โค้ด: เลือกทั้งหมด
ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไม่ว่าจะเป็นตลาด SET หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาด MAI รวมไปถึงตลาดอสังหาริมทรัพย์ เช่นบ้าน คอนโด ที่ดิน มีกระแสของการเก็งกำไรมากขึ้นเรื่อย ๆ จะเห็นได้จากพื้นฐานที่รองรับของสินทรัพย์ เช่น อัตราเงินปันผล หรือผลตอบแทนค่าเช่า เริ่มไม่สมเหตุผลมากขึ้นกับการเพิ่มขึ้นของราคาสินทรัพย์ ทุกคนซื้อสินทรัพย์โดยคาดหวัง Capital gain หรือกำไรจากการ “ขายต่อ”ในราคาที่แพงขึ้น
ข้อมูลทางสถิติจากหนังสือ The Crash of the Culture ของ John Bogle บ่งชี้ว่าตลาดทุนกำลังเคลื่อนตัวไปสู่เกมเก็งกำไรมากขึ้นเรื่อย ๆ ในปีคศ. 1951 อัตราการซื้อขายหมุนเวียนหุ้นในตลาดสหรัฐมีอยู่เพียง 15% ของมูลค่าตลาด (นั่นหมายถึงว่ามีการถือหุ้นแต่ละตัวเฉลี่ยประมาณ 6-7ปี) แต่การหมุนเวียนก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนเป็น 250% ในปี 2011 (แปลว่าคนถือหุ้นเฉลี่ยเหลือเพียงแค่ 4 เดือน)
ข้อมูลของประเทศไทยก็เป็นในทิศทางเดียวกัน ในปี 2556 ตลาด SET มีอัตราการซื้อขายหมุนเวียนหุ้น 102% ซึ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เหตุผลที่ตัวเลขต่ำกว่าอเมริกามากส่วนหนึ่งผมคิดว่าเกิดจากบริษัท “มหาชน” ในประเทศไทยยังไม่ใช่มหาชนโดยแท้จริง แต่เป็นบริษัทที่มีเจ้าของชัดเจน ซึ่งหุ้นส่วนเจ้าของแทบจะไม่มีการหมุนเวียน ดังนั้นอัตราการหมุนเวียนจริง ๆ ซึ่งคิดจากเฉพาะ Free Float อาจจะใกล้เคียง 200%
แต่สำหรับตลาด MAI แล้ว สถิติยิ่งน่าสนใจกว่า ในปี 2556 มีอัตราการซื้อขายถึง 312% และเพิ่มเป็น 971% ในช่วงเดือนกันยายน 2557 ที่ผ่านมา นั่นแสดงถึงสัญญาณความร้อนแรงในการเก็งกำไรของตลาด MAI แน่นอนว่าถ้าพูดเฉพาะเจาะจงเป็นหุ้นบางตัว จะได้ตัวเลขที่สูงกว่านี้มาก
มุมมองของ Bogle นี่อาจจะเป็นแนวโน้มใหญ่ของตลาดหุ้นที่อัตราส่วนนักลงทุนจะน้อยลงเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับนักเก็งกำไร ด้วยหลาย ๆ เหตุผล รวมไปถึงกระแส “สังคม” ในภาพใหญ่ ซึ่งนิยม “ความเร็ว” มากขึ้นในทุก ๆ กิจกรรมของมนุษย์ รวมไปถึงเทคโนโลยี อินเตอร์เน็ตที่ช่วยหนุนเกมเก็งกำไร แต่นี่อาจจะเป็นการเสียสมดุลทางอัตราส่วนที่เหมาะสมระหว่างการเก็งกำไรและการลงทุน อันที่จริงแล้วนักลงทุนและนักเก็งกำไรจะเกื้อหนุนกัน เพราะนักเก็งกำไรจะเพิ่มเติมสภาพคล่อง ส่วนนักลงทุนจะจัดสรรทรัพยากรให้ราคาหุ้นสอดคล้องกับมูลค่าในระยะยาว แต่หากสมดุลนี้เสียไป ก็จะส่งผลไม่ดีนักต่อประสิทธิภาพของตลาดทุน เนื่องจาก ณ จุด ๆ หนึ่ง กิจกรรมการเก็งกำไรเพิ่มมูลค่าให้เศรษฐกิจน้อยมาก เนื่องจากเป็น Zero Sum Game (ผลลัพท์ของผู้เล่นทุกคนเท่ากับศูนย์) แต่นักเก็งกำไรจำนวนมากต้องทุ่มเทเวลา และทรัพยากร แทนที่จะใช้ทรัพยากรไปสร้างสิ่งที่เกิดมูลค่าเพิ่มมากกว่า
หากพูดถึงแรงจูงใจของนักเก็งกำไรแล้ว นักเศรษฐศาสตร์อย่างจอห์น เมนาร์ด เคน พูดเรื่องเกมเก็งกำไรไว้อย่างน่าสนใจว่า เกมของนักเก็งกำไร คือเกมคาดเดาอนาคตของ “ตลาด” ได้ดีกว่าตัวของ “ตลาด” เอง แต่แทนที่จะลงทุนในสิ่งที่นักลงทุนมองว่ามีคุณภาพดีในระยะยาว นักเก็งกำไรจะมองถึงทิศทางของราคาที่จะขับเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว มากกว่าพื้นฐานกิจการซึ่งมักกินระยะเวลายาวนานกว่ามาก ดังนั้น “ความเร็ว” คือสเน่ห์หลักอย่างหนึ่ง
ของการเก็งกำไร และการชอบความท้าทายและตื่นเต้นก็อยู่ในยีนส์มนุษย์อยู่แล้ว
แม้ว่านักลงทุนทั่วไปจะมองการเก็งกำไรว่าเป็นการพนัน แต่อันที่จริง การเก็งกำไรคือการใช้ข้อมูลจำนวนมากเพื่อประเมินทิศทางของตลาด มากเสียไปกว่าการพึ่งพาดวงหรือความน่าจะเป็นอย่างเดียวเหมือนเกมการพนัน ไม่ต่างจากนักลงทุนที่ต้องการข้อมูลจำนวนมากเพื่อประเมินคุณภาพกิจการเช่นเดียวกัน ส่วนต่างสำคัญคือความจำเป็นในการเข้าถึงข้อมูลอย่างรวดเร็วของนักลงทุนนั้นน้อยกว่ามาก ข้อมูลของนักเก็งกำไรต้อง “เร็วกว่า” ซึ่งความเร็ว ในการเข้าถึงข้อมูลของผู้เล่นแต่ละคนในตลาดเก็งกำไรจะส่งผลอย่างมากต่ออัตราผลตอบแทนและโอกาสแพ้ชนะ
และความเชื่อสำคัญที่เหมือนกันระหว่างนักลงทุนและนักเก็งกำไร คือ ตลาดไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้ราคาจะเคลื่อนตัวออกจาก “มูลค่า” เสมอ ๆ ซึ่งเป็นช่องว่างให้เก็บเกี่ยวผลตอบแทนเพื่อให้ชนะตลาดได้ ความเหมือนหลาย ๆ อย่างระหว่างการลงทุนและการเก็งกำไร ทำให้สองกิจกรรมนี้เป็นเหมือนเส้นบาง ๆ ระหว่างกันเสมอ
ส่วนตัวผมคิดว่าในฐานะนักลงทุนรายย่อยทั่ว ๆ ไป วิธีการลงทุนที่น่าจะเหมาะที่สุดคือเกมการลงทุนระยะยาว เพราะคุณไม่ต้องเสียแต้มต่อจากปัจจัยหลายอย่างในเกมเก็งกำไร เช่นการเข้าถึงข้อมูลที่เร็วกว่า และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เวลา “เฝ้า” มากเหมือนกิจกรรมเก็งกำไร สามารถใช้เวลาไปสร้างผลิตผลอย่างอื่น ที่สำคัญมันคือเกมที่สามารถ “ชนะไปด้วยกัน” เพราะมูลค่ากิจการที่ดีมีแต่จะเพิ่มขึ้นในระยะยาว แต่ถ้าคุณอยู่ในเกมเก็งกำไร อย่าลืมว่านี่คือ Zero Sum Game ผู้ชนะจะมีได้เพราะมีผู้แพ้ และผู้ชนะที่คุณเห็น คือคนส่วนน้อยมาก ๆ ของผู้แพ้ที่เดินจากไปจากตลาด โดยไม่เคยได้พูดหรือไม่มีโอกาสพูดอะไร (ผลการวิจัยของสมาคม North American Securities Administrators สรุปไว้ว่าโอกาสชนะในระยะยาวของเกมเก็งกำไรมีเพียง 12% เท่านั้น)