ฟองสบู่ของนักลงทุน/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1827
- ผู้ติดตาม: 1
ฟองสบู่ของนักลงทุน/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 1
ในแวดวงตลาดหุ้นและการลงทุนนั้น เราคุ้นเคยกับเรื่องของการ “เฟ้อ” ของราคาหลักทรัพย์หรือที่มักเรียกกันว่า “ฟองสบู่” ซึ่งความหมายก็คือ ราคาหลักทรัพย์ปรับขึ้นไปสูงกว่า “พื้นฐาน” ที่ควรเป็นอันมาก ซึ่งอาการแบบนั้น ในที่สุดแล้วมันก็มักจะ “แตก” นั่นก็คือ ราคาก็จะตกลงมาแรงจนถึงราคาพื้นฐานหรือต่ำกว่านั้น เช่นเดียวกับราคาหุ้นหรือหลักทรัพย์ สิ่งอื่น ๆ ที่ปรับตัวขึ้นไปมากเกินกว่าที่ควรเป็นมาก อาจจะไม่ใช่เรื่องของราคา แต่เป็นเรื่องของปริมาณหรือแม้แต่ความรู้สึกทางสังคม เราก็อาจจะเรียกว่าเป็น “ฟองสบู่” ได้เหมือนกัน และฟองสบู่ที่ว่านั้น ในที่สุดมันก็มักจะ “แตก” และทุกอย่างก็จะปรับลดลงมาอยู่ในระดับที่เหมาะสมซึ่งเป็นระดับที่น้อยลงไปมาก หนึ่งใน “ฟองสบู่” ที่ผมเห็นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาพร้อม ๆ กับการปรับตัวขึ้นอย่างแรงของหุ้นโดยเฉพาะที่เป็นหุ้นขนาดเล็กก็คือ “ฟองสบู่ของนักลงทุนส่วนบุคคล”
อาการ “ฟองสบู่ของนักลงทุน” นั้น เห็นได้ชัดจากเครื่องชี้มากมายที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาหลายปี เรื่องแรกก็คือ จำนวนคนทั่วไปที่ไม่ได้เชี่ยวชาญการลงทุนเข้ามาลงทุนหรือเล่นหุ้นเองนั้น เพิ่มขึ้นมาก บางคนอาจจะเข้ามาลงทุนในกองทุนรวม ซึ่งบางทีก็ดูเหมือนว่าเขาต้องการลงทุนระยะยาวเพื่อการ “เกษียณ” และดังนั้นก็อาจจะไม่เกี่ยวกับการเร่งตัวของนักลงทุนหรือการเล่นหุ้น แต่เมื่อดูไปแล้วผมเองก็สงสัยว่าพวกเขาจำนวนไม่น้อยนั้นกลับเป็นนัก “เก็งกำไร” จากการผันผวนของตลาดหุ้น หลักฐานอยู่ที่ว่า คนที่ลงทุนในกองทุนรวมจำนวนไม่น้อยเข้าไปซื้อกองทุน “ทริกเกอร์ฟันด์” โดยเฉพาะของตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยหวังที่จะทำกำไรเร็วและออกจากการลงทุนในจังหวะที่เหมาะสม
นอกจากหุ้นแล้ว นักลงทุนที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นมากนั้น ยังพร้อมที่จะเข้าไปเล่นอะไรก็ได้ถ้าเขาคิดว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะสั้น เช่น วอแร้นต์ ทอง น้ำมัน คอนโด หรือบางทีก็อาจจะรวมไปถึงตราสารหรือการลงทุนที่ซับซ้อนอื่น ๆ เช่น กองทุนรวมอสังหาฯหรือกองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ซับซ้อนบางกอง และอาจจะรวมไปถึงการซื้อขาย “เงินดิจิตอล” ที่มีความเสี่ยงสูงมากแต่ในความคิดของเขาอาจจะ “ไม่เสี่ยง” อย่าลืมว่าในช่วง “ฟองสบู่” นั้น คนจะ “ไม่กลัวความเสี่ยง”
สัญญาณที่สองของฟองสบู่ของนักลงทุนก็คือ มี “เซียน” เกิดขึ้นมาก ความเป็นเซียนนั้น มักจะเกิดขึ้นจากการที่เขาสามารถทำเงินจากการลงทุนได้สูงมากในเวลาอันสั้นด้วยการลงทุนซื้อขายหุ้นหรือทรัพย์สินบางตัวในปริมาณที่มากเมื่อเทียบกับความมั่งคั่งของตนและข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวนั้นถูกเผยแพร่ออกมาผ่านสื่อที่มีคนติดตามกันมากทั้งที่เป็นสื่อมวลชนและสื่อสังคมอื่น ๆ ที่มีมากมายในวันนี้ นอกจากนั้น บางคนก็อาจจะเป็น “เซียน” ได้จากการที่พอร์ตมีขนาดใหญ่เป็น “พันล้านบาท” โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีสถิติหรือผลตอบแทนการลงทุนที่เห็นเป็นประจักษ์
ความหลากหลายของ “เซียน” หรือบางครั้งก็เรียกว่า “กูรู” การลงทุนเองนั้น ก็มีมากมายตามฐานะ ผลงาน หรือ ชีวิต ของแต่ละคนที่ได้รับการกล่าวขวัญหรือได้มีการเปิดเผยออกมาสู่สาธารณะ ผมคิดว่าในช่วงที่ผ่านมานั้น เราแทบจะเห็น “เซียน” เกิดใหม่ แทบจะทุกเดือนหรือบางทีติดต่อกันหลายสัปดาห์ กูรูคนใหม่นั้นก็มักจะมีผลงานและชีวิตที่ “น่าทึ่ง” เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับที่อายุของเซียนคนใหม่เองนั้นก็มีแนวโน้มจะน้อยลง บางคนอายุเพิ่งจะ 30 ปีเศษก็ประสบความสำเร็จและอ้างว่ามีความมั่งคั่งเป็นร้อยหรือพันล้านบาทแล้วจากการลงทุนไม่ถึง 10 ปีด้วยซ้ำ นอกจากนั้น ชีวิตของเซียนเองก็ดูว่าเหมือน “เทพนิยาย” หรือ “มหัศจรรย์” ขึ้นทุกที ประวัติการทำงานหรือผลงานนั้นบางทีไม่รู้ว่าเคยทำอะไรแต่ความสำเร็จจากการลงทุนนั้นมาง่ายแทบจะ “พลิกฝ่ามือ” แต่เขาก็มักจะเล่าว่ามันผ่าน “อุปสรรคและวิกฤติ” มามากมายก่อนที่จะมาเป็น “เขาในวันนี้”
ฟองสบู่ของนักลงทุนเองนั้น ยังเห็นได้จาก “ความคาดหวังผลตอบแทน” จากการลงทุนที่สูงเกินกว่าที่จะเป็นในระยะยาว นักลงทุนส่วนบุคคลส่วนใหญ่ในขณะนี้น่าจะคิดว่าตนเองสามารถลงทุนแล้วได้ผลตอบแทนไม่น้อยกว่า 15-20% ต่อปีในระยะยาวได้อย่างไม่ยากเย็นนัก เหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาได้รับคำบอกว่าผลตอบแทนเฉลี่ยในระยะยาวของตลาดหุ้นไทยนั้นอยู่ที่ประมาณ 12% ต่อปี (ซึ่งไม่จริง) ดังนั้น ด้วยการลงทุนเองพวกเขาเชื่อว่าจะสามารถทำผลตอบแทนได้สูงกว่านั้น คนที่ลงทุนเองและประสบความสำเร็จ “อย่างงดงาม” ในช่วงที่ผ่านมาหลายปีจึงมักจะตั้งเป้าผลตอบแทนของตนเองสูง คนที่คิดว่าตนเอง “ไม่เก่ง” ก็อาจจะตั้งไว้ปีละ 15% หรือพอร์ตโตเป็นเท่าตัวใน 5 ปี รายที่คิดว่าตนเองก็เป็น “เซียน” อาจจะตั้งไว้สูงถึงขนาดว่า “10 ปีโต 10 เท่า” หรือโตปีละประมาณ 26% หรือมากกว่านั้น ซึ่งก็แปลว่าภายในเวลาไม่กี่ปีก็จะมีเงินเป็นร้อยเป็นพันหรือหมื่นล้านบาทได้ในชั่วชีวิตนี้
แนวความคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการลงทุนที่จะประสบความสำเร็จนั้น มีมากมายตาม “เซียน” หรือ “กูรู” ที่ประสบความสำเร็จสูง ทฤษฎีการเงินที่เป็นวิชาการและได้รับการพิสูจน์จากนักวิชาการในระดับสากลที่บอกว่าการลงทุนนั้นเป็นเรื่องยากที่จะเอาชนะตลาด ทฤษฎีการเงินที่บอกว่าผลตอบแทนการลงทุนนั้นขึ้นอยู่กับความเสี่ยง ผลตอบแทนที่สูงในตลาดหุ้นนั้นมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงนั้น ไม่มีใครสนใจที่จะฟัง ในตลาดหุ้นไทยวันนี้ ดูเหมือนว่าทุกทฤษฎีหรือหลักการนั้น สามารถทำกำไรได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณทำได้ถูกต้องแค่ไหน ในบางช่วง Value Investment ดูเหมือนว่าจะโดดเด่นมากเมื่อ เซียนหุ้น VI กำลังมาแรงและทุกคนต่างก็เป็น VI ในบางช่วง “เทคนิคอล” เองก็เป็นวิธีการที่ทำกำไรได้ดี ถ้าคุณมี “วินัยกับกราฟ” ในหลาย ๆ โอกาส “เกร็ดการลงทุน” ของ “เซียน” คนนั้นคนนี้คือวิธีที่จะทำเงินได้มากกว่าการยึดทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่งตายตัว
“อิทธิพล” และ “บารมี” ของนักลงทุนส่วนบุคคลก็เป็นอาการอีกอย่างหนึ่งของ “ฟองสบู่นักลงทุน” ผมเชื่อว่าเวลานี้ นักลงทุนกลายเป็นคนอีกกลุ่มหนึ่งที่มีกำลังซื้อในระดับสูงมากที่คนค้าขายของหรูของแพงให้ความสนใจ รถหรูระดับเฟอร์รารี่ คอนโดราคายูนิตละเป็นร้อยล้านบาท อาหารหรูหราจากเชฟระดับมิชลินหลายดาว นั้นผมคิดว่ามีลูกค้าที่เป็นนักลงทุนที่มีความมั่งคั่ง “ระดับมหาเศรษฐี” ในช่วงที่ผ่านมาหลายปีอยู่ไม่น้อย นี่ยังไม่รวมรถหรูระดับเบนซ์ คอนโดราคา 10 ล้าน และสินค้าหรูอย่างอื่นที่มีลูกค้าที่เป็นนักลงทุน “อาชีพ” ที่มีความมั่งคั่งเกินอายุอยู่ไม่น้อย ในส่วนของบริษัทหรือธุรกิจเองนั้น อิทธิพลของนักลงทุนต่อผู้บริหารหรือการจัดการบริษัทนั้นผมเห็นว่าสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับระดับที่ควรจะเป็นอย่างเช่นในต่างประเทศ นักลงทุนส่วนบุคคลไทยนั้น ผมคิดว่ามีสิทธิมีเสียงและเป็นกลุ่มคนที่บริษัทต้องคำนึงถึงมาก พวกเขาต้องให้ข้อมูล ต้องฟัง และอาจจะต้องปฏิบัติตาม ในหลาย ๆ กรณีในระยะหลังนั้น นักลงทุนส่วนบุคคลสามารถเข้าไป “ยึดกุม” การบริหารของบริษัทได้ด้วยซ้ำ
สื่อสารเกี่ยวกับการลงทุนที่มีมากมายในปัจจุบันและแทบทุกรายการนั้นเน้นที่การลงทุนของนักลงทุนส่วนบุคคลก็เป็นอาการอีกอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่ามีฟองสบู่ของนักลงทุนอยู่ แม้แต่รายการที่เป็นMass และเป้าหมายคือชาวบ้านทั่ว ๆ ไปนั้น บางครั้งก็เริ่มเห็นการสัมภาษณ์นักลงทุนหรือดึงนักลงทุนที่ “ประสบความสำเร็จสูง” มาร่วมรายการ “เซเลบ” ที่เป็นนักลงทุนและเป็น “คนรุ่นใหม่” มีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และนั่นก็คือสัญญาณทั้งหมดที่ทำให้ผมเชื่อว่าเรากำลังมีฟองสบู่ของนักลงทุน ผมเองเชื่อว่า “ฟองสบู่” นี้จะต้องแตกซักวันหนึ่ง อาจจะตามการชะลอตัวลงยาวนานหรือการ “แตก” ของ “ฟองสบู่” ตลาดหุ้น—ถ้ามี และหลังจากนั้น นักลงทุนก็จะกลับไปมีสถานะตามเดิมก่อนที่จะเกิดฟองสบู่ นั่นก็คือ เป็นคนธรรมดา ๆ
อาการ “ฟองสบู่ของนักลงทุน” นั้น เห็นได้ชัดจากเครื่องชี้มากมายที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาหลายปี เรื่องแรกก็คือ จำนวนคนทั่วไปที่ไม่ได้เชี่ยวชาญการลงทุนเข้ามาลงทุนหรือเล่นหุ้นเองนั้น เพิ่มขึ้นมาก บางคนอาจจะเข้ามาลงทุนในกองทุนรวม ซึ่งบางทีก็ดูเหมือนว่าเขาต้องการลงทุนระยะยาวเพื่อการ “เกษียณ” และดังนั้นก็อาจจะไม่เกี่ยวกับการเร่งตัวของนักลงทุนหรือการเล่นหุ้น แต่เมื่อดูไปแล้วผมเองก็สงสัยว่าพวกเขาจำนวนไม่น้อยนั้นกลับเป็นนัก “เก็งกำไร” จากการผันผวนของตลาดหุ้น หลักฐานอยู่ที่ว่า คนที่ลงทุนในกองทุนรวมจำนวนไม่น้อยเข้าไปซื้อกองทุน “ทริกเกอร์ฟันด์” โดยเฉพาะของตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยหวังที่จะทำกำไรเร็วและออกจากการลงทุนในจังหวะที่เหมาะสม
นอกจากหุ้นแล้ว นักลงทุนที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นมากนั้น ยังพร้อมที่จะเข้าไปเล่นอะไรก็ได้ถ้าเขาคิดว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะสั้น เช่น วอแร้นต์ ทอง น้ำมัน คอนโด หรือบางทีก็อาจจะรวมไปถึงตราสารหรือการลงทุนที่ซับซ้อนอื่น ๆ เช่น กองทุนรวมอสังหาฯหรือกองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ซับซ้อนบางกอง และอาจจะรวมไปถึงการซื้อขาย “เงินดิจิตอล” ที่มีความเสี่ยงสูงมากแต่ในความคิดของเขาอาจจะ “ไม่เสี่ยง” อย่าลืมว่าในช่วง “ฟองสบู่” นั้น คนจะ “ไม่กลัวความเสี่ยง”
สัญญาณที่สองของฟองสบู่ของนักลงทุนก็คือ มี “เซียน” เกิดขึ้นมาก ความเป็นเซียนนั้น มักจะเกิดขึ้นจากการที่เขาสามารถทำเงินจากการลงทุนได้สูงมากในเวลาอันสั้นด้วยการลงทุนซื้อขายหุ้นหรือทรัพย์สินบางตัวในปริมาณที่มากเมื่อเทียบกับความมั่งคั่งของตนและข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวนั้นถูกเผยแพร่ออกมาผ่านสื่อที่มีคนติดตามกันมากทั้งที่เป็นสื่อมวลชนและสื่อสังคมอื่น ๆ ที่มีมากมายในวันนี้ นอกจากนั้น บางคนก็อาจจะเป็น “เซียน” ได้จากการที่พอร์ตมีขนาดใหญ่เป็น “พันล้านบาท” โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีสถิติหรือผลตอบแทนการลงทุนที่เห็นเป็นประจักษ์
ความหลากหลายของ “เซียน” หรือบางครั้งก็เรียกว่า “กูรู” การลงทุนเองนั้น ก็มีมากมายตามฐานะ ผลงาน หรือ ชีวิต ของแต่ละคนที่ได้รับการกล่าวขวัญหรือได้มีการเปิดเผยออกมาสู่สาธารณะ ผมคิดว่าในช่วงที่ผ่านมานั้น เราแทบจะเห็น “เซียน” เกิดใหม่ แทบจะทุกเดือนหรือบางทีติดต่อกันหลายสัปดาห์ กูรูคนใหม่นั้นก็มักจะมีผลงานและชีวิตที่ “น่าทึ่ง” เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับที่อายุของเซียนคนใหม่เองนั้นก็มีแนวโน้มจะน้อยลง บางคนอายุเพิ่งจะ 30 ปีเศษก็ประสบความสำเร็จและอ้างว่ามีความมั่งคั่งเป็นร้อยหรือพันล้านบาทแล้วจากการลงทุนไม่ถึง 10 ปีด้วยซ้ำ นอกจากนั้น ชีวิตของเซียนเองก็ดูว่าเหมือน “เทพนิยาย” หรือ “มหัศจรรย์” ขึ้นทุกที ประวัติการทำงานหรือผลงานนั้นบางทีไม่รู้ว่าเคยทำอะไรแต่ความสำเร็จจากการลงทุนนั้นมาง่ายแทบจะ “พลิกฝ่ามือ” แต่เขาก็มักจะเล่าว่ามันผ่าน “อุปสรรคและวิกฤติ” มามากมายก่อนที่จะมาเป็น “เขาในวันนี้”
ฟองสบู่ของนักลงทุนเองนั้น ยังเห็นได้จาก “ความคาดหวังผลตอบแทน” จากการลงทุนที่สูงเกินกว่าที่จะเป็นในระยะยาว นักลงทุนส่วนบุคคลส่วนใหญ่ในขณะนี้น่าจะคิดว่าตนเองสามารถลงทุนแล้วได้ผลตอบแทนไม่น้อยกว่า 15-20% ต่อปีในระยะยาวได้อย่างไม่ยากเย็นนัก เหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาได้รับคำบอกว่าผลตอบแทนเฉลี่ยในระยะยาวของตลาดหุ้นไทยนั้นอยู่ที่ประมาณ 12% ต่อปี (ซึ่งไม่จริง) ดังนั้น ด้วยการลงทุนเองพวกเขาเชื่อว่าจะสามารถทำผลตอบแทนได้สูงกว่านั้น คนที่ลงทุนเองและประสบความสำเร็จ “อย่างงดงาม” ในช่วงที่ผ่านมาหลายปีจึงมักจะตั้งเป้าผลตอบแทนของตนเองสูง คนที่คิดว่าตนเอง “ไม่เก่ง” ก็อาจจะตั้งไว้ปีละ 15% หรือพอร์ตโตเป็นเท่าตัวใน 5 ปี รายที่คิดว่าตนเองก็เป็น “เซียน” อาจจะตั้งไว้สูงถึงขนาดว่า “10 ปีโต 10 เท่า” หรือโตปีละประมาณ 26% หรือมากกว่านั้น ซึ่งก็แปลว่าภายในเวลาไม่กี่ปีก็จะมีเงินเป็นร้อยเป็นพันหรือหมื่นล้านบาทได้ในชั่วชีวิตนี้
แนวความคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการลงทุนที่จะประสบความสำเร็จนั้น มีมากมายตาม “เซียน” หรือ “กูรู” ที่ประสบความสำเร็จสูง ทฤษฎีการเงินที่เป็นวิชาการและได้รับการพิสูจน์จากนักวิชาการในระดับสากลที่บอกว่าการลงทุนนั้นเป็นเรื่องยากที่จะเอาชนะตลาด ทฤษฎีการเงินที่บอกว่าผลตอบแทนการลงทุนนั้นขึ้นอยู่กับความเสี่ยง ผลตอบแทนที่สูงในตลาดหุ้นนั้นมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงนั้น ไม่มีใครสนใจที่จะฟัง ในตลาดหุ้นไทยวันนี้ ดูเหมือนว่าทุกทฤษฎีหรือหลักการนั้น สามารถทำกำไรได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณทำได้ถูกต้องแค่ไหน ในบางช่วง Value Investment ดูเหมือนว่าจะโดดเด่นมากเมื่อ เซียนหุ้น VI กำลังมาแรงและทุกคนต่างก็เป็น VI ในบางช่วง “เทคนิคอล” เองก็เป็นวิธีการที่ทำกำไรได้ดี ถ้าคุณมี “วินัยกับกราฟ” ในหลาย ๆ โอกาส “เกร็ดการลงทุน” ของ “เซียน” คนนั้นคนนี้คือวิธีที่จะทำเงินได้มากกว่าการยึดทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่งตายตัว
“อิทธิพล” และ “บารมี” ของนักลงทุนส่วนบุคคลก็เป็นอาการอีกอย่างหนึ่งของ “ฟองสบู่นักลงทุน” ผมเชื่อว่าเวลานี้ นักลงทุนกลายเป็นคนอีกกลุ่มหนึ่งที่มีกำลังซื้อในระดับสูงมากที่คนค้าขายของหรูของแพงให้ความสนใจ รถหรูระดับเฟอร์รารี่ คอนโดราคายูนิตละเป็นร้อยล้านบาท อาหารหรูหราจากเชฟระดับมิชลินหลายดาว นั้นผมคิดว่ามีลูกค้าที่เป็นนักลงทุนที่มีความมั่งคั่ง “ระดับมหาเศรษฐี” ในช่วงที่ผ่านมาหลายปีอยู่ไม่น้อย นี่ยังไม่รวมรถหรูระดับเบนซ์ คอนโดราคา 10 ล้าน และสินค้าหรูอย่างอื่นที่มีลูกค้าที่เป็นนักลงทุน “อาชีพ” ที่มีความมั่งคั่งเกินอายุอยู่ไม่น้อย ในส่วนของบริษัทหรือธุรกิจเองนั้น อิทธิพลของนักลงทุนต่อผู้บริหารหรือการจัดการบริษัทนั้นผมเห็นว่าสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับระดับที่ควรจะเป็นอย่างเช่นในต่างประเทศ นักลงทุนส่วนบุคคลไทยนั้น ผมคิดว่ามีสิทธิมีเสียงและเป็นกลุ่มคนที่บริษัทต้องคำนึงถึงมาก พวกเขาต้องให้ข้อมูล ต้องฟัง และอาจจะต้องปฏิบัติตาม ในหลาย ๆ กรณีในระยะหลังนั้น นักลงทุนส่วนบุคคลสามารถเข้าไป “ยึดกุม” การบริหารของบริษัทได้ด้วยซ้ำ
สื่อสารเกี่ยวกับการลงทุนที่มีมากมายในปัจจุบันและแทบทุกรายการนั้นเน้นที่การลงทุนของนักลงทุนส่วนบุคคลก็เป็นอาการอีกอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่ามีฟองสบู่ของนักลงทุนอยู่ แม้แต่รายการที่เป็นMass และเป้าหมายคือชาวบ้านทั่ว ๆ ไปนั้น บางครั้งก็เริ่มเห็นการสัมภาษณ์นักลงทุนหรือดึงนักลงทุนที่ “ประสบความสำเร็จสูง” มาร่วมรายการ “เซเลบ” ที่เป็นนักลงทุนและเป็น “คนรุ่นใหม่” มีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และนั่นก็คือสัญญาณทั้งหมดที่ทำให้ผมเชื่อว่าเรากำลังมีฟองสบู่ของนักลงทุน ผมเองเชื่อว่า “ฟองสบู่” นี้จะต้องแตกซักวันหนึ่ง อาจจะตามการชะลอตัวลงยาวนานหรือการ “แตก” ของ “ฟองสบู่” ตลาดหุ้น—ถ้ามี และหลังจากนั้น นักลงทุนก็จะกลับไปมีสถานะตามเดิมก่อนที่จะเกิดฟองสบู่ นั่นก็คือ เป็นคนธรรมดา ๆ