ดราม่าในตลาดหุ้น/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1827
- ผู้ติดตาม: 1
ดราม่าในตลาดหุ้น/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 1
สิ่งที่ตามมาจากความแพร่หลายของการใช้อินเตอร์เน็ตและสื่อสังคมสมัยใหม่อย่างหนึ่งก็คือปรากฏการณ์ที่เรียกกันว่า “Drama” นี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสังคมที่คนจำนวนมากสนใจและวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในเวบไซ้ต์ สื่อสังคมบนอินเตอร์เน็ต สื่อสิ่งพิมพ์และอื่น ๆ บ่อยครั้งการวิจารณ์โต้เถียงกันนั้นขัดแย้งรุนแรงเนื่องจากผู้เข้ามาร่วมนั้นต่างก็ไม่ต้องปรากฏตัวหรือเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงกันข้าม บางครั้งเรื่องที่พูดกันก็เป็นเรื่องที่ซาบซึ้งกินใจที่คนอยากจะแสดงออก บางครั้งก็เป็นเรื่องที่คนต่างก็ประณามการกระทำที่ “เลวร้าย” และในบางเรื่องก็เป็นแค่การ “ลุ้น” ว่าใครจะ “ชนะ” หรือใครจะ “แพ้” เพราะอะไรนอกจากคนที่เข้าไปคอมเม้นต์หรือออกความเห็นแล้ว ก็ยังมีคนจำนวนมากมายที่เข้าไปดูแล้วก็เก็บไว้ในใจหรือไม่ก็ไปพูดคุยต่อกับคนรู้จักหรือคนในกลุ่มอื่น ๆ จนสุดท้ายสังคมแทบทั้งหมดก็จะรู้เรื่องและมีความคิดและความเห็นต่อเรื่องราวหรือเหตุการณ์ดังกล่าว ถ้าจะพูดก็คือ เกิดเป็น “กระแสสังคม” ที่จะไปมีผลกับคนหรือหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในบางกรณี อิทธิพลของ “ดราม่า” ก็มีผลรุนแรงจนคนคาดไม่ถึง
“ดราม่า” นั้น มักจะเป็นเรื่องที่คนทั่วไปสนใจและมีกรอบความคิดและความเชื่อที่เป็นที่ยอมรับกันในสังคมไทยเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นกลับเป็นเรื่องที่ผิดคาดไปจาก “มาตรฐาน” ไว้มาก และสิ่งที่ผิดไปนั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าเหตุผล เช่นเป็นเรื่องของความรัก ศาสนา จริยธรรม ความเจริญรุ่งเรืองและความล่มสลาย เรื่องของ “ความดี” และ “ความเลว” เป็นต้น ประเด็นที่สำคัญอย่างยิ่งก็คือ เรื่องราวของคนหรือหน่วยงานที่จะเกิดดราม่านั้น มักจะเป็นคนหรือหน่วยงานที่ “โดดเด่น” เป็นที่รู้จักหรือได้รับการยอมรับอย่างสูงเนื่องจากสถานะทางสังคม หรือถ้าไม่ใช่คนที่โดดเด่น เรื่องราวนั้นก็จะต้องแตกต่างจาก “ค่านิยม” ไปมากโดยที่สังคมหรือกฎหมายไม่สามารถที่จะไปกำหนดหรือจัดการอะไรได้ทำให้คนต้องออกมาว่ากล่าว “ผ่านสื่อ” ด้วยตนเอง
วิธีที่จะดูว่าเรื่องใดเข้าข่ายที่จะเป็นดราม่านั้น ผมคิดว่าข้อแรก ข่าวหรือเรื่องราวนั้นน่าจะต้องปรากฏอยู่ในหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์หลายวันแต่ไม่จำเป็นว่าจะต้องเริ่มที่หนังสือพิมพ์ก่อน ข้อสองซึ่งผมคิดว่าน่าจะสำคัญยิ่งกว่าก็คือ เรื่องราวนั้นจะต้องมีการวิพากษ์วิจารณ์กันแพร่หลายในสื่ออินเตอร์เน็ตโดยเฉพาะเวบไซ้ต์ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นของข่าวหรือเรื่องราวนั้นโดยตรง ข้อสาม เรื่องที่จะเป็นดราม่านั้น จะต้องมี “ตัวละคร” ที่เป็นตัวเอกที่คนพูดถึงกันมาก บางทีตัวละครก็อาจจะไม่ใช่คนแต่เป็นประเด็นที่เป็นเป้าหมายในการถกเถียงหรือต่อว่าหรือชมเชยกันอย่าง “สุดโต่ง” และสุดท้ายก็คือ ดราม่าก็มักจะจบลง คือคนเลิกสนใจไม่พูดกันอีกต่อไปในเวลาไม่นานนัก ส่วนผลกระทบนั้น ผมคิดว่ามันคือ “บาดแผล” ทางสังคมของคนหรือหน่วยงานที่ถูกกระทบที่จะต้องใช้เวลารักษาฟื้นฟูยาวนานหรืออาจจะไม่ได้เลย แต่ในกรณีที่เป็นผลกระทบด้านดีนั้น คนก็มักจะลืมไปในไม่ช้า
ถ้าจะดูดราม่าในช่วงนี้ในด้านของสังคมทั่วไปผมคิดว่าการ “หนีทุน” ของนักวิชาการชาวไทยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดน่าจะเข้าข่ายเต็มที่ เรื่องนี้ผมคิดว่าที่กลายเป็นดราม่าใหญ่โตนั้นคงไม่ใช่แค่เรื่องหนีทุนซึ่งถ้าบังเอิญเป็นคนที่ไม่มีชื่อเสียงหรือไม่ได้ทำงานในมหาวิทยาลังดังอย่างฮาร์วาร์ด เรื่องนี้ก็อาจจะไม่มีใครสนใจและไม่เป็นข่าวเลย แต่การที่มีสถานะที่ “สูงส่ง” โดยอาศัยเงินของหลวงและการค้ำประกันจากเพื่อนและคนที่เสียสละเห็นแก่ความก้าวหน้าของหน่วยงานและประเทศไทย นี่เป็นเรื่องที่ขัดแย้งกับ “มาตรฐาน” ของสังคมมาก และมันจึงเป็น “ดราม่า” ที่ร้อนแรงและ “ทำลาย” เจ้าตัวอย่างแรงโดยที่อาจจะ “ไม่คาดคิด” เนื่องจากเหตุการณ์ผ่านมานานแล้ว ก่อนหน้านี้ก็มีดราม่าที่เป็นเรื่องของดาราดังที่เป็นโรคไข้เลือดออกและเสียชีวิตซึ่งก่อ “กระแส” ความเห็นอกเห็นใจเอาใจช่วยและส่งผลถึงครอบครัวที่ได้รับความนิยมขึ้นอย่างมากทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่มีคนรู้จัก
ตลาดหุ้นเองนั้นก็มีดราม่ามาโดยตลอดเช่นเดียวกันทั้งทางด้านดีและร้าย โดยที่ด้านร้ายนั้นก็มักจะมากกว่าด้านดีเช่นเดียวกับดราม่าในสังคมอื่น ข่าวที่เป็นเรื่องของดราม่านั้น ผมคิดว่ารวมถึงการประมูลทีวีดิจิตอลซึ่งก็ผ่านมาหลายปีแล้วแต่ผลกระทบก็ยังอยู่หรืออาจจะพูดว่าเพิ่งจะเริ่มต้นก็ได้ ต่อมาก็คือ การประมูลคลื่นวิทยุเพื่อใช้ในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่เป็นดราม่าอยู่นานพอสมควรและจะยังอยู่ต่อไปอย่างน้อยอีกระยะหนึ่งเพราะมันอาจจะมี “ภาคสอง” และภาคต่อ ๆ ไป การเทคโอเวอร์กิจการขนาดใหญ่โดยเฉพาะธุรกิจค้าปลีกเช่นบิ๊กซีผมเองก็ถือว่าเป็นดราม่าเล็ก ๆ ที่มีการกล่าวขวัญถึงพอสมควรทั้งทางด้านหุ้นและการประกอบการในอนาคต ในด้านของการประกอบการและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนเองนั้น ผมคิดว่าก็มีดราม่าเช่นเดียวกัน ราคาน้ำมันที่ตกลงมาแรงซึ่งทำให้ผลประกอบการของบริษัทพลังงานขนาดใหญ่ลดลงจนขาดทุนหนักและส่งผลให้ราคาหุ้นตกลงมาเกิน 50% นั้นไม่ใช่ธรรมดา มันเป็น “ดราม่า” และล่าสุดก็ แน่นอน เป็นเรื่องของดราม่าเรื่องธรรมาภิบาลของบริษัทค้าปลีกขนาดใหญ่ที่ดำเนินมาระยะหนึ่งแล้วแต่ก็ไม่แน่ใจว่าใกล้จบหรือยัง
ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับหุ้นที่เกิดดราม่านั้น ที่ชัดเจนก็คือ ราคาหุ้นหรือมูลค่าตลาดของหุ้น ถ้าเป็นดราม่าที่ดี กิจการรุ่งเรืองสุด ๆ ราคาและมูลค่าหุ้นก็ขึ้นไปแรงมาก แต่ถ้าเป็นดราม่าที่เลวร้าย ราคาและมูลค่าหุ้นก็จะลดลงมามาก ประเด็นที่สำคัญก็คือ นักลงทุนและคนเล่นหุ้นนั้นก็เป็นคนธรรมดาที่มีอารมณ์และอารมณ์นั้นมักจะไปลดการใช้เหตุผลนี่คือธรรมชาติของมนุษย์ ดังนั้น เวลาไปเจอหรือไปอ่านเรื่องราวดราม่าก็มักจะถูกอิทธิพลของดราม่าซึ่งบ่อยครั้งทำให้มีความรู้สึกที่รุนแรงกว่าความเป็นจริงและ React หรือมีปฏิกิริยาตอบสนองแรงกว่าที่ควรจะเป็น และนั่นส่งผลถึงราคาหุ้นให้ปรับตัวผิดจากที่ควรเป็น พูดให้เฉพาะก็คือ กิจการอาจจะดีและมีแต่เรื่องดี ๆ แต่ราคาหุ้นอาจจะวิ่งนำหน้าไปมาก หรือกิจการอาจจะด้อยลงบ้างแต่ราคานั้นอาจจะตกลงไปเกินความเป็นจริงในช่วงที่กำลังเป็นดราม่า
ถ้าเราเชื่อว่าในที่สุดแล้วราคาและมูลค่าตลาดของหุ้นก็จะต้องสะท้อนพื้นฐานของกิจการเมื่อเวลาผ่านไป และเราเชื่อว่าในที่สุดดราม่าก็จะต้องผ่านไป เราก็จะต้องพยายามไม่ Over react หรือไม่ตัดสินใจในการซื้อขายหุ้นโดยอิงอยู่กับดราม่าเป็นหลัก แน่นอนว่าเราต้องศึกษาและดูว่าอะไรเกิดขึ้นกับกิจการและหุ้นและดูว่าสังคมมีปฏิกิริยาอย่างไร เราต้องเอาข้อเท็จจริงมาเปรียบเทียบกับความเห็นของสังคมในช่วงที่เกิดดราม่า เป็นไปได้ว่าสิ่งที่สังคมเชื่อนั้นถูกต้องแล้วและราคาหุ้นก็สะท้อนกับความเป็นจริง เราก็ลงมือปฏิบัติไปตามนั้น แต่ถ้าไม่ใช่ มันก็อาจจะเป็นโอกาสที่เราจะซื้อหรือขายหุ้น หน้าที่ของเราในฐานะที่เป็นนักลงทุนนั้นก็คือ เราต้องพิจารณาอย่างเป็นอิสระจากฝูงชน นี่ไม่ได้หมายความว่าเราทำตรงกันข้าม เราอาจจะทำแบบเดียวกันก็ได้ถ้าเราคิดว่ามันถูกต้อง
ทุกคนต่างก็มีความคิด ความเชื่อและศรัทธาของตนเอง บางคนเป็นนักอนุรักษ์นิยม บางคนเป็นเสรีนิยม บางคนให้คุณค่าในบางสิ่งบางอย่างมากกว่าอีกสิ่งหนึ่ง บางคนชอบดูอะไรตามกฎเกณฑ์ บางคนดูตามพฤติกรรม คนส่วนใหญ่แล้วต้องการให้คนอื่นคิดและทำเหมือนตนเองโดยที่เขาเชื่อว่าสิ่งนั้นคือสิ่งที่ดีและถูกต้องและนั่นก็คือสิ่งที่เขาแสดงออกมาและกลายเป็นดราม่าเพราะบางครั้งความคิดไม่เหมือนกัน ในสังคมทั่วไปนั้น ดราม่าเป็นกระบวนการอย่างหนึ่งที่พยายามหล่อหลอมให้สังคมเป็น “หนึ่ง” เดียว แต่ดราม่าในตลาดหุ้นนั้น เราไม่จำเป็นต้องตาม เราไม่ได้คิดต่าง แต่เราต้องคิดอย่างเป็นอิสระและเราต้องตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่าเราจะต้องไม่อยู่ในอิทธิพลของดราม่า
“ดราม่า” นั้น มักจะเป็นเรื่องที่คนทั่วไปสนใจและมีกรอบความคิดและความเชื่อที่เป็นที่ยอมรับกันในสังคมไทยเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นกลับเป็นเรื่องที่ผิดคาดไปจาก “มาตรฐาน” ไว้มาก และสิ่งที่ผิดไปนั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าเหตุผล เช่นเป็นเรื่องของความรัก ศาสนา จริยธรรม ความเจริญรุ่งเรืองและความล่มสลาย เรื่องของ “ความดี” และ “ความเลว” เป็นต้น ประเด็นที่สำคัญอย่างยิ่งก็คือ เรื่องราวของคนหรือหน่วยงานที่จะเกิดดราม่านั้น มักจะเป็นคนหรือหน่วยงานที่ “โดดเด่น” เป็นที่รู้จักหรือได้รับการยอมรับอย่างสูงเนื่องจากสถานะทางสังคม หรือถ้าไม่ใช่คนที่โดดเด่น เรื่องราวนั้นก็จะต้องแตกต่างจาก “ค่านิยม” ไปมากโดยที่สังคมหรือกฎหมายไม่สามารถที่จะไปกำหนดหรือจัดการอะไรได้ทำให้คนต้องออกมาว่ากล่าว “ผ่านสื่อ” ด้วยตนเอง
วิธีที่จะดูว่าเรื่องใดเข้าข่ายที่จะเป็นดราม่านั้น ผมคิดว่าข้อแรก ข่าวหรือเรื่องราวนั้นน่าจะต้องปรากฏอยู่ในหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์หลายวันแต่ไม่จำเป็นว่าจะต้องเริ่มที่หนังสือพิมพ์ก่อน ข้อสองซึ่งผมคิดว่าน่าจะสำคัญยิ่งกว่าก็คือ เรื่องราวนั้นจะต้องมีการวิพากษ์วิจารณ์กันแพร่หลายในสื่ออินเตอร์เน็ตโดยเฉพาะเวบไซ้ต์ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นของข่าวหรือเรื่องราวนั้นโดยตรง ข้อสาม เรื่องที่จะเป็นดราม่านั้น จะต้องมี “ตัวละคร” ที่เป็นตัวเอกที่คนพูดถึงกันมาก บางทีตัวละครก็อาจจะไม่ใช่คนแต่เป็นประเด็นที่เป็นเป้าหมายในการถกเถียงหรือต่อว่าหรือชมเชยกันอย่าง “สุดโต่ง” และสุดท้ายก็คือ ดราม่าก็มักจะจบลง คือคนเลิกสนใจไม่พูดกันอีกต่อไปในเวลาไม่นานนัก ส่วนผลกระทบนั้น ผมคิดว่ามันคือ “บาดแผล” ทางสังคมของคนหรือหน่วยงานที่ถูกกระทบที่จะต้องใช้เวลารักษาฟื้นฟูยาวนานหรืออาจจะไม่ได้เลย แต่ในกรณีที่เป็นผลกระทบด้านดีนั้น คนก็มักจะลืมไปในไม่ช้า
ถ้าจะดูดราม่าในช่วงนี้ในด้านของสังคมทั่วไปผมคิดว่าการ “หนีทุน” ของนักวิชาการชาวไทยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดน่าจะเข้าข่ายเต็มที่ เรื่องนี้ผมคิดว่าที่กลายเป็นดราม่าใหญ่โตนั้นคงไม่ใช่แค่เรื่องหนีทุนซึ่งถ้าบังเอิญเป็นคนที่ไม่มีชื่อเสียงหรือไม่ได้ทำงานในมหาวิทยาลังดังอย่างฮาร์วาร์ด เรื่องนี้ก็อาจจะไม่มีใครสนใจและไม่เป็นข่าวเลย แต่การที่มีสถานะที่ “สูงส่ง” โดยอาศัยเงินของหลวงและการค้ำประกันจากเพื่อนและคนที่เสียสละเห็นแก่ความก้าวหน้าของหน่วยงานและประเทศไทย นี่เป็นเรื่องที่ขัดแย้งกับ “มาตรฐาน” ของสังคมมาก และมันจึงเป็น “ดราม่า” ที่ร้อนแรงและ “ทำลาย” เจ้าตัวอย่างแรงโดยที่อาจจะ “ไม่คาดคิด” เนื่องจากเหตุการณ์ผ่านมานานแล้ว ก่อนหน้านี้ก็มีดราม่าที่เป็นเรื่องของดาราดังที่เป็นโรคไข้เลือดออกและเสียชีวิตซึ่งก่อ “กระแส” ความเห็นอกเห็นใจเอาใจช่วยและส่งผลถึงครอบครัวที่ได้รับความนิยมขึ้นอย่างมากทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่มีคนรู้จัก
ตลาดหุ้นเองนั้นก็มีดราม่ามาโดยตลอดเช่นเดียวกันทั้งทางด้านดีและร้าย โดยที่ด้านร้ายนั้นก็มักจะมากกว่าด้านดีเช่นเดียวกับดราม่าในสังคมอื่น ข่าวที่เป็นเรื่องของดราม่านั้น ผมคิดว่ารวมถึงการประมูลทีวีดิจิตอลซึ่งก็ผ่านมาหลายปีแล้วแต่ผลกระทบก็ยังอยู่หรืออาจจะพูดว่าเพิ่งจะเริ่มต้นก็ได้ ต่อมาก็คือ การประมูลคลื่นวิทยุเพื่อใช้ในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่เป็นดราม่าอยู่นานพอสมควรและจะยังอยู่ต่อไปอย่างน้อยอีกระยะหนึ่งเพราะมันอาจจะมี “ภาคสอง” และภาคต่อ ๆ ไป การเทคโอเวอร์กิจการขนาดใหญ่โดยเฉพาะธุรกิจค้าปลีกเช่นบิ๊กซีผมเองก็ถือว่าเป็นดราม่าเล็ก ๆ ที่มีการกล่าวขวัญถึงพอสมควรทั้งทางด้านหุ้นและการประกอบการในอนาคต ในด้านของการประกอบการและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนเองนั้น ผมคิดว่าก็มีดราม่าเช่นเดียวกัน ราคาน้ำมันที่ตกลงมาแรงซึ่งทำให้ผลประกอบการของบริษัทพลังงานขนาดใหญ่ลดลงจนขาดทุนหนักและส่งผลให้ราคาหุ้นตกลงมาเกิน 50% นั้นไม่ใช่ธรรมดา มันเป็น “ดราม่า” และล่าสุดก็ แน่นอน เป็นเรื่องของดราม่าเรื่องธรรมาภิบาลของบริษัทค้าปลีกขนาดใหญ่ที่ดำเนินมาระยะหนึ่งแล้วแต่ก็ไม่แน่ใจว่าใกล้จบหรือยัง
ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับหุ้นที่เกิดดราม่านั้น ที่ชัดเจนก็คือ ราคาหุ้นหรือมูลค่าตลาดของหุ้น ถ้าเป็นดราม่าที่ดี กิจการรุ่งเรืองสุด ๆ ราคาและมูลค่าหุ้นก็ขึ้นไปแรงมาก แต่ถ้าเป็นดราม่าที่เลวร้าย ราคาและมูลค่าหุ้นก็จะลดลงมามาก ประเด็นที่สำคัญก็คือ นักลงทุนและคนเล่นหุ้นนั้นก็เป็นคนธรรมดาที่มีอารมณ์และอารมณ์นั้นมักจะไปลดการใช้เหตุผลนี่คือธรรมชาติของมนุษย์ ดังนั้น เวลาไปเจอหรือไปอ่านเรื่องราวดราม่าก็มักจะถูกอิทธิพลของดราม่าซึ่งบ่อยครั้งทำให้มีความรู้สึกที่รุนแรงกว่าความเป็นจริงและ React หรือมีปฏิกิริยาตอบสนองแรงกว่าที่ควรจะเป็น และนั่นส่งผลถึงราคาหุ้นให้ปรับตัวผิดจากที่ควรเป็น พูดให้เฉพาะก็คือ กิจการอาจจะดีและมีแต่เรื่องดี ๆ แต่ราคาหุ้นอาจจะวิ่งนำหน้าไปมาก หรือกิจการอาจจะด้อยลงบ้างแต่ราคานั้นอาจจะตกลงไปเกินความเป็นจริงในช่วงที่กำลังเป็นดราม่า
ถ้าเราเชื่อว่าในที่สุดแล้วราคาและมูลค่าตลาดของหุ้นก็จะต้องสะท้อนพื้นฐานของกิจการเมื่อเวลาผ่านไป และเราเชื่อว่าในที่สุดดราม่าก็จะต้องผ่านไป เราก็จะต้องพยายามไม่ Over react หรือไม่ตัดสินใจในการซื้อขายหุ้นโดยอิงอยู่กับดราม่าเป็นหลัก แน่นอนว่าเราต้องศึกษาและดูว่าอะไรเกิดขึ้นกับกิจการและหุ้นและดูว่าสังคมมีปฏิกิริยาอย่างไร เราต้องเอาข้อเท็จจริงมาเปรียบเทียบกับความเห็นของสังคมในช่วงที่เกิดดราม่า เป็นไปได้ว่าสิ่งที่สังคมเชื่อนั้นถูกต้องแล้วและราคาหุ้นก็สะท้อนกับความเป็นจริง เราก็ลงมือปฏิบัติไปตามนั้น แต่ถ้าไม่ใช่ มันก็อาจจะเป็นโอกาสที่เราจะซื้อหรือขายหุ้น หน้าที่ของเราในฐานะที่เป็นนักลงทุนนั้นก็คือ เราต้องพิจารณาอย่างเป็นอิสระจากฝูงชน นี่ไม่ได้หมายความว่าเราทำตรงกันข้าม เราอาจจะทำแบบเดียวกันก็ได้ถ้าเราคิดว่ามันถูกต้อง
ทุกคนต่างก็มีความคิด ความเชื่อและศรัทธาของตนเอง บางคนเป็นนักอนุรักษ์นิยม บางคนเป็นเสรีนิยม บางคนให้คุณค่าในบางสิ่งบางอย่างมากกว่าอีกสิ่งหนึ่ง บางคนชอบดูอะไรตามกฎเกณฑ์ บางคนดูตามพฤติกรรม คนส่วนใหญ่แล้วต้องการให้คนอื่นคิดและทำเหมือนตนเองโดยที่เขาเชื่อว่าสิ่งนั้นคือสิ่งที่ดีและถูกต้องและนั่นก็คือสิ่งที่เขาแสดงออกมาและกลายเป็นดราม่าเพราะบางครั้งความคิดไม่เหมือนกัน ในสังคมทั่วไปนั้น ดราม่าเป็นกระบวนการอย่างหนึ่งที่พยายามหล่อหลอมให้สังคมเป็น “หนึ่ง” เดียว แต่ดราม่าในตลาดหุ้นนั้น เราไม่จำเป็นต้องตาม เราไม่ได้คิดต่าง แต่เราต้องคิดอย่างเป็นอิสระและเราต้องตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่าเราจะต้องไม่อยู่ในอิทธิพลของดราม่า
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4641
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ดราม่าในตลาดหุ้น/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 4
เรียน ดร. ด้วยความเคารพ
ธรรมาภิบาลไม่ใช่ดราม่าครับ ไม่ควรเป็นไฟไหม้ฟางปัญหาครั้งเดียวจบ แต่...
มันจะเป็นรากเหง้าของธรรมภิบาล ของผู้บริหารในไทย ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ เราควรมีบรรทัดฐานที่ถูกต้องต่อไปอย่างไร?
อย่าให้เป็นคำตอบที่ว่า ก็เห็น ผบห. เค้าก็ทำกัน แบบนี้แบบนั้นแล้วมันก็จบ!
มันคือชีวิตจริง และในความคิดผมสิ่งนี้คือสิ่งที่ตรงข้ามกับดราม่าอย่าสิ้นเชิง
ขอแสดงความนับถือครับ
ธรรมาภิบาลไม่ใช่ดราม่าครับ ไม่ควรเป็นไฟไหม้ฟางปัญหาครั้งเดียวจบ แต่...
มันจะเป็นรากเหง้าของธรรมภิบาล ของผู้บริหารในไทย ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ เราควรมีบรรทัดฐานที่ถูกต้องต่อไปอย่างไร?
อย่าให้เป็นคำตอบที่ว่า ก็เห็น ผบห. เค้าก็ทำกัน แบบนี้แบบนั้นแล้วมันก็จบ!
มันคือชีวิตจริง และในความคิดผมสิ่งนี้คือสิ่งที่ตรงข้ามกับดราม่าอย่าสิ้นเชิง
ขอแสดงความนับถือครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 15
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ดราม่าในตลาดหุ้น/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 5
ตลท. เค้ามีระเบียบ ข้อกำหนดลงโทษ และดำเนินการเรียบร้อยแล้วไง กติกาเขียนไว้อย่างนั้น ที่นอกเหนือจากนั้นก็อารมณ์ดราม่า จะเอานั่นเอานี่ ซึ่งก็เป็นสิทธิทำได้เพื่อกดดันเจ้าตัว และผู้ถือหุ้นที่มีอำนาจแต่งตั้ง/ถอดถอน ผู้บริหาร ซึ่งเมื่อทำไปแล้วมติเค้าก็ยืนยันตามนี้ ถ้าผู้ถือหุ้นคนใดไม่พอใจก็ขายหุ้นไปซะ หรือไม่ก็เก็บประเด็นไว้เสนอเป็นหัวข้อการประชุมในครั้งต่อไป ทางเดินไปตามครรลองมันก็อย่างนี้ ที่เหลือก็อารมณ์งอแงเหมือนเด็ก
กับกรณีผู้บริหาร บลจ. บางแห่ง กีดกันผู้ถือหุ้นไม่ให้เข้าประชุม ดันเงียบกริบ ไม่รู้แบบนี้เรียกผิดธรรมาภิบาลหรือไม่ แต่ไม่เห็นพวกไหนพวกใดจะมาดราม่ากดดันเขาบ้างเลย
กับกรณีผู้บริหาร บลจ. บางแห่ง กีดกันผู้ถือหุ้นไม่ให้เข้าประชุม ดันเงียบกริบ ไม่รู้แบบนี้เรียกผิดธรรมาภิบาลหรือไม่ แต่ไม่เห็นพวกไหนพวกใดจะมาดราม่ากดดันเขาบ้างเลย
-
- Verified User
- โพสต์: 24
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ดราม่าในตลาดหุ้น/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 6
เห็นภาพเลยครับ ระหว่าง บลจ.หนึ่งผู้บริหารใช้ชื่อตนเองซื้อหุ้น กับอีก บลจ.กีดกันการประชุม ผถห. ที่จะคัดค้านการเพิ่มทุน การตอบสนองของสังคมนักลงทุนต่างกันมาก
ครั้นจะบอกว่าเป็น กรณีcpall เป็นรากเหง้าของธรรมภิบาล ผมมีความคิดเห็นว่าเป็นแค่สีเทาๆ แต่หลาย บลจ.เนี่ยดำสนิท
ครั้นจะบอกว่าเป็น กรณีcpall เป็นรากเหง้าของธรรมภิบาล ผมมีความคิดเห็นว่าเป็นแค่สีเทาๆ แต่หลาย บลจ.เนี่ยดำสนิท