โค้ด: เลือกทั้งหมด
นักลงทุนหลายๆท่าน ที่ศึกษาการลงทุนตามแบบอย่างของ Warren Buffet คงจะพอทราบว่า ศาสดาแห่งการลงทุนแบบเน้นคุณค่าท่านนี้ ไม่ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี เพราะไม่ชอบอะไรที่เปลี่ยนแปลงเร็วไปตามกระแสโลก นอกจากนั้นสำหรับตัว Buffet เองนั้น บอกว่ายากที่จะประเมินมูลค่าของหุ้นเทคโนโลยีได้ในระยะยาว
จริงๆแล้วการเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้นเนื่องจากมนุษย์ไม่ชอบอยู่กับที่ ชอบอะไรที่สะดวกสบายกว่าที่เป็นอยู่ อะไรที่สวยงาม และพัฒนาการแปลกใหม่เมื่อเทียบกับอดีต นอกจากนั้น นับวันบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลก็พยายามทำการวิจัยต่างๆเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ของตนสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ ผมขอยกตัวอย่าง เมื่อประมาณ 30 ปีก่อน โทรทัศน์มีขนาดเท่าๆกับตู้เย็น มีแต่สีขาวดำ สมัยนี้กลับมีการพัฒนาให้บางลงเรื่อยๆ บางรุ่นได้รับการพัฒนาให้ใช้งานได้อย่างสะดวกสบายเพียงสัมผัสหน้าจอ และสามารถติดต่อไปยังอินเตอร์เน็ตได้ เมื่อ 20 ปีก่อน โทรศัพท์มือถือเป็นแบบกระติกน้ำ ขนาดใหญ่และค่อนข้างหนักเนื่องจากอุปกรณ์ภายในที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร โดยสมัยนี้เปลี่ยนรูปแบบไป มีการประมวลผลเร็วขึ้น ติดต่อไปยังอินเตอร์เน็ตได้ พกพาง่าย น้ำหนักเบา มีฟังก์ชั่นเพิ่มขึ้นมากมาย เกมส์บอยที่เคยฮิตติดตลาดมีแต่สีขาวดำ ตอนนี้เป็นแบบ 3D แถมน้ำหนักเบารูปร่างและสีสันตามสมัยนิยมและความต้องการของผู้บริโภค เห็นได้ว่า สิ่งที่สำคัญมากสำหรับบริษัททำธุรกิจทีเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีคือ “Adaptation” ซึ่งจะนำไปสู่ ”Innovation” เพราะต้องอยู่ในสภาพที่แข่งขันอยู่ตลอดเวลา
โดยปกติแล้วเราอาจจะแบ่งหุ้นที่เราเรียกว่า “Tech Stock” ได้สองประเภท คือ บริษัทที่เป็น “ผู้ผลิตเทคโนโลยี” และบริษัท “ผู้ใช้ผลผลิตจากเทคโนโลยี”
1. ผู้ผลิตเทคโนโลยี หุ้นที่ผมคิดว่ามีความเสี่ยงเกี่ยวกับเทคโนโลยีค่อนข้างสูงคือ หุ้นของบริษัทที่ทำหน้าที่เป็น ”ผู้ผลิต” เนื่องจากบริษัทประเภทนี้ส่วนใหญ่ต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างมากในช่วงแรกเพื่อซื้อเครื่องจักรมาทำการผลิต อีกทั้งยังต้องมีงบประมาณส่วนหนึ่งเพื่อใช้ในการวิจัยสิ่งใหม่ๆ ให้ก้าวทันโลก จะว่าไปแล้วนอกจากบริษัทที่ทำหน้าที่เป็นผู้ผลิตนี้ต้องแข่งขันกับบริษัทอื่นที่ผลิตสินค้าอย่างเดียวกันแล้ว ยังต้องทำตัวให้ทันสมัยอยู่เสมอ เนื่องจากสินค้าทดแทนสามารถเข้ามาได้ตลอดเวลา บริษัทญี่ปุ่นแบรนด์ดังๆที่ทุกคนต่างรู้จักเช่น Sony, Panasonic, Sharp ต่างก็ประกาศผลประกอบการขาดทุนมหาศาลในปี 2555 นี้ เนื่องจากการเข้ามาของคู่แข่งจากประเทศเกาหลี ที่มีเทคโนโลยีปรับตามความต้องการของผู้บริโภคและมีราคาที่ถูกกว่า ผมเคยคุยกับคนญี่ปุ่นหลายๆท่าน เกี่ยวกับการถูกโจมตีจากบริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศเกาหลีอย่างซัมซุง คนญี่ปุ่นหลายๆท่านบอกผมว่า สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ประเทศญี่ปุ่นแพ้ ประเทศเกาหลี เพราะว่า ประเทศญี่ปุ่นนั้นเน้นผลิตของที่มีคุณภาพสูงไว้ก่อน และเชื่อว่าคนจะเลือกซื้อของที่ตัวเองผลิตแน่นอน ถ้าของนั้นดี แตกต่างจากประเทศเกาหลีที่ผลิตของโดยมองที่ความต้องการของผู้บริโภคเป็นหลัก ยกตัวอย่างเช่น ซัมซุง ตั้งแต่ตอนวางแผนการผลิต บริษัทวางแผนผลิตสินค้าเพื่อที่สามารถขายให้กับคนทั่วโลกได้ ของที่ผลิตออกมาอาจจะมีเทคโนโลยีและคุณภาพที่ด้อยกว่าจากประเทศญี่ปุ่นเล็กน้อย แต่ราคาถูกกว่ากันเยอะ ทำให้สามารถขายได้ง่ายกว่า ถ้าพูดให้ง่ายคือ ปรัชญาการขายที่แตกต่างกันระหว่าง “ของดีใครก็ซื้อ” กับ “ของที่คนซื้อ เรามองว่าเป็นของดี” นั่นเอง
2. ผู้ใข้ผลผลิตจากเทคโนโลยี หุ้นอีกประเภทหนึ่งที่ถูกจัดให้อยู่ในหุ้นเทคโนโลยีเช่นเดียวกันคือ บริษัท “ผู้ใช้ผลผลิตจากเทคโนโลยี” ซึ่งผมมองว่ามีโอกาสที่จะปรับตัวได้ง่ายกว่าประเภทแรก ไม่ว่าจะเป็นบริษัทผู้ขายอุปกรณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับ เทคโนโลยี เช่น คอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊ค แท๊ปเล็ต โทรศัพย์มือถือ หรือเครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ รวมไปถึงผู้ใช้สิ่งดังกล่าว เพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจของตัวเอง อย่างไรก็ตาม การเลือกลงทุนในบริษัทผู้ใช้ผลผลิตจากเทคโนโลยี มีปัจจัยสำคัญที่เราควรพิจารณาก่อนลงทุน นั่นคือ “ทีมผู้บริหาร” แม้ว่าบริษัทไม่ต้องมีทีม R&D เพื่อแข่งขันอย่างบ้าคลั่ง กับบริษัทอื่นๆ เหมือนอย่างผู้ผลิตเทคโนโลยี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น บริษัทต้อง “ตื่นตัว” กับสิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา มองอนาคตและเทรนด์การเปลี่ยนแปลง รวมถึง”เลือกใช้” เทคโนโลยี ให้เหมาะสมกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของความต้องการของผู้บริโภคตามสมัยนิยมเช่นกัน
สุดท้ายแล้วคนที่จะชี้ชะตาของบริษัทและได้ประโยชน์จากการแข่งขันในระยะยาว คือ “ผู้บริโภค” อย่างเราๆนั่นเอง เพราะฉะนั้นก่อนการลงทุนใน Tech Stock เราควรจะถามตัวเราเอง เกี่ยวกับความนิยมในเทคโนโลยีนั้นๆ อะไรคือความต้องการในอนาคตของตัวเรา และคนรอบข้าง ซึ่งการมองอนาคตระยะยาวในสิ่งที่ยังไม่มาถึง จะทำให้เรามองเห็นโอกาสก่อนคนอื่นๆ และเลือกพิจารณาลงทุนในช่วงเวลาที่เหมาะสมได้