โพสต์
โค้ด: เลือกทั้งหมด
บทความ Value Way กรุงเทพธุรกิจ Bizweek ฉบับวันที่ 8 เมษายน 2556
โดย ประภาคาร ภราดรภิบาล
ปลุกความคิด พิชิตการลงทุน
ตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของเดือนมีนาคมเป็นต้นมา อาจทำให้นักลงทุนหลายๆท่านรู้สึกเหมือนนั่งรถไฟเหาะตีลังกา เนื่องจากครึ่งแรกของเดือนคือวันที่ 15 มีนาคม ดัชนีตลาดหุ้นอยู่ที่ระดับ 1,598 จุด แต่ในสัปดาห์ต่อมาคือวันที่ 18-22 มีนาคม ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงกว่า 100 จุด ไปปิดที่ 1,478 จุด พอเข้าสู่สัปดาห์สุดท้ายของเดือนคือวันที่ 25-29 มีนาคม ดัชนีก็ปรับตัวบวกกลับขึ้นไปกว่า 80 จุด ปิดตลาดที่ 1,561 จุด ข้ามมาถึงสัปดาห์แรกของเดือนเมษายน ตลาดหุ้นก็ยังแกว่งตัววันละหลายสิบจุด เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนเป็นอย่างมาก ผมจึงอยากนำบทความนี้มาให้อ่านกันครับ...
“ในสภาวะที่ตลาดหุ้นมีความผันผวน ผมเชื่อเหลือเกินว่าหลายๆคนคงจะอยู่ในสภาพ “ใจสั่น” เวลาที่เห็นราคาหุ้นที่ตัวเองถืออยู่ดิ่งลงอย่างน่าใจหาย ไม่เว้นแม้แต่นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าหรือ VI
หลายคนคงทราบกันอยู่แล้วว่าเหล่า “VI พันธุ์แท้” เป็นพวกที่มีความระมัดระวัง คิดแล้วคิดอีกก่อนซื้อหุ้นสักตัว แถมเวลาที่ซื้อยังต้องมี “ส่วนต่างแห่งความปลอดภัย” หรือ Margin of Safety ซึ่งก็หมายความว่า ซื้อเฉพาะหุ้นที่มีราคาต่ำกว่า “มูลค่าที่แท้จริง” ในระดับที่น่าพึงพอใจ
แต่ถึงกระนั้น VI เองก็ใช่ว่าจะรอดตัว หากว่าตลาดปักหัวลงและดึงให้หุ้นที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่พลอยดิ่งตามได้อย่างหน้าตาเฉย บางคนอาจมีอาการ “หวั่นไหว” และเริ่มคิดว่า ตกลงที่เราวิเคราะห์มาก่อนหน้านี้มันถูกต้องจริงๆหรือเปล่า?
นายตลาด หรือ Mr. Market ตามแนวคิดของวอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นบุคคลสมมุติที่มีอารมณ์ขึ้นๆลงๆ (จินตนาการถึงชายที่มีผมเผ้ายุ่งเหยิง ออกจะประสาทๆหน่อย) เขาเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจของเรา และจะโผล่มาเสนอซื้อขายหุ้นกับเราทุกวัน กติกาก็คือนายตลาดเป็นคน “เสนอราคา” ส่วนเราเป็นคน “ตัดสินใจ” ว่าจะซื้อขายหรือไม่ และไม่ว่าเราจะตอบไปว่าอย่างไร ในวันรุ่งขึ้นเขาก็จะกลับมาและยื่นข้อเสนอใหม่ๆให้เราอย่างไม่รู้เบื่อ
แท้จริงนี่คือการเปรียบเทียบสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่าง “ตัวเรา” กับ “ตลาดหุ้น” ซึ่งเมื่อเข้าใจบทบาทของเขาและของเราแล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องไปละลาบละล้วงบทบาทของนายตลาด อย่าไปเถียงเรื่องราคากับเขา ราคาหุ้นจะวิ่งขึ้นไหลลง หรือว่านิ่งสนิท ก็ปล่อยให้มันเป็นไป อย่าไปเดือดเนื้อร้อนใจตามไปด้วย คิดในฝั่งของเราเฉยๆก็พอ ว่าจะซื้อ จะขาย หรือจะอยู่เฉยๆ”
บทความข้างต้นนี้ เป็นเนื้อหาบางส่วนจากหนังสือ “ปลุกความคิด พิชิตการลงทุน” ซึ่งเขียนโดย “สุภศักดิ์ จุลละศร”
ผู้ที่ชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับการลงทุน อาจจะพอคุ้นเคยกับชื่อของ “สุภศักดิ์ จุลละศร” มาบ้าง จากการเป็นหนึ่งในผู้แปลหนังสือ “บัฟเฟตต์-โซรอส ลงทุนถูกนิสัย ยังไงก็ชนะ” (The Winning Investment of Warren Buffet and George Soros) และ “สุดยอดนักลงทุนโลก” (The Great Investors) รวมทั้งเป็นหนึ่งในผู้เขียนหนังสือ “ลงทุนอย่าง VI พันธุ์แท้”
นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์ ClubVI.com เพื่อเผยแพร่ความรู้ด้านการลงทุนแบบเน้นคุณค่า หรือ Value Investment (VI) รวมทั้งเขียนบทความลงในเว็บบล็อกส่วนตัว คือ MonkeyFreeTime.com อีกด้วย
ล่าสุดเมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา “สุภศักดิ์” ได้ออกหนังสือชื่อว่า “ปลุกความคิด พิชิตการลงทุน” ซึ่งเป็นหนังสือที่นำเสนอมุมมองใหม่ๆเกี่ยวกับการบริหารเงินและการลงทุนที่หลายๆคนมองว่าเป็นเรื่องไกลตัวและยุ่งยากซับซ้อน ให้กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวที่อ่านสนุก เข้าใจง่าย และเปี่ยมไปด้วยแง่คิดดีๆ สำหรับนำไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ในการบริหารเงินและการลงทุน
“สุภศักดิ์ จุลละศร” ได้ย้ำความสำคัญของการ “ปลุกความคิด” อันเป็นที่มาของชื่อหนังสือเล่มนี้ไว้ว่า “ในยุคข้อมูลข่าวสารอย่างทุกวันนี้ “ความรู้” ไม่ใช่สิ่งที่หายากอีกต่อไป แต่ว่า “ความคิด” ต่างหากที่สำคัญ เมื่อคุณสามารถปลุกความคิดของคุณเองขึ้นมาได้ คุณจะสามารถแยกแยะความรู้ผิดๆและความรู้ที่ถูกต้องออกจากกัน มุมมองของคุณจะเฉียบคมขึ้น และโลกการลงทุนของคุณก็จะเปลี่ยนไป”
บันทึกไม่สำเร็จ