โค้ด: เลือกทั้งหมด
เวลาล่วงเลยมาเกือบ 9 เดือนของปี 2557 แม้ประเทศไทยต้องเผชิญความไม่แน่นอนรอบด้านมานานในช่วงครึ่งแรกของปี แต่ปัจจุบันประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีที่พร้อมนำพาประเทศก้าวเดินหน้าต่อไป ตลาดหุ้นไทยจึงให้ผลตอบแทนการลงทุนในเกณฑ์ดีมากแห่งหนึ่งของโลก ลองมาดูข้อมูลที่สำคัญจนถึงวันที่ 12 กันยายน 2557 ว่าตลาดหุ้นไทยมีพัฒนาการอย่างไรบ้าง
ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,581.36 จุด เพิ่มขึ้นจากต้นปีถึง +21.8% มีมูลค่าตลาดโดยรวมสูงถึง 14,337,833 ล้านบาท ปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ PE 18.36 เท่า PBV 2.27 เท่า อัตราหมุนเวียนปริมาณการซื้อขาย (YTD, Turnover Ratio) ที่ 97.47% มีอัตราเงินปันผลตอบแทนอยู่ที่ 2.84%
ดัชนีตลาด mai ปิดที่ระดับ 685.75 จุด ปรับสูงขึ้นจากต้นปีถึง +92.2% หรือเกือบเท่าตัว ทำให้มีมูลค่าตลาดโดยรวมเพิ่มเป็น 333,593 ล้านบาท ซื้อขายที่ระดับ PE 80 เท่า PBV 4.88 เท่า อัตราหมุนเวียนปริมาณการซื้อขายมากถึง 286% โดยมีอัตราเงินปันผลตอบแทนอยู่ที่ 1% หากศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมจะพบว่า 5 อันดับหลักทรัพย์ที่มีมูลตลาดสูงสุดได้แก่ EA 89,520 ล้านบาท EFORL 17,296 ล้านบาท AIRA 13,003 ล้านบาท CGD 12,178 ล้านบาทและ AUCT 9,955 ล้าน โดยทั้ง 5 บริษัทมีสัดส่วนสูงถึง 42.5% ของมูลค่าตลาด mai โดยรวมจากทั้งหมด 104 บริษัท
หากพิจารณาในด้านระดับ PE จะพบว่าหุ้น mai ที่ PE สูงสุด 10 อันดับแรก มีการซื้อขายที่ระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด mai ที่ 80 เท่า นอกจากนี้หุ้น 20 อันดับแรก ยังซื้อขายที่ PE สูงกว่า 63 เท่าอีกด้วย ส่วนในด้าน BPV นั้นหุ้นในตลาด mai 20 อันดับแรกซื้อขายที่ PBV 4.53 เท่าโดย หุ้นที่ซื้อขายที่ระดับ PBV สูงสุดนั้นสูงถึง 23.24 เท่า
จากปริมาณการซื้อขายที่หนาแน่น นักลงทุนทั่วไปในประเทศมีสัดส่วนการซื้อขายในตลาด SET ตั้งแต่ต้นปีเฉลี่ย 56.6% ของปริมาณซื้อขายรวม โดยข้อมูลซื้อขายครึ่งเดือนกันยายนยังเพิ่มขึ้นเป็น 65.0% นักลงทุนต่างชาติลดสัดส่วนจากซื้อขายเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปีที่ 23.2% ลงมาเหลือ 17.1% โดยนักลงทุนสถาบันและบัญชีหลักทรัพย์มีสัดส่วนใกล้เคียงเดิมที่ประมาณ 9-10% สำหรับสัดส่วนการซื้อขายในตลาด mai นั้น ด้วยข้อจำกัดและเงื่อนไขการลงทุนของนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างประเทศ จึงทำให้นักลงทุนทั่วไปในประเทศมีสัดส่วนสูงถึงกว่า 97% ของปริมาณการซื้อขายรวมตลอดมา
จากข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมา อาจพอสรุปได้ว่า ผู้ที่ได้ผลตอบแทนการลงทุนที่ดีในการลงทุนในตลาดหุ้นไทย คือกลุ่มนักลงทุนทั่วไปในประเทศ และหากเลือกเน้นการลงทุนหุ้นในตลาด mai แบบถูกที่ถูกเวลาแล้ว ชีวิตอาจเปลี่ยนจนถึงขั้นเป็น “เศรษฐีใหม่” หรือ “เศรษฐี mai” ได้ในช่วงเวลาไม่นานเลย
หากลองวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ราคาหุ้นในตลาด mai ปรับตัวสูงขึ้นมาก อาจเป็นเพราะปัจจัยดังต่อไปนี้ ปัจจัยแรก หุ้น mai มีความ “สดใหม่” ทั้งในด้านข้อมูลและเรื่องราวที่น่าติดตามเมื่อเทียบกันหุ้นในตลาด SET นอกจากนี้ หุ้น mai ส่วนหนึ่งคือหุ้น IPO หรือเพิ่งมีการปรับโครงสร้างให้อยู่ในธุรกิจตามกระแส การเข้าลงทุนในบริษัท mai ยังให้ความรู้สึกว่าไม่เสียเปรียบเรื่องราคาต้นทุนนักเพราะเริ่มเข้าลงทุนในเวลาใกล้เคียงกับนักลงทุนอื่น ปัจจัยที่สอง หุ้น mai ยังไม่ได้ถูกจัดกลุ่มแบ่งตามประเภทธุรกิจ นักลงทุนบางส่วนจึงอาจตัดสินใจลงทุนโดยไม่ได้พิจารณาเทียบเคียงกับระดับความถูกแพงของกิจการประเภทธุรกิจเดียวกัน ปัจจัยที่สาม หุ้น mai ส่วนใหญ่มีขนาดเล็กและมีจำนวนหุ้นหมุนเวียนไม่มากนัก หากเกิดกระแสนักลงทุนสนใจเข้ามาลงทุนในกิจการเดียวกัน ราคาอาจปรับตัวสูงขึ้นได้ไม่ยาก ปัจจัยสุดท้าย กระแสเงินลงทุนจากนักลงทุนทั่วไปในประเทศยังคงไหลเข้าตลาด mai อย่างต่อเนื่อง จากปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพียงไม่กี่พันล้านบาท และแตะระดับหมื่นล้านบาทในปัจจุบัน ย่อมเป็นส่วนสำคัญทำให้ราคาหุ้นปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
หากถามว่าตลาดหุ้นจะปรับขึ้นไปจากนี้อีกมากน้อยเพียงใด คงไม่มีใครตอบได้อย่างถูกต้องแม่นยำ แต่คำพูดกวนๆ ที่ว่า “หุ้นจะปรับขึ้นไปเรื่อยๆ จนกว่าถึงจุดที่มันจะลง และเมื่อปรับตัวลงไปเรื่อยๆ จนกว่าถึงจุดที่มันจะขึ้น” จะเป็นจริงเมื่อเวลานั้นมาถึง นักลงทุนจึงต้องตอบคำถามของตนที่ว่า ตลาดหุ้นไทยในยามนี้อยู่ที่จุดใด และต้องใช้ “สติและเหตุผล” และต้อง “หลีกเลี่ยงการใช้อารมณ์” ในการตัดสินใจในการลงทุนทุกครั้ง
ในวันนี้ ขอแสดงความยินดีกับนักลงทุนทุกท่านที่สร้างผลตอบแทนได้อย่างยอดเยี่ยมในเวลานี้ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรต้องพิจารณาและทบทวนถึงแนวทาง วิธีการ ขบวนการลงทุนว่าสามารถ “ทำซ้ำ” เพื่อเพิ่มความมั่งคั่งโดยได้รับผลตอบแทนในระดับที่ดีเช่นเดิมในอนาคตได้มากน้อยเพียงใด หากคิดว่ายังทำได้ ก็เปรียบเสมือนการค้นพบสูตรสำเร็จในการลงทุนที่น่าทึ่งทีเดียว แต่หากยังไม่มั่นใจ นี่คือ ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการทบทวนและปรับกลยุทธ์การลงทุนของตน เพราะช่วงเวลาเปลี่ยนชีวิตเป็น “เศรษฐีใหม่” อาจเป็นเพียงช่วงเวลาหนึ่งที่ได้ผลตอบแทนที่เข้าข่าย “Too good to be true” นั่นเอง