ผมรู้จัก “ยีนส์” ครั้งแรกสมัยที่ผมเรียนวิชาชีววิทยาในระดับมัธยมศึกษา ในตอนนั้นผมไม่ได้สนใจอะไรนักเพราะคิดว่ามันเป็นแค่ความรู้ที่เอาไว้สอบเข้า คณะแพทยศาสตร์หรือสาขาที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นสาขาที่ผมไม่สนใจที่จะเรียนต่อ ผมกลับมาสนใจเรื่องของยีนส์เมื่อประมาณ 10 ปีมานี้เองเนื่องจากยีนส์ถูกนำมาอธิบายเรื่องของจิตวิทยามากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นสาขาหนึ่งเรียกว่า “จิตวิทยาวิวัฒนาการ” ความรู้เรื่องของยีนส์ที่เป็นตัวกำหนดอารมณ์ ความคิดและพฤติกรรมของมนุษย์นั้นก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วแบบ “ก้าวกระโดด” จนถึงวันนี้ผมคิดว่าแทบทุกพฤติกรรมของคนเรานั้นสามารถอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ ของยีนส์ ยีนส์น่าจะมีผลต่อความคิดและพฤติกรรมของคนแต่ละคน “เกินครึ่ง” ส่วนที่เหลือก็มาจากการอบรมสั่งสอนและสังคมที่เราอยู่ ดังนั้น ถ้าจะเข้าใจเรื่องของคนผมคิดว่าเราต้องเข้าใจเรื่องของยีนส์ของมนุษย์ที่ ถูกออกแบบมา—เพื่อที่จะเอาตัวรอด เติบโต และเผยแพร่เผ่าพันธุ์ของมัน โดยที่ยีนส์ในมนุษย์นั้น ถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของโลกในช่วงกว่าหนึ่งหมื่นปีที่ผ่านมา และดังนั้น เราจึงต้องเข้าใจว่าทำไมบางครั้งเราจึงทำอะไร “แปลก ๆ” ในปัจจุบันที่โลกเปลี่ยนแปลงไปมากมายแล้ว
ธุรกิจหรือบริษัทที่ผลิตสิ่งของหรือบริการนั้น ถ้ามองลึก ๆ จริง ๆ แล้วก็คือกลุ่มคนที่เข้ามารวมกันเพื่อทำงานให้บรรลุวัตถุประสงค์นั้น ดังนั้น ความคิดและพฤติกรรมทั้งหลายของบริษัทก็คือความคิดและพฤติกรรมของคน บริษัทต้องเอาตัวรอด เติบโต และขยายตัวแตกหน่อไปเรื่อย ๆ เหมือนคน บางคนอาจจะบอกว่าบริษัทนั้น “ไม่มีวันตาย” ถ้าไม่เจ๊ง ผมเองคิดว่านี่ก็เหมือนกับยีนส์ที่ “ไม่มีวันตาย” แม้ว่าคนจะตายแต่ยีนส์ในตัวคนนั้นอาจจะ “ส่งผ่าน” ต่อไปยังลูกหลานแล้ว ยกเว้นคน ๆ นั้นไม่มีลูก โดยนัยดังกล่าว บริษัทก็จะต้องทำทุกอย่างคล้าย ๆ คนนั่นก็คือ ต้อง “แข่งขัน” แย่งชิงทรัพยากรกับคนอื่นแต่ในเวลาเดียวกันก็ต้อง “ร่วมมือ” กับคนอื่นเพื่อที่จะเอาตัวรอดและขยายตัวต่อไป โดยที่วิธีการ ความคิดและอารมณ์ของบริษัทนั้นก็คงคล้าย ๆ กับคน ตัวอย่างเช่น บริษัทแต่ละแห่งมีความสามารถไม่เท่ากัน เวลาตัดสินใจส่วนใหญ่ก็ใช้เหตุผลแต่อารมณ์ก็มีส่วนอย่างมาก เป็นต้น
สิ่งของและบริการที่เป็นสินค้าที่มีการผลิตขึ้นในโลกนี้สุดท้ายแล้วก็เพื่อ ตอบสนองต่อคนที่ต้องการเอาตัวรอด เติบโต และเผยแพร่เผ่าพันธุ์ สินค้าและบริการที่จะเป็นที่ต้องการมากนั้นจะต้องช่วย “เพิ่มโอกาส” ให้คนเอาตัวรอด เติบโตและเผยแพร่เผ่าพันธุ์ได้มากขึ้น สินค้าหรือบริการอะไรที่ “ใกล้” กับเรื่องของการเอาตัวรอด เติบโต และเผยแพร่เผ่าพันธุ์ จะเป็นที่ต้องการมากกว่าสินค้าที่ “ห่าง” จากความต้องการดังกล่าว สินค้าหรือบริการที่ไม่สามารถช่วย “เพิ่มโอกาส” ดังกล่าว อาจจะเพราะคนส่วนใหญ่ต่างก็ได้ใช้สินค้านั้นอยู่แล้วความต้องการก็จะไม่ เพิ่ม แต่ถ้ามีสินค้าใหม่ที่มีคุณภาพดีกว่าเดิมในการเพิ่มโอกาสอยู่รอดและเผยแพร่ เผ่าพันธุ์ คนก็จะต้องการสินค้านั้นเพิ่มหรือแทนที่สินค้าเดิม ด้วยแนวความคิดแบบนี้ เราก็จะสามารถวิเคราะห์เรื่องของเทรนด์หรือเมกาเทรนด์ที่จะเกิดขึ้นในสินค้า ต่าง ๆ ได้ดีขึ้น
ภาวการณ์ซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์นั้น เกิดขึ้นเพราะคนที่ตัดสินใจซื้อขายหุ้น คนที่ซื้อขายหุ้นนั้น พวกเขาทำเพื่อการ “เอาตัวรอดและเติบโต” ดังนั้น บางครั้งพวกเขาก็กลัวและต้อง “หนีตาย” ขายหุ้นทิ้งโดยไม่คิดถึงเรื่องอื่น เหมือนกับการที่คนในสมัยดึกดำบรรพ์หนีเสืออย่าง “ไม่คิดชีวิต” ไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องอื่น เวลาที่เขาคิดว่าหุ้นกำลังขึ้นเป็น “กระทิง” ยีนส์อาจจะบอกว่าต้องรีบ “กอบโกย” ช้าไม่ได้ “อาหารจะหมด” ถ้า “แย่งไม่ทัน” นี่ก็ก่อให้เกิดภาวะความผันผวนของราคาหุ้นตลอดเวลา การที่เราเข้าใจเรื่องของยีนส์ซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรมจะช่วยให้เราลงทุนในตลาด หุ้นได้ดีขึ้น
การวิเคราะห์หุ้นของเรานั้น สิ่งที่ต้องทำเพิ่มจากการวิเคราะห์ปกติตามมาตรฐานทั่วไปแล้ว สิ่งหนึ่งที่เราควรทำเพิ่มเติมก็คือการวิเคราะห์ “เหตุจูงใจ” ของแต่ละคนที่เป็นคนให้ข่าวสารและข้อมูล เพราะเราควรจะต้องยึดมั่นหลักการสำคัญที่ว่าคนจะทำอะไรก็ตามก็เพราะยีนส์จะ เป็นตัวกำหนดที่แท้จริงไม่ใช่สมองที่เป็น “ผู้ปฎิบัติ” และสิ่งที่คนจะทำก็คือ การเอาตัวรอด เติบโต แพร่พันธุ์ อะไรที่ไม่สอดคล้องคนเราก็จะไม่ทำ พูดอีกทางหนึ่งก็คือ คนเรานั้นจะทำอะไร “เพื่อตัวเอง” แม้ว่าบางครั้งจะทำ “เพื่อคนอื่น” แต่สุดท้ายแล้วเขาก็จะได้รับการ “ตอบแทน” ในแง่ของการเป็นที่รักนับถือชมชอบซึ่งจะช่วยให้เขาสามารถ เอาตัวรอดได้ดีขึ้นและ/หรือ เผยแพร่เผ่าพันธุ์ได้ดีขึ้น การที่ต้องวิเคราะห์เรื่องแรงจูงใจนั้นเป็นเพราะว่าคนให้ข้อมูลหรือข่าวสาร นั้นอาจจะมีผลประโยชน์ที่แตกต่างจากเราและอาจจะ “หลอก” เราให้ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับเขาแต่เป็นโทษกับเราได้
ทั้งหมดที่ผมพูดมานี้ ไม่ได้หมายความว่ายีนส์จะมีความคิดหรือชีวิตจิตใจที่สั่งการและเรารับรู้ได้ กระบวนการทำงานนั้นก็คือ ยีนส์จะเป็นตัวสร้างฮอร์โมนและสารอะไรต่าง ๆ ที่ประกอบเป็นตัวเราและสมองและประสาทต่าง ๆ ของเราที่ทำให้เรามีความคิดและอารมณ์ต่าง ๆ ที่ทำให้เรารัก ชอบ เกลียด กลัว เสียใจ ดีใจกับบางสิ่งบางอย่างเพื่อที่ว่าเราจะได้พยามไขว่คว้า หลีกหนี หรือมีปฏิกิริยาต่อสิ่งต่าง ๆ ในทางที่จะทำให้เรามีโอกาสอยู่รอดได้ดีขึ้น เติบโตและเผยแพร่พันธุ์ได้มากขึ้นโดยที่เรา “ไม่รู้ตัว” เรื่องนี้คงไม่เป็นประเด็นถ้าเรายังอยู่ในยุคหมื่นปีที่แล้วที่ยีนส์ถูกออก แบบมาอย่างเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่เป็นไร่นาป่าเขาและไม่มีซุปเปอร์มาร์ เก็ตและตลาดหุ้น เพราะเราคงทำไม่ผิดจากสิ่งที่ควรทำ แต่ในศตวรรษที่ 21 ที่สังคมเรามีความซับซ้อนมากนั้น การ “ทำตามใจ” นั้น อาจจะเกิดความเสียหายได้ เพราะสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือการซื้อขายหุ้นบ่อยแทบทุกวันเพราะ “อยากได้กำไรหรือหนีการขาดทุน” นั้น เป็นหนทางที่ “ลดโอกาสเอาตัวรอด” แต่เราทำเพราะเราแยกไม่ออกว่าตลาดหุ้นตกหรือขึ้นนั้น แตกต่างจากการเห็นเสือหรือหมู
ยีนส์ของคนทั้งโลกนั้นมีความเหมือนกันเกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ อาจจะแตกต่างกันไปบ้างก็เพราะคนบางกลุ่มอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่าง กับคนกลุ่มอื่น เช่น คนที่อาศัยอยู่ในแถบที่หนาวเย็นก็อาจจะมีสีผิวที่แตกต่างกับคนที่อยู่ในแถบ ร้อนรวมทั้งอาจจะมีความสามารถและพฤติกรรมที่แตกต่างกับคนในแถบร้อน “เล็กน้อย” จนแทบไม่มีความหมาย ดังนั้น เวลาที่จะดูว่าสินค้าหรือบริการอะไรจะเป็น “เมกาเทรนด์” ในประเทศไทยต่อไปนั้น วิธีง่าย ๆ อย่างหนึ่งก็คือการดู “เมกาเทรนด์” ที่เกิดขึ้นแล้วในประเทศที่ร่ำรวยกว่า เหตุผลก็เพราะว่าคนในประเทศหรือสังคมที่รวยกว่าจะมี “กำลังซื้อ” หรือมีรายได้มากพอที่จะใช้สินค้าหรือบริการที่เป็นที่ต้องการของคนก่อน ส่วนคนไทยนั้น เนื่องจากเรายังมีรายได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ถึงวันหนึ่งเราก็จะเริ่มมีกำลังซื้อพอที่จะใช้สินค้าหรือบริการนั้น ซึ่งเราก็จะใช้แน่นอน เพราะนั่นคือสินค้าที่ “ยีนส์” ของมนุษย์ต้องการ กล่าวโดยสรุปก็คือ คนนั้นเหมือนกันทั้งโลก สิ่งที่แตกต่างก็คือรายได้ คนบางคนมีปัญญาที่จะซื้อใช้ แต่คนบางคนไม่มีเงินพอ ถ้าเมื่อไรเขามีเงินพอ เขาก็ใช้ ถ้าสองประเทศต่างก็มีรายได้เท่ากัน พฤติกรรมและการใช้จ่ายและการบริโภคจะใกล้เคียงกันมาก
การศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของยีนส์และวิวัฒนาการของคนนั้น แต่เดิมเรามักต้องอ่านจากหนังสือภาษาอังกฤษ ในช่วงเร็ว ๆ นี้เราก็มีโอกาสที่ได้อ่านหนังสือแปลและโชคดีที่เราเริ่มมีคนไทยที่เริ่ม เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยหนังสือที่ผมเห็นว่าเขียนได้ดีมากและแนะนำให้อ่านก็คือหนังสือชื่อ “500 ล้านปีของความรัก” ทั้ง 2 เล่ม เขียนโดย นพ. ชัชพล เกียรติขจรธาดา หนังสือทั้งสองเล่มนี้แน่นอนว่าไม่มีอะไรเกี่ยวกับเรื่องของหุ้นและการลงทุน เลย แต่ผมคิดว่าเราสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตและการลงทุนซึ่งก็เป็นเรื่องที่ สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของชีวิตในยุคปัจจุบัน
ยีนส์กับการลงทุน/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1827
- ผู้ติดตาม: 1