ประเด็นเศรษฐกิจที่สำคัญช่วงหยุดสงกรานต์/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

บทความต่างๆ ที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เพื่อการลงทุนแบบเน้นคุณค่า

โพสต์ โพสต์
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1827
ผู้ติดตาม: 1

ประเด็นเศรษฐกิจที่สำคัญช่วงหยุดสงกรานต์/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

ผมเชื่อว่าหลายคนคงได้หยุดพักผ่อนช่วงสงกรานต์และกำลังจะต้องกลับมาทำงานกันอย่างจริงจังแล้วในวันจันทร์ที่ 22 เมษายน ผมจึงขอสรุปประเด็นสำคัญทางเศรษฐกิจต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อช่วยให้การกลับมาติดตามและปะติดปะต่อข้อมูลต่างๆ ทำได้ง่ายขึ้นครับ

1. ราคาทองคำปรับตัวลงไป 13% เมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้วแต่เริ่มมีแรงซื้อคืนกลับมาบ้างทำให้ราคากระเตื้องขึ้น เหตุผลหลักที่ทำให้ราคาทองคำปรับลงคือธนาคารกลางไซปรัสถูกกดดันให้ขายทองคำออกมาหลังจากขอรับความช่วยเหลือจาก Troika ทำให้เกิดความกังวลว่าธนาคารกลางประเทศอื่นๆ ในยุโรปใต้ (เช่น สเปน โปรตุเกสและอิตาลี) ต้องขายตามไปด้วย นอกจากนั้นอัตราเงินเฟ้อในประเทศต่างๆ มีแนวโน้มอ่อนตัวลงขณะที่จีดีพีจีนในไตรมาส 1 ต่ำกว่าคาด อย่างไรก็ดี เชื่อว่าราคาทองคำที่ปรับลงอย่างฉับพลันนั้นจะเป็นโอกาสให้นักลงทุนระยะยาวได้ซื้อทองคำเพิ่มขึ้น แต่ต้องเข้าใจว่าราคาทองจะผันผวนได้มากและควรถือทองคำไม่เกิน 5-6% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด

2. ระเบิดที่บอสตัน ย่อมจะทำให้สหรัฐต้องเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยให้เข้มข้นมากขึ้นและเมืองหลักๆ ในประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ เช่น อังกฤษก็คงต้องเข้มงวดเรื่องความปลอดภัยเช่นกัน ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นและความยุ่งยากในการเดินทางไปยังประเทศหลักดังกล่าวย่อมจะส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง ซึ่งจะซ้ำเติมเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวลงเพราะผลการรัดเข็มขัดทางการคลังโดยอัตโนมัติของสหรัฐ (sequester) ทั้งนี้ไอเอ็มเอฟเพิ่งปรับลดการคาดการณ์การขยายตัวของจีดีพีสหรัฐลงจาก 2.1% ในปี 2013 มาเป็น 1.9% สำหรับยุโรปนั้นก็ได้ปรับการคาดการณ์จีดีพีจาก -0.1% เป็น -0.3%

3. เศรษฐกิจจีนไตรมาสหนึ่งขยายตัวต่ำกว่าคาด โดยขยายตัวเพียง 7.7% ลดลงจากไตรมาส 4 ปี 2012 (+7.9%) และคาดการณ์ที่ 8% และการผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนมีนาคมก็ขยายตัวเพียง 8.9% (คาดการณ์ 10.1%) จาก 9.9% ในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ นอกจากนั้นก็ยังมีข่าวลงในหนังสือพิมพ์ Financial Times (17 เมษายน) ว่าผู้ตรวจบัญชีอาวุโสของจีน กล่าวเตือนว่าหนี้ของรัฐบาลท้องถิ่นจีนกำลังเป็นปัญหา (out of control) เพราะลงทุนในโครงการต่างๆ ที่ไม่คุ้มค่าคิดเป็นมูลหนี้สูงถึง 20-40% ของจีดีพี ทำให้ปัจจุบันต้องกู้เงินเพื่อนำเงินมาจ่ายดอกเบี้ยและบริหารหนี้เก่า เรื่องเช่นนี้เคยมีการพูดถึงในอดีตและปัญหาก็เงียบไป แต่สักวันหนึ่งหนี้ที่พอกพูนคงจะต้องสร้างปัญหาขึ้นมาในที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากรัฐบาลท้องถิ่นระดับอบต.และอบจ.เริ่มกู้ยืมเงินในลักษณะเดียวกัน ประเด็นคือหากมีปัญหาหนี้ สิ่งที่จะตามมาคือการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องนั่นเอง

4. ธนาคารแห่งประเทศไทยปรับเพิ่มการขยายตัวเศรษฐกิจของไทย ซึ่งอาจดูสวนทางกับไอเอ็มเอฟที่ปรับลดการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ลงจาก 3.5% เหลือ 3.3% โดยปรับลดการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วลงจาก 1.3% เป็น 1.2% และประเทศกำลังพัฒนาจาก 5.5% เป็น 5.3% ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยปรับเพิ่มการขยายตัวเศรษฐกิจไทย 2 ครั้งแล้วในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมาจาก 4.5% เป็น 4.9% และล่าสุดเป็น 5.1% โดยให้เหตุผลว่ากำลังซื้อในประเทศดีอย่างต่อเนื่องจากไตรมาส 4 ของปีที่แล้วและคาดว่ารัฐบาลจะใช้งบประมาณลงทุนโครงการ 2 ล้านล้านบาทตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปีนี้เป็นต้นไป แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยยอมรับว่าการส่งออกอาจชะลอตัวลงโดยปรับการขยายตัวการส่งออกในปีนี้ลงจาก 9% เป็น 7.5%

ผมไม่แน่ใจว่ารัฐบาลจะสามารถเร่งใช้เงินในโครงการ 2 ล้านล้านได้เร็วอย่างที่ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์และเกรงว่าการส่งออกซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 70% ของจีดีพีจะประสบปัญหามากขึ้นอีกใน 2-3 ไตรมาสข้างหน้า เพราะนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยชัดเจนว่าจะปล่อยให้เงินบาทแข็ง “ตามกลไกตลาด” ซึ่งผมขอเถียงว่าการแข็งค่าของเงินบาทนั้นเป็นเพราะประเทศพัฒนาแล้ว (สหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น) เร่งพิมพ์เงินออกมาท่วมตลาดเพียงเพื่อให้เศรษฐกิจของตนกระเตื้องขึ้น ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการละเว้นความรับผิดชอบต่อระบบการเงินของโลกโดยรวมและจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการส่งออกของไทยจากการที่เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วในสภาวการณ์ที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในสภาวะที่เปราะบาง แต่นโยบายการเงินที่อาศัยเป้าหมายเงินเฟ้อเป็นกรอบนั้นมุ่งเน้นการควบคุมเงินเฟ้อ แต่ต้องยอมให้ตัวแปรสำคัญอื่นๆ เช่นอัตราแลกเปลี่ยนผันผวน แต่ก็จะไม่ได้หยุดยั้งการไหลเข้าของเงินทุนเพื่อเก็งกำไรหรือหากำไรจากส่วนต่างของดอกเบี้ย จึงทำให้ผมไม่มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้อย่างมีเสถียรภาพในสภาวการณ์และในกรอบนโยบายดังกล่าว

5. การระบาดของไข้หวัดนกที่แพร่ขยายในจีน เป็นเรื่องที่ยังต้องติดตามอย่างต่อเนื่องเพราะจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นและจำนวนผู้เสียชีวิตก็เพิ่มขึ้น โดยล่าสุดไข้หวัดนกสายพันธุ์ใหม่ H7N9 ได้แพร่ขยายจากภาคตะวันออกไปถึงกรุงปักกิ่งแล้ว ที่สำคัญคือการระบาดของ H7N9 นั้นมีลักษณะแตกต่างจาก H5N1 2 ประการคือ 1.แม้จะเป็นไข้หวัดนกแต่ก็ไม่ได้ทำให้ไก่ (หรือนก) ที่มีเชื้อมีอาการเจ็บป่วย ทำให้ยากต่อการสกัดกั้นการแพร่ขยายของเชื้อ เพราะไม่ได้แสดงอาการของไข้และประการที่ 2. คือ H7N9 นั้นในบางกรณีคนที่ติดเชื้อก็ไม่แสดงอาการเช่นกัน กล่าวคือกรณีของเด็กอายุ 4 ขวบที่กรุงปักกิ่งที่พบว่ามีเชื้ออยู่นั้นไม่ได้มีอาการเป็นไข้อย่างรุนแรงแต่อย่างใด แต่ที่ค้นพบว่าเด็กคนนี้ติดเชื้อก็เพราะผู้ปกครองของเด็กทำอาชีพขายไก่และปลา และได้ขายไก่ให้กับเพื่อนบ้าน ซึ่งต่อมาลูกสาววัย 7 ขวบเกิดไม่สบายและพบว่าเป็นผู้ติดเชื้อ H7N9 เมื่อวันที่ 15 เมษายน จึงได้มีการติดตามตรวจผู้ที่ได้ติดต่อกับครอบครัวที่ลูกสาวเป็นไข้ H7N9 ทั้งหมด 24 ราย จึงค้นพบ (ระบบติดตามแบบ contact tracing)

ประเด็นสำคัญคือ H7N9 นั้นติดตามการแพร่ขยายได้ยากเพราะไก่ไม่แสดงอาการและบางคนที่ติดเชื้อก็ไม่ได้แสดงอาการให้เห็นอย่างชัดเจน จึงเป็นไปได้ว่าจำนวนคนที่ติดเชื้อ H7N9 นั้นอาจมีจำนวนสูงมากกว่าที่ตรวจพบและรายงานให้ทราบแล้วก็ได้ แต่ยังมีข้อดีที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ยืนยันว่า ไม่พบหลักฐานว่า H7H9 นี้ติดต่อจากคนสู่คนได้ เพราะหากเป็นเช่นนั้นก็จะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจที่รุนแรงกว่าไข้หวัดนก H5N1 มาก กล่าวคือจะต้องนำไปเทียบเคียงกับกรณีของ SARS (Severe acute respiratory syndrome) ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนอย่างรุนแรงคือจีดีพีหายไป 2% ในไตรมาส 1 ปี 2003 และสำหรับไทยนั้นผลกระทบที่ตามมาคือตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาไทยลดลงครึ่งหนึ่งในไตรมาส 2 ปี 2003 ในขณะที่ไข้หวัดนกที่ระบาดเมื่อไตรมาส 4 ปี 2005 นั้นแทบจะไม่ได้กระทบการท่องเที่ยวของไทยเลย

ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าเมื่อจีนสามารถจัดการกับการระบาดของโรค SARS ได้ การท่องเที่ยวก็สามารถฟื้นตัวได้ย่างรวดเร็วเช่นกัน นอกจากนั้นแล้วในช่วงการระบาดของ SARS นั้นเกิดการตื่นตระหนกอย่างมากเพราะในช่วงแรกที่โรคระบาดเกิดขึ้นในปลายปี 2002 นั้นประเทศจีนมิได้ให้ความร่วมมือในการเปิดเผยข้อมูลและประสานงานกับองค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องมากนัก ทำให้ขาดความมั่นใจ แต่ครั้งนี้ประเทศจีนมีการเตรียมการอย่างดีในส่วนของการติดตามและเปิดเผยข้อมูล ตลอดจนให้ความร่วมมือและประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญและฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด ทำให้เกิดความมั่นใจว่าน่าจะควบคุมการแพร่ขยายและหายารักษา H7N9 ได้อย่างทันท่วงทีก่อนที่จะกลายพันธุ์มาเป็นโรคที่ติดต่อจากคนต่อคนได้
ที่มา นสพ.กรุงเทพธุรกิจ 22/4/56
[/size]
naijan
Verified User
โพสต์: 5011
ผู้ติดตาม: 0

Re: ประเด็นเศรษฐกิจที่สำคัญช่วงหยุดสงกรานต์/ดร.ศุภวุฒิ สายเช

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ขอบคุณมากๆครับ
--------------------------------
ปฏิบัติการปลดหนี้ สู่วิถีพอเพียง

http://thorfun.com/#chanchai/story/5159 ... bd24001056
โพสต์โพสต์