว่าไงครับ (ถามทุกคนเลย)
เอาอะไรมากกับชีวิต
หาเงินมาก็ใช้ไป
มีงานทำ
มีรถขับ
มีบ้านอยู่
มีเงินใช้
แค่นั้นก็พอแล้ว
ปรากฎว่า
ผมมองไปรอบๆ
พบว่า
ผมเห็นผู้คนมากมายอายุมากแล้ว
แต่ยังต้องทำงานอยู่
เพราะหยุดทำงานไม่ได้
หยุดทำงานแล้วไม่มีเงินใช้
ต้องทนทำงานต่อไปเรื่อยๆ
ไม่ใช่ใครอื่น คนใกล้ตัวผมเป็นแบบนี้ก็เยอะแยะ
ทำให้ผมรู้สึกว่า
เราต้องไม่เป็นแบบนั้น
ยิ่งเจอกับตัวเองเรื่องหนี้สิน
เรื่องไม่มีเงินเก็บสักบาท
ทำให้เข้าใจเรื่องนี้ได้เร็วขึ้น
ดังนั้น
ผมก็หาวิธีที่จะทำอย่างไรให้มีอิสรภาพทางการเงินให้ได้
ก็มีวิธีการหลายอย่าง
บางท่านอาจจะถนัด อสังหาริมทรัพย์
บางท่านอาจจะถนัด ทำธุรกิจส่วนตัว
ส่วนผม หลังจากทดลองมาหลายอย่าง
ก็พบว่า การลงทุนเป็นสิ่งที่ผมน่าจะถนัดที่สุด
ก็เลยเลือกทางนี้
ลองศึกษา ลองทำดู ก็ได้ผลดี
ยิ่งเห็นหลายๆท่าน
มีอิสรภาพทางการเงินจากการลงทุน
ก็ยิ่งมีกำลังใจ
คำว่า "อิสรภาพทางการเงิน"
ผมเห็นเหมือนกับพี่ Chatchai ครับว่า
ขึ้นกับตัวแปรสองอย่าง
หนึ่ง ค่าใช้จ่ายส่วนตัวหลังเกษียณ
สอง อัตราผลตอบแทนที่ทำได้
เช่น
เราต้องมีเงินอย่างน้อยเดือนละ 100,000 บาทถึงจะอยู่สบายๆ
และเราทำผลตอบแทนการลงทุน (เช่น เงินปันผล) ได้ปีละ 6%
ดังนั้นแสดงว่า
เราต้องการเงินต้น = 100,000*12/0.06 = 20,000,000 บาท
ก็ขึ้นกับว่าคุณMO101
ต้องการเงินเดือนหลังเกษียณเท่าไหร่
และทำผลตอบแทนการลงทุนได้เท่าไหร่
แต่ละคนไม่เหมือนกันครับ
ถ้าผมใช้เงินเดือนละ 10,000 บาท
ผมสามารถลงทุนในหุ้นปันผล 10%
ดังนั้นผมต้องการเงินต้นแค่ 10,000*12/0.10 = 1,200,000 บาท
ผมก็มี "อิสรภาพทางการเงิน" แล้วครับ
เห็นมั๊ยครับ
เงินทุนสองอันนี้ต่างกันฟ้ากับดิน
ผมว่าอยู่ที่ตัวเราเองละครับ
ว่าจริงๆแล้วเราต้องการอะไรกันแน่
ยังไงก็ขออวยพรให้ คุณMO101
มี "อิสรภาพทางการเงิน" ไวๆ แล้วกันครับ
ยินดีด้วยครับพี่TanapongTanapong เขียน:หลายวันมานี้ผมคิดถึงคุณวิบูลย์มากที่สุด
เพราะพี่ Set อารมณ์บูด
ถึงเวลาของเราแล้วอุตสาเฝ้าลุงเบิร์ด(เรียกตามลูก)มานาน
ผมสะสมสามวันสามครั้งติด พอได้กอดลุงเบิร์ดแล้วก็อารมณ์
ผมร้องเพลง สบาย ...สบาย...ตลอด(เมื่อวานนี้)
พอมาวันนี้กลับมาตอนเย็น
อ้าว พี่ตลาด(Mr Market)ยังไม่หยุดโกรธ
เพิ่งปรับพอร์ตมา...เฮอ ถือเกิน 50เปอร์เซนต์ของปอด
สรุปปอดทั้งหมดจาก เขียวๆ กลายเป็นสีแดงอมชมพูทันที
ที่ได้เป็นเจ้าของบริษัทที่ยอดเยี่ยม
ผมก็เก็บจนเกือบหมดกระสุนเหมือนกัน
เหลือติดรังเพลิงไว้นิดหน่อย
ไว้เผื่อเวลาข้าศึกเล่นกลยุทธ"เผาค่ายแล้วย้อนรอย"
Mr Market หลอกให้เราตายใจว่าถอยทัพแล้ว
แต่กลับมาถล่มขายใหม่อะไรอย่างนี้
ตอนนี้ก็นอนตีพุง
ฟังเพลง "คิดถึงฉันไหมเวลาที่เธอ...จุด จุด จดุ" ของ วงTaxi ไปพลางๆ
บริษัทที่พี่ถือนี้อะไรก็ดีหมดนะครับ
แต่เสียอย่างเดียว
เอากำไรสะสมไปจ่ายปันผลจนเกือบหมด
แล้วจะมีเงินไปลงทุนอย่างอื่นได้ยังไงเนี่ย
ผมก็ยังสงสัย
ไว้จะส่งสายสืบไปแอบถามเจ้าของบริษัทแล้วจะมาบอกครับ
ตอนนี้ผมก็แบ่งรับแบ่งสู้นะครับ
คงต้องให้เวลาพิสูจน์
ก็ใจเย็นๆแล้วกันครับ
ถ้าให้อาจารย์Mon ช่วยเศกคาถาอีกราย
รับรองชัวร์ปึ๊ก
อย่าเรียกตัวเองว่า ลูกศิษย์เลยครับTanapong เขียน:ที่เพ้อเจ้อ มาทั้งหมดนี่ ผมคิดว่าผมเป็นศิษย์ อาจารย์วิบูลย์
อีกคนครับ จะได้ทัน
พวกแมงเม่า...แมงมุม(มีด้วยเหรอ) ในตลาด
ผมคาดการณ์ว่า ประมาณ มีนา-เมษา ปีหน้า
พวกเราจะตีปีกครับ (รับปันผล)
ผมยังไม่แก่พอที่จะเป็น อาจารย์
เรียกกันว่า "พี่น้องร่วมสำนักเดียวกัน" ดีกว่าครับ อิ อิ
อ้ออีกอย่าง แมงมุมมีจริงครับ
แต่แมงมุมในตลาดหุ้นมีความสามารถพิเศษครับ
สามารถสุมไฟกองโตล่อให้แมงเม่าเข้าไปติดกับ
แล้วจับกิน ตายกันเป็นเบือได้ครับ
แต่ส่วนใหญ่แมงเม่าจะไม่เข็ด
เพราะชอบกองไฟครับ โดยเฉพาะพวกกอง Most Active
ดีนะครับ ที่ที่นี่ไม่ใช่เวป ThaiSpeculator.Com
ไม่งั้นผมเอาชื่อกองไฟมาสุมที่นี่ให้สนุกกันไปเลย ฮ่า ฮ่า
คุณธันวาครับThanwa เขียน:เพื่อนๆ ตั้งเป้าหมายไว้อย่างไรครับ
ขออนุญาติคุณวิบูลย์ และเพื่อนๆ พาออกนอกเรื่องสักนิดวันนี้ คงไม่ว่ากัน
เรื่อง อิสรภาพทางการเงิน นี่ ไม่นอกเรื่องเลยครับ
เป็นเรื่องที่ผมคิดว่า สำคัญมาก
และเกี่ยวกับการลงทุนโดยตรง
เพราะ การลงทุนทำให้เรามี อิสรภาพทางการเงิน ได้แน่นอนครับ
จริงๆ ผมชอบพูดคุยเรื่องนี้มากกว่าเรื่องหุ้นซะอีก
เพราะหุ้นเป็นเพียงยานพาหนะหนึ่ง
ที่ทำให้เราไปถึงเป้าหมายเท่านั้นเองครับ
จริงๆการที่เราจะมี อิสรภาพทางการเงิน ก็ใช้ยานพาหนะอื่นก็ได้ครับ
เพื่อนผมบางคน ไม่เคยเล่นหุ้น ไม่เคยลงทุน
แต่ตอนนี้ก็มี อิสรภาพทางการเงิน ได้ครับ
มีทั้ง เจ้าของกิจการส่วนตัว
เจ้าของเวปไซค์
ทำธุรกิจขายตรง
อสังหาริมทรัพย์
ฯลฯ
มีหลายๆวิธีนะครับ
ที่ทำให้เราไปถึงเป้าหมายได้
ส่วนตัวผม
ถ้าผมทำผลตอบแทนการลงทุนได้มากกว่าเงินเดือนที่ได้รับอยู่ตอนนี้
ผมก็เลิกทำงานได้แล้วครับ
ก็กำลังพยายามอยู่ครับ
ตอนนี้ก็ยังเลิกไม่ได้ เพราะเงินเดือนสูง เฮ้อ เศร้า
เงินลงทุนก็เลยต้องสูงตามไปด้วย
อย่างนี้เขาเรียกว่า ทุกขลาภ หรือเปล่าไม่ทราบ
แล้วคุณธันวาละครับ
ต้องการเท่าไหร่ พันล้านพอมั๊ยครับ อิ อิ
ผมว่าน้องthanez ไม่ต้องสนใจหรอกครับthanez เขียน:จากการที่คุณตลาดอารมณ์บ่จอยในสองสามวันนี้ ทำให้ผมได้ข้อคิดครับ ว่าต้องเหลือเงินไว้ส่วนหนึ่ง จะได้ไม่เสียดายเหมือนอย่างช่วงนี้ ตอนแรกผมคิดว่า ช่วงตลาดขาขึ้นน่าจะซื้อๆไปให้หมดเลยดีกว่า เพราะมันกำลังขึ้น ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าคุณตลาดอารมณ์ยังไง และผมสังเกตได้ว่า เค้าไม่ค่อยดูข้อมูลในอดีต เช่นกำไรติดต่อกันทุกปี หนี้สินน้อยลง ผลประกอบการล่าสุดกำไรมากขึ้น แต่ราคาหุ้นกลับดิ่งลง แล้วเอาเงินไปซื้ออนาคตในบริษัทที่เพิ่งฟื้นจากขาดทุนมาเป็นกำไรเพียงแค่ไตรมาสนี้ เป็นอย่างนี้หรือเปล่าครับ ...
พี่วิบูลย์และท่านอื่นๆครับ ผมมีคำถามนะครับ คือในอดีตมีบ่อยไม๊ครับที่ให้ปันผลเป็นหุ้นนะครับ มันมีประโยชน์ยังไงเหรอครับ ทั้งที่ราคาที่คำนวณใหม่จะลดลง และจำนวนหุ้นมากขึ้นตัวหารมากขึ้น ถ้ากำไรพอๆกับปีที่แล้ว EPS ก้อลดลง ผมไม่ค่อยเข้าใจครับ
ว่า Mr Market เขาจะซื้อหรือ "เล่น" หุ้นเฮงซวยยังไง
เราใช้ประโยชน์จากเฮียแกก็พอแล้ว
เฮียตลาด แกชอบเกร็งนะครับ
อะไรที่คิดว่าจะดี ก็เกร็งกันใหญ่
อาจารย์ Graham เลยบอกว่า
ถ้าจะประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น
ต้องไม่ทำตามที่คนส่วนใหญ่เขาทำกัน
เช่น คาดว่าจะเป็นยังงั้นยั้งงี้ ดียังงั้นยังงี้
เชื่อตัวเราเองดีที่สุดครับ
บริษัทไหนดีๆถูกเทขาย
นั่นเป็นโอกาสของเราละครับ
ส่วนเรื่อง จ่ายปันผลเป็นหุ้น
ผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
บริษัทที่ทำอย่างนั้นมีเหตุผลสองสามประการครับ
หนึ่ง เงินสดไม่พอจ่าย
สอง ปั่นราคาหุ้น
สาม ไม่คิดถึงอนาคต
ทำไมเหรอครับ
ถ้ามีเงินสด คงไม่มีบริษัทดีๆที่ไหนอยากจ่ายปันผลเป็นหุ้นหรอกครับ
เพราะ ทำให้จำนวนหุ้นมากขึ้น
ผู้ถือหุ้นก็เสียประโยชน์ระยะยาวเพราะมีคนมาหารกำไรมากขึ้น
อีกอย่าง มันเหมือนเอาอัฐยายซื้อขนมยาย
เปลี่ยนจาก กำไรสะสม(ทางบัญชี) เป็น ส่วนผู้ถือหุ้น
ดูๆไปแล้วก็ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไร
นอกจากออกข่าว แจกปันผลเป็นหุ้นแล้ว"ราคา"หุ้นขึ้น
เป็นเรื่องแปลกแต่จริง
ในระยะยาว ไม่ใช่เรื่องดีแน่
ถ้าบริษัทที่ผมถือหุ้นอยู่ แจกปันผลเป็นหุ้นเมื่อไหร่
ผมคงหาบริษัทเปลี่ยนทันที
ถ้าจะจ่ายปันผลเป็นหุ้น
ก็อย่าจ่ายปันผลซะเลยจะดีกับผู้ถือหุ้นมากกว่า
น้องderdenderden เขียน:ถ้าจะพูดถึงตัวผลิตภัณฑ์น้ำมันและก๊าซธรรมชาติผมว่าก็คงจะเก็บไว้กินได้อีกนานครับพี่ ผมจำได้คร่าวๆในสมัยเมื่อสองปีที่แล้วที่ผมยังเป็นนักศึกษา วศบ เครื่องกล ในวิชา internal combustion เห็นอาจารย์เกริ่นว่าปริมาณน้ำมันใต้พื้นโลกจะยังคงสามารถใช้ได้อีกอย่างต่ำก็ 60 ปี ราวๆนี้แหละครับ ถ้าพี่เก็บไว้อีกสามสิบปีผมว่ากำลังดีเลยครับผมไม่รู้ว่าอีกสามสิบปีต่อไปบริษัทของพี่จะยังคงอยู่ดีหรือเปล่าเพราะคนเราก็จะใช้เชื้อเพลิงรูปแบบใหม่ที่หาได้ง่ายๆ มีแค่น้ำก็สามารถทำเป็นเชื้อเพลิงได้แล้วแม้ว่าจะผลิตได้ยาก ณ ปัจจุบัน แต่ในอนาคตสามสิบปีคงเป็นเรื่องไม่แน่ละครับพี่
มีคนเห็นพี่เป็นอาจารย์เหมือนกับที่ผมเห็นพี่เป็นอาจารย์แล้วครับ
สามสิบปีเป็นอย่างไรไม่รู้
พี่รู้แต่ว่า
ในระยะสิบปีจากนี้ ก๊าซธรรมชาติจะเป็นพระเอกครับ
ไม่บอกเหตุผล ปล่อยให้งง ฮ่า ฮ่า
เอาเป็นว่า ลงทุนในธุรกิจที่เรารู้จัก เราเข้าใจ ดีที่สุดครับ
ก็อย่างที่บอกพี่Tanapong ละครับ
ว่าผมไม่แก่พอที่จะเป็นอาจารย์
เรียกกันว่า "ศิษย์ร่วมสำนักเดียวกัน" ดีกว่าครับ
ผมจะได้ไม่รู้สึกแก่
เอาละ วันนี้ลุงแจ่มก็ไขปัญหาหัวใจมาได้แก่เวลา
ก็เจอกันใหม่ เมื่อชาติต้องการนะครับ
ตอนนี้ ขอไปดูอาการนายตลาดก่อน
ว่ายังอารมณ์ไม่ดีอยู่หรือเปล่า
อ้อ อีกอย่าง ช่วงนี้ พี่ปรัชญาไม่ได้แวะเวียนมาหลายเพลา
ไม่ทราบว่า หุ้นตกๆอย่างนี้ พี่ปรัชญายังสบายดีอยู่หรือเปล่าครับ
ถามด้วยความเป็นห่วงนะครับ
สวัสดีทุกท่านครับ
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 534
จริงดังว่านายตลาดยังไม่หยุดอารมณ์บูด นั่งๆนั่งๆเช่งชักหักกระดูกเจ้าทรัพย์ใต้ทะเลของคุณวิบูลย์ให้ลงแรงๆก็ไม่ยักกะลง
คุณวิบุลย์นี่ชอบทำวับๆแวมๆ บอกก็ไม่บอกให้หมด ผมบอกให้ก็ได้ แก็สธรรมชาติจะเริ่มถูกนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้ามากขึ้นและมากขึ้น เป็นพลังงานสะอาดมลภาวะน้อย และราคาถูกกว่า และอื่นๆให้คุณวิบูลย์เฉลยต่อ
$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$
คุณวิบุลย์นี่ชอบทำวับๆแวมๆ บอกก็ไม่บอกให้หมด ผมบอกให้ก็ได้ แก็สธรรมชาติจะเริ่มถูกนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้ามากขึ้นและมากขึ้น เป็นพลังงานสะอาดมลภาวะน้อย และราคาถูกกว่า และอื่นๆให้คุณวิบูลย์เฉลยต่อ
$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$
-
- Verified User
- โพสต์: 1
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 535
VIB007 Wrote :
โดยบัฟเฟตบอกว่า
Owner Earnings ก็คือเงินสดจริงๆที่เหลือสำหรับผู้ถือหุ้นครับ
คำนวณจาก
NAIT+Depreciation+Amortization-Capital Expenditure
อธิบายคร่าวๆก็คือ
เอากำไรสุทธิตั้ง
บวกกลับด้วยค่าเสื่อมราคาและค่าความนิยมตัดจ่าย
เพราะถือว่าเงินไม่ได้จ่ายออกไปจริง
หักด้วยเงินลงทุนในปีนั้น
ที่เหลือก็คือ กำไรส่วนของเจ้าของ หรือ Owner Earnings ครับ
ซึ่งใกล้เคียงกับกระแสเงินสดอิสระ (Free Cash Flow-FCF) ของบริษัท
ไม่ทราบพอจะเข้าใจมั๊ยครับ
คือจากครั้งก่อนผมยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรครับ ก็เลยอยากจะถามพี่วิบูลย์เพิ่มเติมครับ
Depreciation+Amortization นี้ก็คือค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายซึ่งผมได้
เปิดงบกระแสเงินสดทั่วไปก็พบว่ามีค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่
แต่ยังเข้าใจว่า ค่า Capital Expenditure จะหาได้มาจากไหนครับ
ผม Down load ไฟล์ powerpoint ของ พี่ Mon เรื่อง การลงทุนแบบเน้นคุณค่า มาอ่านก็พบว่า
กำไรส่วนของเจ้าของ = กำไรสุทธิ + ค่าเสื่อมและตัดจำหน่าย - ลงทุนในทรัพย์สินถาวร - เงินทุนหมุนเวียนเพิ่ม(ลด)
จึงคิดว่า Capital Expenditure ก็คือ เงินลงทุนในทรัพย์สินถาวร + เงินทุนหมุนเวียนเพิ่ม(ลด)
ไม่แน่ใจว่าผมเข้าใจถูกหรือเปล่าครับ
และมีเรื่องนึงที่สงสัยก็คือ เงินทุนหมุนเวียน ถ้าเกิดเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว เครื่องหมายจะเป็นบวก
แต่ถ้าเงินทุนหมุนเวียนลด เครื่องหมายจะเป็นลบ ใช่มั้ยครับ
หรือไม่ว่าจะเพิ่มหรือลดเมื่อใช้คิด กำไรส่วนของเจ้าของ เครื่องหมายจะเป็นบวกทั้งหมดครับ
ขอให้พี่วิบูลย์และพี่ Mon ช่วยให้ความกระจ่างหน่อย
ผมอ่าน The Warren Buffet Way มาติดอยู่ตรงนี้หลายวันแล้วครับ พยายามทำความเข้าใจ
แต่ไม่แน่ใจว่าที่ตัวเองคิดมันผิดหรือถูก
โดยบัฟเฟตบอกว่า
Owner Earnings ก็คือเงินสดจริงๆที่เหลือสำหรับผู้ถือหุ้นครับ
คำนวณจาก
NAIT+Depreciation+Amortization-Capital Expenditure
อธิบายคร่าวๆก็คือ
เอากำไรสุทธิตั้ง
บวกกลับด้วยค่าเสื่อมราคาและค่าความนิยมตัดจ่าย
เพราะถือว่าเงินไม่ได้จ่ายออกไปจริง
หักด้วยเงินลงทุนในปีนั้น
ที่เหลือก็คือ กำไรส่วนของเจ้าของ หรือ Owner Earnings ครับ
ซึ่งใกล้เคียงกับกระแสเงินสดอิสระ (Free Cash Flow-FCF) ของบริษัท
ไม่ทราบพอจะเข้าใจมั๊ยครับ
คือจากครั้งก่อนผมยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรครับ ก็เลยอยากจะถามพี่วิบูลย์เพิ่มเติมครับ
Depreciation+Amortization นี้ก็คือค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายซึ่งผมได้
เปิดงบกระแสเงินสดทั่วไปก็พบว่ามีค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่
แต่ยังเข้าใจว่า ค่า Capital Expenditure จะหาได้มาจากไหนครับ
ผม Down load ไฟล์ powerpoint ของ พี่ Mon เรื่อง การลงทุนแบบเน้นคุณค่า มาอ่านก็พบว่า
กำไรส่วนของเจ้าของ = กำไรสุทธิ + ค่าเสื่อมและตัดจำหน่าย - ลงทุนในทรัพย์สินถาวร - เงินทุนหมุนเวียนเพิ่ม(ลด)
จึงคิดว่า Capital Expenditure ก็คือ เงินลงทุนในทรัพย์สินถาวร + เงินทุนหมุนเวียนเพิ่ม(ลด)
ไม่แน่ใจว่าผมเข้าใจถูกหรือเปล่าครับ
และมีเรื่องนึงที่สงสัยก็คือ เงินทุนหมุนเวียน ถ้าเกิดเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว เครื่องหมายจะเป็นบวก
แต่ถ้าเงินทุนหมุนเวียนลด เครื่องหมายจะเป็นลบ ใช่มั้ยครับ
หรือไม่ว่าจะเพิ่มหรือลดเมื่อใช้คิด กำไรส่วนของเจ้าของ เครื่องหมายจะเป็นบวกทั้งหมดครับ
ขอให้พี่วิบูลย์และพี่ Mon ช่วยให้ความกระจ่างหน่อย
ผมอ่าน The Warren Buffet Way มาติดอยู่ตรงนี้หลายวันแล้วครับ พยายามทำความเข้าใจ
แต่ไม่แน่ใจว่าที่ตัวเองคิดมันผิดหรือถูก
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 536
ฮ่า ฮ่า ฮ่า
จับผิดผมจนได้นะครับ
จริงๆแล้ว
Owner Earning ต้องคิด Change in Working Capital ด้วยครับ
แต่พอดี สำหรับมือใหม่ ค่านี้หาเองไม่ง่ายนัก
ผมก็เลยไม่พูดถึง
เอาล่ะ
สูตรเต็มๆก็คือ
Owner Earnings = NIAT+Depreciation+Amortization-Capital Expenditure + Change in Working Capital
อธิบายคร่าวๆก็คือ
NIAT คือ กำไรสุทธิ
Depreciation คือ ค่าเสื่อมราคา
Amortization คือ ค่าความนิยมตัดจ่าย
Capital Expenditure คือ เงินลงทุนซื้อสินทรัพย์
โดยดูจากงบกระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุนครับ
เป็นเงินที่ใช้ซื้อเครื่องจักร หรือลงทุนในทรัพย์สินอื่นๆ
ที่บันทึกเป็นสินทรัพย์ของบริษัท เช่น ค่าเครื่องบินของบริษัทสายการบิน
ค่าเครื่องพิมพ์หนังสือของบริษัทสิ่งพิมพ์ เป็นต้นครับ
ซึ่งเงินก้อนนี้จะไม่อยู่ในงบกำไรขาดทุน
บางทีกำไรมาก แต่ไม่เงินเหลือเพราะเอาไปลงทุนหมด
เช่น บริษัทที่มีการเปลี่ยนผลิตภัณท์บ่อยๆ หรือลงทุนสูงๆ
อย่างพวกบริษัทรถยนต์
Change in Working Capital คือ การเพิ่มหรือลดของเงินทุนหมุนเวียน
ที่ต้องคิดตัวนี้ก็เพราะการที่บริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้น
จำเป็นจะต้องมีสต๊อคสินค้าเพิ่มขึ้น หรือมีบัญชีลูกหนี้-เจ้าหนี้มากขึ้น
อย่างเอาง่ายๆ ก็ร้านขายก๋วยเตี๋ยวปากซอย
ปกติขายได้วันละ 500 บาท ถ้ายอดขายเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 2,000 บาท
ก็ต้องซื้อเส้นก๋วยเตี๋ยว ซื้อลูกชิ้นเพิ่มขึ้นใช่มั๊ยครับ
แสดงว่าต้องใช้เงินหมุนเวียนมากขึ้น
แต่บางทีการขายมากขึ้น ก็อาจใช้เงินหมุนเวียนลดลงได้ครับ
เช่น ปกติต้องซื้อลูกชิ้นมาเป็นเงินสด
แต่พอขายมากขึ้น ก็สามารถซื้อลูกชิ้นโดยได้เครดิตอีกสิบห้าวัน
อะไรทำนองนี้ ก็เลยใช้เงินทุนหมุนเวียนลดลง
ดังนั้น Change in Working Capital ก็เลยเป็นได้ทั้งบวกและลบครับ
แล้วแต่ธุรกิจ
การเพิ่มหรือลดของเงินทุนหมุนเวียน ก็หาดูได้
จากงบกระแสเงินสดจากการดำเนินงานครับ
นักบัญชีหาให้เราเสร็จสรรพ
แต่จะหาเอาเองแบบพี่Chatchai ก็ได้นะครับ
ทำอย่างไรก็ไปหาหนังสือเรื่อง
"งบกระแสเงินสด งบการเงินรวม" ของ อ.วรศักดิ์ ทุมมานนท์
สนพ. Ionic PR and Publishing ราคา 190 บาท
ผมหาได้ที่ร้านหนังสือของตลากหลักทรัพย์ครับ
หรือ ถามพี่Chatchai ดูก็ได้ครับ
หวังว่าน้อง tjs คงเข้าใจมากขึ้นนะครับ
ถ้ายัง งงๆ ก็ถามมาอีกได้ครับ
ก็จะตอบจนกว่าจะตอบไม่ได้
อ้อ บอกอีกอย่าง
การหามูลค่าของกิจการใน Warren Buffet Way
เป็นวิธีที่นายคนแต่ง Robert G. Hegstrom
แกะออกมาเองจากจดหมายจากบันทึกของ Buffet นะครับ
ไม่ใช่อาจารย์ Buffet บอกไว้ตรงๆนะครับ
แต่เท่าที่ผมดู ก็ใช้ได้ ไม่เลวร้ายจนเกินไป
แต่อย่ายึดติดกับ "วิธีการ" ครับ
"ความคิดและจิตใจ" สำคัญกว่า
ผมบอกหมดก็ไม่สนุกซิครับ
อีกอย่าง มันจะอธิบายกันยาว
เอาง่ายๆแล้วกันครับว่า
ในวงการพลังงานของโลก เขาว่ากันไว้ว่า
ในอีกสิบปีข้างหน้า
น้ำมันจะมีปริมาณการใช้ที่คงตัว และคู่แข่งจะเยอะขึ้นเรื่อยๆ อนาคตไม่สดใส
แก๊สธรรมชาติ จะมีปริมาณการใช้ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
โดยส่วนหนึ่งจะนำมาใช้แทนน้ำมันในการผลิตไฟฟ้า ในรถยนต์ และในโรงงานอุตสาหกรรม เป็นพลังงานสะอาด มีผลกับสภาพแวดล้อมน้อย
พลังงานทดแทนอื่นๆ เขาเรียกกันว่า Renewables เช่น แสงอาทิตย์ พลังงานลม ไฮโดรเจน ก็จะมีบทบาทมากขึ้น
แต่ปริมาณการใช้จะไม่เกิน 10% ของการใช้พลังงานทั้งหมด
อีกนานครับ กว่าRenewables จะมาแทนน้ำมันและแก๊สได้
สรุปว่า แก๊สธรรมชาติเป็นพระเอกครับ
ถ้าเจ้าขุมทรัพย์ใต้ทะเลลงมาแรงๆก็เก็บได้ครับ
ผมก็รออยู่เหมือนกัน จะได้ซื้อเพิ่ม
อีกสองสามปีข้างหน้า
ผลประกอบการไปโลดแน่ๆครับ
เพราะมีการลงทุนไว้เยอะ ทั้งในและต่างประเทศ
กว่าจะแสดงอิทธิฤทธิ์ก็ต้องใช้เวลา
เป็นการฝึกความอดทนตามแนว VI ไงครับ
ช่วงนี้ก็รับปันผลปีละ 6-7 บาทต่อหุ้นไปพลางๆก่อน
อ้อ ลืมบอก
ผมซื้อมาหุ้นละร้อยเดียวครับ
ตอนนี้ก็ร้อยแปดสิบ ภายในหนึ่งปี
ใครว่า VI ใช้ไม่ได้ในตลาดเมืองไทย
ผมว่าพวกเขาไม่เข้าใจการลงทุนแนว VI มากกว่า
ที่สำคัญคือ ไม่มีความอดทนพอ
เอาล่ะครับ
วันนี้เท่านี้ก่อน
ใครมีอะไรอยากคุยกันก็โพสมาคุยกันได้เลยนะครับ
สวัสดีครับ
จับผิดผมจนได้นะครับ
จริงๆแล้ว
Owner Earning ต้องคิด Change in Working Capital ด้วยครับ
แต่พอดี สำหรับมือใหม่ ค่านี้หาเองไม่ง่ายนัก
ผมก็เลยไม่พูดถึง
เอาล่ะ
สูตรเต็มๆก็คือ
Owner Earnings = NIAT+Depreciation+Amortization-Capital Expenditure + Change in Working Capital
อธิบายคร่าวๆก็คือ
NIAT คือ กำไรสุทธิ
Depreciation คือ ค่าเสื่อมราคา
Amortization คือ ค่าความนิยมตัดจ่าย
Capital Expenditure คือ เงินลงทุนซื้อสินทรัพย์
โดยดูจากงบกระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุนครับ
เป็นเงินที่ใช้ซื้อเครื่องจักร หรือลงทุนในทรัพย์สินอื่นๆ
ที่บันทึกเป็นสินทรัพย์ของบริษัท เช่น ค่าเครื่องบินของบริษัทสายการบิน
ค่าเครื่องพิมพ์หนังสือของบริษัทสิ่งพิมพ์ เป็นต้นครับ
ซึ่งเงินก้อนนี้จะไม่อยู่ในงบกำไรขาดทุน
บางทีกำไรมาก แต่ไม่เงินเหลือเพราะเอาไปลงทุนหมด
เช่น บริษัทที่มีการเปลี่ยนผลิตภัณท์บ่อยๆ หรือลงทุนสูงๆ
อย่างพวกบริษัทรถยนต์
Change in Working Capital คือ การเพิ่มหรือลดของเงินทุนหมุนเวียน
ที่ต้องคิดตัวนี้ก็เพราะการที่บริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้น
จำเป็นจะต้องมีสต๊อคสินค้าเพิ่มขึ้น หรือมีบัญชีลูกหนี้-เจ้าหนี้มากขึ้น
อย่างเอาง่ายๆ ก็ร้านขายก๋วยเตี๋ยวปากซอย
ปกติขายได้วันละ 500 บาท ถ้ายอดขายเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 2,000 บาท
ก็ต้องซื้อเส้นก๋วยเตี๋ยว ซื้อลูกชิ้นเพิ่มขึ้นใช่มั๊ยครับ
แสดงว่าต้องใช้เงินหมุนเวียนมากขึ้น
แต่บางทีการขายมากขึ้น ก็อาจใช้เงินหมุนเวียนลดลงได้ครับ
เช่น ปกติต้องซื้อลูกชิ้นมาเป็นเงินสด
แต่พอขายมากขึ้น ก็สามารถซื้อลูกชิ้นโดยได้เครดิตอีกสิบห้าวัน
อะไรทำนองนี้ ก็เลยใช้เงินทุนหมุนเวียนลดลง
ดังนั้น Change in Working Capital ก็เลยเป็นได้ทั้งบวกและลบครับ
แล้วแต่ธุรกิจ
การเพิ่มหรือลดของเงินทุนหมุนเวียน ก็หาดูได้
จากงบกระแสเงินสดจากการดำเนินงานครับ
นักบัญชีหาให้เราเสร็จสรรพ
แต่จะหาเอาเองแบบพี่Chatchai ก็ได้นะครับ
ทำอย่างไรก็ไปหาหนังสือเรื่อง
"งบกระแสเงินสด งบการเงินรวม" ของ อ.วรศักดิ์ ทุมมานนท์
สนพ. Ionic PR and Publishing ราคา 190 บาท
ผมหาได้ที่ร้านหนังสือของตลากหลักทรัพย์ครับ
หรือ ถามพี่Chatchai ดูก็ได้ครับ
หวังว่าน้อง tjs คงเข้าใจมากขึ้นนะครับ
ถ้ายัง งงๆ ก็ถามมาอีกได้ครับ
ก็จะตอบจนกว่าจะตอบไม่ได้
อ้อ บอกอีกอย่าง
การหามูลค่าของกิจการใน Warren Buffet Way
เป็นวิธีที่นายคนแต่ง Robert G. Hegstrom
แกะออกมาเองจากจดหมายจากบันทึกของ Buffet นะครับ
ไม่ใช่อาจารย์ Buffet บอกไว้ตรงๆนะครับ
แต่เท่าที่ผมดู ก็ใช้ได้ ไม่เลวร้ายจนเกินไป
แต่อย่ายึดติดกับ "วิธีการ" ครับ
"ความคิดและจิตใจ" สำคัญกว่า
คุณมนครับMon Money เขียน: จริงดังว่านายตลาดยังไม่หยุดอารมณ์บูด นั่งๆนั่งๆเช่งชักหักกระดูกเจ้าทรัพย์ใต้ทะเลของคุณวิบูลย์ให้ลงแรงๆก็ไม่ยักกะลง
คุณวิบุลย์นี่ชอบทำวับๆแวมๆ บอกก็ไม่บอกให้หมด ผมบอกให้ก็ได้ แก็สธรรมชาติจะเริ่มถูกนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้ามากขึ้นและมากขึ้น เป็นพลังงานสะอาดมลภาวะน้อย และราคาถูกกว่า และอื่นๆให้คุณวิบูลย์เฉลยต่อ
ผมบอกหมดก็ไม่สนุกซิครับ
อีกอย่าง มันจะอธิบายกันยาว
เอาง่ายๆแล้วกันครับว่า
ในวงการพลังงานของโลก เขาว่ากันไว้ว่า
ในอีกสิบปีข้างหน้า
น้ำมันจะมีปริมาณการใช้ที่คงตัว และคู่แข่งจะเยอะขึ้นเรื่อยๆ อนาคตไม่สดใส
แก๊สธรรมชาติ จะมีปริมาณการใช้ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
โดยส่วนหนึ่งจะนำมาใช้แทนน้ำมันในการผลิตไฟฟ้า ในรถยนต์ และในโรงงานอุตสาหกรรม เป็นพลังงานสะอาด มีผลกับสภาพแวดล้อมน้อย
พลังงานทดแทนอื่นๆ เขาเรียกกันว่า Renewables เช่น แสงอาทิตย์ พลังงานลม ไฮโดรเจน ก็จะมีบทบาทมากขึ้น
แต่ปริมาณการใช้จะไม่เกิน 10% ของการใช้พลังงานทั้งหมด
อีกนานครับ กว่าRenewables จะมาแทนน้ำมันและแก๊สได้
สรุปว่า แก๊สธรรมชาติเป็นพระเอกครับ
ถ้าเจ้าขุมทรัพย์ใต้ทะเลลงมาแรงๆก็เก็บได้ครับ
ผมก็รออยู่เหมือนกัน จะได้ซื้อเพิ่ม
อีกสองสามปีข้างหน้า
ผลประกอบการไปโลดแน่ๆครับ
เพราะมีการลงทุนไว้เยอะ ทั้งในและต่างประเทศ
กว่าจะแสดงอิทธิฤทธิ์ก็ต้องใช้เวลา
เป็นการฝึกความอดทนตามแนว VI ไงครับ
ช่วงนี้ก็รับปันผลปีละ 6-7 บาทต่อหุ้นไปพลางๆก่อน
อ้อ ลืมบอก
ผมซื้อมาหุ้นละร้อยเดียวครับ
ตอนนี้ก็ร้อยแปดสิบ ภายในหนึ่งปี
ใครว่า VI ใช้ไม่ได้ในตลาดเมืองไทย
ผมว่าพวกเขาไม่เข้าใจการลงทุนแนว VI มากกว่า
ที่สำคัญคือ ไม่มีความอดทนพอ
เอาล่ะครับ
วันนี้เท่านี้ก่อน
ใครมีอะไรอยากคุยกันก็โพสมาคุยกันได้เลยนะครับ
สวัสดีครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2509
- ผู้ติดตาม: 1
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 537
ผมเพิ่งได้เข้ามาอ่านกระทู้นี้เป็นครั้งแรกก็วันนี้เอง (จริงๆ แล้วต้องบอกว่าตั้งแต่เมื่อวานนี้ถึงจะถูก เพราะอ่านข้ามวัน) ใช้เวลาอ่านแบบสแกนตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้ายทั้งหมดเป็นเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง
จริงๆ ก็เห็นกระทู้นี้ทุกวันที่เข้ามาที่ TVI แหละครับ แต่ไม่คิดจะเปิดดู เพราะเห็นหัวข้อกระทู้ใช้ชื่อ "คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ" เลยนึกว่าเป็นกระทู้ประเภทขอหวยซึ่งเป็นที่นิยมอยู่ในช่วงที่ผ่านมา (หมายถึงในเว็บอื่นนะครับ) เลยไม่สนใจ
แต่เนื่องจากในช่วงหลังๆ ที่เข้ามาที่ TVI เห็นมีชื่อ พี่วิบูลย์ แทรกอยู่ในกระทู้หลายกระทู้ ซึ่งตามมโนภาพของผมเห็นว่าน่าจะเป็นผู้ที่มีมุมมองแนวคิดน่าสนใจ ไม่รู้วันนี้นึกยังไงเหมือนกันเลยลองคลิกเข้ามาดู
ปรากฏว่า ผ่านไป 2 ชั่วโมงครึ่ง หลังจากอ่านข้อความจำนวนมหาศาลในกระทู้นี้ ผมถึงกับน้ำตาคลอ...น้ำตาลูกผู้ชายถึงกับคลอเบ้าจริงๆ....ทำไมน่ะหรือครับ....
คำตอบคือ ผมง่วงนอนน่ะครับ ตอนนี้ปาเข้าไปตีหนึ่งแล้ว ไม่เชื่อใครลองทำตามผมดูนะครับ อ่านกระทู้นี้ติดต่อกันตั้งแต่ 4 ทุ่มครึ่ง จนถึง ตีหนึ่ง รับรองน้ำตาคลอเหมือนผมแน่นอน
**แหะ แหะ ผมแหย่เล่นน่ะครับ กระทู้นี้เป็นประโยชน์ ให้แง่คิดมากมาย จะลองนำไปปรับใช้ให้เหมาะกับสไตล์ของตัวเองนะครับ Nice to meet all of you**
จริงๆ ก็เห็นกระทู้นี้ทุกวันที่เข้ามาที่ TVI แหละครับ แต่ไม่คิดจะเปิดดู เพราะเห็นหัวข้อกระทู้ใช้ชื่อ "คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ" เลยนึกว่าเป็นกระทู้ประเภทขอหวยซึ่งเป็นที่นิยมอยู่ในช่วงที่ผ่านมา (หมายถึงในเว็บอื่นนะครับ) เลยไม่สนใจ
แต่เนื่องจากในช่วงหลังๆ ที่เข้ามาที่ TVI เห็นมีชื่อ พี่วิบูลย์ แทรกอยู่ในกระทู้หลายกระทู้ ซึ่งตามมโนภาพของผมเห็นว่าน่าจะเป็นผู้ที่มีมุมมองแนวคิดน่าสนใจ ไม่รู้วันนี้นึกยังไงเหมือนกันเลยลองคลิกเข้ามาดู
ปรากฏว่า ผ่านไป 2 ชั่วโมงครึ่ง หลังจากอ่านข้อความจำนวนมหาศาลในกระทู้นี้ ผมถึงกับน้ำตาคลอ...น้ำตาลูกผู้ชายถึงกับคลอเบ้าจริงๆ....ทำไมน่ะหรือครับ....
คำตอบคือ ผมง่วงนอนน่ะครับ ตอนนี้ปาเข้าไปตีหนึ่งแล้ว ไม่เชื่อใครลองทำตามผมดูนะครับ อ่านกระทู้นี้ติดต่อกันตั้งแต่ 4 ทุ่มครึ่ง จนถึง ตีหนึ่ง รับรองน้ำตาคลอเหมือนผมแน่นอน
**แหะ แหะ ผมแหย่เล่นน่ะครับ กระทู้นี้เป็นประโยชน์ ให้แง่คิดมากมาย จะลองนำไปปรับใช้ให้เหมาะกับสไตล์ของตัวเองนะครับ Nice to meet all of you**
-
- Verified User
- โพสต์: 2509
- ผู้ติดตาม: 1
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 538
ก่อนจะล็อคเอ้าท์ พอดีนึกได้คำถามนึงครับ เข้ากับบรรยากาศตลาดช่วงนี้พอดีด้วย
เห็น VI หลายคน รู้สึกแฮปปี้ที่ช่วงนี้ตลาดปรับตัวลงมา หลายคนมองว่าเป็นจังหวะรอซื้อหุ้น คำถามของผมมีดังนี้ครับ
สมมติ VI ประเมินมูลค่าหุ้นของบริษัทจดทะเบียนแห่งหนึ่งได้ที่ 50 บาท
ในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นดังกล่าวได้ขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 70 บาท.. แน่นอนครับ ในมุมมองของ VI ย่อมจะยังไม่ได้ซื้อหุ้นไว้
ถามว่าถ้าสมมติวันจันทร์ที่จะถึงนี้ เห็นราคาหุ้นร่วงลงมาที่ 35 บาท จะซื้อหรือไม่ ถ้าซื้อจะซื้อด้วยเงินจำนวนทั้งหมดทีเดียวหรือไม่ หรือจะทยอยซื้อ
ถ้าทยอยซื้อ จะซื้อที่ 35 บาทกี่% แล้วเงินที่เหลือจะรอซื้อที่ราคาเท่าไร
ต่อมาถ้าซื้อจนหมดหน้าตักแล้ว ราคาหุ้นยังลงมาอีกจะทำอย่างไร
ถ้าซื้อยังไม่หมดเงิน แต่ราคาหุ้นกลับขึ้นไปใหม่ (แบบสม่ำเสมอไปเรื่อยๆ) จะซื้อที่ราคาแพงขึ้นหรือไม่ หรือจะถือเงินสดเหลือไว้
เห็น VI หลายคน รู้สึกแฮปปี้ที่ช่วงนี้ตลาดปรับตัวลงมา หลายคนมองว่าเป็นจังหวะรอซื้อหุ้น คำถามของผมมีดังนี้ครับ
สมมติ VI ประเมินมูลค่าหุ้นของบริษัทจดทะเบียนแห่งหนึ่งได้ที่ 50 บาท
ในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นดังกล่าวได้ขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 70 บาท.. แน่นอนครับ ในมุมมองของ VI ย่อมจะยังไม่ได้ซื้อหุ้นไว้
ถามว่าถ้าสมมติวันจันทร์ที่จะถึงนี้ เห็นราคาหุ้นร่วงลงมาที่ 35 บาท จะซื้อหรือไม่ ถ้าซื้อจะซื้อด้วยเงินจำนวนทั้งหมดทีเดียวหรือไม่ หรือจะทยอยซื้อ
ถ้าทยอยซื้อ จะซื้อที่ 35 บาทกี่% แล้วเงินที่เหลือจะรอซื้อที่ราคาเท่าไร
ต่อมาถ้าซื้อจนหมดหน้าตักแล้ว ราคาหุ้นยังลงมาอีกจะทำอย่างไร
ถ้าซื้อยังไม่หมดเงิน แต่ราคาหุ้นกลับขึ้นไปใหม่ (แบบสม่ำเสมอไปเรื่อยๆ) จะซื้อที่ราคาแพงขึ้นหรือไม่ หรือจะถือเงินสดเหลือไว้
-
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 539
อยากจะรบกวนถามพี่วิบูลย์
ตอนที่เพื่อนพี่"นักเกร็งกำไร"พี่ถามว่าตัวที่ถือขายหรือยัง โชคดีมันใกล้ 200 แล้ว พี่บอกว่ายังไม่ขาย ถือยาว
ไม่ทราบว่าตัวที่พูดถึง คือตัวที่พี่กำลังจะซื้อเพิ่มหรือปล่าวครับ มันคือตัวที่ขึ้นต้นด้วย S.... หรือปล่าวครับ
ขอบคุณครับ
ตอนที่เพื่อนพี่"นักเกร็งกำไร"พี่ถามว่าตัวที่ถือขายหรือยัง โชคดีมันใกล้ 200 แล้ว พี่บอกว่ายังไม่ขาย ถือยาว
ไม่ทราบว่าตัวที่พูดถึง คือตัวที่พี่กำลังจะซื้อเพิ่มหรือปล่าวครับ มันคือตัวที่ขึ้นต้นด้วย S.... หรือปล่าวครับ
ขอบคุณครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 540
ยินดีต้อนรับครับ คุณFE
ผมก็เป็นแฟนกระทู้คุณFE เหมือนกันนะ
เพียงแต่ไม่ได้โพสตอบแค่นั้นเอง
นึกไม่ถึงเหมือนกันว่า
กระทู้นี้จะยาวได้ขนาดนี้
ผมก็แค่ตอบอะไรไปเรื่อยเปื่อย
ไม่ได้ตั้งใจจะให้ยาวเหมือนหนัง"บ้านทรายทอง"เลยนะครับ
ก็ต้องขึ้นกับแฟนๆกระทู้นี้หละครับ
ว่าจะอุดหนุนกระทู้นี้ต่อไปนานแค่ไหน
คำถามของคุณFE นี่
เข้ากับบรรยากาศตอนนี้เลยนะครับ
ไม่รู้ว่ากำลังเล็งตัวไหนอยู่
ผมจะได้ตามมั่ง อิ อิ แซวเล่นนะ
ผมว่า ข้อแรกเลยนะครับ
ก็คือ มูลค่าหุ้นที่เราประเมินได้ต้องมั่นใจว่า
เราไม่ได้คำนวณเข้าข้างตัวเองนะครับ
อาจารย์Buffet บอกว่า
การคำนวณมูลค่าที่แท้จริงต้องคำนวณแบบ Conservative ครับ
หมายความว่า
ตัวเลขต่างๆที่ใช้ต้องไม่เวอร์และเป็นไปได้จริงครับ
ไม่งั้นก็กลายเป็นแบบหุ้นพวก DotCom ทั้งหลาย
ที่ประเมินมูลค่ากันเป็นร้อยเป็ยพันเท่าของกำไร
เวอร์กันซะไม่มี
สุดท้ายฟองสบู่ก็แตก
ดัชนี Nasdaq ตกจาก 5,000 เหลือ 1,500
ยังจำได้มั๊ยครับ
เอาละ
ถ้าเราคิดว่ามูลค่าบริษัทที่เราคำนวณถูกต้องแล้ว
ก็ต้องมาดูว่า
ราคาบนกระดานเป็นเท่าไหร่
ถ้าเป็นอย่างที่คุณFE บอกมา
แสดงว่า ราคาซื้อมีค่าประมาณ 70%ของมูลค่าที่แท้จริง
= 35/50
แสดงว่ามี Margin of Safety 30%
ถ้าให้ดี ราคาซื้อน่าจะต่ำกว่ามูลค่าประมาณ 50%
นั่นคือ สุดยอดต้องซื้อที่ราคา 50/2 = 25 บาท
แต่ปัญหาคือ เราไม่รู้ว่าราคาจะลงไปที่ยี่สิบห้าบาทหรือไม่
โดยทั่วไป ราคาซื้อมีค่าประมาณ 50-60% มูลค่าที่แท้จริงก็น่าจะเพียงพอ
ก็คือราวๆ 30 บาท
เอาล่ะที่ 35 บาทก็ถือว่าอยากเป็นเจ้าของแล้วกัน
คราวนี้มาดูว่าจะซื้อทีเดียวหมด หรือ ทยอยซื้อใช่มั๊ยครับ
ถ้าไปถามพี่ Chatchat พี่แกคงฟาดหมดแน่เลย
เพราะแกมั่นใจในการคำนวณของแกสุดๆ
ส่วนผม ขอตอบด้วยประสบการณ์แล้วกันครับ
ช่วงลงทุนแรกๆ
ผมเคยคำนวณมูลค่าหุ้นตัวหนึ่งได้ที่ 200 บาท
ผมดูราคาบนกระดานตกลงมาจาก 200 เหลือ 110
แล้วเด้งกลับมานิ่งที่ 117
เพราะมี"ข่าว"ไม่ดีกับบริษัท ขณะที่ผลประกอบการดีขึ้นเรื่อยๆ
ผมพบว่านี่หละ ผมเฝ้ารอมานาน
ซื้อตอนที่มี "ข่าว" แล้วราคาหุ้นลดลงอย่างไร้เหตุผล
ผมมี Margin of Safety 40%
ผมฟาดหมดเลยครับ จนกระสุนหมดรังเพลิง
ผมดีใจมากเพราะราคาหุ้นปิดเพิ่มขึ้นที่ 118 บาท
ผมกลับบ้านนอนหลับฝันดี
ปรากฎว่า
ราคาหุ้นก็ทรงๆอยู่ช่วงนี้สักระยะหนึ่ง
จากนั้นก็ร่วงไม่เป็นท่าติดต่อกันหลายอาทิตย์
จนเหลือ 80 บาท
ผมเสียใจมากเพราะไม่มีเงินเหลือให้ซื้อแล้ว
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ผมก็จะทยอยซื้อไปเรื่อยๆ
แทนที่จะสวาปามทีเดียวหมด
เพราะเราไม่รู้ว่าราคาหุ้นจะตกลงไปถึงไหน
อย่างที่ท่านผู้รู้บอกไว้หละครับว่า
"ไม่มีใครซื้อหุ้นได้ต่ำที่สุด และไม่มีใครขายหุ้นได้สูงที่สุด"
จุดสูงสุดและจุดต่ำสุดของตลาด ไม่มีใครทายถูกหรอกครับ
ส่วนใหญ่ก็ใช้วิชา"เดา"ทั้งนั้นหละครับ
คำถามที่ว่า
ถ้าซื้อจนหมดหน้าตักแล้ว ราคาลงอีกทำอย่างไร
ผมว่าถ้าเรามั่นใจในการคำนวณของเรานะครับ
ก็ไม่ต้องทำอะไร
ให้อยู่เฉยๆ ไปตีเทนนิส ไปตีกอล์ฟ ไปดูหนัง
หรือจะทำอะไรก็ได้ครับ
ไม่ต้องดูราคาหุ้นไปสักสามเดือน
จากประสบการณ์ผม
หลังจากที่ผมลูกกระสุนหมดรังเพลิง
ผมก็ดันเฝ้าดูราคาหุ้นผมแทบทุกวัน
แล้วราคามันก็ลงไปทุกวัน ทุกวัน
ถ้าคุณFE ซื้อหุ้นที่ 117 แล้วลงไปเหลือ 80 จะทำอย่างไรครับ
ตอนนั้น ผมแทบจะCutloss แล้วครับ
แต่พอนึกถึงคำสอนของอาจารย์ Fisher ที่บอกว่า
"หุ้นหนึ่งตัว จะบอกได้ว่าดีไม่ดี ต้องถืออย่างน้อยสามปี"
และคำสอนอาจารย์ Buffet
"ถ้าทนเห็นหุ้นที่ถืออยู่ ราคาตกลงไป50%ไม่ได้ ไม่ควรอยู่ในตลาดหุ้น"
พอดี ผมยังไม่อยากถูกอาจารย์บัฟเฟตให้ใบแดงครับ
ผมก็เลยกัดฟันดูมันราคาตกลงไปเรื่อยๆ
โดยไม่ทำอะไร
ต้องข่มใจมากทีเดียวครับ
ใครไม่ลองไม่รู้ครับ
รักจะเป็น VI พันธุแท้ต้องลองสักครั้งครับ
แล้วจะรู้ว่า มัน"ทรมาน"แค่ไหน
สุดท้ายเกิดอะไรขึ้นรู้มั๊ยครับ
เป็นเวลามากกว่าสามเดือน
ราคาหุ้นก็ยังต่ำกว่าที่ผมซื้อมา
พอเดือนที่สี่ หลังจากผลประกอบการออก
ชาวบ้านถึงรู้ว่าไอ้ "ข่าว" ที่ว่า
มันไม่ได้มีผลอะไรกับบริษัทผมเลย
ผลประกอบการก็ยังดีเหมือนเดิม ดีกว่าเดิมอีก
จากนั้น ราคาก็พุ่งแซงหน้าราคาที่ผมซื้อไปอย่างสวยงาม
ตอนนี้ก็กลับมาที่มูลค่าที่ผมคำนวณไว้หละครับ
แต่ผมยังไม่ได้ขาย
เพราะไม่รู้จะเอาเงินไปซื้อตัวไหน
มัน"แพง"ไปหมดช่วงนี้
ก็หวังว่า คุณFE คงได้ไอเดียนะครับ
ว่าจะลุยให้เสร็จๆไปเลย
หรือจะทยอยรับไปเรื่อยๆ
ผมแนะนำว่า เหลือเงินติดกระเป๋าไว้บ้างก็ดีนะครับ
เผื่อมีสาวๆผ่านมา จะได้มีตังค์เลี้ยงข้าวเย็นสาวได้
อ้อ
เปรียบเทียบ สาวกับหุ้นแล้วจะได้อารมณ์มากเลยครับ......ขอบอก อิ อิ
เจอคำถามของคุณFE อย่างนี้
แล้วคุณMon จะตอบว่าอย่างไรน่ะ อยากรู้
อาจจะได้มุมมองอีกแบบนะครับ
รอคุณMon มาตอบด้วยอีกแรงแล้วกันครับ
ขึ้นต้นด้วย P......
หลังจากนั้น ผมก็ไม่เคยบอกใครอีกเลยว่า
ผมซื้อหุ้นหรือถือหุ้นอะไรอีกบ้าง
เพราะผมรำคาญครับ
อย่างเจ้าเพื่อนผม
หลังจากที่ผมบอกว่า ผมจะถือหุ้นตัวนี้ไปอีกสิบปี
มันก็มักจะมาเยาะเย้ย ถากถางอยู่เรื่อยๆตลอดเวลา
ว่า "เป็นไง รวยหรือยัง เมื่อไหร่จะขาย" จนผมรำคาญ
จนเมื่อเร็วๆนี้ มันก็เงียบไป
ผมก็สงสัย เลยโทรไปถามมันเองว่า ทำไมช่วงนี้ดูเงียบๆ
มันบอกว่า "เสียดายไม่ได้เชื่อผม ไม่งั้นตอนนี้รวยไปแล้ว"
เพราะเจ้าขุมทรัพย์ราคาขึ้นเอาๆ
จนบางทีผมก็ยัง งงๆ ว่ามันขึ้นมาได้ยังไง
แต่ผมมองว่า อนาคตยังดีก็ถือไปเรื่อยๆ
เอางี้
มีคำถามนะครับว่า
สมมุติน้อง "be TVI" ถือหุ้นอยู่ตัวหนึ่งซื้อมาที่ 100 บาท
ราคาหุ้นตอนนี้ 180
ถ้าวันจันทร์ตื่นขึ้นมาพบว่า ราคารูดลงไปเหลือ 90 บาท
เป็นน้อง "be TVI" น้องจะทำอย่างไร
Cutloss หรือ ซื้อเพิ่ม...... เออ
ท่านอื่นตอบแทนได้นะครับ
ผมก็เป็นแฟนกระทู้คุณFE เหมือนกันนะ
เพียงแต่ไม่ได้โพสตอบแค่นั้นเอง
นึกไม่ถึงเหมือนกันว่า
กระทู้นี้จะยาวได้ขนาดนี้
ผมก็แค่ตอบอะไรไปเรื่อยเปื่อย
ไม่ได้ตั้งใจจะให้ยาวเหมือนหนัง"บ้านทรายทอง"เลยนะครับ
ก็ต้องขึ้นกับแฟนๆกระทู้นี้หละครับ
ว่าจะอุดหนุนกระทู้นี้ต่อไปนานแค่ไหน
คำถามของคุณFE นี่
เข้ากับบรรยากาศตอนนี้เลยนะครับ
ไม่รู้ว่ากำลังเล็งตัวไหนอยู่
ผมจะได้ตามมั่ง อิ อิ แซวเล่นนะ
ผมว่า ข้อแรกเลยนะครับ
ก็คือ มูลค่าหุ้นที่เราประเมินได้ต้องมั่นใจว่า
เราไม่ได้คำนวณเข้าข้างตัวเองนะครับ
อาจารย์Buffet บอกว่า
การคำนวณมูลค่าที่แท้จริงต้องคำนวณแบบ Conservative ครับ
หมายความว่า
ตัวเลขต่างๆที่ใช้ต้องไม่เวอร์และเป็นไปได้จริงครับ
ไม่งั้นก็กลายเป็นแบบหุ้นพวก DotCom ทั้งหลาย
ที่ประเมินมูลค่ากันเป็นร้อยเป็ยพันเท่าของกำไร
เวอร์กันซะไม่มี
สุดท้ายฟองสบู่ก็แตก
ดัชนี Nasdaq ตกจาก 5,000 เหลือ 1,500
ยังจำได้มั๊ยครับ
เอาละ
ถ้าเราคิดว่ามูลค่าบริษัทที่เราคำนวณถูกต้องแล้ว
ก็ต้องมาดูว่า
ราคาบนกระดานเป็นเท่าไหร่
ถ้าเป็นอย่างที่คุณFE บอกมา
แสดงว่า ราคาซื้อมีค่าประมาณ 70%ของมูลค่าที่แท้จริง
= 35/50
แสดงว่ามี Margin of Safety 30%
ถ้าให้ดี ราคาซื้อน่าจะต่ำกว่ามูลค่าประมาณ 50%
นั่นคือ สุดยอดต้องซื้อที่ราคา 50/2 = 25 บาท
แต่ปัญหาคือ เราไม่รู้ว่าราคาจะลงไปที่ยี่สิบห้าบาทหรือไม่
โดยทั่วไป ราคาซื้อมีค่าประมาณ 50-60% มูลค่าที่แท้จริงก็น่าจะเพียงพอ
ก็คือราวๆ 30 บาท
เอาล่ะที่ 35 บาทก็ถือว่าอยากเป็นเจ้าของแล้วกัน
คราวนี้มาดูว่าจะซื้อทีเดียวหมด หรือ ทยอยซื้อใช่มั๊ยครับ
ถ้าไปถามพี่ Chatchat พี่แกคงฟาดหมดแน่เลย
เพราะแกมั่นใจในการคำนวณของแกสุดๆ
ส่วนผม ขอตอบด้วยประสบการณ์แล้วกันครับ
ช่วงลงทุนแรกๆ
ผมเคยคำนวณมูลค่าหุ้นตัวหนึ่งได้ที่ 200 บาท
ผมดูราคาบนกระดานตกลงมาจาก 200 เหลือ 110
แล้วเด้งกลับมานิ่งที่ 117
เพราะมี"ข่าว"ไม่ดีกับบริษัท ขณะที่ผลประกอบการดีขึ้นเรื่อยๆ
ผมพบว่านี่หละ ผมเฝ้ารอมานาน
ซื้อตอนที่มี "ข่าว" แล้วราคาหุ้นลดลงอย่างไร้เหตุผล
ผมมี Margin of Safety 40%
ผมฟาดหมดเลยครับ จนกระสุนหมดรังเพลิง
ผมดีใจมากเพราะราคาหุ้นปิดเพิ่มขึ้นที่ 118 บาท
ผมกลับบ้านนอนหลับฝันดี
ปรากฎว่า
ราคาหุ้นก็ทรงๆอยู่ช่วงนี้สักระยะหนึ่ง
จากนั้นก็ร่วงไม่เป็นท่าติดต่อกันหลายอาทิตย์
จนเหลือ 80 บาท
ผมเสียใจมากเพราะไม่มีเงินเหลือให้ซื้อแล้ว
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ผมก็จะทยอยซื้อไปเรื่อยๆ
แทนที่จะสวาปามทีเดียวหมด
เพราะเราไม่รู้ว่าราคาหุ้นจะตกลงไปถึงไหน
อย่างที่ท่านผู้รู้บอกไว้หละครับว่า
"ไม่มีใครซื้อหุ้นได้ต่ำที่สุด และไม่มีใครขายหุ้นได้สูงที่สุด"
จุดสูงสุดและจุดต่ำสุดของตลาด ไม่มีใครทายถูกหรอกครับ
ส่วนใหญ่ก็ใช้วิชา"เดา"ทั้งนั้นหละครับ
คำถามที่ว่า
ถ้าซื้อจนหมดหน้าตักแล้ว ราคาลงอีกทำอย่างไร
ผมว่าถ้าเรามั่นใจในการคำนวณของเรานะครับ
ก็ไม่ต้องทำอะไร
ให้อยู่เฉยๆ ไปตีเทนนิส ไปตีกอล์ฟ ไปดูหนัง
หรือจะทำอะไรก็ได้ครับ
ไม่ต้องดูราคาหุ้นไปสักสามเดือน
จากประสบการณ์ผม
หลังจากที่ผมลูกกระสุนหมดรังเพลิง
ผมก็ดันเฝ้าดูราคาหุ้นผมแทบทุกวัน
แล้วราคามันก็ลงไปทุกวัน ทุกวัน
ถ้าคุณFE ซื้อหุ้นที่ 117 แล้วลงไปเหลือ 80 จะทำอย่างไรครับ
ตอนนั้น ผมแทบจะCutloss แล้วครับ
แต่พอนึกถึงคำสอนของอาจารย์ Fisher ที่บอกว่า
"หุ้นหนึ่งตัว จะบอกได้ว่าดีไม่ดี ต้องถืออย่างน้อยสามปี"
และคำสอนอาจารย์ Buffet
"ถ้าทนเห็นหุ้นที่ถืออยู่ ราคาตกลงไป50%ไม่ได้ ไม่ควรอยู่ในตลาดหุ้น"
พอดี ผมยังไม่อยากถูกอาจารย์บัฟเฟตให้ใบแดงครับ
ผมก็เลยกัดฟันดูมันราคาตกลงไปเรื่อยๆ
โดยไม่ทำอะไร
ต้องข่มใจมากทีเดียวครับ
ใครไม่ลองไม่รู้ครับ
รักจะเป็น VI พันธุแท้ต้องลองสักครั้งครับ
แล้วจะรู้ว่า มัน"ทรมาน"แค่ไหน
สุดท้ายเกิดอะไรขึ้นรู้มั๊ยครับ
เป็นเวลามากกว่าสามเดือน
ราคาหุ้นก็ยังต่ำกว่าที่ผมซื้อมา
พอเดือนที่สี่ หลังจากผลประกอบการออก
ชาวบ้านถึงรู้ว่าไอ้ "ข่าว" ที่ว่า
มันไม่ได้มีผลอะไรกับบริษัทผมเลย
ผลประกอบการก็ยังดีเหมือนเดิม ดีกว่าเดิมอีก
จากนั้น ราคาก็พุ่งแซงหน้าราคาที่ผมซื้อไปอย่างสวยงาม
ตอนนี้ก็กลับมาที่มูลค่าที่ผมคำนวณไว้หละครับ
แต่ผมยังไม่ได้ขาย
เพราะไม่รู้จะเอาเงินไปซื้อตัวไหน
มัน"แพง"ไปหมดช่วงนี้
ก็หวังว่า คุณFE คงได้ไอเดียนะครับ
ว่าจะลุยให้เสร็จๆไปเลย
หรือจะทยอยรับไปเรื่อยๆ
ผมแนะนำว่า เหลือเงินติดกระเป๋าไว้บ้างก็ดีนะครับ
เผื่อมีสาวๆผ่านมา จะได้มีตังค์เลี้ยงข้าวเย็นสาวได้
อ้อ
เปรียบเทียบ สาวกับหุ้นแล้วจะได้อารมณ์มากเลยครับ......ขอบอก อิ อิ
เจอคำถามของคุณFE อย่างนี้
แล้วคุณMon จะตอบว่าอย่างไรน่ะ อยากรู้
อาจจะได้มุมมองอีกแบบนะครับ
รอคุณMon มาตอบด้วยอีกแรงแล้วกันครับ
ชาวบ้านเขารู้กันว่าผมถือหุ้นขุมทรัพย์ใต้ทะเลตัวเดียวครับbe TVI เขียน: อยากจะรบกวนถามพี่วิบูลย์
ตอนที่เพื่อนพี่"นักเกร็งกำไร"พี่ถามว่าตัวที่ถือขายหรือยัง โชคดีมันใกล้ 200 แล้ว พี่บอกว่ายังไม่ขาย ถือยาว
ไม่ทราบว่าตัวที่พูดถึง คือตัวที่พี่กำลังจะซื้อเพิ่มหรือปล่าวครับ มันคือตัวที่ขึ้นต้นด้วย S.... หรือปล่าวครับ
ขึ้นต้นด้วย P......
หลังจากนั้น ผมก็ไม่เคยบอกใครอีกเลยว่า
ผมซื้อหุ้นหรือถือหุ้นอะไรอีกบ้าง
เพราะผมรำคาญครับ
อย่างเจ้าเพื่อนผม
หลังจากที่ผมบอกว่า ผมจะถือหุ้นตัวนี้ไปอีกสิบปี
มันก็มักจะมาเยาะเย้ย ถากถางอยู่เรื่อยๆตลอดเวลา
ว่า "เป็นไง รวยหรือยัง เมื่อไหร่จะขาย" จนผมรำคาญ
จนเมื่อเร็วๆนี้ มันก็เงียบไป
ผมก็สงสัย เลยโทรไปถามมันเองว่า ทำไมช่วงนี้ดูเงียบๆ
มันบอกว่า "เสียดายไม่ได้เชื่อผม ไม่งั้นตอนนี้รวยไปแล้ว"
เพราะเจ้าขุมทรัพย์ราคาขึ้นเอาๆ
จนบางทีผมก็ยัง งงๆ ว่ามันขึ้นมาได้ยังไง
แต่ผมมองว่า อนาคตยังดีก็ถือไปเรื่อยๆ
เอางี้
มีคำถามนะครับว่า
สมมุติน้อง "be TVI" ถือหุ้นอยู่ตัวหนึ่งซื้อมาที่ 100 บาท
ราคาหุ้นตอนนี้ 180
ถ้าวันจันทร์ตื่นขึ้นมาพบว่า ราคารูดลงไปเหลือ 90 บาท
เป็นน้อง "be TVI" น้องจะทำอย่างไร
Cutloss หรือ ซื้อเพิ่ม...... เออ
ท่านอื่นตอบแทนได้นะครับ