ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ
โพสต์ที่ 1771
[quote="wattae"][quote="ลูกอิสาน"][quote="wattae"]รบกวนพี่โจ
ช่วยวิเคราะห์ VNT
1.การเทนเดอร์นี้ จะสำเร็จรึไม่
2.จะมีโอกาส ปรับราคาจาก 6.15 ให้สูงกว่านี้รึปล่าว
ขอบคุณครับ
ช่วยวิเคราะห์ VNT
1.การเทนเดอร์นี้ จะสำเร็จรึไม่
2.จะมีโอกาส ปรับราคาจาก 6.15 ให้สูงกว่านี้รึปล่าว
ขอบคุณครับ
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 186
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ
โพสต์ที่ 1775
"Tungkung wrote:
เคยแต่อ่านครับ วันนี้อยากถามพี่ลูกอิสานเรื่อง KH อะครับ พี่มีความเห็นอย่างไร ที่เค้ายกเลิกบัตรทองครับ ส่วนความคิดของผมนะครับ
ข้อดี...คนไข้บัตรทอง จะบริหารต้นทุนได้ยาก และน่าจะมีอัตรากำไรน้อยกว่าคนไข้เงินสด การยกเลิกอาจจะทำให้การทำกำไรดีขึ้น(แต่ว่าคนไข้เงินสดต้องมากขึ้นด้วย)
ข้อเสีย....การมีคนไข้บัตรทอง ทำให้โรงพยาบาลมีรายได้ที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ ไม่ค่อยผันผวน ดังจะเห็นว่ากำไรของ kh ในปีที่เศรษฐกิจไม่ดี ไม่ได้ตกลงมากเหมือน รพ.ที่เน้นลูกค้าเงินสด ซึ่งเป็นจุดเด่นที่สำคัญของ KH ในอดีต ดังนั้นเมื่อยกเลิกแล้วไม่รู้ว่ามีผลมากน้อยแค่ไหน
แล้วพี่ลูกอิสานมีความเห็นอย่างไรบ้างครับ...... "
"ผมก็คิดเหมือนๆคุณ tungkung และอีกหลายคนครับ สุดท้ายก็คงต้องเชื่อผู้บริหารเพราะเค้าอยู่กับข้อมูล วิธีนี้น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว เราอาจจะไม่ได้เชื่อผู้บริหารทุกคน แต่ของ kh ผมคิดว่าเชื่อใจเชื่อวิจารณญานของผู้บริหารได้ครับ
รอดูสัก 1-2 ไตรมาสก็คงรู้แล้วครับว่าผลกระทบจะเป็นอย่างไร ผมเข้าใจว่ายกเลิกเฉพาะโรงพยาบาลสาขาที่คับคั่งไม่ได้เลิกทั้งหมดนะครับ "
ขอบคุณครับ.....
_________________
เคยแต่อ่านครับ วันนี้อยากถามพี่ลูกอิสานเรื่อง KH อะครับ พี่มีความเห็นอย่างไร ที่เค้ายกเลิกบัตรทองครับ ส่วนความคิดของผมนะครับ
ข้อดี...คนไข้บัตรทอง จะบริหารต้นทุนได้ยาก และน่าจะมีอัตรากำไรน้อยกว่าคนไข้เงินสด การยกเลิกอาจจะทำให้การทำกำไรดีขึ้น(แต่ว่าคนไข้เงินสดต้องมากขึ้นด้วย)
ข้อเสีย....การมีคนไข้บัตรทอง ทำให้โรงพยาบาลมีรายได้ที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ ไม่ค่อยผันผวน ดังจะเห็นว่ากำไรของ kh ในปีที่เศรษฐกิจไม่ดี ไม่ได้ตกลงมากเหมือน รพ.ที่เน้นลูกค้าเงินสด ซึ่งเป็นจุดเด่นที่สำคัญของ KH ในอดีต ดังนั้นเมื่อยกเลิกแล้วไม่รู้ว่ามีผลมากน้อยแค่ไหน
แล้วพี่ลูกอิสานมีความเห็นอย่างไรบ้างครับ...... "
"ผมก็คิดเหมือนๆคุณ tungkung และอีกหลายคนครับ สุดท้ายก็คงต้องเชื่อผู้บริหารเพราะเค้าอยู่กับข้อมูล วิธีนี้น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว เราอาจจะไม่ได้เชื่อผู้บริหารทุกคน แต่ของ kh ผมคิดว่าเชื่อใจเชื่อวิจารณญานของผู้บริหารได้ครับ
รอดูสัก 1-2 ไตรมาสก็คงรู้แล้วครับว่าผลกระทบจะเป็นอย่างไร ผมเข้าใจว่ายกเลิกเฉพาะโรงพยาบาลสาขาที่คับคั่งไม่ได้เลิกทั้งหมดนะครับ "
ขอบคุณครับ.....
_________________
-
- Verified User
- โพสต์: 1036
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ
โพสต์ที่ 1779
สวัสดีปีใหม่ครับ คุณพี่ลูกอีสาน :8)
ขอบคุณมากๆครับสำหรับคำแนะนำดีๆต่อนักลงทุนหน้าใหม่เช่นผม (และอีกหลายๆคน)
เนื่องในโอกาสปีใหม่ที่ใกล้จะถึงนี้ ขอให้คุณพี่ลูกอีสานพบแต่ความสุข ความเจริญ
ขอให้ครอบครัวของพี่มีแต่ความสุข สุขภาพร่างกายแข็งแรง จิตใจเบิกบาน
ขอให้การลงทุนของพี่ประสบความสำเร็จยิ่งๆขึ้นไป แปรผันตรงกับการให้ความรู้ต่อน้องๆในเวปนี้นะครับ :D
โชคดีครับพี่
ขอบคุณมากๆครับสำหรับคำแนะนำดีๆต่อนักลงทุนหน้าใหม่เช่นผม (และอีกหลายๆคน)
เนื่องในโอกาสปีใหม่ที่ใกล้จะถึงนี้ ขอให้คุณพี่ลูกอีสานพบแต่ความสุข ความเจริญ
ขอให้ครอบครัวของพี่มีแต่ความสุข สุขภาพร่างกายแข็งแรง จิตใจเบิกบาน
ขอให้การลงทุนของพี่ประสบความสำเร็จยิ่งๆขึ้นไป แปรผันตรงกับการให้ความรู้ต่อน้องๆในเวปนี้นะครับ :D
โชคดีครับพี่
อย่าโลภเกินความรู้ความสามารถของตัวเราเอง
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ
โพสต์ที่ 1780
เหว๋อ อย่าใช้คำว่าอนุเคราะห์เลยครับพี่โจที่เคารพรักลูกอิสาน เขียน: ผมอ่านงานวิจัยที่ได้รับความอนุเคราะห์จากน้องฮง
ผมเองได้อะไรจากพี่เยอะมาก ทั้งทางเว็บและตอนไปใต้
แต่ดูแล้วหัวสมองผมยังห่างชั้นจากพี่เยอะไม่รู้จะแชร์อะไร
เลยคิดว่ามี research ดีๆก็ส่งให้พี่ โดยหวังว่าจะเป็นประโยชน์
กับพี่ผมก็ดีใจมากแล้วครับ
คำว่าอนุเคราะห์เนี้ยน่าจะใช้กับผู้ใหญ่ให้ผู้น้อย
แต่ผมเป็นผู้น้อยครับ ไม่อาจเอื่อมเด็ดขาด :D
สนใจเรื่องบัญชี กลยุทธ์ลงทุน fundflow แจมได้ที่ blog ผม
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ
โพสต์ที่ 1781
aonzzung เขียน:อยากให้คุณโจช่วยวิเคราะห์ MBK ให้หน่อยครับอยาทราบว่าคุณโจมองตัวนี้อย่างไรครับผมเคยซื้อแล้วขายไปไม่นานมานี้ ถือมาเสียเวลาและโอกาส เงินก็เสีย ไปนิดหน่อยครับ สำหรับผม ตัวนี้ผมเห็นว่าเริ่มออกทะเลไปเยอะ รู้สึกจะร้อนรนมาก ไปหาธุรกิจนู่นนี่ทำเยอะแยะมากมายไปหมด ตั้งแต่รู้ชะตาว่าจะต้องจ่ายค่าที่ให้จุฬา มหาศาล แต่ผมก็ยังแอบชอบ mbk อยู่อะครับ finacial ratio ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ ที่ไม่แย่เท่าไร ถึงแม่ว่าเธอจะเปลี๊ยนไป๋พอสมควรอะครับ
อีกอย่างคือพี่มีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับ paradise park ครับ(ไม่ทราบว่าติดตามหรือเปล่า)
รบกวนแค่นี้ก่อนครับ
newbie_12 เขียน:เรียนถามพี่โจ เกี่ยวมุมมองของ MBK ครับได้ดูรายการ Money Talk Daily เมื่อคืน สัมภาษณ์ผู้บริหารของทาง MBK โดย ดร นิเวศน์ อ. ถาวร และ อ. เสน่ห์ ตอนแรกเข้าใจว่า MBK มีเฉพาะห้างมาบุญครอง แต่จริงๆแล้วยังมีส่วนของ Siam center, Siam discovery, และ paragon นิดหน่อย รวมทั้งเพิ่งไป take over เสรเซ็นเตอร์มา ที่เฉพาะส่วนห้าง บริษัทยังมีโรงแรม ทำอสังหาขาย มีสนามกอล์ฟ ขายข้าวถุงและที่สำคัญ ยังถือ TCAP อยู่ 9% กว่า SCIB อีก 3% กว่าๆ เฉพาะที่ถือ 2 bank นี่ก็หลายพันล้านอยู่อยากทราบว่าพี่โจมองภาพรวม MBK เป็นอย่างไรบ้างครับ
MBK ผมไม่ได้ตามมานานแล้วเพราะยังคาใจเรื่องสัญญาเช่าที่ดิน วันนี้กลับไปดูใหม่ ภาพก็ยังเหมือนๆเดิม ปัจจุบันบริษัทมีธุรกิจหลากหลายมากหลักๆก็ ศูนย์การค้า โรงแรม พัฒนาอสังหา สนามกอล์ฟ ธุรกิจข้าว และรายได้เงินปันผล ธุรกิจศูนย์การค้ามาบุญครองสร้างรายได้ประมาณ 40% แต่เป็น 60% ของกำไรสุทธิ ดังนั้นในปี 2013 ที่บริษัทจะเริ่มจ่ายค่าเช่าที่ให้จุฬาในอัตราใหม่ กำไรส่วนนี้จะลดลงมาก ผมเห็นตัวเลขแต่ไม่แน่ใจจะลดประมาณ 400 ล้าน จากกำไรทั้งบริษัทปีที่แล้ว 1300 ล้าน ก็ถือว่ามีนัยยะพอสมควร ดังนั้นธุรกิจใหม่ๆที่เร่งลงทุนตอนนี้ก็เพียงเพื่อรักษากำไรในอนาคตไม่ให้ลดลงมาก หรือไม่ลดลงเท่านั้น คงไม่เพิ่ม ดังนั้นถ้ากำไรไม่เพิ่ม ผมก็ไม่คิดว่าราคาหุ้นจะขยับขึ้นได้มากครับ ประเด็นที่ถือหุ้น สยามเซนเตอร์ สยามดิสโคเวอรี่ ผมเข้าใจว่าทั้งหมดถือหุ้นโดยสยามพิวรรธน์ ซึ่งมีผู้ถือหุ้นคือ MBK 30% สมเด็จพระเทพ 25% สำนักงานทรัพสิน+ไทยพานิชญ์ 20% ที่เหลือเป็นรายย่อย ส่วนสยามพารากอนถือหุ้นโดยสยามพิวรรธน์และเดอะมอลล์ 50:50 ส่วนที่ไปลงทุนในเสรีเซนเตอร์แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น paradise park นั้น MBK ลงทุน 50 และอีก 50 ลงทุนโดยสยามพิวรรธน์ ดังนั้นรวมการถือหุ้นโดยตรงและอ้อมจะประมาณ 65% เป็นการซื้อสิทธิ์ใช้อาคารบนที่ดินอายุ 15 ปี ซื้อมา 1 พันล้าน และจะมีงบปรับปรุงอีก 1 พันล้าน คาดระยะคืนทุนประมาณ 5-6 ปี ซึ่งก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะตอนนี้เสรีก็มีลูกค้าระดับนึง มี traffic ถึง 70,000 คน/วัน แต่สิทธิ์การใช้ที่ดินสั้นไปนิดครับ หมดสัญญาเมื่อไหร่ก็ต้องต่อรองกันอีกSunShine@Night เขียน: ขอเพิ่ม SF อีกตัวแล้วกันนะครับ
ส่วนที่ MBK ถือหุ้นใน TCAP 10% หรือมีมูลค่าตามราคาตลาด 3 พันล้านและยังถือหุ้นใน SCIB อีก 3% หรือมูลค่าตลาดประมาณ 2 พันล้าน รวมเป็น 5 พันล้าน (มูลค่าตลาดของ MBK ประมาณ 13,000 ล้าน) ก็ถือว่ามีมูลค่าซ่อนเร้นค่อนข้างเยอะ แต่ผมไม่คิดว่ามูลค่าเหล่านี้จะสะท้อนออกมาเร็วๆนี้โดยเฉพาะ tcap ผมคิดว่าเป็นการถือหุ้นใขว้ในกลุ่มเดียวกันเพื่อรักษาอำนาจบริหาร ดังนั้นคงไม่มีการขายหุ้นเพื่อทำกำไร ในส่วน SCIB ถ้า tcap ประมูลได้ผมก็คิดว่าบริษัทอาจจะไม่ขายหุ้นตอน tender เท่ากับว่ามูลค่าแฝงก็จะแฝงอยู่อย่างนั้น ไม่สะท้อนออกมา ยกเว้นกลุ่มการเงินอื่นประมูล SCIB ได้ บริษัทอาจจะขายหุ้นให้กลุ่มใหม่ กรณีนี้จะได้เงินก้อนมาจริงๆ ถือเป็นตัวเร่งได้ครับ
CPN ผมไม่ค่อยได้ติดตามเช่นกัน มองคร่าวๆธุรกิจห้างสรรพสินค้าของเซ็นทรัลถือว่าเป็นเบอร์ 1 ทุกสาขาที่เปิดประสบความสำเร็จทั้งสิ้น มากบ้างน้อยบ้างและถือเป็นเบอร์ 1 ที่ทิ้งห่างเบอร์ 2 อย่างเดอะมอลล์ค่อนข้างมาก ปัจจุบันบริษัทก็ยังคงเติบโตได้จากกรณีเหล่านี้ครับ..
1.เพิ่มสาขา ปัจจุบันเพิ่งเปิดเซ็นทรัลขอนแก่นจนรถติดกันทั้งเมือง และเปิดเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ จะเปิดเซ็นทรัลอุดร เซ็นทรัลเฟสติเวิลพัทยาบีช เซ็นทรัลชลบุรี นอกจากนั้นยังมีศูนย์การค้าที่พระราม 9 เชียงใหม่ 2 และเชียงราย
2.การเพิ่มอัตราการเช่าพื้นที่ ผมไม่มีตัวเลขเฉลี่ยพื้นที่ให้เช่า แต่คิดว่ายังมีพื้นที่ว่างให้เช่าได้อีกบางส่วนครับ
3.การเพิ่มราคาค่าเช่า เนื่องจากค่าเช่ามีหลายแบบ เช่น เซ้ง เช่าระยะกลาง ระยะสั้น ซึ่งปกติจะมีการปรับขึ้นค่าเช่าตามเงินเฟ้อ ยกเว้นบางช่วงเศรษกิจตกต่ำจะมีการลดค่าเช่าให้ลูกค้าบ้าง
ประเด็นที่ต้องระวังสำหรับ CPN
1.เนื่องจากธุรกิจห้างสรรพสินค้าต้องเปิดในแหล่งที่มีฐานประชากรค่อนข้างมาก ดังนั้นจะเปิดได้เฉพาะกรุงเทพปริมณฑลและจังหวัดหัวเมืองใหญ่ๆ ซึ่งปัจจุบันบริษัทก็ไปเปิดแทบจะครบทุกจังหวัดแล้ว ดังนั้นถึงจุดหนึ่งจะอิ่มตัว อาจจะต้องขยับขยายไปต่างประเทศครับ
2.สาขาเซ็นทรัลลาดพร้าวซึ่งสร้างรายได้และกำไรสูงที่สุด จะต้องมีการเสียค่าเช่าในอัตราใหม่(เหมือนกรณี MBK) ทำให้อัตรากำไรในส่วนนี้ลดลงครับ แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นตัวเลขเท่าไหร่ แต่คงกระทบน้อยกว่า MBK
3.อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัว จำได้ว่าเซ็นทรัลเฟสติวัลภูเก็ต ไม่ใช่ของ CPN แต่เป็นของบริษัทส่วนตัวของกลุ่มเซ็นทรัล เหตุผลประมาณว่าตอนนั้น CPN ไม่มีเงินทุนที่จะก่อสร้าง ซึ่งผมคิดว่าไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ เท่าที่ทราบศูนย์การค้าแห่งนี้ประสบความสำเร็จค่อนข้างมาก ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ conflict หากมี 2 party มาทำธุรกิจเหมือนกันครับ ให้จับตาดูกรณีต่อสัญญาเช่าที่ของเซ็นทรัลลาดพร้าว บริษัทส่วนตัวของเซ็นทรัลประมูลได้ราคาเท่าไหร่ และมาปล่อยให้ CPN เช่าที่ราคาเท่าไหร่ สมเหตุสมผลหรือไม่ครับ
หากให้เปรียบเทียบ CPN & MBK ผมคิดว่า CPN มีความยั่งยืนมากกว่าเพราะมีสาขากระจายหลายโลเคชั่น สินทรัพย์ตั้งอยู่ในที่ดินของตัวเองหลายสาขา ในขณะที่ MBK ส่วนใหญ่เป็นที่ดินเช่าครับ นอกจากนั้น CPN ยังมี know how การบริหารห้างสรรรพสินค้า มีความเชี่ยวชาญมากกว่า MBK ส่วน MBK มีจุดเด่นในแง่การบริหารต้นทุนทางการเงิน เพราะเป็นกลุ่มเดียวกับกลุ่มธนชาติ และยังมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ให้เช่าที่ดินอย่างสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แต่ P/E ของหุ้นทั้งสองตัวก็สะท้อนความจริงข้อนี้ไปแล้วครับ
ส่วน SF เน้นทำศูนย์การค้าแบบเปิด เข้าใจว่ามีเอสพลานาดแห่งเดียวที่เป็นแบบปิด ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 30 แห่งเป็นแบบเปิดทั้งหมด การรับรู้รายได้ของ SF จะมี 2 แบบ
1.การรับรู้รายได้ค่าเช่าศูนย์การค้า ซึ่งปรับราคาได้ตามเงินเฟ้อ
2.การับรู้สัญญาเช่าทางการเงินหรือค่าเซ้งซึ่งเป็นการเช่าระยะยาว โดยรับรู้หากมีการเปิดศูนย์การค้าใหม่ๆ
หากดูผลประกอบการไตรมาสไหนที่มีการเปิดศูนย์การค้า จะมีการรับรู้รายได้ค่าเซ้งจำนวนมาก ซึ่งมีมาร์จินดีกว่าค่าเช่าทั่วไปทำให้กำไรโตมากด้วย ปีไหนที่ไม่มีการเปิดเหมือนปี 2552 นี้กำไรจะลดลงมากเพราะเหลือแค่รายได้ค่าเช่าปกติครับ ในปี 53 จะมีการเปิดศูนย์การค้าใหม่บ้างแต่ไม่เยอะ ไฮไลท์จะเป็นต้นปี 54 ที่มีการเปิดเมกกะสโตร์ ที่ร่วมทุนกับไอเกียที่บางนา โครงการนี้ SF ถือหุ้น 49% จากงานวิจัยของโบรคเกอร์หากมีการรับรู้รายได้แบบสัญญาเช่าทางการเงินอาจจะมีส่วนแบ่งกำไรถึง 1 พันล้านในปี 54 ครับ ตัวเลขนี้ไม่รับรองนะครับ ลองเช็คดูอีกที
จุดเด่นของ SF คือมีแบ็คอัพที่ดีอย่าง MAJOR ดังนั้นไม่มีปัญหาเรื่องเงินทุน และเสริมกันในแง่มีผู้เช่าหลักแน่ๆอย่างโรงภาพยนต์ โบวลิ่ง แต่ธุรกิจศูนย์การเค้าแบบเปิด หรือ community mall ไม่มี barrier มีที่ดินทำเลดีๆก็สามารถทำได้ ดังนั้นการแข่งขันจะสูงขึ้นอย่าง MBK ก็มีที่ดินที่พระราม 9 และวางแผนจะทำเป็น community mall เช่นกัน ในขณะที่กลุ่มเซนทรัลก็ออกข่าวว่าจะรุกด้านนี้เช่นกันครับ..
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
- tatandchin
- Verified User
- โพสต์: 775
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ
โพสต์ที่ 1785
สัสดีปีใหม่ครับพี่ลูกอิสาน ขอให้พี่และครอบครัวทุกคนมีสุขภาพแข็งแรงและมีความสุขมากๆครับ
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ
โพสต์ที่ 1787
ขอให้พี่โจมีความสุขมากๆ เงินลงทุนโตปีละ 100% ติดกัน 100 ปี
ขอให้บุญกุศลที่เผื่อแพร่วิชาความรู้ให้คนอื่นทำให้พี่และครอบครัวเจริญยิ่งๆขึ้นไปนะครับ :D
ขอให้บุญกุศลที่เผื่อแพร่วิชาความรู้ให้คนอื่นทำให้พี่และครอบครัวเจริญยิ่งๆขึ้นไปนะครับ :D
สนใจเรื่องบัญชี กลยุทธ์ลงทุน fundflow แจมได้ที่ blog ผม
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
- Linzhi
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1522
- ผู้ติดตาม: 1
ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ
โพสต์ที่ 1788
ขอให้พี่ลูกอีสานและเพื่อน ๆ ทุกคนมีความสุขในปี 2010 มาก ๆ ครับ
คิดสิ่งใดที่ชอบ ประกอบด้วยธรรม ของให้สมปรารถนาทุกประการ
ขอบคุณมากครับสำหรับกระทู้ดี ๆ แบบนี้
คิดสิ่งใดที่ชอบ ประกอบด้วยธรรม ของให้สมปรารถนาทุกประการ
ขอบคุณมากครับสำหรับกระทู้ดี ๆ แบบนี้
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.
- newbie_12
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2912
- ผู้ติดตาม: 1
ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ
โพสต์ที่ 1789
เข้ามาขอบคุณพี่โจลูกอิสานครับ ที่ตอบคำถามของผมแล้วก็ของเพื่อนๆมาตลอด
แล้วก็สวัสดีปีใหม่ด้วยครับ ขอให้พี่โจแล้วก็ลูกๆ มีสุขภาพแข็งแรงนะครับ
แล้วก็สวัสดีปีใหม่ด้วยครับ ขอให้พี่โจแล้วก็ลูกๆ มีสุขภาพแข็งแรงนะครับ
.
.
อดีตอันรุ่งโรจน์ ไม่ได้การันตีอนาคตจะรุ่งเรือง
----------------------------
.
อดีตอันรุ่งโรจน์ ไม่ได้การันตีอนาคตจะรุ่งเรือง
----------------------------
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4741
- ผู้ติดตาม: 1
ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ
โพสต์ที่ 1790
ขอเข้ามาขอบคุณและสวัสดีปีใหม่ครับโจ
เผื่อไม่ได้เข้าไป กระทู้สวัสดีปีใหม่
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... highlight=
ขอให้รวยทั้ง ทรัพย์ และ ปััญญา ยิ่งๆขึ้นไปครับ
เผื่อไม่ได้เข้าไป กระทู้สวัสดีปีใหม่
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... highlight=
ขอให้รวยทั้ง ทรัพย์ และ ปััญญา ยิ่งๆขึ้นไปครับ
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
- Nuthor
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 200
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ
โพสต์ที่ 1792
รบกวนถามพี่ลูกอิสานเรื่อง warrant ครับ???
ผมสงสัยว่า ทำไมราคาของ warrent ถึงขยับตามราคาหุ้นแม่ได้อ่ะครับ?
เวลาที่เราซื้อขายหุ้นแม่ เราไม่ได้ซื้อขาย warrant นี่ครับ ทำไมราคา warrat ถึงขยับตามได้ หรือว่ามีคนอื่นๆ มาซื้อขาย warrant ร่วมกับเราเลยทำให้ราคาขยับ? แต่ถึงมีคนอื่นมาซื้อขายด้วยกับเรา ก็ไม่จำเป็นนี่ครับว่าคนอื่นจะซื้อขายในอัตราส่วนเดียวกับเรา ทำไม warrant ถึงได้ขยับตามใกล้เคียงกับหุ้นแม่ครับ?
เคยได้ยินมาว่า warrant นั้นมีวันหมดอายุ เวลาหมดอายุก็มีค่าเป็น 0 ทำไมเวลาคิดอัตราส่วนของกำไรหุ้นของหุ้นแม่ ต้องเอา warrant มาคิดรวมเป็นหุ้นด้วยครับ ในเมื่อพอมันหมดอายุ มันก็มีค่าเป็น 0
ผมสงสัยว่า ทำไมราคาของ warrent ถึงขยับตามราคาหุ้นแม่ได้อ่ะครับ?
เวลาที่เราซื้อขายหุ้นแม่ เราไม่ได้ซื้อขาย warrant นี่ครับ ทำไมราคา warrat ถึงขยับตามได้ หรือว่ามีคนอื่นๆ มาซื้อขาย warrant ร่วมกับเราเลยทำให้ราคาขยับ? แต่ถึงมีคนอื่นมาซื้อขายด้วยกับเรา ก็ไม่จำเป็นนี่ครับว่าคนอื่นจะซื้อขายในอัตราส่วนเดียวกับเรา ทำไม warrant ถึงได้ขยับตามใกล้เคียงกับหุ้นแม่ครับ?
เคยได้ยินมาว่า warrant นั้นมีวันหมดอายุ เวลาหมดอายุก็มีค่าเป็น 0 ทำไมเวลาคิดอัตราส่วนของกำไรหุ้นของหุ้นแม่ ต้องเอา warrant มาคิดรวมเป็นหุ้นด้วยครับ ในเมื่อพอมันหมดอายุ มันก็มีค่าเป็น 0
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ
โพสต์ที่ 1793
ประเด็นนี้เราต้องเข้าใจความหมายของ warrant ว่าคืออะไร ซึ่งวอร์แรนต์หมายถึงตราสารที่แสดงสิทธิ์ซื้อหุ้นสามัญในอัตรา ราคา และเวลาที่กำหนดไว้แน่นอนครับ ให้เข้าใจง่ายขึ้นผมยกตัวอย่างอย่างนี้ครับ..Nuthor เขียน:รบกวนถามพี่ลูกอิสานเรื่อง warrant ครับ???
ผมสงสัยว่า ทำไมราคาของ warrent ถึงขยับตามราคาหุ้นแม่ได้อ่ะครับ?
เวลาที่เราซื้อขายหุ้นแม่ เราไม่ได้ซื้อขาย warrant นี่ครับ ทำไมราคา warrat ถึงขยับตามได้ หรือว่ามีคนอื่นๆ มาซื้อขาย warrant ร่วมกับเราเลยทำให้ราคาขยับ? แต่ถึงมีคนอื่นมาซื้อขายด้วยกับเรา ก็ไม่จำเป็นนี่ครับว่าคนอื่นจะซื้อขายในอัตราส่วนเดียวกับเรา ทำไม warrant ถึงได้ขยับตามใกล้เคียงกับหุ้นแม่ครับ?
เคยได้ยินมาว่า warrant นั้นมีวันหมดอายุ เวลาหมดอายุก็มีค่าเป็น 0 ทำไมเวลาคิดอัตราส่วนของกำไรหุ้นของหุ้นแม่ ต้องเอา warrant มาคิดรวมเป็นหุ้นด้วยครับ ในเมื่อพอมันหมดอายุ มันก็มีค่าเป็น 0
หุ้นสามัญกอ มีราคา 10 บาท และได้ออกวอร์แรนต์ที่มีสามารถแปลงเป็นหุ้นแม่ได้ในอัตราส่วน 1:1 ที่ราคา 5 บาท วอร์แรนต์มีอายุ 5 ปี สามารถใช้สิทธิ์แปลงเป็นหุ้นสามัญได้ทุกไตรมาส
ดังนั้นราคาที่ควรจะเป็นของวอร์แรนต์ในปัจจุบันคือ 5 บาท เพราะถ้าซื้อวอร์ที่ 5 บาท รวมกับค่าแปลงสภาพอีก 5 บาท รวมกันเท่ากับ 10 บาท เท่ากับหุ้นแม่พอดี สมมุติต่อไปว่าหุ้นแม่ขยับขึ้นเป็น 12 บาท ราคาวอร์แรนต์ก็ควรจะขยับเป็น 7 บ. เพราะถ้ายัง 5 บาทเท่าเดิมก็จะมีคนซื้อวอร์แรนต์ที่ 5 บาท นำไปแปลงบวกเงินค่าแปลงอีก 5 บาท เป็น 10 บ. แปลงเป็นหุ้นและขายได้ราคา 12 บาท ได้กำไรฟรีๆ 2 บ.แบบไม่เสี่ยง ดังนั้นในความเป็นจริงนักลงทุนจะเห็น ทำให้ราคาวอร์แรนต์จะขยับไปตามหุ้นแม่เสมอ หรือพูดได้ว่าราคาวอร์จะแปรผันไปกับหุ้นแม่เพราะตามเงื่อนไขของวอร์มันเป็นอย่างนั้นครับ
แต่ที่น่าสนใจคือวอร์แรนต์จะมีอัตราการทดสูงกว่า(Gearing) จากกรณีข้างต้น ถ้าเราถือหุ้นแม่ราคาขยับจาก 10 เป็น 12 บาทเราได้ผลตอบแทน 20% แต่ถ้าเราถือวอร์แรนต์จาก 5 บ.เป็น 7 บ.เราได้ผลตอบแทน 40% เห็นไหมครับว่าต่างกัน แต่ถ้าราคาหุ้นลง ก็ทำนองเดียวกันคือถือวอร์จะเจ็บกว่า
ส่วนที่บอกว่าจะกลายเป็นศูนย์ คือถ้าวอร์หมดอายุแล้วไม่แปลงเป็นหุ้นกรณีข้างต้นคือเกิน 5 ปี วอร์ก็จะกลายเป็นเศษกระดาษ แต่ในความเป็นจริงถ้าราคาใช้สิทธิ์ไม่สูงกว่าราคาหุ้นแม่ในตลาดก็จะมีคนแปลงเป็นหุ้นก่อนหมดอายุเสมอครับ ยกเว้นคนที่ลืมแปลง ดังนั้นถ้าแปลงเป็นหุ้นสามัญ จำนวนหุ้นจะเพิ่ม EPS ก็จะลดลงตามสัดส่วนครับ..
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
- kmphol
- Verified User
- โพสต์: 417
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ
โพสต์ที่ 1795
สวัสดีปีใหม่ครับ คุณโจ และเพื่อนVIทุกคน
ขอให้คุณโจ ร่ำรวย รวดเร็ว มีความสุข ลูกแข็งแรง โตไวไว ไม่เกเร และอยู่ในกระทู้นี้ เปนที่ปรึกษาให้เพื่อน vi ทุกคน ตราบนานเท่านานครับ
สวัสดีปีใหม่ครับ :lol:
ขอให้คุณโจ ร่ำรวย รวดเร็ว มีความสุข ลูกแข็งแรง โตไวไว ไม่เกเร และอยู่ในกระทู้นี้ เปนที่ปรึกษาให้เพื่อน vi ทุกคน ตราบนานเท่านานครับ
สวัสดีปีใหม่ครับ :lol:
- Nuthor
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 200
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ
โพสต์ที่ 1796
รบกวนถามพี่ลูกอิสานอีกหนึ่งเรื่องครับ เราจะสามารถหาอายุ อัตราการแปลง warrant เป็นหุ้นสามัญ และช่วงเวลาที่สามารถแปลง warrant เป็นหุ้นสามัญได้จากที่ไหนครับวอร์แรนต์หมายถึงตราสารที่แสดงสิทธิ์ซื้อหุ้นสามัญในอัตรา ราคา และเวลาที่กำหนดไว้แน่นอนครับ...
ถ้าวอร์หมดอายุแล้วไม่แปลงเป็นหุ้นกรณีข้างต้นคือเกิน 5 ปี วอร์ก็จะกลายเป็นเศษกระดาษ แต่ในความเป็นจริงถ้าราคาใช้สิทธิ์ไม่สูงกว่าราคาหุ้นแม่ในตลาดก็จะมีคนแปลงเป็นหุ้นก่อนหมดอายุเสมอครับ ยกเว้นคนที่ลืมแปลง ดังนั้นถ้าแปลงเป็นหุ้นสามัญ จำนวนหุ้นจะเพิ่ม EPS ก็จะลดลงตามสัดส่วนครับ
ขอบคุณพี่ลูกอิสานมากมากครับ Happy new year ครับ :) :) [/list]
- naris
- Verified User
- โพสต์: 6726
- ผู้ติดตาม: 1
ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ
โพสต์ที่ 1797
ปี2553นี้ขอให้พอร์ตโจโตเป็นสองเท่านะ....โจ
เอ้...อวยพรแบบฝรั่งนี้เขาว่าไงนะ
มี"แฮป"แล้วก็ต้องมี...........ปี้...........ใช่ไหมอ่ะ....ขอให้ แฮป..ปี้....สมดั่งใจคิด ในปี2010นะโจ..... :lol:
เอ้...อวยพรแบบฝรั่งนี้เขาว่าไงนะ
มี"แฮป"แล้วก็ต้องมี...........ปี้...........ใช่ไหมอ่ะ....ขอให้ แฮป..ปี้....สมดั่งใจคิด ในปี2010นะโจ..... :lol:
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
- puthorn
- Verified User
- โพสต์: 68
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ
โพสต์ที่ 1798
สวัสดีปีใหม่ครับพี่ลูกอิสาน ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยให้ครอบครัวพี่มีสุขภาพดีนะครับ
ขอบคุณที่ให้วิทยาทานแก่น้องๆเสมอมาครับ :D
ปล ผมอ่านหนังสือเก่งเทียมฟ้าหรือว่าโชค ผู้แต่งไม่ชอบหนังสือพิมพ์รายวัน
เพราะข่าวข้อมูลถี่เกินไปไร้สาระ ให้อ่านเป็นรายสัปดาห์แทน
(อารมณ์ประมาณเช็คราคาหุ้นทุกนาทีหรือชั่วโมง )
อีกความเห็นเป็นของบิล มิลเลอร์กระมังที่ว่าข่าวรายวันตลาดซึมซับไปหมดแล้ว
พี่ลูกอิสานมีความเห็นยังไงบ้างครับ
ขอบคุณที่ให้วิทยาทานแก่น้องๆเสมอมาครับ :D
ปล ผมอ่านหนังสือเก่งเทียมฟ้าหรือว่าโชค ผู้แต่งไม่ชอบหนังสือพิมพ์รายวัน
เพราะข่าวข้อมูลถี่เกินไปไร้สาระ ให้อ่านเป็นรายสัปดาห์แทน
(อารมณ์ประมาณเช็คราคาหุ้นทุกนาทีหรือชั่วโมง )
อีกความเห็นเป็นของบิล มิลเลอร์กระมังที่ว่าข่าวรายวันตลาดซึมซับไปหมดแล้ว
พี่ลูกอิสานมีความเห็นยังไงบ้างครับ
gooD hEAlTH
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1588
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ
โพสต์ที่ 1800
ผมอยาก discuss เรื่อง intrinsic value คับ
หลังจากที่ผมได้อ่านหนังสือของพี่สุมาอี้เป็นรอบที่2แล้ว(ฉลองปีใหม่)ผมอยากจะรบกวนพี่นริศ comment idea ของผมหน่อยอะคับ
วิธีการหาIntrinsic value
1 DCF ตามหนังสือพี่สุมาอี้(แบบใช้ FCF)
ข้อดี - ละเอียดครอบคลุมปัจจัยหลายๆอย่างที่ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น
ข้อเสีย - ละเอียกเกินไป
- การคาดการณ์อนาคตในหลายๆ factor นั้นผมว่าไม่ practical เพราะว่ายากและคลาดเคลื่อนง่ายเกินไป(สำหรับบางบริษัท)
2 Owner earning (กำไร+DA-CAPEX)ตามหนังสือ the warren buffett way
ข้อดี - เหมือน DCF แต่ละเอียดน้อยลงมาหน่อย
ข้อเสีย - ละเอียดน้อยกว่า DCF ที่ใช้ FCF
- ข้อเสียที่เหลือเหมือน DCF ข้อ1
3 PEG ธรรมดา (อิงตาม Peter Lynch ละกัน)
ข้อดี -ง่าย+practical
ข้อเสีย - นำแค่กำไรมาคิดยังมีปัจจัยอื่นๆอีก
หลังจากได้ศึกษาทั้ง 3 วิธีแล้วผมจึงมีความคิดดังนี้ครับ
-วิธีที่ 1,2(ซึ่งมันเหมือนๆกัน) คงเข้าข่าย too good to be true
วิธีที่ 3 เข้าข่าย too true too be good
-Mr. Market น่าจะกำหนดราคาโดยใช้ PEG ง่ายๆมากกว่า เพราะ พฤติกรรมมนุษย์ส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงอะไรที่ซับซ้อนขนาดวิธีที่1,2ได้อย่างแม่นยำ(ข้อนี่ผมรู้สึกเอง-.-)
ราคาถูกกำหนดโดยคน--->คนคิดซับซ้อนมากไม่ได้--->ดังนั้น intrinsic value ที่ละเอียดๆอาจจะถูกต้องเฉพาะในทางพื้นฐานเท่านั้น แต่สำหรับการลงทุนแล้วการคิดให้ซับซ้อนน้อยๆแบบวิธีที่3 อาจจะทำให้ได้ค่าเข้าใกล้เคียงกับความจริงที่สุด (เป็นintrinsic value ทางพื้นฐานที่คนในตลาดส่วนใหญ่น่าจะเห็นใกล้ๆกัน(คือไม่ได้คิดโดยละเอียดมาก)) [ข้อนี้ผมคิดเอง]
-การจะใช้วิธีที่1,2น่าจะใช้ได้แค่กับหุ้นแข็งแกร่งเท่านั้น
-ดังนั้นผมจึงเลือกวิธีที่ 2สำหรับหุ้นที่พอคาดเดาได้และมีประวัติ และ 3 สำหรับหุ้นใหม่โตเร็ว
สรุปคำถาม
-รบกวนcomment ความคิดของผู้น้อยผู้นี้ด้วยครับ
สวัสดีปีใหม่ครับ
คารวะพี่ลูกอีสาน
หลังจากที่ผมได้อ่านหนังสือของพี่สุมาอี้เป็นรอบที่2แล้ว(ฉลองปีใหม่)ผมอยากจะรบกวนพี่นริศ comment idea ของผมหน่อยอะคับ
วิธีการหาIntrinsic value
1 DCF ตามหนังสือพี่สุมาอี้(แบบใช้ FCF)
ข้อดี - ละเอียดครอบคลุมปัจจัยหลายๆอย่างที่ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น
ข้อเสีย - ละเอียกเกินไป
- การคาดการณ์อนาคตในหลายๆ factor นั้นผมว่าไม่ practical เพราะว่ายากและคลาดเคลื่อนง่ายเกินไป(สำหรับบางบริษัท)
2 Owner earning (กำไร+DA-CAPEX)ตามหนังสือ the warren buffett way
ข้อดี - เหมือน DCF แต่ละเอียดน้อยลงมาหน่อย
ข้อเสีย - ละเอียดน้อยกว่า DCF ที่ใช้ FCF
- ข้อเสียที่เหลือเหมือน DCF ข้อ1
3 PEG ธรรมดา (อิงตาม Peter Lynch ละกัน)
ข้อดี -ง่าย+practical
ข้อเสีย - นำแค่กำไรมาคิดยังมีปัจจัยอื่นๆอีก
หลังจากได้ศึกษาทั้ง 3 วิธีแล้วผมจึงมีความคิดดังนี้ครับ
-วิธีที่ 1,2(ซึ่งมันเหมือนๆกัน) คงเข้าข่าย too good to be true
วิธีที่ 3 เข้าข่าย too true too be good
-Mr. Market น่าจะกำหนดราคาโดยใช้ PEG ง่ายๆมากกว่า เพราะ พฤติกรรมมนุษย์ส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงอะไรที่ซับซ้อนขนาดวิธีที่1,2ได้อย่างแม่นยำ(ข้อนี่ผมรู้สึกเอง-.-)
ราคาถูกกำหนดโดยคน--->คนคิดซับซ้อนมากไม่ได้--->ดังนั้น intrinsic value ที่ละเอียดๆอาจจะถูกต้องเฉพาะในทางพื้นฐานเท่านั้น แต่สำหรับการลงทุนแล้วการคิดให้ซับซ้อนน้อยๆแบบวิธีที่3 อาจจะทำให้ได้ค่าเข้าใกล้เคียงกับความจริงที่สุด (เป็นintrinsic value ทางพื้นฐานที่คนในตลาดส่วนใหญ่น่าจะเห็นใกล้ๆกัน(คือไม่ได้คิดโดยละเอียดมาก)) [ข้อนี้ผมคิดเอง]
-การจะใช้วิธีที่1,2น่าจะใช้ได้แค่กับหุ้นแข็งแกร่งเท่านั้น
-ดังนั้นผมจึงเลือกวิธีที่ 2สำหรับหุ้นที่พอคาดเดาได้และมีประวัติ และ 3 สำหรับหุ้นใหม่โตเร็ว
สรุปคำถาม
-รบกวนcomment ความคิดของผู้น้อยผู้นี้ด้วยครับ
สวัสดีปีใหม่ครับ
คารวะพี่ลูกอีสาน
คนรู้ไม่พูด คนพูดไม่รู้