โค้ด: เลือกทั้งหมด
ในฐานะนักลงทุน ผมมักชอบสังเกตและค้นหาช่วงนาทีทองของธุรกิจ ซึ่งเป็น “ช่วงเวลาสำคัญที่สุด” ที่อาจจะยาวนานเป็นปี ๆ หรืออาจจะสั้นมากเพียงแค่นาที หากเปรียบเทียบ คงคล้ายกับกติกาฟุตบอลในอดีตเรื่อง Golden Goal หรือช่วงต่อเวลาพิเศษที่ทีมไหนยิงประตูได้ก่อน จะชนะเกมนั้นไปอย่างถาวร
ผลการแข่งขันของช่วงนาทีทองก็ให้ผลแตกต่างกันมหาศาลในเชิงธุรกิจเช่นเดียวกัน ธุรกิจที่มีความพร้อมกว่าในนาทีทองจะสามารถชิงความได้เปรียบ และสร้างผลกำไรให้กับบริษัทได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ในทางกลับกันการดำเนินกลยุทธ์ที่ผิดพลาดในช่วงเวลานี้ จะส่งผลเสียหายต่อธุรกิจ และทำให้เสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับคู่แข่งไปอย่างรวดเร็ว ช่วงนาทีทองจึงเป็นช่วงที่สำคัญเป็นพิเศษที่ผมชอบติดตาม และคิดว่าแบ่งประเด็นสำคัญออกได้ดังนี้
1. นาทีทอง คือช่วงเวลาที่สถานการณ์ทุกอย่างเอื้ออำนวย ไม่เพียงแต่เป็นช่วงเวลาเติบโตของตลาด หรือเป็นช่วงที่ตลาดมีความต้องการสูงขึ้นอย่างมากในช่วง S-Curves ของธุรกิจเท่านั้น นาทีทองจะต้องมีเทคโนโลยีที่เอื้ออำนวย ในต้นทุนที่เหมาะสม รวมไปถึงว่าภาพใหญ่อย่างเสถียรภาพทางสังคม การเมือง เศรษฐกิจมหภาค ต้องสนับสนุนธุรกิจอย่างเต็มที่
2. นาทีทองอาจจะมีหลายครั้งในธุรกิจหรือบางครั้งอาจจะมีเพียงแค่ครั้งเดียว ตัวอย่างธุรกิจที่มีนาทีทองหลาย ๆ ครั้ง คือธุรกิจที่เป็นวัฎจักร เช่นธุรกิจโภคภัณฑ์ ทุกครั้งที่มีนาทีทองกำไรบริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดด เช่นธุรกิจปิโตรเคมีในช่วงที่น้ำมันดีดตัวขึ้นสูงกว่า 140 เหรียญ ธุรกิจยานยนต์ในช่วงนโยบายรถคันแรก ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก่อนยุคต้มยำกุ้ง ซึ่งจะเห็นได้ว่าหลังจากนาทีทอง มักจะเป็นเวลาที่ยากลำบากเสมอ เพราะนำมาซึ่งสภาวะ “ฟองสบู่” หรือ “การแข่งขันที่รุนแรง” ดังนั้นสำหรับนักลงทุน เราจำเป็นต้องลงทุนก่อนเวลานั้น ซึ่งโดยปกติแล้วต้องการความรู้ความชำนาญในธุรกิจนั้นค่อนข้างมาก วิธีที่ง่ายกว่าคือหาผู้ที่แข็งแรงที่สามารถรับกับการแข่งขันได้ แต่ต้องจำไว้เสมอว่า นาทีทองลักษณะนี้ มาแล้วก็จะผ่านไป
อย่างไรก็ดี นาทีทองของบางธุรกิจอาจมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น โดยเฉพาะสินค้าที่เป็นสินค้าเฉพาะ หรือพวกเทคโนโลยี เช่นธุรกิจฟิล์มถ่ายรูป นาทีทองมีครั้งเดียว และดูเหมือนจะไม่กลับมาอีก หรือธุรกิจในประเทศไทยเมื่อสามสิบปีก่อน ก็มีธุรกิจสิ่งทอที่ขยายตัวอย่างมาก เนื่องจากต้นทุนแรงงานที่ถูกของไทย นาทีทองลักษณะนี้ความเสี่ยงอย่างสูงทั้งกับตัวธุรกิจและนักลงทุน เพราะหากผ่านนาทีทองไปแล้ว ยากที่จะทำกำไรได้
3. กรอบระยะเวลาของนาทีทอง อาจจะสั้นมากเพียงแค่ “นาที” เช่นธุรกิจประเภทประมูลงาน แพ้ชนะตัดสินกันแค่นาทีนั้น ๆ หรืออาจนานขึ้นเป็นรอบวัน เช่นของธุรกิจอาหาร ก็จะมีนาทีทองที่แพงที่สุดคือเวลามื้อค่ำ รองลงมาคือเวลามื้อเที่ยง แต่ถ้าเป็นธุรกิจอาหารว่าง ก็จะเป็นเวลาระหว่างมื้อ หากยาวขึ้นเป็นระยะเดือน ช่วงต้นเดือนคือนาทีทองสำหรับการจับจ่ายใช้สอย เพราะนี่คือช่วงที่ผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากที่สุดจากเงินเดือนที่เพิ่งได้รับ หรือสำหรับนาทีทองในรอบปี เช่นธุรกิจท่องเที่ยวคือฤดูหนาว เพราะอากาศเหมาะสม และมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศมาประเทศไทยจำนวนมาก สำหรับธุรกิจเครื่องดื่มต้องเป็นฤดูร้อนเพราะคนบริโภคจำนวนมาก ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคของเกษตรกร ก็ต้องผ่านช่วงฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิต บางครั้งอาจจะยาวนับสิบปี เช่นรอบวัฎจักรของเศรษฐกิจเป็นต้น
4. ความสำคัญของนาทีทอง บางครั้งเวลาให้ผลสำคัญกว่าในบางธุรกิจ ธุรกิจที่ยังไม่อิ่มตัว นาทีทองคือ “เมื่อวาน” เพราะใครมาก่อนก็จะได้เปรียบคนมาทีหลังเป็นอย่างมาก เช่น ได้เลือกทำเลที่สำคัญก่อนคนอื่น หรือได้ให้ผู้บริโภคลองใช้สินค้าตัวเองก่อน ธุรกิจค้าปลีกในช่วงขยายสาขาในช่วงแรกคือนาทีทองที่สำคัญที่สุด เพราะหากใครพลาดพลั้งไปหรือ “ช้ากว่า” อาจจะเป็นผู้ตามตลอดไป
ขณะเดียวกันหลายครั้งนาทีทอง คือ “พรุ่งนี้” ธุรกิจบางครั้งก็ต้องรอเพื่อให้เกิดความแน่ใจ หลายครั้งเราจะเห็นที่ดินบางทำเล คือทำเลของ “เมื่อวาน” เมื่อเมืองขยายตัวไปอีกด้านหนึ่ง หรือแม้กระทั่งธุรกิจเทคโนโลยีบางอย่าง บริษัทที่คิดสินค้าขึ้นมาคนแรก อาจจะไม่ใช่ผู้ชนะเสมอไป
5. นาทีทองของบริษัทหนึ่งอาจจะเป็นเวลาที่เลวร้ายของคนอื่น เช่นช่วงเวลาน้ำท่วม นี่คือนาทีทองของโรงงานหรือห้างร้านที่ไม่ถูกน้ำท่วม แต่คือช่วงเวลาที่เลวร้ายสำหรับโรงงานที่จมอยู่ใต้น้ำ หรือแม้กระทั่งช่วงเวลาที่เศรษฐกิจตกต่ำ นี่คือนาทีทองของผู้แข็งแรงและอยู่รอด แต่กลับเป็นเวลาที่โหดร้ายสำหรับผู้ที่อ่อนแอ ในทางกลับกัน ในยามเศรษฐกิจเฟื่องฟู ผู้ประกอบการรายเล็กจะเติบโตได้ดีกว่าด้วยฐานบริษัทที่เล็กกว่า และภาวะการแข่งขันที่ต่ำ
สำหรับนักลงทุน เราควรจะวิเคราะห์นาทีทองของแต่ละอุตสาหกรรม และพิจารณาการตัดสินใจในเชิงกลยุทธ์ของบริษัทนั้น ๆ ว่า สามารถใช้ทรัพยากรทางเศรษฐกิจที่จำกัด เช่น เงินทุน บุคคลากร ไปใช้ในจุดสำคัญได้มากน้อยแค่ไหน และหลายการตัดสินใจที่ดี ต้องตัดสินใจ “ก่อน” ที่นาทีทองจะมาถึง เพราะถ้ารอให้นาทีทองมาถึงก็อาจจะช้าไปแล้ว ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการขยายตัวของ “ผู้ชนะ” ในธุรกิจค้าปลีก ที่ขยายตัวหนักก่อนนาทีทอง ที่การบริโภคในประเทศจะโตแบบก้าวกระโดดเป็นสิบปี
สิ่งสำคัญคือ การมองนาทีทองของธุรกิจถัดไป และถ้าจะให้สมบูรณ์แบบ ต้องซื้อหุ้นในช่วงเวลาที่ราคาหุ้นตกต่ำ ทุกอย่างดูเลวร้าย นี่อาจจะเป็นนาทีที่โหดร้ายสำหรับนักลงทุนทั่วไป แต่มันคือนาทีทองของนักลงทุนที่จะเป็นผู้ชนะ