ในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยลดความ “ร้อนแรง” ลงมาตั้งแต่ช่วงต้นปีจนถึงวันนี้ หุ้นที่ยังมีราคา “แพงมาก” คือมีค่า PE และ PB สูงมากและปันผลต่ำมากนอกจากหุ้นในกลุ่มพลังงานทดแทนและหุ้นในตลาด MAI แล้วก็คือ หุ้นในกลุ่มที่ผมจะเรียกว่า “ธุรกิจเงินด่วน”
นิยามของธุรกิจเงินด่วนของผมก็คือ ประการแรก เป็นธุรกิจที่ “ปล่อยเงินกู้” เพื่อให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าหรือเอาเงินไปใช้อย่าง “เร่งด่วน” อาจจะภายในเวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมง โดยที่วงเงินมักจะไม่ใคร่สูงนักและอาจจะมีหรือไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ประการที่สองก็คือ คนที่มาขอกู้มักจะเป็นคนที่ไม่ได้มีรายได้เป็นรายเดือนอย่างแน่นอน ส่วนมากน่าจะเป็นผู้ประกอบ “อาชีพอิสระ” หรือเป็นเกษตรกรที่ไม่มีเงินเดือนประจำ หรือถ้าจะมองว่าเป็นผู้มี “รายได้ต่ำ” ก็อาจจะพูดได้ แต่นี่คงไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เพียงแต่ว่าไม่ใช่กลุ่มนักธุรกิจหรือคนที่มีรายได้สูงหรือคนกินเงินเดือน และประการสุดท้ายก็คือ เป็นธุรกิจการเงินที่ไม่ได้ถูกควบคุมโดยธนาคารแห่งประเทศไทยเนื่องจากกิจการไม่ได้กู้ยืมเงินหรือรับฝากเงินจากประชาชนทั่วไป โดยที่บริษัทเหล่านี้จำนวนมากก็เรียกตัวเองว่าเป็นบริษัท “ลีสซิ่ง” แต่บางบริษัทก็เรียกเป็นชื่อธรรมดา อย่างไรก็ตาม ในแง่ของการทำธุรกิจ บริษัทเหล่านี้ก็คือบริษัทที่ปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าต้นทุนเงินทุนของตนเอง ความสำเร็จหรือล้มเหลวอยู่ที่การปล่อยกู้ให้ได้อัตราดอกเบี้ยสูงและกู้เงินจากคนอื่นหรือสถาบันการเงินในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ นอกจากนั้น ก็จะต้องพยายามไม่ให้มีหนี้เสียมาก อีกประเด็นหนึ่งก็คือจะต้องพยายาม “เติบโต” โดยการปล่อยกู้เพิ่มขึ้นเพื่อที่จะทำกำไรให้มากขึ้น
มองจาก “ธรรมชาติ” ของธุรกิจแล้ว นี่คือธุรกิจที่น่าจะเรียกว่า High Risk, High Return หรือธุรกิจที่น่าจะมีความเสี่ยงสูงและผลตอบแทนก็คาดว่าจะสูง นั่นก็คือ ถ้าโชคดีหรือสถานการณ์ทางธุรกิจเอื้ออำนวย ผลตอบแทนการลงทุนก็จะสูงมาก แต่ถ้าสถานการณ์เป็นลบ นั่นก็คือเศรษฐกิจถดถอยลูกค้าประสบปัญหาทางการเงิน ธุรกิจก็อาจจะขาดทุนรุนแรงได้ เหตุผลก็เพราะว่า คนที่มากู้นั้น มักจะมีรายได้ไม่แน่นอนและมีรายได้ไม่พอกับรายจ่ายในบางช่วง มีหนี้จำนวนมากเมื่อเทียบกับรายได้ของตน นอกจากนั้นก็มักจะมีหนี้ “นอกระบบ” คือหนี้ที่กู้จากญาติมิตรและบุคคลธรรมดาที่ปล่อยเงินกู้ในอัตราดอกเบี้ยที่สูงมากด้วย ดังนั้น โอกาสที่คนมากู้จะไม่มีเงินมาใช้คืนตามกำหนดหรือกลายเป็น NPL ก็จะสูงกว่าปกติ นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าความเสี่ยงสูง
ในด้านของผลตอบแทนนั้น เนื่องจากผู้กู้มักจะไม่สามารถกู้เงินจากสถาบันการเงินที่ถูกควบคุมโดยแบงค์ชาติได้เนื่องจากมีคุณสมบัติ “ไม่เพียงพอ” ที่จะกู้ได้ รวมถึงมักจะไม่มีข้อมูลรายได้และประวัติทางเครดิตในการชำระเงินกู้ ดังนั้น เขาจึงยินดีที่จะจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้สูงกว่าปกติ ผลก็คือ บริษัทจะมีกำไรในการปล่อยกู้สูงกว่าปกติถ้าลูกหนี้ไม่เสียหรือกลายเป็น NPL
มองคร่าว ๆ จากพื้นฐานและการดำเนินงานของ “ธุรกิจเงินด่วน” ดังที่กล่าว เราก็อาจจะนึกว่า ในยามนี้ที่เศรษฐกิจโดยเฉพาะในกลุ่ม “รากหญ้า” หรือผู้มีรายได้น้อยในต่างจังหวัดต่างก็ประสบกับปัญหาเนื่องจากราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำและงานนอกภาคเกษตรเองก็ชะลอตัวลงมาก ธุรกิจที่ปล่อยกู้ให้กับคนกลุ่มนี้ก็น่าจะประสบปัญหามีรายได้และกำไรลดน้อยลงไปมากคล้ายกับสถาบันการเงินในระบบทั่ว ๆ ไป แต่ความจริงนั้นกลับตรงกันข้าม บริษัทธุรกิจเงินด่วนกลับเฟื่องฟูมีรายได้และกำไรเติบโตขึ้นอย่างน่าประทับใจ เช่นเดียวกับราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นไปสูงลิ่ว บางบริษัทมีมูลค่าตลาดของหุ้นหรือ Market Cap. สูงกว่าแบ้งค์ขนาดเล็กและกลางบางแบ้งค์แล้วทั้ง ๆ ที่ขนาดของธุรกิจเล็กกว่ามากทั้งทางด้านของทรัพย์สิน รายได้และกำไรของบริษัท เหตุผลในแง่ของตลาดหุ้นก็คือ รายได้และกำไรของบริษัทที่ทำธุรกิจเงินด่วนนั้น เติบโตเร็วทั้งทางด้านของรายได้และกำไร ที่สำคัญอีกอย่างก็คือ คุณภาพของลูกหนี้ก็ดีมาก อัตราหนี้เสียนั้น บางบริษัทอ้างว่าอยู่ในระดับแค่ 1% บางบริษัทก็สูงกว่าแต่ก็ไม่สูงเท่าไรนัก คิดเป็นต้นทุนแล้วน้อยเทียบกับส่วนต่างดอกเบี้ยรับที่สูงมาก ดังนั้น นักลงทุนจึงเข้าไปไล่ซื้อหุ้นจนทำให้ค่า PE ของหลายบริษัทสูงลิ่วกว่า 40-50 เท่า เปรียบเทียบกับหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินอื่นที่มักจะไม่เกิน 10 เท่า
คำถามที่สำคัญก็คือ กิจการของบริษัทเงินด่วนนั้นดีจริงหรือไม่? และราคาหุ้นนั้นมีความเหมาะสมหรือเปล่า? โดยเฉพาะถ้าเรา “มองไปข้างหน้า” เนื่องจากธุรกิจปล่อยเงินกู้นั้น มี “ลักษณะพิเศษ” อย่างหนึ่งที่แตกต่างจากธุรกิจอื่นก็คือ มันเป็นธุรกิจที่ “บินก่อน ผ่อนทีหลัง” นั่นก็คือ รายได้กับต้นทุนนั้นมาไม่พร้อมกันร้อยเปอร์เซ็นต์ วันที่ปล่อยเงินกู้นั้น รายได้ก็จะมาทันทีร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ต้นทุนโดยเฉพาะค่าสำรองหนี้สูญนั้น อาจจะตามมาภายหลังเมื่อลูกหนี้เริ่มเสียกลายเป็น NPL ซึ่งจะทำให้รายได้หายไปแต่รายจ่ายที่เป็นต้นทุนสำรองหนี้เสียกลับเพิ่มขึ้น
ความโดดเด่นข้อแรกที่กล่าวอ้างว่าธุรกิจ “โตเร็ว” นั้น ผมเองคิดว่าคงจะบอกว่าเป็นเรื่องที่ดีมากไม่ได้ ธุรกิจการปล่อยเงินกู้นั้น ผมคิดว่ามันเป็นสินค้าโภคภัณฑ์อย่างหนึ่งที่เราจะ “ขาย” ไม่ยาก มีเท่าไรก็ขายหมดถ้าเราตั้งราคาต่ำหรือเท่ากับราคาตลาด ความหมายก็คือ ถ้าเราอยากจะปล่อยกู้มากขึ้น เราก็มักจะปล่อยกู้ได้ง่ายถ้าเราไม่สนใจเรื่องความสามารถในการชำระคืนของลูกหนี้ ดังนั้น บริษัทหรือหุ้นที่โตเร็วในธุรกิจแบบนี้จึงไม่ได้เป็นเครื่องแสดงว่าเป็นกิจการที่โตเร็วยกเว้นแต่ว่าโตเร็วและลูกหนี้มีคุณภาพดีและอัตราหนี้เสียไม่เพิ่มขึ้นในอนาคต
ความโดดเด่นข้อสองก็คือ อัตราหนี้เสียที่ต่ำมากและสำหรับบางบริษัทนั้น ต่ำจนแทบ “ไม่น่าเชื่อ” ข้อนี้ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าการวัดอัตราหนี้เสียนั้นอยู่ในมาตรฐานเดียวกันกับบริษัทอื่นและสถาบันการเงินอย่างธนาคารพาณิชย์หรือไม่ ประเด็นก็คือ มาตรฐานการจัดชั้นหนี้ของบริษัทเป็นเรื่องของแต่ละบริษัทและไม่ถูกบังคับโดยแบ้งค์ชาติ ดังนั้น ที่บอกว่าต่ำจึงอาจจะไม่จริงถ้าถูกกำหนดให้ทำตาม “มาตรฐาน” เดียวกัน แต่ถ้าดูจากเงื่อนไขที่บริษัทกำหนดและประกาศให้นักลงทุนทราบ บางทีเราก็อาจจะรู้สึกว่าบริษัทเองก็ตั้งมาตรฐานอย่าง “อนุรักษ์นิยม” พอสมควร อาจจะดูว่าไม่ได้ต่างกับมาตรฐานที่ดีเท่าไรนัก อย่างไรก็ตาม ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรที่ “ซ่อน” อยู่ในรายละเอียดที่เราไม่รู้หรือไม่ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ วิธีการในทางปฏิบัติในเรื่องของการจัดการ เช่น การปล่อยเงินกู้ การรับชำระเงิน การปรับวงเงินกู้หรือตารางการชำระหนี้ ต่าง ๆ เหล่านี้นั้น ในบริษัทที่ทำธุรกิจเงินด่วนต่างก็มักจะใช้คน ๆ เดียวกันทำซึ่งอาจจะทำให้การควบคุมนั้นไม่ถูกต้องได้เนื่องจากไม่มีการ Check & Balance หรือไม่มีการตรวจสอบโดยคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับคนที่ทำ ผลก็คือ หนี้ที่เสียบางส่วนอาจจะถูกปกปิดไว้ได้
ข้อถกเถียงหนึ่งของคนที่มองกิจการธุรกิจเงินด่วนในแง่ดีก็คือ ธุรกิจเงินด่วนนั้น เข้ามาแทนที่ตลาดเงิน “นอกระบบ” ที่ใหญ่โตมาก เงินด่วนนั้นถึงอย่างไรดอกเบี้ยก็ยังถูกกว่าเงินนอกระบบมาก ดังนั้นมันขยายได้เร็วและมาก นอกจากนั้น ที่หนี้เสียน้อยก็เพราะว่าคนที่กู้นั้น เขาก็ไม่ต้องการที่จะทำให้เครดิตของตนเองเสียเพราะนี่เป็นแหล่งเงินที่มีต้นทุนถูกที่สุดสำหรับเขา เหนือสิ่งอื่นใด พนักงานที่ปล่อยกู้รู้จักลูกค้าเป็นอย่างดีสามารถที่จะตามทวงหนี้ได้ไม่ยากถ้ามีปัญหา ดังนั้น การที่ตัวเลขต่าง ๆ ของธุรกิจเงินด่วนดีกว่าสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้แบ้งค์ชาติจึงไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติ
ทั้งหมดนั้น ผมฟังแล้วก็ไม่รู้ว่าจะแย้งอย่างไร ผมเพียงแต่รู้สึกว่าถ้ามัน “Too good to be true” หรือ “ดีเกินกว่าที่จะเป็นเรื่องจริง” และเมื่อเกิดประเด็นนี้ขึ้น ผมก็นึกถึงคำพูดที่ตามมาจาก “ผู้รู้” ที่มีประสบการณ์สูงที่บอกว่า “It’s probably is” คือ “มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น” คือมันคงไม่ใช่เรื่องจริง เรื่องนี้เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ธุรกิจเงินด่วนนั้นดีจริง ๆ หรือไม่? และราคาหุ้นนั้นแพงเกินไปหรือไม่?
ธุรกิจเงินด่วน/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1827
- ผู้ติดตาม: 1
ธุรกิจเงินด่วน/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 1
- IndyVI
- Verified User
- โพสต์: 14944
- ผู้ติดตาม: 2
Re: ธุรกิจเงินด่วน/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 3
รายการ รู้ใช้ เข้าใจเงิน
14-12-58 ฟังคำแนะนำเรื่อง ธุรกิจเงินด่วน
โดย จิตติมา ทวาเรศ (เริ่มนาทีที่ 5.30)
- ฟังคำแนะนำเรื่อง ธุรกิจเงินด่วน โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
- ร่วมวางแผนเงินออม กับ ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร
http://goo.gl/u5PsCh
14-12-58 ฟังคำแนะนำเรื่อง ธุรกิจเงินด่วน
โดย จิตติมา ทวาเรศ (เริ่มนาทีที่ 5.30)
- ฟังคำแนะนำเรื่อง ธุรกิจเงินด่วน โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
- ร่วมวางแผนเงินออม กับ ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร
http://goo.gl/u5PsCh
Investment success doesn’t come from “buying good things,” but rather from “buying things well.
# Howard Mark #
# Howard Mark #