โค้ด: เลือกทั้งหมด
“แล้วไง… ?.” เป็นคำถามที่มักใช้ในการสนทนากับคนคุ้นเคยยามที่อาจต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง หลังจากวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา นักลงทุนไม่จำเป็นต้องรอลุ้นผลประกอบการประจำปี 2555 อีกต่อไปเพราะเป็นวันสุดท้ายที่ทุกบริษัทจดทะเบียนต้องเผยแพร่ผลประกอบการให้ทราบทั่วกัน ผลประกอบการนั้นย่อมทำให้นักลงทุนทั้งสมหวังหรือผิดหวังโดยเฉพาะในยามที่ตลาดปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนส่วนหนึ่งจึงอาจมีคำถามกับตนเองว่า “แล้วไง… ?.” จะทำอย่างไรหรือตัดสินใจอย่างไรต่อไป
วิธีง่ายๆ ที่ช่วยตอบคำถามข้างต้นคือการนำองค์ประกอบที่สำคัญทั้งสองกล่าวคือ หนึ่ง ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และสอง ระดับราคาความถูกแพงของหุ้น มาสร้างความสัมพันธ์กันซึ่งจะได้เป็น 4 กรณีดังนี้
กรณีแรก ผลประกอบการเป็นไปตามคาดหรือดีกว่าคาด และราคาหุ้นเข้าข่ายสูงกว่าราคาเหมาะสม หากมีหุ้นต้นทุนต่ำกว่าราคาตลาดและเชื่อมั่นในกิจการที่แข็งแกร่งและยังจะมีผลประกอบการที่ดีอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนอาจพิจารณาในการถือหุ้นต่อ และให้เวลากับการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นอย่างมั่นคงตามผลประกอบที่ดีต่อเนื่องนั่นเอง ส่วนนักลงทุนที่ยังไม่มีหุ้นจำเป็นต้องเฝ้ารออย่างอดทนเพื่อตัดสินใจลงทุนยามหุ้นปรับตัวลงจนถึงราคาที่เหมาะสมและมี Margin of Safety ที่รับได้เท่านั้น
หากธุรกิจยังมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้ผลประกอบการแย่ลงในอนาคต นี่คือโอกาสในการขายทำกำไร เพราะหุ้นที่ราคาสูงกว่าราคาเหมาะสมและแนวโน้มผลประกอบการไม่แน่นอนนั้น โอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้นอีกต่อไป (upside) น่าจะเริ่มจำกัด
กรณีที่สอง ผลประกอบการเป็นไปตามคาดหรือดีกว่าคาด และราคาหุ้นเข้าข่ายต่ำกว่าราคาเหมาะสม สิ่งแรกที่นักลงทุนต้องทำก็คือ หาสาเหตุที่ทำให้มีผลประกอบการดีเกินคาดซึ่งจะต้องไม่เกิดจากรายการพิเศษหรือเกิดขึ้นครั้งเดียว หากมีปัจจัยที่ทำให้เชื่อได้ว่ากิจการนั้นจะดีต่อเนื่องในอนาคตระยะกลางและยาวด้วยแล้ว นี่คือโอกาสทองของการเข้าลงทุนในกิจการที่ดีในราคาที่มี Margin of Safety อย่างไรก็ตาม ในภาวะที่ตลาดหุ้นร้อนแรงและมีนักลงทุนสนใจหุ้นพื้นฐานดีจำนวนมากขึ้นเช่นปัจจุบัน หุ้นยอดเยี่ยมที่ราคามี Margin of Safety นั้นย่อมหาได้ไม่ง่ายนัก ดังนั้นหากคิดว่าระดับราคาเหมาะสมกับการลงทุนระยะยาว ก็ควรพิจารณาเข้าลงทุน ดังเช่นกรณีที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ยอมซื้อกิจการในราคายุติธรรมในระยะหลังนี้
กรณีที่สาม ผลประกอบการแย่กว่าที่คาด และราคาหุ้นเข้าข่ายสูงกว่าราคาเหมาะสม หากเกิดจากรายการพิเศษที่เกิดขึ้นครั้งเดียวทำให้ผลประกอบการแย่ลง แต่จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลมากนัก หากเป็นกิจการที่ยอดเยี่ยมและราคาหุ้นปรับตัวลดลงจนราคามี Margin of Safety เนื่องจากการเข้าใจผิด นี่คือโอกาสเข้าลงทุนเช่นกัน แต่หากแนวโน้มผลประกอบการจะไม่ดีต่อเนื่องยาวนาน นี่คือจุดตัดสินใจในการขายหุ้นเพราะราคาเข้าข่ายสูงกว่าที่ควรจะเป็น การถือหุ้นดังกล่าวต่อไป ย่อมไม่เป็นผลดีเพราะราคาหุ้นจะต้องปรับตัวลดลงสู่จุดเหมาะสมในที่สุด
กรณีสุดท้าย ผลประกอบการแย่กว่าที่คาด และราคาหุ้นอยู่ในช่วงต่ำกว่าราคาเหมาะสม นอกจากการพิจารณาว่ามีรายการพิเศษที่ทำให้ผลประกอบการแย่กว่าที่คาดหรือไม่ แล้วยังต้องพิจารณาถึงแนวโน้มว่าจะแย่ลงอย่างต่อเนื่องต่อไปหรือไม่ การลงทุนในหุ้นเหล่านี้ แม้จะเข้าลงทุน ณ ช่วงราคาที่ต่ำกว่าราคาเหมาะสม นักลงทุนคงคาดหวังกำไรได้เพียงจากส่วนต่างของราคาที่ซื้อและราคาที่เหมาะสมเท่านั้น เพราะหากไม่มีปัจจัยใหม่ที่จะทำให้ผลประกอบการฟื้นตัว โอกาสที่หุ้นได้รับ Price Premium หรือที่ปรับตัวขึ้นจากราคาเหมาะสมนั้นแทบจะเป็นไปได้น้อยมาก
นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จนั้นส่วนใหญ่มักโดดเด่นทั้งทางด้าน “ศาสตร์” และ “ศิลป์” กรณีทั้งสี่ที่กล่าวมานั้นเป็นกรอบความคิดที่ตอบคำถาม “แล้วไง…?.” ในมิติทางด้าน “ศาสตร์” เพราะทั้งการประเมินมูลค่าหุ้น และการประมาณการผลประกอบการรายไตรมาส รายปี ผลประกอบการในอนาคตนั้นล้วนเกิดจากการคำนวณ โดยผลลัพธ์ที่ได้นั้นอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสมมติฐานต่างกรรมต่างวาระที่นำมาพิจารณานั่นเอง
ส่วนมิติด้าน “ศิลป์” นั้นมักไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวและล้วนเป็นสิ่งจับต้องไม่ได้ ทั้งในด้านจิตวิทยาการลงทุน อารมณ์กระแสมวลชน ความคาดหวัง ล้วนเป็นสิ่งที่นักลงทุนที่ต้องการประสบความสำเร็จต้องหมั่นศึกษา ฝึกฝน เรียนรู้ ทบทวนประสบการณ์ทั้งด้านบวกและลบเพื่อทำให้การตัดสินใจของตนในทุกสถานการณ์ดียิ่งขึ้นไปอีก
หากเป็นนักลงทุนที่โดดเด่นด้าน “ศาสตร์” แต่มักตัดสินใจผิดพลาดบ่อยครั้ง อาจต้องลองถามตนเองว่า “แล้วไง…?.” ทางด้าน “ศิลป์” เพื่อไม่ทำสิ่งที่เคยผิดพลาดอีก เพียงเท่านี้ก็อาจเป็นการเพิ่มผลตอบแทนให้สูงขึ้นกว่าที่เคยได้รับก็เป็นได้