โค้ด: เลือกทั้งหมด
หลายดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มและทิศทางดีขึ้น ส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนโดยรวมทำให้ดัชนีดาวโจนส์ของตลาดหุ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 17,279 จุดเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2557 อย่างไรก็ตาม ดัชนีดาวโจนส์มีความผันผวนและปรับตัวลงมาอยู่ที่ 16,544 จุด เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2557 ที่ผ่านมา เป็นการปรับลดลงต่อเนื่องถึง 4.25% ในเวลาเพียงสามสัปดาห์
หลังจากประเทศไทยมีรัฐบาลอย่างเป็นทางการส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนเช่นกัน ดัชนีตลาดหุ้นไทย SET ปรับตัวสูงสุดใหม่ที่ 1,600 จุดเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2557 แต่ทั้งปัจจัยจากภายในและภายนอกประเทศทำให้ดัชนีผันผวนต่อเนื่อง ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1552 จุดเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2557 หรือลดลง 3% ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
การปรับลดลงของตลาดหุ้นไทยโดยรวม อาจทำให้นักลงทุนที่ติดตามการเคลื่อนไหวราคาหุ้นอย่างใกล้ชิดและคุ้นเคยกับการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นที่ตนถือ รู้สึกเสียดายเสียใจ และหวั่นไหวกับความผันผวนที่เกิดขึ้น นี่คือ สภาวะที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่นักลงทุนทุกคนจะต้องเผชิญ ทัศนคติและมุมมอง “เชิงบวก” คือแก่นสำคัญอย่างหนึ่งในการลงทุนแบบเน้นคุณค่าที่มุ่งเน้นการลงทุนในระยะยาว ลองมาดูกันว่า ในภาวะเช่นนี้ “vi โลกสวย” ควรมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนอย่างไร
กรณีแรก หากตลาดหุ้นไทยยังคงปรับตัวลดต่ำลงต่อไปอีกระยะหนึ่ง นักลงทุนต้องไม่ลืมว่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 10 ตุลาคม 2557 นั้น ตลาดหุ้น SET ให้ผลตอบแทนรวมเงินปันผลสูงกว่า 20% และกว่า 90% สำหรับตลาดหุ้น mai แม้ผลตอบแทนจะไม่สูงนักหากเปรียบเทียบกับผลตอบแทน 90% ของตลาดหุ้นประเทศอาร์เจนตินาหรือ 47% ของตลาดหุ้นดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แต่หากเปรียบเทียบกับผลตอบแทน 0% หรือแทบไม่เปลี่ยนแปลงของตลาดหุ้นดาวน์โจนส์ 1.2% ของตลาดหุ้นแนสแด็ก 2.7% ของตลาดหุ้น S&P500 ประเทศสหรัฐอเมริกา -5.0% ของตลาดนิเคอิของญี่ปุ่น -4.7% ของตลาดหุ้นลอนดอนของอังกฤษ และ -5.73% ของตลาดหุ้นแฟรงก์เฟิร์ตของเยอรมัน vi โลกสวยต้อง “พอใจและมีความสุข” กับสภาวะการลงทุนของตลาดหุ้นไทยปีนี้
กรณีที่สอง แม้ vi ควรเข้าลงทุนในระดับที่มี Margin of Safety แต่เมื่อราคาหุ้นปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง การเปรียบเทียบผลตอบแทนของตนกับตลาดหรือกับเพื่อนนักลงทุนรอบข้าง ทำให้ vi ที่เคยถือเงินสดหรือเคยรีรออยู่หมดความอดทนและเพิ่งตัดสินใจเข้าลงทุน ส่งผลขาดทุนทางบัญชี หากราคาหุ้นยังลดลงต่อเนื่องจนถึงจุดที่มี Margin of Safety เพียงพอแล้ว vi โลกสวยต้องเห็นเป็น “โอกาส” เพิ่มสัดส่วนลงทุนหากพิจารณาอย่างรอบคอบพบว่าเป็นกิจการที่ยอดเยี่ยมและยังมีแนวโน้มผลประกอบการดีขึ้นต่อเนื่องในอนาคต แต่หากทบทวนแล้วว่าการเข้าลงทุนที่ผ่านมาเป็นการตัดสินใจโดยใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล vi โลกสวยต้องถือว่าเป็น “ค่าวิชา” สำหรับบทเรียนที่คุ้มค่าในการป้องกันความผิดพลาดซ้ำที่อาจสร้างความสูญเสียมากกว่าในอนาคต
กรณีที่สาม หากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยและผลประกอบการของกิจการยังแข็งแกร่งต่อเนื่อง ย่อมต้องส่งผลดีต่อราคาหุ้นและตลาดหุ้นไทย ไม่เพียงเฉพาะ vi โลกสวยแต่นักลงทุนทุกคนต้องมีความสุขกันถ้วนหน้าจากความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้น การจะเพิ่มสัดส่วนลงทุนคงมีเพียงกรณีเดียวคือ การพิจารณา upside/downside risk อย่างรอบคอบแล้วว่าคุ้มค่า นักลงทุนต้องคำนึงไว้เสมอว่า ราคาหุ้นส่วนใหญ่ในปัจจุบันนั้น ไม่ถือว่าอยู่ในระดับราคาที่ถูกจนถึงกับ “รอไม่ได้” เช่นกัน
กรณีสุดท้าย หากตลาดหุ้นไทยหรือหุ้นที่ตนถืออยู่เคลื่อนไหวในกรอบราคาแคบๆ (sideway) จนถึงสิ้นปี 2557 และนักลงทุนยังได้ผลตอบแทนตามเป้าหมายหรืออยู่ในระดับ 12-15% ต่อปี นักลงทุนทุกคนก็ควรพอใจ เพราะเป็นระดับผลตอบแทนที่สมเหตุสมผลในการลงทุนระยะยาว vi โลกสวยที่มีรายได้จากภาระหน้าที่งานประจำ ก็เป็นโอกาสดีที่จะสะสมเงินส่วนเกินเพื่อพร้อมเพิ่มสัดส่วนการลงทุนเมื่อโอกาสมาถึง ส่วน vi โลกสวยที่ลงทุนเต็มเวลา นี่คือโอกาสดีที่จะจัดสรรเวลาสำหรับกิจกรรมที่ตนชื่นชอบ ทำประโยชน์ต่อเอง คนรอบข้างและสังคมส่วนรวมได้อย่างดี
หากตัดสินใจแน่วแน่ที่จะลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นแล้ว การมีแต่มุมมองเชิงลบ การไม่พอใจการตัดสินใจของตน รู้สึกไม่เป็นสุข เสียดาย เสียใจและมักเกิดอาการ “รู้งี้” ล้วนเป็นการบั่นทอนสภาวะจิตใจโดยไม่จำเป็น อาจส่งผลให้ไม่สามารถ “ยืนระยะ” อยู่ในตลาดหุ้นได้อย่างยาวนาน จะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่งหากต้องแพ้ภัยตนเองและล้มเลิกภาระกิจการลงทุนและเป้าหมายที่ตนเคยตั้งไว้
ในฐานะ Value Investor นักลงทุนทุกคนจำเป็นต้องมีทัศนคติและมุมมองเชิงบวก และต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า แม้ในระยะสั้นตลาดหุ้นจะมีความผันผวน แต่การมีสภาวะจิตใจที่ดีและไม่เสียกำลังใจยามเพลี่ยงพล้ำในการรบย่อยชั่วคราว ย่อมจะมีโอกาส “ชนะสงครามใหญ่” หรือถึงเป้าหมายการลงทุนระยะยาวในที่สุด