มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
-
- Verified User
- โพสต์: 75
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
โพสต์ที่ 182
กลับมาอ่านของคุณ L อีกรอบ ทำให้นึกถึงหนังสือเล่มหนึ่งที่ซื้อมาอ่าน
เล่มสีเหลือง เรื่อง เริ่มจาก 0 มารวย 10 ล้าน ของคุณ มนตรี แสวงเดชา
เลยหยิบมาอ่านใหม่อีกรอบ
ขอบคุณครับคุณ L
เล่มสีเหลือง เรื่อง เริ่มจาก 0 มารวย 10 ล้าน ของคุณ มนตรี แสวงเดชา
เลยหยิบมาอ่านใหม่อีกรอบ
ขอบคุณครับคุณ L
หากเราถือหุ้นที่ดีแล้ว เหตุผลเดียวที่ขาดทุนเพราะเรายังถือมันไม่นานพอ
-
- Verified User
- โพสต์: 1220
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
โพสต์ที่ 183
โห เล่มนี้เริ่มหาอ่านยากแล้วนะครับMeesuk_D เขียน:กลับมาอ่านของคุณ L อีกรอบ ทำให้นึกถึงหนังสือเล่มหนึ่งที่ซื้อมาอ่าน
เล่มสีเหลือง เรื่อง เริ่มจาก 0 มารวย 10 ล้าน ของคุณ มนตรี แสวงเดชา
เลยหยิบมาอ่านใหม่อีกรอบ
ขอบคุณครับคุณ L
-
- Verified User
- โพสต์: 200
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
โพสต์ที่ 184
ผลตอบแทน VS ระยะเวลา (1)
คาดหวังผลตอบแทนแค่ไหนดี?
แน่นอนว่านักลงทุน VI ใหม่ๆทุกคนคาดหวังผลตอบแทนสูงๆทั้งนั้นครับ ผมเองก็ด้วย
แล้วผลตอบแทนจากการลงทุนมาจากไหนกัน
ถ้าการซื้อหุ้นคือการลงทุนในธุรกิจ ผลตอบแทนจากการลงทุนก็ต้องมาจากผลกำไรของธุรกิจ
แล้วเราควรคาดหวังผลกำไรจากธุรกิจแค่ไหน
มีการสำรวจว่า โดยทั่วไปธุรกิจใหญ่ๆที่ดีมีความสามารถเหนือคู่แข่ง ในระยะยาวแล้ว (เช่น 10-20 ปี)
สามารถทำผลกำไรให้เติบโตได้ 10-15% ต่อปี
ดังนั้นสำหรับนักลงทุนระยะยาวๆแล้ว ควรคาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนไม่เกิน 15% ต่อปีก็พอแล้วครับ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นของการลงทุนที่พอร์ตไม่ได้ใหญ่มากนัก เราอาจจะทำผลตอบแทนให้สูงกว่านี้ได้ เช่น
การซื้อหุ้นเมื่อราคาต่ำกว่ามูลค่าแล้วขายเมื่อราคาสูงกว่าหรือเข้าใกล้มูลค่า
หรือการซื้อธุรกิจในช่วงที่กำลังเติบโตมากในช่วงต้นและขายเมื่อถึงจุดอิ่มตัว
หรือการหาโอกาสในสถานการณ์พิเศษต่างๆ และอื่นๆ
แต่ข้อควรระวังคือ อย่าเพิ่มความเสี่ยงเพียงเพื่อจะหวังผลตอบแทนสูงๆ
สำหรับเรื่องทั่วไป เรารู้ว่า ถ้าเราเพิ่มความพยายามเข้าไปอีก เราจะต้องได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นตามความพยายามของเรา
แต่การลงทุนเป็นเรื่องที่แปลก มันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น บางเรื่องถ้าเราไม่รู้จริง (แต่กลับคิดว่าเรารู้จริง)
ความพยายามที่ใส่เพิ่มเข้าไปนั้น แทนที่ผลตอบแทนจะเพิ่มขึ้นมันอาจจะลดลงมากกว่า
การลงทุนที่ถ้าพลาดแล้วจะเสียหายหนักต้องพึงหลีกเลี่ยง ถึงแม้ว่าถ้าสำเร็จจะได้กำไรสูงๆก็ตาม
แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องไม่เสี่ยงอะไรเลย
นโยบายของผมก็คือ เมื่อคิดจะเสี่ยง ถ้าพลาดเราต้องไม่เสียหายมากนัก แต่ถ้าสำเร็จต้องได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ
เหมือนที่นักลงทุนดันโดกล่าวไว้ ออกหัวผมได้เงิน ออกก้อยผมเสียเงินนิดหน่อย
หรือที่พี่นักลงทุน VI ท่านนึงว่าไว้ ผมชอบการลงทุนที่มี Potential Loss น้อยๆ มี Upside Gain สูงๆ
สรุปคือ เราก็ทำตามความสามารถที่เรามีอยู่ ได้ผลแค่ไหนก็ต้องยอมรับ และอย่าหวังผลเลิศเกินไป
การลงทุนเป็นการแข่งกับตัวเอง ไม่ได้แข่งกับคนอื่น อย่าคาดหวังว่าเราจะต้องทำผลตอบแทนให้สูงๆเท่านั้นเท่านี้
จนทำให้เราต้องทำอะไรเสี่ยงๆโดยไม่จำเป็น เครียดขนาดนั้น มันไม่มีความสุขหรอกครับ
ผมว่านักลงทุนระยะยาวที่ดี ต้องสบายๆ ต้องมีความสุขระหว่างทางด้วยครับ
เหมือนเคยได้ยินว่า ถ้าเราลงทุนตามหลักที่ถูกต้อง เราทำเหตุที่ดี แต่อย่าคาดหวังผล แล้วผลลัพธ์ที่ดีจะตามมาเอง
แต่ถ้าเรามัวแต่จะหวังที่ผล ผลลัพธ์มักจะออกมาไม่ดี
สำหรับผมเองถึงเพิ่งจะผ่านปี 2009 ที่ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนสูงมาก แต่ก็รู้ว่า นั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนานๆๆที
สำหรับคนที่เพิ่งเข้ามาลงทุนปี 2009 อย่าคาดหวังว่า ต่อไปจะได้ผลตอบแทนสูงๆขนานนั้นครับ (ที่จริงตอนนี้ก็น่าจะพอรู้แล้ว )
ต่อจากนี้ ผมตั้งเป้าไว้ 10-15% ต่อปีก็พอใจแล้ว สำหรับเรื่องการลงทุน ตั้งความหวังไม่สูงจนเกินไปแล้วเราจะมีความสุขครับ
(อันนี้ขัดกับหลักการบริหารเลยครับ ผู้บริหารบริษัทมักจะตั้งเป้าให้สูงๆเข้าไว้ จนบางครั้งเหมือนว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้
ลูกน้องก็จะต้องพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายนั้น ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้ว(ส่วนใหญ่) จะทำไม่ได้ก็ตาม ประมาณว่า
ถึงตี(ลูกกอฟล์)ไปไม่ถึงดวงจันทร์ แต่ก็ตกอยู่ท่ามกลางดวงดาวอยู่ดี แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นผลดีต่อบริษัทครับ)
...
คาดหวังผลตอบแทนแค่ไหนดี?
แน่นอนว่านักลงทุน VI ใหม่ๆทุกคนคาดหวังผลตอบแทนสูงๆทั้งนั้นครับ ผมเองก็ด้วย
แล้วผลตอบแทนจากการลงทุนมาจากไหนกัน
ถ้าการซื้อหุ้นคือการลงทุนในธุรกิจ ผลตอบแทนจากการลงทุนก็ต้องมาจากผลกำไรของธุรกิจ
แล้วเราควรคาดหวังผลกำไรจากธุรกิจแค่ไหน
มีการสำรวจว่า โดยทั่วไปธุรกิจใหญ่ๆที่ดีมีความสามารถเหนือคู่แข่ง ในระยะยาวแล้ว (เช่น 10-20 ปี)
สามารถทำผลกำไรให้เติบโตได้ 10-15% ต่อปี
ดังนั้นสำหรับนักลงทุนระยะยาวๆแล้ว ควรคาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนไม่เกิน 15% ต่อปีก็พอแล้วครับ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นของการลงทุนที่พอร์ตไม่ได้ใหญ่มากนัก เราอาจจะทำผลตอบแทนให้สูงกว่านี้ได้ เช่น
การซื้อหุ้นเมื่อราคาต่ำกว่ามูลค่าแล้วขายเมื่อราคาสูงกว่าหรือเข้าใกล้มูลค่า
หรือการซื้อธุรกิจในช่วงที่กำลังเติบโตมากในช่วงต้นและขายเมื่อถึงจุดอิ่มตัว
หรือการหาโอกาสในสถานการณ์พิเศษต่างๆ และอื่นๆ
แต่ข้อควรระวังคือ อย่าเพิ่มความเสี่ยงเพียงเพื่อจะหวังผลตอบแทนสูงๆ
สำหรับเรื่องทั่วไป เรารู้ว่า ถ้าเราเพิ่มความพยายามเข้าไปอีก เราจะต้องได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นตามความพยายามของเรา
แต่การลงทุนเป็นเรื่องที่แปลก มันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น บางเรื่องถ้าเราไม่รู้จริง (แต่กลับคิดว่าเรารู้จริง)
ความพยายามที่ใส่เพิ่มเข้าไปนั้น แทนที่ผลตอบแทนจะเพิ่มขึ้นมันอาจจะลดลงมากกว่า
การลงทุนที่ถ้าพลาดแล้วจะเสียหายหนักต้องพึงหลีกเลี่ยง ถึงแม้ว่าถ้าสำเร็จจะได้กำไรสูงๆก็ตาม
แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องไม่เสี่ยงอะไรเลย
นโยบายของผมก็คือ เมื่อคิดจะเสี่ยง ถ้าพลาดเราต้องไม่เสียหายมากนัก แต่ถ้าสำเร็จต้องได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ
เหมือนที่นักลงทุนดันโดกล่าวไว้ ออกหัวผมได้เงิน ออกก้อยผมเสียเงินนิดหน่อย
หรือที่พี่นักลงทุน VI ท่านนึงว่าไว้ ผมชอบการลงทุนที่มี Potential Loss น้อยๆ มี Upside Gain สูงๆ
สรุปคือ เราก็ทำตามความสามารถที่เรามีอยู่ ได้ผลแค่ไหนก็ต้องยอมรับ และอย่าหวังผลเลิศเกินไป
การลงทุนเป็นการแข่งกับตัวเอง ไม่ได้แข่งกับคนอื่น อย่าคาดหวังว่าเราจะต้องทำผลตอบแทนให้สูงๆเท่านั้นเท่านี้
จนทำให้เราต้องทำอะไรเสี่ยงๆโดยไม่จำเป็น เครียดขนาดนั้น มันไม่มีความสุขหรอกครับ
ผมว่านักลงทุนระยะยาวที่ดี ต้องสบายๆ ต้องมีความสุขระหว่างทางด้วยครับ
เหมือนเคยได้ยินว่า ถ้าเราลงทุนตามหลักที่ถูกต้อง เราทำเหตุที่ดี แต่อย่าคาดหวังผล แล้วผลลัพธ์ที่ดีจะตามมาเอง
แต่ถ้าเรามัวแต่จะหวังที่ผล ผลลัพธ์มักจะออกมาไม่ดี
สำหรับผมเองถึงเพิ่งจะผ่านปี 2009 ที่ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนสูงมาก แต่ก็รู้ว่า นั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนานๆๆที
สำหรับคนที่เพิ่งเข้ามาลงทุนปี 2009 อย่าคาดหวังว่า ต่อไปจะได้ผลตอบแทนสูงๆขนานนั้นครับ (ที่จริงตอนนี้ก็น่าจะพอรู้แล้ว )
ต่อจากนี้ ผมตั้งเป้าไว้ 10-15% ต่อปีก็พอใจแล้ว สำหรับเรื่องการลงทุน ตั้งความหวังไม่สูงจนเกินไปแล้วเราจะมีความสุขครับ
(อันนี้ขัดกับหลักการบริหารเลยครับ ผู้บริหารบริษัทมักจะตั้งเป้าให้สูงๆเข้าไว้ จนบางครั้งเหมือนว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้
ลูกน้องก็จะต้องพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายนั้น ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้ว(ส่วนใหญ่) จะทำไม่ได้ก็ตาม ประมาณว่า
ถึงตี(ลูกกอฟล์)ไปไม่ถึงดวงจันทร์ แต่ก็ตกอยู่ท่ามกลางดวงดาวอยู่ดี แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นผลดีต่อบริษัทครับ)
...
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 1
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
โพสต์ที่ 186
ขอบคุณครับ
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4741
- ผู้ติดตาม: 1
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
โพสต์ที่ 187
เขียนหนังสือได้แล้วคุณ [L]
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1588
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
โพสต์ที่ 189
ขอบคุณครับ
คนรู้ไม่พูด คนพูดไม่รู้
-
- Verified User
- โพสต์: 807
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
โพสต์ที่ 191
ขอนั่งฟังด้วยคนคับ
แชร์ให้ฟังนิดนึงว่าผมเริ่มลงทุนจากหลักพันครับ หาใช่หลักหมื่นด้วยซ้ำไป 555 ฟังดูจิ๊บจ๊อยมากๆเลยเทียบคนในบอร์ดนี้ แต่ผมยึดมั่นว่า ถ้าเงินหลักพันยังทำกำไรไม่ได้ เงินหลักล้านก็คงทำไม่ได้เหมือนกัน ผมเน้นหาความรู้ และลองวิชาไปเรื่อยครับ กำไรเป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้นเอง
แชร์ให้ฟังนิดนึงว่าผมเริ่มลงทุนจากหลักพันครับ หาใช่หลักหมื่นด้วยซ้ำไป 555 ฟังดูจิ๊บจ๊อยมากๆเลยเทียบคนในบอร์ดนี้ แต่ผมยึดมั่นว่า ถ้าเงินหลักพันยังทำกำไรไม่ได้ เงินหลักล้านก็คงทำไม่ได้เหมือนกัน ผมเน้นหาความรู้ และลองวิชาไปเรื่อยครับ กำไรเป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้นเอง
อย่ายอมแพ้
-
- Verified User
- โพสต์: 200
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
โพสต์ที่ 192
ผลตอบแทน VS ระยะเวลา (2)
ต้องลงทุนนานแค่ไหน?
สำหรับนักลงทุนพันธุ์แท้คงไม่ต้องถามคำถามนี้แล้ว เพราะ ถึงแม้จะมีอิสรภาพทางการเงินแล้วVI หลายคนก็อยากที่จะลงทุนตลอดชีวิต
แต่สำหรับมือใหม่แบบผม ก็เคยบ่นในใจเหมือนกันว่า ต้องลงทุนอีกนานแค่ไหนกว่าจะรวยซะที ?
เพื่อความสบายใจ สำหรับผมเลยคิดแบบนี้ครับ
เจ้าของกิจการใช้เวลานานเท่าไร กว่าจะค่อยๆสร้างธุรกิจมารวยได้
เราซึ่งเป็นเพียงนักลงทุนก็คงใช้เวลาไม่ต่างจากนั้น กว่าจะค่อยๆสร้างพอร์ตมารวยได้เช่นกัน
ดังนั้น อย่าคาดหวังว่าการเป็น VI จะทำให้เรารวยได้เร็วๆ การลงทุนต้องใช้เวลา ต้องยอมรับความจริงข้อนี้
สรุปคือ ต้องเตรียมใจตั้งแต่ต้นเลยว่า เรายังต้องลงทุนอีกนานเป็นสิบๆปี อาจตลอดชีวิต (ถ้าไม่ตายซะก่อนนะ :) )
จะรวยเร็วหรือรวยช้า ก็ไม่เกี่ยง เพราะยังไงสุดท้ายแล้วก็รวยอยู่ดี :8)
ระยะเวลาลงทุนสำคัญแค่ไหน?
ที่จริงผมคิดว่า ระยะเวลาลงทุนและความสม่ำเสมอ สำคัญกว่า ผลตอบแทนสูงๆซะอีก
เพราะถึงแม้ว่าเราจะได้ผลตอบแทนที่ใครๆก็คิดว่างั้นๆ เช่น 10-15% ต่อปี แต่ถ้าระยะเวลาลงทุนยาวพอเราก็รวยได้
ในทางกลับกัน การได้ผลตอบแทนสูงๆแค่ครั้งสองครั้ง ไม่สามารถทำให้รวยได้
หลังจากเริ่มลงทุนมาได้สัก 2 ปี รู้สึกว่าพอร์ตยังเล็ก (โตช้าไม่ทันใจวัยโจ๋เลย )
เลยคิดว่า เราควร "พยายามเร่งความเร็ว" ทำผลตอบแทนให้สูงขึ้นกว่านี้อีกดีมั้ย?
ผมเลยลองคำนวณดูเล่นๆว่า ถ้าทำผลตอบแทนได้ 15% ต่อปี
จะมีอิสรภาพทางการเงินได้ในอีกกี่ปี (สมมุติตั้งเป้าไว้ 40 ล้านบาท)
แล้วเปรียบเทียบกับ
ถ้าทำผลตอบแทนได้ 30% ต่อปีล่ะ (ซึ่งถือว่าสูงมากสำหรับผม) จะมีอิสรภาพทางการเงินได้ในอีกกี่ปี
(อันนี้อย่าเอาไปเทียบกับเซียนๆ ทั้งหลายใน thaivi ที่ทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้ 50-100% ต่อปีทบต้นนะครับ
นั่นเป็นสามารถเฉพาะตัวห้ามลอกเลียนแบบครับ สำหรับเทพเท่านั้น
ส่วนผมคนธรรมดาเดินดิน 30% นี่ก็โอ มากๆ แล้วครับ :oops: )
ผลปรากฏว่า การทำผลตอบแทนได้ 30% จะทำให้ได้อิสรภาพทางการเงินเร็วกว่าเดิมแค่ 5-6 ปี เท่านั้น
(อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวแปรของแต่ละคนด้วย เช่น เงินทุนเริ่มต้น เงินออมแต่ละเดือน การขึ้นเงินเดือน ...เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม สำหรับพนักงานระดับกลางๆผลที่ออกมาก็คงไม่ต่างจากนี้มากนัก...)
ซึ่งผมไม่เห็นความแตกต่าง ระหว่างคนที่รวยตอนอายุ 40 กับคนที่รวยตอนอายุ 45 เพราะยังไงก็ต้องอีกนานทั้งคู่อยู่ดี :(
เมื่อคิดได้แบบนี้ ก็ทำให้ความโลภอยากจะทำผลตอบแทนสูงๆรวยเร็วๆลดลงไปเยอะเลยครับ
(แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ห้ามได้ผลตอบแทนสูงๆนะครับ แต่เราจะมีอารมณ์โลภน้อยลงและลงทุนไปตามเหตุผลได้มากขึ้น
จังหวะไหนควรเร่งก็เร่งได้ จังหวะไหนไม่ควรเร่งก็อย่าเร่ง)
เปรียบเหมือนการวิ่งมาราธอนที่มีกติกาว่า ถ้าใครถึงเส้นชัยได้ไม่ว่าก่อนหรือหลัง จะได้เหรียญทองทุกคน
ดังนั้น เราก็วิ่งๆเดินๆเรื่อยๆไปตามกำลังที่มี เราไม่จำเป็นต้อง "พยายามเร่งความเร็ว" วิ่งจนเหนื่อยหอบเพื่อแข่งกับใคร
ถึงช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ล้มเลิกออกไปกลางทางซะก่อน ก็ถึงเส้นชัยได้เหมือนกัน
ส่วนใครจะถึงเส้นชัยได้เร็ว ก็เป็นเรื่องของแต่ละคน แต่ละคนขาแข็งแรง ปอดแข็งแรงไม่เหมือนกัน
สรุปคือ ขอให้เราลงทุนไปเถอะครับ ใหม่ๆก็ต้องอดทนกันทุกคน ถึงเพิ่งจะเริ่มต้น ถึงจะไม่ได้เก่งอะไรมากมาย
แต่ถ้าเรายึดมั่นในหลักการที่ถูกต้องแล้ว เราอยู่ในเกมส์นานพอ สะสมไปเรื่อยๆไม่ล้มเลิกออกไปกลางทางซะก่อน
ในที่สุดก็ถึงจุดหมายปลายทางได้ทุกคนล่ะครับ
...
ต้องลงทุนนานแค่ไหน?
สำหรับนักลงทุนพันธุ์แท้คงไม่ต้องถามคำถามนี้แล้ว เพราะ ถึงแม้จะมีอิสรภาพทางการเงินแล้วVI หลายคนก็อยากที่จะลงทุนตลอดชีวิต
แต่สำหรับมือใหม่แบบผม ก็เคยบ่นในใจเหมือนกันว่า ต้องลงทุนอีกนานแค่ไหนกว่าจะรวยซะที ?
เพื่อความสบายใจ สำหรับผมเลยคิดแบบนี้ครับ
เจ้าของกิจการใช้เวลานานเท่าไร กว่าจะค่อยๆสร้างธุรกิจมารวยได้
เราซึ่งเป็นเพียงนักลงทุนก็คงใช้เวลาไม่ต่างจากนั้น กว่าจะค่อยๆสร้างพอร์ตมารวยได้เช่นกัน
ดังนั้น อย่าคาดหวังว่าการเป็น VI จะทำให้เรารวยได้เร็วๆ การลงทุนต้องใช้เวลา ต้องยอมรับความจริงข้อนี้
สรุปคือ ต้องเตรียมใจตั้งแต่ต้นเลยว่า เรายังต้องลงทุนอีกนานเป็นสิบๆปี อาจตลอดชีวิต (ถ้าไม่ตายซะก่อนนะ :) )
จะรวยเร็วหรือรวยช้า ก็ไม่เกี่ยง เพราะยังไงสุดท้ายแล้วก็รวยอยู่ดี :8)
ระยะเวลาลงทุนสำคัญแค่ไหน?
ที่จริงผมคิดว่า ระยะเวลาลงทุนและความสม่ำเสมอ สำคัญกว่า ผลตอบแทนสูงๆซะอีก
เพราะถึงแม้ว่าเราจะได้ผลตอบแทนที่ใครๆก็คิดว่างั้นๆ เช่น 10-15% ต่อปี แต่ถ้าระยะเวลาลงทุนยาวพอเราก็รวยได้
ในทางกลับกัน การได้ผลตอบแทนสูงๆแค่ครั้งสองครั้ง ไม่สามารถทำให้รวยได้
หลังจากเริ่มลงทุนมาได้สัก 2 ปี รู้สึกว่าพอร์ตยังเล็ก (โตช้าไม่ทันใจวัยโจ๋เลย )
เลยคิดว่า เราควร "พยายามเร่งความเร็ว" ทำผลตอบแทนให้สูงขึ้นกว่านี้อีกดีมั้ย?
ผมเลยลองคำนวณดูเล่นๆว่า ถ้าทำผลตอบแทนได้ 15% ต่อปี
จะมีอิสรภาพทางการเงินได้ในอีกกี่ปี (สมมุติตั้งเป้าไว้ 40 ล้านบาท)
แล้วเปรียบเทียบกับ
ถ้าทำผลตอบแทนได้ 30% ต่อปีล่ะ (ซึ่งถือว่าสูงมากสำหรับผม) จะมีอิสรภาพทางการเงินได้ในอีกกี่ปี
(อันนี้อย่าเอาไปเทียบกับเซียนๆ ทั้งหลายใน thaivi ที่ทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้ 50-100% ต่อปีทบต้นนะครับ
นั่นเป็นสามารถเฉพาะตัวห้ามลอกเลียนแบบครับ สำหรับเทพเท่านั้น
ส่วนผมคนธรรมดาเดินดิน 30% นี่ก็โอ มากๆ แล้วครับ :oops: )
ผลปรากฏว่า การทำผลตอบแทนได้ 30% จะทำให้ได้อิสรภาพทางการเงินเร็วกว่าเดิมแค่ 5-6 ปี เท่านั้น
(อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวแปรของแต่ละคนด้วย เช่น เงินทุนเริ่มต้น เงินออมแต่ละเดือน การขึ้นเงินเดือน ...เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม สำหรับพนักงานระดับกลางๆผลที่ออกมาก็คงไม่ต่างจากนี้มากนัก...)
ซึ่งผมไม่เห็นความแตกต่าง ระหว่างคนที่รวยตอนอายุ 40 กับคนที่รวยตอนอายุ 45 เพราะยังไงก็ต้องอีกนานทั้งคู่อยู่ดี :(
เมื่อคิดได้แบบนี้ ก็ทำให้ความโลภอยากจะทำผลตอบแทนสูงๆรวยเร็วๆลดลงไปเยอะเลยครับ
(แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ห้ามได้ผลตอบแทนสูงๆนะครับ แต่เราจะมีอารมณ์โลภน้อยลงและลงทุนไปตามเหตุผลได้มากขึ้น
จังหวะไหนควรเร่งก็เร่งได้ จังหวะไหนไม่ควรเร่งก็อย่าเร่ง)
เปรียบเหมือนการวิ่งมาราธอนที่มีกติกาว่า ถ้าใครถึงเส้นชัยได้ไม่ว่าก่อนหรือหลัง จะได้เหรียญทองทุกคน
ดังนั้น เราก็วิ่งๆเดินๆเรื่อยๆไปตามกำลังที่มี เราไม่จำเป็นต้อง "พยายามเร่งความเร็ว" วิ่งจนเหนื่อยหอบเพื่อแข่งกับใคร
ถึงช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ล้มเลิกออกไปกลางทางซะก่อน ก็ถึงเส้นชัยได้เหมือนกัน
ส่วนใครจะถึงเส้นชัยได้เร็ว ก็เป็นเรื่องของแต่ละคน แต่ละคนขาแข็งแรง ปอดแข็งแรงไม่เหมือนกัน
สรุปคือ ขอให้เราลงทุนไปเถอะครับ ใหม่ๆก็ต้องอดทนกันทุกคน ถึงเพิ่งจะเริ่มต้น ถึงจะไม่ได้เก่งอะไรมากมาย
แต่ถ้าเรายึดมั่นในหลักการที่ถูกต้องแล้ว เราอยู่ในเกมส์นานพอ สะสมไปเรื่อยๆไม่ล้มเลิกออกไปกลางทางซะก่อน
ในที่สุดก็ถึงจุดหมายปลายทางได้ทุกคนล่ะครับ
...
-
- Verified User
- โพสต์: 200
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
โพสต์ที่ 193
ไม่มีฝีมือเลย ลงทุนได้ไหม?
(ขอพูดถึงหัวข้อนี้หน่อย ถึงแม้ไม่ค่อยเกี่ยวกับชาว VI เท่าไหร่ แต่เพื่อนๆผมส่วนมากก็ยังเป็นชาวฝากเงินอยู่เลย
และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่พนักงานทุกคนต้องมี ผมก็ทำใจไว้แล้วว่า "ไม่มีฝีมือ" แน่เลย )
เคยได้ยินว่า เวลาช่วยเยียวยาได้ทุกโรค นี่ก็น่าจะด้วยเช่นกัน
เพราะฝีมือไม่ใช่ทั้งหมดของการลงทุนต่อให้เราวิเคราะห์หุ้นไม่เป็นเลย ถ้าเวลานานพอ ลงทุนในกองทุนหุ้นดัชนีก็รวยได้
(แต่ไม่รู้ว่าดัชนีประเทศไหนนะ อาจจะไม่ใช่ดัชนีหุ้นไทยก็ได้ :twisted: อันนี้ล้อเล่นนะ 555 :lol: )
ขอแค่มีความศรัทธาในการลงทุนระยะยาวในหุ้นก็สร้างความแตกต่างจากคนฝากเงินทั่วไปอย่างมหาศาลแล้ว
แต่คนส่วนใหญ่กลับไม่กล้าลงทุนหุ้นเพราะกลัวความเสี่ยง กลัวหุ้นตก เพราะชอบมองแต่ระยะสั้นครับ
เลยออมเงินไว้กับธนาคารเป็นส่วนใหญ่ หรืออย่างเก่งก็ซื้อกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น (ปัจจุบันดอกเบี้ยอยู่ที่ 1-2% ต่อปี)
โดยไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังทำตัวเองให้เสี่ยงอยู่...จากเงินเฟ้อ บางคนอาจไม่เห็นความสำคัญเพราะปีต่อปีมันไม่ค่อยรู้สึกอะไร
เหมือนกบที่อยู่ในหม้อน้ำแล้วค่อยๆถูกต้มอย่างช้าๆๆ กว่าจะรู้ตัว ก็สายเสียแล้ว :( (ฟังดูน่ากลัวเหมือนกันแหะ)
แต่ถ้าลองมองยาวๆ...สมัยรุ่นพ่อยังเด็ก ก๋วยเตี๋ยว/ข้าวแกงชามละ 1 บาท ต่อมาตอนผมเป็นเด็กจำได้ว่า 10-15 บาท ต่อมาอีกหน่อย 20-25 บาท
ต่อมาอีก 25-30 บ จนปัจจุบันผมว่าผมเห็น 35-40 บาทแล้ว เดาว่าต่อไปรุ่นลูกได้กินชามละ 100 บาทแน่ confirm! :twisted:
แบบนี้ ถ้าเอาแต่ฝากเงินกินดอกเบี้ยอย่างเดียว ตอนเกษียณ ชีวิตคงไม่สดใสเป็นแน่
(อีกอย่างผมเดาว่า ต่อไปอาจจะไม่ได้เห็นดอกเบี้ยออมทรัพย์ระดับ 10% ต่อปี อีกเลยก็ได้)
เห็นแบบนี้แล้ว ผมนึกไม่ออกเลยว่า ถ้าไม่ลงทุนในหุ้นแล้วต่อไปจะอยู่ได้ยังไง :?
ผมมองว่าการออมเงินยามเกษียณหรือการลงทุนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ก็คือการลงทุนระยะยาว 30 ปี แล้วทำไมเราต้องมากังวลด้วยว่า
หุ้นจะตกในเดือนนี้เดือนหน้าหรือแม้กระทั่งปีหน้าด้วยล่ะ
เพราะต่อให้เริ่มต้นไม่ดี และดูเหมือนว่าหุ้นจะเสียเปรียบ แต่สุดท้ายแล้วหุ้นก็ยังชนะอยู่ดี ยกตัวอย่าง
ถ้าสมมุติผมเริ่มลงทุนตอนต้นปี 2008 ก่อนเกิดวิกฤต ลงทุนเท่าๆกันทุกๆเดือนโดยหักจากเงินเดือน พอเกิดวิกฤตหุ้นตกหนัก
ผมต้องขาดทุนแน่นอน ขาดทุนมากด้วย :vm: คนที่เลือกลงทุนตราสารหนี้อาจจะเป็นผู้ชนะในตอนนั้น แต่หลังจากนั้น
พอหุ้นฟื้นขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะยังไม่เท่ากับตอนก่อนเกิดวิกฤต ผมก็ยังได้กำไร (เนื่องจากต้นทุนเฉลี่ยจะต่ำลงเรื่อยๆ)
กำไรมากกว่าคนที่ฝากเงินหรือลงทุนตราสารหนี้(ระยะสั้น)ตั้งเยอะ
(ที่จริงผมว่าหุ้นยังขึ้นเร็วไปด้วยซ้ำ ถ้ารออีกซัก 5 ปีค่อยขึ้น ผมคงรวยขึ้นกว่านี้อีกเยอะทีเดียว :) )
บางคนอาจจะคิดว่า ทำไมเราไม่สลับไปสลับมาระหว่างหุ้นกับตราสารหนี้ล่ะ ตอนหุ้นจะตกเราก็เปลี่ยนไปถือตราสารหนี้ก่อน
แล้วพอตอนหุ้นจะขึ้นเราก็ค่อยเปลี่ยนมาถือหุ้น แบบนี้มันไม่ดีกว่าหรือ
ที่พูดมาดูเหมือนจะง่าย แต่รู้มั้ยว่าปี 2009 มีคน ตกรถไฟ มากแค่ไหน
ขนาด มืออาชีพ ก็ไม่เว้น ถ้าผมจำไม่ผิด ในปี 2009 กองทุนรวมหุ้นส่วนใหญ่ (เดาว่าประมาณ 90%) ก็แพ้ดัชนี
(เรื่องการสลับระหว่างหุ้นกับตราสารหนี้ Graham บอกให้ดูปันผลเทียบกับดอกเบี้ย แทนที่จะจับจังหวะตลาดจากข้อมูลเศรษฐกิจ)
คงเคยได้ยินว่า ชนะในสนามรบย่อย แต่แพ้ในสงครามหลัก ถ้าคิดเป็นสงครามระหว่าง ชาวหุ้น กับ ชาวฝาก
ในระหว่างสู้รบ บางครั้งคนลงทุนตราสารหนี้หรือคนฝากเงินอาจดูเหมือนเป็นฝ่ายชนะ
หรือต่อให้ตลาดหุ้นตกต่ำเป็น 10 ปีก็ไม่เป็นไร แค่ขอให้ปีสุดท้ายตลาดหุ้นฟื้นตัวขึ้นมา
แค่เพียงปีเดียวก็เพียงพอแล้วที่ ชาวหุ้น จะชนะขาดในสงครามครั้งนี้
ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ก็เพื่อให้เห็นถึงอันตรายจากเงินเฟ้อ และความไม่สมเหตุสมผลของ "การฝากเงินเพื่อการเกษียณ"
เผื่อจะมีใครที่ยังฝากเงินอยู่เปลี่ยนใจมาลงทุนหุ้นบ้างก็ยังดีครับ :D
...
ปล. เกือบลืม ยังไงก็ตาม หลังจากเชียร์หุ้น ต้องต่อด้วยประโยคนี้ด้วยครับ
การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน :D
(ขอพูดถึงหัวข้อนี้หน่อย ถึงแม้ไม่ค่อยเกี่ยวกับชาว VI เท่าไหร่ แต่เพื่อนๆผมส่วนมากก็ยังเป็นชาวฝากเงินอยู่เลย
และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่พนักงานทุกคนต้องมี ผมก็ทำใจไว้แล้วว่า "ไม่มีฝีมือ" แน่เลย )
เคยได้ยินว่า เวลาช่วยเยียวยาได้ทุกโรค นี่ก็น่าจะด้วยเช่นกัน
เพราะฝีมือไม่ใช่ทั้งหมดของการลงทุนต่อให้เราวิเคราะห์หุ้นไม่เป็นเลย ถ้าเวลานานพอ ลงทุนในกองทุนหุ้นดัชนีก็รวยได้
(แต่ไม่รู้ว่าดัชนีประเทศไหนนะ อาจจะไม่ใช่ดัชนีหุ้นไทยก็ได้ :twisted: อันนี้ล้อเล่นนะ 555 :lol: )
ขอแค่มีความศรัทธาในการลงทุนระยะยาวในหุ้นก็สร้างความแตกต่างจากคนฝากเงินทั่วไปอย่างมหาศาลแล้ว
แต่คนส่วนใหญ่กลับไม่กล้าลงทุนหุ้นเพราะกลัวความเสี่ยง กลัวหุ้นตก เพราะชอบมองแต่ระยะสั้นครับ
เลยออมเงินไว้กับธนาคารเป็นส่วนใหญ่ หรืออย่างเก่งก็ซื้อกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น (ปัจจุบันดอกเบี้ยอยู่ที่ 1-2% ต่อปี)
โดยไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังทำตัวเองให้เสี่ยงอยู่...จากเงินเฟ้อ บางคนอาจไม่เห็นความสำคัญเพราะปีต่อปีมันไม่ค่อยรู้สึกอะไร
เหมือนกบที่อยู่ในหม้อน้ำแล้วค่อยๆถูกต้มอย่างช้าๆๆ กว่าจะรู้ตัว ก็สายเสียแล้ว :( (ฟังดูน่ากลัวเหมือนกันแหะ)
แต่ถ้าลองมองยาวๆ...สมัยรุ่นพ่อยังเด็ก ก๋วยเตี๋ยว/ข้าวแกงชามละ 1 บาท ต่อมาตอนผมเป็นเด็กจำได้ว่า 10-15 บาท ต่อมาอีกหน่อย 20-25 บาท
ต่อมาอีก 25-30 บ จนปัจจุบันผมว่าผมเห็น 35-40 บาทแล้ว เดาว่าต่อไปรุ่นลูกได้กินชามละ 100 บาทแน่ confirm! :twisted:
แบบนี้ ถ้าเอาแต่ฝากเงินกินดอกเบี้ยอย่างเดียว ตอนเกษียณ ชีวิตคงไม่สดใสเป็นแน่
(อีกอย่างผมเดาว่า ต่อไปอาจจะไม่ได้เห็นดอกเบี้ยออมทรัพย์ระดับ 10% ต่อปี อีกเลยก็ได้)
เห็นแบบนี้แล้ว ผมนึกไม่ออกเลยว่า ถ้าไม่ลงทุนในหุ้นแล้วต่อไปจะอยู่ได้ยังไง :?
ผมมองว่าการออมเงินยามเกษียณหรือการลงทุนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ก็คือการลงทุนระยะยาว 30 ปี แล้วทำไมเราต้องมากังวลด้วยว่า
หุ้นจะตกในเดือนนี้เดือนหน้าหรือแม้กระทั่งปีหน้าด้วยล่ะ
เพราะต่อให้เริ่มต้นไม่ดี และดูเหมือนว่าหุ้นจะเสียเปรียบ แต่สุดท้ายแล้วหุ้นก็ยังชนะอยู่ดี ยกตัวอย่าง
ถ้าสมมุติผมเริ่มลงทุนตอนต้นปี 2008 ก่อนเกิดวิกฤต ลงทุนเท่าๆกันทุกๆเดือนโดยหักจากเงินเดือน พอเกิดวิกฤตหุ้นตกหนัก
ผมต้องขาดทุนแน่นอน ขาดทุนมากด้วย :vm: คนที่เลือกลงทุนตราสารหนี้อาจจะเป็นผู้ชนะในตอนนั้น แต่หลังจากนั้น
พอหุ้นฟื้นขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะยังไม่เท่ากับตอนก่อนเกิดวิกฤต ผมก็ยังได้กำไร (เนื่องจากต้นทุนเฉลี่ยจะต่ำลงเรื่อยๆ)
กำไรมากกว่าคนที่ฝากเงินหรือลงทุนตราสารหนี้(ระยะสั้น)ตั้งเยอะ
(ที่จริงผมว่าหุ้นยังขึ้นเร็วไปด้วยซ้ำ ถ้ารออีกซัก 5 ปีค่อยขึ้น ผมคงรวยขึ้นกว่านี้อีกเยอะทีเดียว :) )
บางคนอาจจะคิดว่า ทำไมเราไม่สลับไปสลับมาระหว่างหุ้นกับตราสารหนี้ล่ะ ตอนหุ้นจะตกเราก็เปลี่ยนไปถือตราสารหนี้ก่อน
แล้วพอตอนหุ้นจะขึ้นเราก็ค่อยเปลี่ยนมาถือหุ้น แบบนี้มันไม่ดีกว่าหรือ
ที่พูดมาดูเหมือนจะง่าย แต่รู้มั้ยว่าปี 2009 มีคน ตกรถไฟ มากแค่ไหน
ขนาด มืออาชีพ ก็ไม่เว้น ถ้าผมจำไม่ผิด ในปี 2009 กองทุนรวมหุ้นส่วนใหญ่ (เดาว่าประมาณ 90%) ก็แพ้ดัชนี
(เรื่องการสลับระหว่างหุ้นกับตราสารหนี้ Graham บอกให้ดูปันผลเทียบกับดอกเบี้ย แทนที่จะจับจังหวะตลาดจากข้อมูลเศรษฐกิจ)
คงเคยได้ยินว่า ชนะในสนามรบย่อย แต่แพ้ในสงครามหลัก ถ้าคิดเป็นสงครามระหว่าง ชาวหุ้น กับ ชาวฝาก
ในระหว่างสู้รบ บางครั้งคนลงทุนตราสารหนี้หรือคนฝากเงินอาจดูเหมือนเป็นฝ่ายชนะ
หรือต่อให้ตลาดหุ้นตกต่ำเป็น 10 ปีก็ไม่เป็นไร แค่ขอให้ปีสุดท้ายตลาดหุ้นฟื้นตัวขึ้นมา
แค่เพียงปีเดียวก็เพียงพอแล้วที่ ชาวหุ้น จะชนะขาดในสงครามครั้งนี้
ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ก็เพื่อให้เห็นถึงอันตรายจากเงินเฟ้อ และความไม่สมเหตุสมผลของ "การฝากเงินเพื่อการเกษียณ"
เผื่อจะมีใครที่ยังฝากเงินอยู่เปลี่ยนใจมาลงทุนหุ้นบ้างก็ยังดีครับ :D
...
ปล. เกือบลืม ยังไงก็ตาม หลังจากเชียร์หุ้น ต้องต่อด้วยประโยคนี้ด้วยครับ
การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน :D
-
- Verified User
- โพสต์: 1598
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
โพสต์ที่ 194
คุณ [L] มีมุมมองในการลงทุนที่ดีจังครับ
ถ้าเป็นนักกีฬาก็คงฝึกซ้อมต้องแต่อายุยังน้อย
นับถือ นับถือ
ถ้าเป็นนักกีฬาก็คงฝึกซ้อมต้องแต่อายุยังน้อย
นับถือ นับถือ
อย่ามัวติดกับเรื่องในอดีต กังวลกับเรื่องในอนาคต จนลืมว่าปัจจุบันต้องทำอะไร
-
- Verified User
- โพสต์: 280
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
โพสต์ที่ 195
ชอบประโยคนี้จากคุณ L มากเลยครับ
มีเป้าหมายของเรา แล้วแข่งกับตัวเองให้ถึงเป้าหมายนั้น
ช้าหรือเร็ว มันก็คือความสำเร็จจากตัวของเรา น่าภูมิใจมากๆ
ขอบคุณมากครับสำหรับข้อคิดดีๆ จะรอติดตามอ่านต่อไปนะครับ
คิดเหมือนกันเลย ทุกสิ่งที่อย่างไม่ต้องไปเปรียบเทียบหรือแข่งกับใคร"เปรียบเหมือนการวิ่งมาราธอนที่มีกติกาว่า ถ้าใครถึงเส้นชัยได้ไม่ว่าก่อนหรือหลัง จะได้เหรียญทองทุกคน
ดังนั้น เราก็วิ่งๆเดินๆเรื่อยๆไปตามกำลังที่มี เราไม่จำเป็นต้อง "พยายามเร่งความเร็ว" วิ่งจนเหนื่อยหอบเพื่อแข่งกับใคร
ถึงช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ล้มเลิกออกไปกลางทางซะก่อน ก็ถึงเส้นชัยได้เหมือนกัน
ส่วนใครจะถึงเส้นชัยได้เร็ว ก็เป็นเรื่องของแต่ละคน แต่ละคนขาแข็งแรง ปอดแข็งแรงไม่เหมือนกัน"
มีเป้าหมายของเรา แล้วแข่งกับตัวเองให้ถึงเป้าหมายนั้น
ช้าหรือเร็ว มันก็คือความสำเร็จจากตัวของเรา น่าภูมิใจมากๆ
ขอบคุณมากครับสำหรับข้อคิดดีๆ จะรอติดตามอ่านต่อไปนะครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1588
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
โพสต์ที่ 196
ขอบคุณครับ
คนรู้ไม่พูด คนพูดไม่รู้
- sai
- Verified User
- โพสต์: 4090
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
โพสต์ที่ 200
อ่านวนไปวนมาหลายรอบเลยครับ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมฟู ถึงเป็นอีกหนึ่งคนที่ประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม ของจริงเลยครับ ไม่ใช่โชคและจังหวะเลย ฝีมือล้วนล้วนครับ นึกย้อนกลับไปตอนที่เริ่มทำงานใหม่ใหม่ เจ้านายผมเคยสอนผมว่าความสำเร็จในชีวิตการงานประกอบด้วย ทัศนคติในการทำงาน 80 % และ วิธีการทำงานอีก 20 % มาเทียบดูการลงทุนคงไม่ต่างกันนัก ดูจากสิ่งที่ฟูเป็นแล้วต้องยืนยันเลยครับว่า ฟูเป็นคนที่มีทัศนคติต่อการลงทุนเยี่ยมจริงจริง (การเขียนบทความออกมาได้อย่างนี้แสดงว่ากลั่นกรองมาจากสมองส่วนลึกที่เป็นที่มาของ ทัศนคติเลยทีเดียว ) ขอบคุณอีกครั้งครับ ที่มาเล่าประสบการณ์สอนน้องน้องใหม่ใหม่ครับ หลายคนอ่านแล้วคงคิดว่าสิ่งที่คุณฟูนำมาแบ่งปันเป็นสิ่งที่ดี แต่สำหรับผมแล้วไม่จัดว่าเป็นสิ่งที่ดีครับ แต่จัดเป็นสิ่งที่ดีเยี่ยมเลยต่างหากครับ :lol:
Small Details Make a Big Difference
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1588
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
โพสต์ที่ 201
ขอบคุณครับ :D
คนรู้ไม่พูด คนพูดไม่รู้
- OutOfMyMind
- Verified User
- โพสต์: 1242
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
โพสต์ที่ 206
ขอบคุณ คุณ L มากครับ ได้เรียนรู้จากแง่คิดมาก ๆ เลย
บทความดีดีสำหรับนักลงทุนเน้นคุณค่า
https://www.facebook.com/OutOfMyMindOnValueInvestment
https://www.facebook.com/OutOfMyMindOnValueInvestment
- Lu Xun
- Verified User
- โพสต์: 242
- ผู้ติดตาม: 0
- nanoVI
- Verified User
- โพสต์: 487
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
โพสต์ที่ 208
ขอบคุณมากมาย กับแนวคิดสาระที่เป็นประโยชน์
ขอบคุณเป็นที่สุด สำหรับการเสียสละ ถ่ายทอดความรู้ และประสบการณ์ ให้ผู้รู้น้อย ได้มีโอกาสเป็นผู้รู้มากขึ้นอีกนิดก็ยังดี
:D ขอบคุณยอดฝีมือ รวยน้ำใจทุกๆท่านครับ สุขสันต์วันตรุษจีนแห่งความรักนะครับ:D :D
ขอบคุณเป็นที่สุด สำหรับการเสียสละ ถ่ายทอดความรู้ และประสบการณ์ ให้ผู้รู้น้อย ได้มีโอกาสเป็นผู้รู้มากขึ้นอีกนิดก็ยังดี
:D ขอบคุณยอดฝีมือ รวยน้ำใจทุกๆท่านครับ สุขสันต์วันตรุษจีนแห่งความรักนะครับ:D :D
-
- Verified User
- โพสต์: 200
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
โพสต์ที่ 209
ผมขอแนะนำงานสัมมนาที่น่าสนใจ พูดถึงแนวการลงทุนที่ดีมาก คิดว่า VI ส่วนใหญ่สามารถนำไปใช้ได้
และเป็นแนวทางที่ควรศึกษาไว้ครับ
เนื้อหาที่นำมาโพสนี้อาจไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่คิดว่าเพียงพอ (ช่วงแรกๆผมไปสายนิดหน่อยครับ :oops: )
บางคำพูดอาจไม่เหมือนเปะๆแต่ก็น่าจะใกล้เคียงและคิดว่าใจความหลักยังคงเดิม
ผมขออนุญาตและขอบคุณ อ.นิเวศน์ มา ณ ที่นี้ด้วยครับ
งาน Shareholder Day at เอสพลานาด
โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 25-08-2007
ชีวิตนี้ต้องการหุ้นที่ยอดเยี่ยม เจ๋งๆ แค่ 10 บริษัทก็พอแล้ว 2 ปีเจอตัวก็ไม่เป็นไร ขอให้ถูกตัวละกัน
บางทีหุ้นดี แต่เราซื้อตอนมันขึ้นพรวด แล้วต่อมามันลง เราอาจคิดว่ามันไม่ดีแล้ว ทำให้ขายทิ้งไป
หรือถ้าเราซื้อหุ้นโดยไม่ดูตัวเลข ใหม่ๆอาจจะขาดทุนนานพอควร อาจจะเป็นจิตวิทยา ทำให้เราขายทิ้งไป
พอตอนหลังมันกลับมา เราก็ลืมมันไปแล้ว
แต่ถ้าเราดูตัวเลข ซื้อหุ้นไปแล้วได้กำไร เราก็จะเก็บหุ้นนั้นไว้ได้
เพราะฉะนั้น ภาพใหญ่เราต้องดูว่า เราอยากเป็นเจ้าของธุรกิจนั้นรึเปล่า อย่าไปดูตลาดหุ้นมากเกินไป
วิธีการที่ง่ายและปลอดภัยและได้ผลตอบแทนดีมาก คือการลงทุนในบริษัทที่ยิ่งใหญ่ ใหญ่กว่าอันดับสองเยอะ
และเติบโตได้ และแข็งแกร่ง และเก็บไว้นานๆ
ในอดีตเมืองไทยเช่น SCC ถือเมื่อ 30 ปีก่อน กำไร 200 เท่า
ในเมืองนอกเช่น WAL-MART หรือ MICROSOFT เติบโตยาวนานมาก หลายสิบปี จนคนที่ถือรวยไปตามกัน
หุ้นพวกนี้บางทีเราคิดว่ามันเติบโตขึ้นมาหลายปี ราคาขึ้นมาพอสมควร เราคิดว่ามันคงจะหยุดแล้ว
แต่หุ้นที่เติบโตมันจะเติบโตยาวนานมาก โดยเฉพาะถ้าเรามองออก เราก็ถือมันไว้ อย่าไปสนใจอะไรมาก
ถ้ามีเงินก็เก็บเพิ่ม มีหุ้นอย่ามากเกินไป หลักๆแค่ 5-6 ตัว นี่จะเป็นโอกาสสร้างความมั่งคั่ง
บางครั้ง ซื้อหุ้นถูกตัวเดียว ชีวิตนี้ก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว
บางครั้งตัดสินใจถูกครั้งเดียวพอแล้ว อย่าไปวอกแวกมาก ว่าหุ้นตัวนู้นดี ตัวนั้นดี เพราะเราอาจจะไม่เก่งจริง
ผมเองส่วนตัวรู้สึกว่าตัวเองวิเคราะห์ไม่ค่อยเก่ง รู้สึกว่ารุ่นใหม่เก่งกว่าเราเยอะ นอกจากเก่งไม่พอแล้ว
ยังค่อนข้างขี้เกียจอีก คิดเลขก็ไม่ค่อยถูก คอมก็ใช้ไม่เป็น
มีคนมาถามว่า เลขนั้น เลขอย่างนี้เป็นไง เราก็ไม่รู้เพราะไม่เคยคิด กระแสเงินสดเป็นไง เราก็ไม่รู้
เป็นอย่างนี้จริงๆ ไม่ได้อมความรู้อะไรไว้หรอก
ผมซื้อหุ้นไม่เคยคิดตัวเลข แค่ดูเฉยๆไม่เคยเอาเครื่องคิดเลขมากดคำนวณ แค่ดูว่า กำไรเท่าไหร่ ปันผลเท่าไหร่
เรามั่นใจว่า ไม่มีวันลง มีแต่จะดีขึ้น บางทียังไม่คิดด้วยซ้ำว่า growth เท่าไหร่
เชื่อแค่ว่า กิจการจะดีขึ้นเรื่อยๆ และดียาวนาน 5 ปี 10 ปี ด้วยความเชื่อมั่นเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์
โตช้าหน่อยไม่เป็นไร ผมซื้อเลย
มีความเชื่ออย่างนึงว่า ถ้ากิจการยอดขายโตได้ 10% ต่อปีเรื่อยๆแทบไม่มีวันลงเลย นี่คือสวรรค์บอกได้เลย
ตอนเราแก่ มันทบต้นเรื่อยๆ มันจะท่วมจนเราไม่รู้จะทำไงเลย
เจอกิจการแบบนี้ ซื้อแล้วสบายใจ ไม่มีวันเครียด เพราะรู้ว่ามันจะโตขึ้นเรื่อยๆ ดีขึ้นๆ ราคาหุ้นจะลงหน่อย
จะอะไรหน่อยก็ไม่เป็นไร เพราะเราเห็นมันเปิดร้านใหม่/ขยายกิจการตลอดเวลา กำไรเพิ่ม ยอดขายเพิ่ม
เหมือนเด็กที่โต หรือเปรียบเหมือนเรากำลังเลี้ยงช้าง มันโตไปเรื่อยๆ มันไม่ได้โตเร็วนะ แต่โตตลอด
เราดูตั้งแต่วันแรก เห็นเลยว่าไอนี่มันช้าง
แต่ถ้าเราดูว่านี่คือกระต่าย เลี้ยงไว้วันแรกๆ โตเร็วมาก แต่ในที่สุดก็โตได้แค่นี้
เพราะกิจการมันเป็นกระต่าย มันจะโตไปได้ยังไง ผู้ใช้มันจำกัด
แต่กิจการช้างมันโตไปเรื่อย เพราะสิ่งที่มันทำเป็นสิ่งที่พวกเราใช้กันทั่วประเทศ แบบนี้จะโตใหญ่มาก
แต่กิจการอีกแบบ ที่คู่แข่งเยอะเหลือเกิน ไล่ๆกันมา พอโตมาหน่อย อีกคนก็จะมาแข่ง
โตไม่ได้มาก แต่ถึงจะโตก็ไม่กำไร
วิธีแบบนี้เป็นวิธีลงทุนแบบง่ายๆ สำหรับคนที่ไม่เก่ง วิเคราะห์ไม่เป็น แต่มีจิตใจที่มั่นคง ที่อยากเป็นเจ้าของธุรกิจที่ยิ่งใหญ่
และนี่ก็เป็นแนวทางการลงทุนแบบนึง ที่ไม่อาจอ้างได้ว่าดีที่สุด หรือกำไรสูงสุด แต่เป็นวิธีที่ปลอดภัยมาก
ลงทุนแล้วสบายใจ พอร์ตจะไม่มีวันลง จะโตเรื่อยๆ เป็นสิบๆปีก็ร่ำรวยและทุกคนก็ใช้ได้
เป็นพนักงานกินเงินเดือนจะร่ำรวยได้ยังไงถ้าไม่ลงทุนในหุ้น โลกสมัยใหม่นี้ทำธุรกิจมันยากมาก
ถ้าเราเพิ่งเริ่มขณะที่คนอื่นมีมานานแล้ว เราไปจอยธุรกิจที่ยิ่งใหญ่แล้วดีกว่า
และเป็นแนวทางที่ควรศึกษาไว้ครับ
เนื้อหาที่นำมาโพสนี้อาจไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่คิดว่าเพียงพอ (ช่วงแรกๆผมไปสายนิดหน่อยครับ :oops: )
บางคำพูดอาจไม่เหมือนเปะๆแต่ก็น่าจะใกล้เคียงและคิดว่าใจความหลักยังคงเดิม
ผมขออนุญาตและขอบคุณ อ.นิเวศน์ มา ณ ที่นี้ด้วยครับ
งาน Shareholder Day at เอสพลานาด
โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 25-08-2007
ชีวิตนี้ต้องการหุ้นที่ยอดเยี่ยม เจ๋งๆ แค่ 10 บริษัทก็พอแล้ว 2 ปีเจอตัวก็ไม่เป็นไร ขอให้ถูกตัวละกัน
บางทีหุ้นดี แต่เราซื้อตอนมันขึ้นพรวด แล้วต่อมามันลง เราอาจคิดว่ามันไม่ดีแล้ว ทำให้ขายทิ้งไป
หรือถ้าเราซื้อหุ้นโดยไม่ดูตัวเลข ใหม่ๆอาจจะขาดทุนนานพอควร อาจจะเป็นจิตวิทยา ทำให้เราขายทิ้งไป
พอตอนหลังมันกลับมา เราก็ลืมมันไปแล้ว
แต่ถ้าเราดูตัวเลข ซื้อหุ้นไปแล้วได้กำไร เราก็จะเก็บหุ้นนั้นไว้ได้
เพราะฉะนั้น ภาพใหญ่เราต้องดูว่า เราอยากเป็นเจ้าของธุรกิจนั้นรึเปล่า อย่าไปดูตลาดหุ้นมากเกินไป
วิธีการที่ง่ายและปลอดภัยและได้ผลตอบแทนดีมาก คือการลงทุนในบริษัทที่ยิ่งใหญ่ ใหญ่กว่าอันดับสองเยอะ
และเติบโตได้ และแข็งแกร่ง และเก็บไว้นานๆ
ในอดีตเมืองไทยเช่น SCC ถือเมื่อ 30 ปีก่อน กำไร 200 เท่า
ในเมืองนอกเช่น WAL-MART หรือ MICROSOFT เติบโตยาวนานมาก หลายสิบปี จนคนที่ถือรวยไปตามกัน
หุ้นพวกนี้บางทีเราคิดว่ามันเติบโตขึ้นมาหลายปี ราคาขึ้นมาพอสมควร เราคิดว่ามันคงจะหยุดแล้ว
แต่หุ้นที่เติบโตมันจะเติบโตยาวนานมาก โดยเฉพาะถ้าเรามองออก เราก็ถือมันไว้ อย่าไปสนใจอะไรมาก
ถ้ามีเงินก็เก็บเพิ่ม มีหุ้นอย่ามากเกินไป หลักๆแค่ 5-6 ตัว นี่จะเป็นโอกาสสร้างความมั่งคั่ง
บางครั้ง ซื้อหุ้นถูกตัวเดียว ชีวิตนี้ก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว
บางครั้งตัดสินใจถูกครั้งเดียวพอแล้ว อย่าไปวอกแวกมาก ว่าหุ้นตัวนู้นดี ตัวนั้นดี เพราะเราอาจจะไม่เก่งจริง
ผมเองส่วนตัวรู้สึกว่าตัวเองวิเคราะห์ไม่ค่อยเก่ง รู้สึกว่ารุ่นใหม่เก่งกว่าเราเยอะ นอกจากเก่งไม่พอแล้ว
ยังค่อนข้างขี้เกียจอีก คิดเลขก็ไม่ค่อยถูก คอมก็ใช้ไม่เป็น
มีคนมาถามว่า เลขนั้น เลขอย่างนี้เป็นไง เราก็ไม่รู้เพราะไม่เคยคิด กระแสเงินสดเป็นไง เราก็ไม่รู้
เป็นอย่างนี้จริงๆ ไม่ได้อมความรู้อะไรไว้หรอก
ผมซื้อหุ้นไม่เคยคิดตัวเลข แค่ดูเฉยๆไม่เคยเอาเครื่องคิดเลขมากดคำนวณ แค่ดูว่า กำไรเท่าไหร่ ปันผลเท่าไหร่
เรามั่นใจว่า ไม่มีวันลง มีแต่จะดีขึ้น บางทียังไม่คิดด้วยซ้ำว่า growth เท่าไหร่
เชื่อแค่ว่า กิจการจะดีขึ้นเรื่อยๆ และดียาวนาน 5 ปี 10 ปี ด้วยความเชื่อมั่นเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์
โตช้าหน่อยไม่เป็นไร ผมซื้อเลย
มีความเชื่ออย่างนึงว่า ถ้ากิจการยอดขายโตได้ 10% ต่อปีเรื่อยๆแทบไม่มีวันลงเลย นี่คือสวรรค์บอกได้เลย
ตอนเราแก่ มันทบต้นเรื่อยๆ มันจะท่วมจนเราไม่รู้จะทำไงเลย
เจอกิจการแบบนี้ ซื้อแล้วสบายใจ ไม่มีวันเครียด เพราะรู้ว่ามันจะโตขึ้นเรื่อยๆ ดีขึ้นๆ ราคาหุ้นจะลงหน่อย
จะอะไรหน่อยก็ไม่เป็นไร เพราะเราเห็นมันเปิดร้านใหม่/ขยายกิจการตลอดเวลา กำไรเพิ่ม ยอดขายเพิ่ม
เหมือนเด็กที่โต หรือเปรียบเหมือนเรากำลังเลี้ยงช้าง มันโตไปเรื่อยๆ มันไม่ได้โตเร็วนะ แต่โตตลอด
เราดูตั้งแต่วันแรก เห็นเลยว่าไอนี่มันช้าง
แต่ถ้าเราดูว่านี่คือกระต่าย เลี้ยงไว้วันแรกๆ โตเร็วมาก แต่ในที่สุดก็โตได้แค่นี้
เพราะกิจการมันเป็นกระต่าย มันจะโตไปได้ยังไง ผู้ใช้มันจำกัด
แต่กิจการช้างมันโตไปเรื่อย เพราะสิ่งที่มันทำเป็นสิ่งที่พวกเราใช้กันทั่วประเทศ แบบนี้จะโตใหญ่มาก
แต่กิจการอีกแบบ ที่คู่แข่งเยอะเหลือเกิน ไล่ๆกันมา พอโตมาหน่อย อีกคนก็จะมาแข่ง
โตไม่ได้มาก แต่ถึงจะโตก็ไม่กำไร
วิธีแบบนี้เป็นวิธีลงทุนแบบง่ายๆ สำหรับคนที่ไม่เก่ง วิเคราะห์ไม่เป็น แต่มีจิตใจที่มั่นคง ที่อยากเป็นเจ้าของธุรกิจที่ยิ่งใหญ่
และนี่ก็เป็นแนวทางการลงทุนแบบนึง ที่ไม่อาจอ้างได้ว่าดีที่สุด หรือกำไรสูงสุด แต่เป็นวิธีที่ปลอดภัยมาก
ลงทุนแล้วสบายใจ พอร์ตจะไม่มีวันลง จะโตเรื่อยๆ เป็นสิบๆปีก็ร่ำรวยและทุกคนก็ใช้ได้
เป็นพนักงานกินเงินเดือนจะร่ำรวยได้ยังไงถ้าไม่ลงทุนในหุ้น โลกสมัยใหม่นี้ทำธุรกิจมันยากมาก
ถ้าเราเพิ่งเริ่มขณะที่คนอื่นมีมานานแล้ว เราไปจอยธุรกิจที่ยิ่งใหญ่แล้วดีกว่า
- Lu Xun
- Verified User
- โพสต์: 242
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
โพสต์ที่ 210
มาซะดึกเลยครับพี่[L] เขียน:"เราดูตั้งแต่วันแรก เห็นเลยว่าไอนี่มันช้าง"
"เป็นพนักงานกินเงินเดือนจะร่ำรวยได้ยังไงถ้าไม่ลงทุนในหุ้น โลกสมัยใหม่นี้ทำธุรกิจมันยากมาก
ถ้าเราเพิ่งเริ่มขณะที่คนอื่นมีมานานแล้ว เราไปจอยธุรกิจที่ยิ่งใหญ่แล้วดีกว่า"
ผมขอรับความรู้ไปก่อนนอน คืนนี้ฝันดีอีกคืน
ชอบมากครับ ขอบคุณครับ